ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา"
Ramangkura (คุย | ส่วนร่วม) |
|||
บรรทัด 47: | บรรทัด 47: | ||
การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม<ref>เอี่ยมกมล จันทะประเทศ. สถานภาพเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี ระหว่างพ.ศ. 2425-2476. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2538</ref> โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า '''วังสงัด''' ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลย<ref>http://guideubon.com/news/view.php?t=14&s_id=14&d_id=14</ref> |
การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม<ref>เอี่ยมกมล จันทะประเทศ. สถานภาพเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี ระหว่างพ.ศ. 2425-2476. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2538</ref> โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า '''วังสงัด''' ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลย<ref>http://guideubon.com/news/view.php?t=14&s_id=14&d_id=14</ref> |
||
==ฝีมือการทอผ้า== |
|||
หม่อมเจียงคำเป็น[[เจ้านายสตรี]][[เมืองอุบลราชธานี]]ที่มีความรู้เรื่องวิชาการช่าง[[ทอผ้า]] และเป็นเจ้านายผู้มีฝีมือ[[การทอผ้า]]พื้นเมืองเป็นอย่างสูง ในสมัยโบราณนั้น เจ้านายท้องถิ่นมักมี[[โรงทอผ้า]]ในอาณาบริเวณ[[โฮง]]ของตนเอง หม่อมเจียงคำได้ถ่ายทอดวิชาการช่างทอผ้าพื้นถิ่น[[เมืองอุบลราชธานี]]ให้บุตรหลานและบริวารจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือแม่เลื่อน เพื่อนำไปทอแข่งขันกับ[[ผ้าลายน้ำไหล]]ของหัวเมือง[[ประเทศราช]]ทาง[[ล้านนา]] เช่น [[เมืองน่าน]]และ[[เมืองเชียงใหม่]] ผ้าทออันเป็นที่นิยมของเจ้านายในสมัยนั้นคือ [[ผ้าจก]]และ[[ผ้ายกมุก]] ในปัจจุบัน ผ้ายกมุกที่มีชื่อเสียงของ[[ภาคอีสาน]]มีอยู่ ๒ แห่ง คือ[[ผ้ายกมุก]][[อำเภอนาหว้า]] [[จังหวัดนครพนม]] ซึ่งราษฎรชาว[[ลาว]]ได้ทูลเกล้าฯ ถวายแด่[[สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ]] และ[[ผ้ายกมุกเมืองอุบลราชธานี]] นอกจาก[[ผ้ายกมุก]]แล้ว ภายในโฮงของ[[เจ้านายเมืองอุบลราชธานี]]ยังนิยมทอ[[ผ้าจก]] ผ้าจกลายเอกลักษณ์ของ[[เมืองอุบลราชธานี]]อันเป็นที่นิยมมากคือ[[ผ้าลายจกดาว]] เมื่อนำลาย[[จกดาว]]ไปต่อเป็น[[หัวซิ่น]]หรือ[[ผ้านุ่ง]] เรียกว่า [[หัวจกดาว]] [[จกดาว]]มีอยู่ ๒ ประเภท คือ[[ลายจกดาวใหญ่]]และ[[ลายจกดาวน้อย]] ภายใน[[โฮง]]ของเจ้านายชั้นสูงนิยมนำ[[ไหมคำ]] ([[ไหมทองแล่ง]]) และ[[ไหมงิน]] มาฝั้นเป็นเส้นขนาดเล็ก เรียกว่า [[ไหมคำแลบ]] เพื่อทอเป็นลาย[[จกดาว]] นอกจาก[[จกหัวดาว]]ซึ่งใช้ต่อบริเวณ[[หัวซิ่น]]แล้ว ยังนิยมนำไปใช้ต่อเป็นลาย[[ตีนซิ่น]]ด้วย เรียกว่า [[จกดาวตีนซิ่น]] เจ้านายสตรี[[เมืองอุบลราชธานี]]นิยมลาย[[จกดาวตีนซิ่น]]เป็นลายเล็กๆ กว้างขนาด ๒ นิ้ว ใช้ประดับ[[ตีนซิ่น]] ต่อมา [[ผ้าจก]]ดาวซึ่งได้รับการสืบทอดมาแต่[[ราชสำนัก]][[เมืองอุบลราชธานี]]จากฝีมือช่างของหม่อมเจียงคำนี้ คุณสุดา งามนิล ได้นำไปพัฒนาและเผยแพร่จนมีชื่อเสียงในปัจจุบัน |
|||
ครั้งหนึ่ง พลตรี [[พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์]] เคยส่ง[[ผ้าซาระบับ]][[ลาว]] ([[สยาม]]เรียกว่า [[ผ้าเยียรบับ]][[ลาว]]) ไปทูลเกล้าทูลถวาย[[พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว]] ([[รัชกาลที่ 5]]) พระองค์ได้มีลาย[[พระราชหัตถเลขา]]พระราชทานกลับมาว่า '' "...[[ผ้า]]นี้ทอดีมาก '''เชียงใหม่สู้ไม้ได้เลย''' ถ้าจะยุให้ทำมาขายคงจะมีผู้ซื้อ ฉันจะรับเป็นนายน่า ส่วนที่ส่งมาจะให้ตัดเสื้อ ถ้ามีเวลาจะถ่ายรูปให้ดู..." '' เอกสารลาย[[พระราชหัตถเลขา]]นี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่[[พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี]]มาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้สามารถสังเกตได้ว่า มีผู้กล่าวขวัญถึง[[ผ้าไหม]][[ลาว]][[อีสาน]]มากกว่าผ้าไหมของทาง[[เชียงใหม่]]เสียอีก |
