จอมผีดิบมันตรัย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จอมผีดิบมันตรัย
ภาพปกเพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1
รายละเอียด
ผู้ประพันธ์นายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ
จำนวนเล่ม4 เล่ม
ความยาว1,640 หน้า
ออกแบบปกสามารถ จงเจษฎากุล
ภาพประกอบปกสมชาย ปานประชา
ศิลปกรรมฝ่ายศิลปกรรม
ณ บ้านวรรณกรรม กรุ๊ป
บรรณาธิการรักษ์ชนก นามทอน
สำนักพิมพ์สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม
ปีที่พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2538
ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2541
ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2544
ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2547
เล่มก่อนหน้าดงมรณะ
เล่มถัดไปอาถรรพณ์นิทรานคร

จอมผีดิบมันตรัย เป็นตอนที่สามของเพชรพระอุมาจำนวน 4 เล่ม ได้แก่จอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 - 4

เนื้อเรื่องย่อ[แก้]

จอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1[แก้]

ภายหลังจากที่แงซายทดลองทางปืน.460 เวเธอร์บีแม็กนั่ม ตกตอนเย็นพรานบุญคำที่แอบไปปลดทุกข์บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ถูกใช้เป็นเป้าทดลองกระสุน วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาแจ้งแก่รพินทร์ถึงรอยปืนบนต้นไม้ มียางไหลซึมออกมาสีแดงสดคล้ายกับเลือด รพินทร์รับรู้ถึงความผิดปกติในสีหน้าและแววตาตื่นตระหนกของพรานบุญคำ และเมื่อย้อนกลับไปยังต้นไม้ใหญ่ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นต้นตะเคียน พบรอยยางไม้ไหลซึมออกมาเป็นสีแดงคล้ายเลือดจริงตามที่พรานบุญคำบอก[1] แต่รพินทร์สั่งให้เก็บเรื่องยางตะเคียนสีแดงคล้ายเลือดไว้ ห้ามแพร่งพรายให้คณะนายจ้างรู้โดยเด็ดขาด ช่วงระยะเวลาประมาณหัวค่ำ ในขณะที่คณะนายจ้างรับประทานอาหารและสนทนากัน ดารินเกิดมีอาการหน้ามืดเป็นลม[2]

พรานบุญคำเริ่มรู้สึกไม่ดีกับความผิดปกติรอบบริเวณปางพักรวมถึงอาการของหน้ามืดของดาริน แต่รพินทร์พยายามทำสีหน้าและท่าทางให้เป็นปกติ ทั้งที่ภายในใจก็เริ่มวิตกกังวลตามคำบอกเล่าของยางตะเคียนสีแดงของพรานบุญคำ ก่อนกำหนดเวรยามในแต่ละจุดรอบปางพักก่อนแยกตัวไปพักผ่อน แต่เกิดเสียงเอะอะโวยวายของส่างป่าที่ฝันร้ายเห็นเสือขนาดใหญ่เท่าม้าจะทำร้าย[3] คะหยิ่นที่นอนห่างไปไม่ไกลนักฝันเห็นช้างงายาวไล่แทงเช่นกัน พรานจันฝันเห็นเปรตตัวสูงเท่าต้นตาล พรานเกิดฝันเห็นงูเหลือมขนาดใหญ่แต่มีส่วนหัวเป็นผู้หญิง พรานเส่ยฝันเห็นภูติผีปีศาจจำนวนมากรายรอบล้อมปางพัก พรานบุญคำพยายามทำตัวเป็นปกติตามที่รพินทร์สั่งทั้งที่ตัวเองฝันร้ายเช่นกัน แงซายซึ่งเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ผิดปกติครั้งนี้ โดนอาถรรพณ์ของป่ามากกว่าคนอื่น เพราะมองเห็นนางตะเคียนและบริวารที่ชายป่ารอบปางพักด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