|||
==ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ== |
==ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:35, 28 สิงหาคม 2559
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |
---|---|
เกิด | 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 |
เสียชีวิต | 20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 (58 ปี 320 วัน) |
คู่สมรส | พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ |
บุตร | หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล |
บิดามารดา | ท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) อัญญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล |
หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) (4 ธันวาคม พ.ศ. 2422-20 ตุลาคม พ.ศ. 2481 ) มีนามเดิมว่า อาชญานางเจียงคำ สกุลเดิม บุตโรบล เป็นเจ้านายสตรีของเมืองอุบลราชธานีซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของราชอาณาสยามมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ที่ถวายตัวเป็นหม่อมใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) และองค์ที่ 3 ในเจ้าจอมมารดาพึ่ง[1] เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีระหว่างราชสำนักสยาม กับเจ้านายพื้นถิ่นเมืองอุบลราชธานีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในช่วงที่มีนโยบายปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
ชาติกำเนิดและราชตระกูล
หม่อมเจียงคำ เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2422 ที่เมืองอุบลราชธานี เป็นธิดาลำดับที่ 9 หรือเป็นธิดาท่านสุดท้องของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) กับอาชญาแม่ดวงจันทร์ บุตโรบล หม่อมเจียงคำมีศักดิ์เป็นพระนัดดา (หลานปู่) ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 (บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุริยะ) กับอาชญาแม่ทอง บุตโรบล มีศักดิ์เป็นพระปนัดดา (เหลนทวด) ในท้าวสีหาราช (พูลสุข หรือ พลสุข) กรมการเมืองอุบลราชธานีชั้นผู้ใหญ่ กับอาชญาแม่สุภา มีศักดิ์เป็นพระปทินัดดาในท้าวโคต ผู้เป็นพระราชโอรสในเจ้าพระตา (เจ้าพระวรราชปิตา) ผู้ครองนครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบาน (จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ท้าวโคตผู้เป็นต้นสกุล บุตโรบล ยังมีศักดิ์เป็นพระราชอนุชาร่วมพระราชบิดาพระราชมารดาเดียวกันกับเจ้าพระปทุมวรราชสุริยวงษ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทษราชองค์ที่ 1 กับเจ้าพระวิไชยราชสุริยวงษขัติยราช (ฝ่ายหน้า) เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ (เมืองเก่าคันเกิง) องค์ที่ 3 ด้วย
อนึ่ง หม่อมเจียงคำสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ล้านช้างเวียงจันทน์ ผ่านทางพระชายาของเจ้าปางคำ เจ้าเมืองหนองบัวลุ่มภู (ผู้เป็นพระราชบิดาของเจ้าพระตาและเจ้าพระวอ) พระชายาองค์นี้มีศักดิ์เป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราชแห่งนครเวียงจันทน์ อีกทั้งหม่อมเจียงคำยังสืบเชื้อสายจากราชวงศ์เชียงรุ้งแสนหวีฟ้าผ่านทางเจ้าปางคำ เจ้าเมืองหนองบัวลุ่มภู ผู้เป็นพระราชโอรสของเจ้านครเชียงรุ้ง และเป็นพระอนุชาในเจ้าอินทกุมารกับเจ้านางจันทกุมารี[2] นอกจากนี้ หม่อมเจียงคำยังเป็นหลานตาและหลานยายของพระศรีโสภากับนางทุมมา พระศรีโสภาผู้เป็นตานั้นเป็นชาวจีนดำรงตำแหน่งนายอากรบ่อนเบี้ยเมืองอุบลราชธานี ปฐมบรรพบุรุษและเครือญาติทั้งหมดของหม่อมเจียงคำ ได้เคยเป็นผู้ปกครองหัวเมืองใหญ่น้อยตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรล้านช้างจนเปลี่ยนแปลงการปกครองมาทั้งหมดนับได้ 19 หัวเมือง ได้แก่ เมืองเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า เมืองหนองบัวลุ่มภู (เมืองหนองบัวลำภู) เมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (เมืองจำปานครกาบแก้ว) เมืองอุบลราชธานี เมืองนครจำปาศักดิ์ เมืองนครพนม เมืองดอนมดแดง (บ้านดอนมดแดง) เมืองยศสุนทร (เมืองยโสธร) เมืองเขมราฐธานี เมืองหนองคาย เมืองอำนาจเจริญ เมืองวารินชำราบ เมืองพิมูลมังษาหาร (เมืองพิบูลมังสาหาร) เมืองตระการพืชผล เมืองมหาชนะชัย เมืองเสลภูมิ เมืองพนานิคม เมืองเกษมสีมา และเวียงฆ้อนกลองหรือเวียงดอนกอง (บ้านดู่บ้านแก)[3]
พี่น้อง
หม่อมเจียงคำ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ดังนี้[4]
- อาชญานางก้อนคำ สมรสกับ พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) ปลัดเมืองอุบลราชธานี บรรดาศักดิ์เดิมที่ ท้าวสุทธิสาร ผู้ช่วยราชการคณะอาญาสี่เมืองอุบลราชธานี
- อาชญานางอบมา สมรสกับ ท้าววรกิติกา (คูณ) กรมการเมืองอุบลราชธานี
- อาชญานางเหมือนตา
- อาชญานางบุญอ้ม สมรสกับ ท้าวอักษรสุวรรณ กรมการเมืองอุบลราชธานี
- อาชญานางหล้า
- อาชญานางดวงคำ สมรสกับ รองอำมาตย์ตรี ขุนราชพิตรพิทักษ์ (ทองดี หิรัญภัทร์)
- อาชญาท่านคำม้าว โกณฺฑญฺโญ อดีตเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดสารพัฒนึก ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- อาชญาไม่ปรากฏนาม (ถึงแก่กรรมเมื่อวัยเยาว์)
- อาชญานางเจียงคำ หรือหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา
เกี่ยวกับนามและสกุล
เกี่ยวกับนามของหม่อมเจียงคำนั้น คำว่า เจียง เป็นภาษาลาวโบราณ ตรงกับภาษาบาลีว่า จาป หมายถึง ธนู ศร หน้าไม้ กระสุน แล่ง (ที่ทำสำหรับวางลูกธนูหรือหน้าไม้ หรือที่ใส่ลูกธนูหน้าไม้สำหรับสะพาย)[5] บางครั้งชาวลาวเรียกว่า หน้าเจียง หรือ เกียง ดังนั้น นามของหม่อมเจียงคำจึงหมายถึง ธนูทองคำ หม่อมเจียงคำ เดิมสกุล บุตโรบล นามสกุลบุตโรบลเป็นนามสกุลที่ทายาทบุตรหลานเจ้านายเมืองอุบลราชธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) นามสกุลเลขที่ 2692 เขียนแบบอักษรโรมันคือ Putropala [6] ผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลคือ นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นายทหารกองหนุน สังกัดกองสัสดีมณฑลอุบล และผู้ช่วยราชการเมืองอุบลราชธานี บิดาชื่อเจ้าราชบุตร (หนูคำ) ว่าที่เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 6 ปู่ชื่อเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา และนายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและทั้ง 2 ท่านเป็นพระนัดดา (หลานปู่) ในเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 นายร้อยโท พระอุบลกิจประชากร (บุญเพ็ง) นั้นสมรสกับเจ้าเฮือนทองพันธ์ ณ จำปาศักดิ์ พระราชธิดาในเสด็จเจ้ายั้งขะหม่อมยุติธรรมธรนครจำปาศักดิ์รักษาประชาธิบดี (คำสุก ณ จำปาศักดิ์) เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ที่ 12 กับพระชายาโซ้นพิมพ์
การถวายตัว
พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์ สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว (ภายหลังเปลี่ยนเป็นมณฑลอีสาณ) เมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาปรับปรุงและจัดระบบราชการที่เมืองอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ได้ทรงพอพระทัยต่ออาชญานางเจียงคำ ซึ่งเป็นธิดาของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น) กรมการชั้นผู้ใหญ่ของเมือง จึงได้ทรงขออาชญานางเจียงคำ ต่อเจ้านายผู้ใหญ่ในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชู พรหมวงศานนท์) และได้เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญตามจารีตประเพณีของบ้านเมืองลาวดั้งเดิม ถวายตัวเป็นหม่อมห้ามใน พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ที่ 3 ใน เจ้าจอมมารดาพึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ต่อมาได้ให้กำเนิดพระโอรส 2 พระองค์
การถวายตัวเป็นหม่อมห้ามของเสด็จในกรมนั้น เท่ากับเป็นการสร้างการยอมรับอำนาจการปกครองจากส่วนกลางในหมู่เจ้านายเมืองอุบลราชธานีมากขึ้น และยังทำให้เจ้านายพื้นเมืองบางส่วนขยับฐานะตนเองจากการเป็นเจ้านายในราชวงศ์สายล้านช้างอันเก่าแก่ มาเป็นส่วนหนึ่งในพระราชวงศ์จักรีของสยาม[7] โดยระหว่างที่เสด็จในกรมทรงประทับอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีนั้น ได้ทรงสร้างตำหนักชื่อว่า วังสงัด ขึ้นบนที่ดินของท้าวสุรินทรชมภู (หมั้น บุตโรบล) เมื่อ ร.ศ.112 และทรงประทับอยู่กับหม่อมเจียงคำเป็นเวลานาน 17 ปี ก่อนที่จะนิวัติคืนสู่กรุงเทพมหานคร ต่อมาทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงวังและเสนาบดีที่ปรึกษาในพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เมื่อ ร.ศ. 129 (พ.ศ. 2453) ภายหลังจากนิวัติสู่กรุงเทพมหานคร พระองค์ก็มิได้กลับมาประทับที่เมืองอุบลราชธานีอีกเลย[8]
ขอพระโอรสจากพระพุทธวิเศษ
พระเจ้าพุทธวิเศษ หรือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เป็นพระพุทธรูปหินศิลาแลงปางนาคปรก ขนาดหน้าตักกว้าง 55 เซนติเมตร สูง 90 เซนติเมตร เป็นศิลปะยุคศรีโคตรบูรร่วมสมัยกับทวาราวดีของสยาม อายุราวพันกว่าปี ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระวิหารวัดทุ่งศรีวิไล บ้านชีทวน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นับถือกันว่าเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวบ้านชีทวนและตำบลใกล้เคียง ประชาชนนิยมจัดงานสมโภชเฉลิมฉลองหลวงพ่อพระพุทธวิเศษเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน คือวันขึ้น 14 ค่ำ วันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เรียกว่า งานปิดทองหลวงพ่อพุทธวิเศษประจำปี ส่วนบ้านชีทวนนั้นเดิมเป็นเมืองขอมโบราณเรียกว่า เมืองซีซ่วน ภายหลังพระประทุมวรราชสุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลยประเทษราช ผู้เป็นต้นราชตระกูลของหม่อมเจียงคำ ได้โปรดให้ท้าวโหง่นคำพร้อมราษฎร 150 ครัวเรือน ยกมาตั้งเป็นบ้านเมืองอีกครั้งที่เมืองซีซ่วน[9] ชาวเมืองเชื่อกันสืบมาว่า ผู้ที่แต่งงานมีครอบครัวมานานแล้วแต่ไม่มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล สามีภรรยาก็มักพากันมานมัสการหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ เพื่อบนบานศาลกล่าวให้ตนมีบุตรธิดาไว้สืบสกุล ปรากฏว่าเป็นผลสำเร็จมากมาย ครั้งหนึ่ง พลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ และหม่อมเจียงคำ ได้เสด็จออกไปเยี่ยมไพร่ฟ้าประชาชนตามหัวเมืองต่างๆ และได้เดินทางผ่านบ้านชีทวน ทราบข่าวว่าที่บ้านชีทวนมีพระพุทธศักดิ์สิทธิ์คือหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ สามารถที่จะบนหรือขอสิ่งที่ปรารถนาได้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์พร้อมหม่อมเจียงคำก็ดำริแก่กันว่า แต่เมื่อครั้งเสกสมรสมานานแล้วก็ยังหาได้มีพระโอรสพระธิดาไว้สืบสกุล ทั้งสองพระองค์จึงทรงนำดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลวลงไปสักการบูชาขอพระโอรสพระธิดาจากหลวงพ่อพระพุทธวิเศษ ต่อมาไม่นานหม่อมเจียงคำก็ทรงพระครรภ์และได้ประสูติพระโอรส 2 พระองค์ ตามความปรารถนา คือหม่อมเจ้าอุปลีสานและหม่อมเจ้ากมลีสาน[10]