ตกดึกเกิดเหตุการณ์ประหลาดรอบบริเวณปางพัก ก้อนหินขนาดใหญ่เท่าลูกมะพร้าวจำนวนมากถูกมือที่มองไม่เห็นขว้างปาใส่ราวกับห่าฝน รพินทร์แจ้งให้คณะนายจ้างทราบถึงต้นเหตุของเหตุการณ์ผิดปกติและเตรียมพร้อมรับมือกับอำนาจเร้นลับเหนือธรรมชาติที่รายล้อมรอบปางพัก ไชยยันต์ตะโกนท้าทายอำนาจเร้นลับด้วยความโกรธ[4] ทำให้เกิดลมพายุพัดกระหน่ำพร้อมกับเสียงหัวเราะของผู้หญิง รพินทร์แก้เหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยการนำของขลังในไถ้ที่ได้รับมอบจากคอของหนานไพร มาบรรจุลงในปลอกกระสุนปืนลูกซองก่อนเหนี่ยวไกยิงใส่ ซึ่งสามารถทำให้ลมพายุสงบลงทันทีพร้อมกับเสียงโหยหวนราวกับป่าแตก หลังพายุสงบดารินกลับหายตัวไปจากปางพัก โดยทิ้งร่องรอยเพียงอย่างเดียวคือรอยเท้าบนพื้นดินอย่างชัดเจน บ่ายหน้าขึ้นสู่ตลิ่งไปยังป่าฝั่งตรงข้าม

รพินทร์ เชษฐา แงซายและคนอื่นออกติดตามรอยเท้าของดารินจนพบที่ต้นตะเคียนใหญ่[5] ดารินถูกนางตะเคียนเข้าสิงนำตัวมาจากปางพัก เพื่อใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนกับการขอขมาจากเชษฐาและแงซาย โดยนำตัวดารินขึ้นไปบนต้นตะเคียนและแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็น รพินทร์พยายามเจรจาด้วยภาษาชาวเขาแขนงหนึ่งกับนางตะเคียนในร่างดาริน ที่ยินยอมคืนตัวดารินให้เพื่อแลกกับการขอขมาจากเชษฐาและเลือดสามหยดจากแงซาย ซึ่งทั้งสองคนยอมปฏิบัติแต่โดยดีและได้ตัวดารินกลับคืนมา[6] หลังจากฟื้นคืนสติ ดารินกลับจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่น้อย มีความรู้สึกเหมือนไม่สบายและหลับไปเท่านั้น พร้อมกับเล่าความฝันแปลกประหลาดให้ทุกคนฟัง

มาเรีย ฮอฟมันแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะเห็นด้วยตาของตนเองที่ดารินสามารถพูดจาโต้ตอบกับรพินทร์ด้วยภาษาชาวเขาเช่นขมุและกะเหรี่ยง ทั้งที่ความจริงแล้วไม่สามารถพูดได้แม้แต่คำเดียว เช้าวันรุ่งขึ้นรพินทร์นำคณะนายจ้างออกเดินทางต่อโดยบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเขาหัวแร้ง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังทุ่งมรณะ[7] โดยที่รพินทร์แจ้งตำแหน่งปัจจุบันคือเหนือรัฐกะยา ทางตอนใต้ของรัฐไทยใหญ่ให้แก่คณะนายจ้างทราบ รพินทร์นำคณะนายจ้างเดินทางมาสร้างปางพักในหุบเขากองกอย ในช่วงเวลาประมาณใกล้ค่ำ รพินทร์ขออนุญาตดารินล่าสัตว์สำหรับเป็นอาหารเย็นจากสัญญาที่เคยให้ไว้ เนื่องจากเสบียงและอาหารกระป๋องที่นำติดตัวมา สามารถใช้ยังชีพได้ไม่เกินเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ทั้งคณะเดินทางต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น พร้อมกับเสียงโวยวายตื่นตระหนกของส่างปาและคะหยิ่นที่ออกล่าสัตว์