พระโอรส พระนัดดา และพระปนัดดา
- หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) อดีตประธานกรรมการผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงพวงรัตนประไพ เทวกุล พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุทัยวงศ์ กรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงมีพระโอรส-พระธิดา 3 ท่าน คือ
- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสุพัชร ชุมพล (พ.บ.)
- หม่อมหลวงภัทรีศา ชุมพล
- หม่อมราชวงศ์หญิงพวงแก้ว ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับนายแพทย์กุณฑล สุนทรเวช มีบุตรธิดา 3 คน คือ
- ทิพย์สุดา (สุนทรเวช) ถาวรามร
- พิมพ์แก้ว (สุนทรเวช) มาโกด์
- สิทธิ์สรรพ์ สุนทรเวช
- หม่อมราชวงศ์จาตุรีสาณ ชุมพล สมรสกับนางชูศรี (คงเสรี) ชุมพล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสุภสิทธิ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงสุทธิมาน (ชุมพล) โภคาชัยพัฒน์
- หม่อมราชวงศ์พัชรีสาณ ชุมพล (พ.บ.) สมรสกับคุณสุภาพรรณ ปันยารชุน มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล เสกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง สวัสดิวัฒน์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัฒนวิศิษฏ์ และหม่อมเจ้าหญิงฉวีลิลัย สวัสดิวัฒน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พะรองค์เจ้าคัคณางยุคล กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงมีพระโอรส 2 ท่าน คือ
- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงสิทธิสาณ ชุมพล
- หม่อมหลวงวราภา ชุมพล
- หม่อมราชวงศ์พฤทธิสาณ ชุมพล สมรสกับนางอรพันธ์ ชาติยานนท์ มีบุตรธิดา 4 ท่าน คือ
- หม่อมหลวงวรารมณ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงสมรดา ชุมพล
- หม่อมหลวงกมลพฤทธิ์ ชุมพล
- หม่อมหลวงรัมภาพันธุ์ ชุมพล
- หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล สมรสกับนางวราภรณ์ บุณยรักษ์ มีบุตรธิดา 2 ท่าน คือ
การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
หลังการสิ้นพระชนม์ของพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ หม่อมเจียงคำและหม่อมเจ้าชายทั้ง 2 พระองค์ ผู้เป็นบุตร ได้อุทิศที่ดินจำนวน 27 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินอันเป็นมรดกตกทอดของพระญาติวงศ์เจ้านายเมืองอุบลราชธานีในดีต ได้แก่ ที่ดินของเจ้าราชบุตร์ (สุ่ย บุตโรบล) ที่ดินของพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) ที่ดินของพระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) ที่ดินของพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) ที่ดินของเจ้าอุปฮาต (โท ณ อุบล) ที่ดินของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) ไว้ให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่แผ่นดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการที่สำคัญในจังหวัดอุบลราชธานีหลายแห่ง ได้แก่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี เทศบาลนครอุบลราชธานี ทุ่งศรีเมือง (อดีตสถานที่ถวายเพลิงพระศพเจ้าเมืองและพระราชทานเพลิงเจ้านายเมืองอุบลราชธานี) โรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี (เดิมเป็นที่ตั้งโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช) และโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์[1]
เกี่ยวกับที่ดินมรดก
แปลงที่ 1
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนราชบุตร ทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ที่ดินแปลงใหญ่นี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 เดิมเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี กรมศิลปากร