รพินทร์สอบถามจนได้ความว่าทั้งสองพบกับงูใหญ่มีหงอนเหมือนกับตัวที่ออกอาละวาดในหมู่บ้านหล่มช้าง จึงนำคณะนายจ้างออกค้นหาจนพบกับคราบของงูขนาดใหญ่ที่ลอกคราบทิ้งไว้บริเวณปากถ้ำแห่งหนึ่ง[8] คืนนั้นเชษฐายิงกวางที่มากินดินโป่งได้ตัวหนึ่ง มีพรานบุญคำช่วยส่องไฟให้แต่ไม่ตาม โดยตั้งใจจะตามซากในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ตกดึกประมาณตีสอง ทั้งปางพักได้ยินเสียงร้องแปลกประหลาดเหมือนเสียงนกกวักดังก๋อง ๆ ก๋อย ๆ ไปทั่ว[9] แงซายแนะให้รพินทร์ตามซากกวางพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่มาของเสียงประหลาด จากที่เคยผ่านหุบเขาลูกนี้ในอดีตให้รพินทร์และคณะนายจ้างฟัง เช้าตรู่รพินทร์รู้เรื่องกวางที่เชษฐายิงได้เมื่อคืนแต่เหลือเพียงแค่โครงกระดูก จึงรีบนำคณะนายจ้างตรงไปยังซากกวางที่เชษฐายิงได้เมื่อวาน พบกลายเป็นโครงกระดูกจริงตามคำบอกเล่าของแงซาย

รพินทร์บอกแก่คณะนายจ้างถึงตัวการที่รุมกินซากกวางด้วยความหิวโหยคือกองกอย ที่เป็นภูติไพรชนิดหนึ่ง มีฟันแหลมและคมกริบราวกับมีดโกน[10] สร้างความฉงนให้แก่คณะนายจ้างซึ่งเคยได้ยินชื่อกองกอยจากเรื่องเล่าขานเท่านั้น เชษฐาเตือนให้ทั้งหมดคอยระวังตัวจากกองกอย จากเหตุการณ์เมื่อคืนถ้าเชษฐาไม่ยิงกวางล้มแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ตามซาก เหยื่อเคราะห์ร้ายอาจจะกลายเป็นใครคนหนึ่งหรือทุกคนในปางพักแทน รพินทร์นำคณะนายจ้างและพรานพื้นเมืองออกเดินทางต่อไต่สันเขาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมกับหาแหล่งน้ำสำหรับดื่มกิน มาเรียคาดคะเนถึงแหล่งน้ำที่อาจอยู่เลยไปไม่ไกลนัก จากประสบการณ์ในการเดินป่าทำให้รู้ว่าภายหลังจากที่ถูกยิง กวางอาจมุ่งหน้ามายังแหล่งน้ำแต่เกิดตายเสียก่อนที่จะไปถึง

ซึ่งเป็นจริงดังที่คาดการณ์ไว้ แงซายและพรานพื้นเมืองทั้งหมดก็สามารถหาแหล่งน้ำพร้อมกับบรรจุในกระบอกไม้ไผ่จนเต็มกลับมายังที่พัก รพินทร์สั่งให้หยุดพักชั่วคราวก่อนออกเดินทางต่อ[11] โดยนำคณะนายจ้างไต่เนินขึ้นลงและหยุดพักเที่ยงที่ชายเนินริมทุ่ง ก่อนตัดทางขึ้นเนินลูกเล็ก ๆ ทางทิศใต้เพื่อหาแหล่งน้ำมวก ตลอดระยะทางไม่พบแม้แต่สัตว์แม้แต่ตัวเดียว จนประมาณบ่ายสามโมงเย็นจึงถึงพื้นราบบนไหล่ดอย มาเรียออกไปหาเนื้อไว้สำหรับเป็นเสบียงโดยมีส่างปาติดตามไปด้วย รพินทร์และบุญคำตามรอยของมาเรียไป แต่แยกไปคนละเส้นทางได้เพียงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงไรเฟิล .357 ของส่างปาลั่นขึ้นหนึ่งนัดพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวก จึงรู้ว่ามาเรียเกิดปะทะกับกระทิงขนาดใหญ่กลางทุ่งโล่ง[12] รพินทร์ พรานบุญคำ ไชยยันต์ ดารินและคนอื่น ๆ ช่วยกันยิงสมทบช่วยเหลือมาเรียที่พยายามเอาตัวรอดจากการพุ่งเข้าใส่ของกระทิง รพินทร์ยิงด้วยไรเฟิล 30/60 แต่จับเป้าหมายที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไม่ได้[13] พรานบุญคำช่วยยิงซ้ำด้วย .375 แต่ก็พลาดไม่โดนอีกเช่นกัน