แปลงที่ 2
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับถนนหลวง ทิศตะวันตกติดกับถนนราชบุตร (เดิมคือที่ตั้งสโมสรข้าราชการเมืองอุบลราชธานี) ที่ดินแปลงนี้เป็นเดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 และเป็นผืนเดียวกันกับที่ดินแปลงที่ 1 เมื่อราชการขยายผังบ้านเมืองออกไปและมีการตัดถนนผ่าน จึงทำให้เกิดเป็นที่ดิน 2 แปลงดังปรากฏในปัจจุบัน
แปลงที่ 3
เดิมเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนารีนุกูล ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานี เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นบริเวณเดียวกันกับทุ่งศรีเมือง แต่ปัจจุบันได้ถูกตัดถนนผ่านหน้าโรงเรียน ทำให้พื้นที่ของโรงเรียนอนุบาลอุบลราชธานีถูกแยกออกไปจากทุ่งศรีเมือง บริเวณกลางทุ่งศรีเมืองนี้เดิมเป็นสถานที่ราชการของเมือง ใช้สำหรับจัดงานพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง ตลอดจนงานพระราชทานเพลิงศพเจ้าเมือง คณะอาญาสี่ และกรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ทุ่งศรีเมืองในปัจจุบันมีทิศเหนือติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนนครบาล ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช ปัจจุบันทุ่งศรีเมืองใช้สำหรับเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ประกอบรัฐพิธีต่างๆ เช่น วันเฉลิมพระชนพรรษา ๕ ธันวาคมของทุกปี ตลอดจนประกอบพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา ประกอบพิธีทางประเพณีวัฒนธรรมของจังหวัด เช่น เทศกาลวันแห่เทียนเข้าพรรษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เป็นต้น
แปลงที่ 4
ทิศเหนือติดกับถนนพิชิตรังสรรค์ ทิศใต้ติดกับถนนพโลรังฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดกับวัดสุทัศนาราม ปัจจุบันเป็นที่ตั้งศาลจังหวัดอุบลราชธานี ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี และด้านหลังของศาลจังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณบ้านพักผู้พิพากษาศาล ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าราชบุตร (สุ่ย) เจ้าเมืองอุบลราชธานีองค์ที่ 3 พระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ สุวรรณกูฏ) พระลินจังคุลาทร (พั้ว บุตโรบล) พระบริคุตคามเขต (โหง่นคำ สุวรรณกูฏ) และพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต)
แปลงที่ 5
ทิศเหนือติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศใต้ติดกับถนนเขื่อนธานี ทิศตะวันออกติดกับที่ดินของเจ้าราชบุตร (สุ่ย) ทิศตะวันตกติดกับถนนอุปราช เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอเมืองอุบลราชธานี แล้วย้ายไปสร้างใหม่ ณ สำนักงานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ข้างสำนักงานธนารักษ์จังหวัดอุบลราชธานี ที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นมรดกจากเจ้าอุปฮาด (โท) พระบิดาของพระอุบลเดชประชารักษ์ (เสือ ณ อุบล) กรมการเมืองชั้นผู้ใหญ่
แปลงที่ 6
ทิศเหนือติดกับวัดไชยมงคล ทิศใต้ติดกับถนนศรีณรงค์ ทิศตะวันออกติดกับถนนอุปราช ทิศตะวันตกติดกับสุสานโรมันคาทอลิก เดิมเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี
แปลงที่ 7
ที่ดินแปลงนี้มีทั้งหมด 27 ไร่ ซึ่งตกทอดเป็นมรดกของพระโอรสทั้ง 2 พระองค์ คือ หม่อมเจ้าอุปลีสาณ ชุมพล (ท.จ.ว.) และหม่อมเจ้ากมลีสาณ ชุมพล พระโอรสทั้ง 2 ได้มอบให้ทางราชการเมื่อ พ.ศ. 2474 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์อีสานใต้ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีผู้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก [11]
อนิจกรรม
หม่อมเจียงคำ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคอัมพาต เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2481 สิริอายุ 59 ปี[12] ณ โฮงพระวิภาคย์พจนกิจ (เล็ก สิงหัษฐิต) เลขานุการในพระองค์กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ผู้เป็นญาติใกล้ชิดของหม่อมเจียงคำ ซึ่งตั้งอยู่ ณ ถนนพิชิตรังสรรค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี[13] แต่บ้างก็กล่าวว่าหม่อมเจียงคำได้ถึงแก่อนิจกรรม ณ วังสงัด[14] ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้เสด็จมาพระทับเมืองอุบลราชธานี ปัจจุบันทายาทได้นำพระอัฐิของท่านบรรจุไว้ ณ บริเวณฐานตั้งใบเสมาหน้าพระอุโบสถ วัดสุทัศนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) ผู้เป็นพระอัยกาและพระญาติวงศ์เมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกันสร้างไว้ตั้งแต่ครั้ง พ.ศ. 2396 ก่อนที่เจ้าราชบุตร (สุ่ย บุตโรบล) จะไปราชการศึกสงครามเมืองญวนที่ประเทศเขมร[15]
อนุสรณ์เกี่ยวกับพระองค์
- กลุ่มสืบสาน นำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา[16]
- อาคารหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
- วันรำลึกหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันถึงแก่อนิจกรรมของหม่อมเจียงคำ[17]
- กองทุนเครือข่ายแห่งบุญหม่อมเจียงคำอนุสรณ์[18]
พงศาวลี
พงศาวลีของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
พงศาวลีต้นราชตระกูล
พงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 1
พงศาวลีของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
พงศาวลีต้นราชตระกูลทรรศนะที่ 2
พงศาวลีของหม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
|
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 ที่ระลึกครบรอบ 150 ปี พลตรี กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
- ↑ http://e-shann.com/?p=6048
- ↑ https://th.wikisource.org/wiki/
- ↑ เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2542.
- ↑ http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-pleang/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B
- ↑ http://phyathaipalace.org.a33.readyplanet.net/
- ↑ เอี่ยมกมล จันทะประเทศ. สถานภาพเจ้านายพื้นเมืองอุบลราชธานี ระหว่างพ.ศ. 2425-2476. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 2538
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=14&s_id=14&d_id=14
- ↑ http://www.komchadluek.net/detail/20141026/194690.html
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=18&s_id=10&d_id=26
- ↑ กลุ่มสืบสานนำฮอย หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา, หม่อมเจียงคำ ชุมพล ณ อยุธยา (ท.จ.) : สตรีเมืองดอกบัวงามผู้เดินตามจารีตประเพณีไทยอิสาณ ที่ระลึก 20 ตุลาคม 2553, (อุบลราชธานี : ศิริธรรมออฟเซ็ท, 2553), หน้า 29-33.
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=14&s_id=10&d_id=10
- ↑ สัมภาษณ์นางผลา ณ อุบล หลานพระวิภาคย์พจนกิจ บ้านเลขที่ 114 ถนนพิชิตรังสรรค์ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี วันที่16 เมษายน 2555, วิศปัตย์ ชัยช่วย และคำล่า มุสิกา, ผู้สัมภาษณ์
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=14&s_id=10&d_id=10
- ↑ https://www.facebook.com/media/set/?set=a.
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=92&s_id=639&d_id=639
- ↑ http://guideubon.com/news/view.php?t=15&s_id=29&d_id=29&page=3&start=1
- ↑ http://www.guideubon.com/2.0/ubon-story/319/