เชษฐาใช้ปืน .458 ยิงสกัดแต่กระสุนผ่านหน้าขาไปไม่ถูกเป้า[14] มาเรียทำศึกกับกระทิงใหญ่จนสามารถหยิบไรเฟิล .357 ที่ส่างปาทำหล่นไว้มาได้สำเร็จก่อนจะเหนี่ยวไกยิง กระสุน .357 จากไรเฟิลพุ่งเข้าตัดก้านคอของกระทิงใหญ่ล้มทันที กลายเป็นอาหารมื้อเย็นอย่างดีให้แก่คณะเดินทาง ภายหลังล้มกระทิงสำเร็จและล้อมวงรับประทานอาหารเย็นด้วยกันแล้ว ต่างพากันแยกย้ายไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ตกดึกทั้งปางพักเงียบสงัดอย่างผิดปกติ ดารินรู้สึกตัวตื่นเนื่องจากมีอะไรบางอย่างกระทบบริเวณปลายเท้า และเมื่อฉายไฟส่องดูก็ทำให้ทั้งปางพักแตกตื่นชุลมุนวุ่นวายด้วยเสียงปืน .357 ติดต่อกัน 3 - 4 นัดซ้อน รพินทร์สอบถามดารินถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกับสั่งให้ก่อกองไฟที่มอดขึ้นทันที ในขณะที่ทั้งหมดกำลังหาร่องรอยของตัวประหลาดที่บุกเข้ามาภายในที่พัก เสียงตะโกนโหวกเหวกพร้อมเสียงปืนก็ลั่นขึ้นสนั่นหวั่นไหว ทางปางพักถูกกองกอยจำนวนโอบล้อมเอาไว้และบุกเข้ามาทำร้าย ไชยยันต์และเชษฐาช่วยกันยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ไล่กองกอยจนถอยร่นไปไม่เป็นกระบวน พรานพื้นเมืองของรพินทร์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย มีพรานเกิดเพียงคนเดียวที่ถูกกัดขาเป็นแผลเหวอะหวะ

ดารินขอให้มาเรียช่วยหยิบกล่องปฐมพยาบาลให้ แต่ทั้งหมดก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อมาเรียร้องลั่นขึ้นหลังจากพบกองกอยหลบซ่อนอยู่ภายใต้ผืนผ้าใบ รพินทร์ให้พรานบุญคำจับเป็นกองกอยที่ได้รับบาดเจ็บจนไส้ไหลและไม่คิดหลบหนี[15] กองกอยสะกดจิตแงซายให้ถ่ายทอดความคิดทุกอย่างออกมาโดยใช้ร่างของแงซายเป็นสื่อ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณที่ถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนดิน นางพญาที่ถูกขังวิญญาณด้วยคัมภีร์มายาวิน และราชปุโรหิตจอมชั่วร้ายมันตรัยพรั่งพรูออกมาจากปากของแงซาย รวมทั้งขอร้องให้ทุกคนช่วยปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกจองจำอยู่อย่างยาวนานให้เป็นอิสระ[16] ทั้งหมดยกเว้นดารินไม่เชื่อในคำพูดของแงซายและจับกองกอยมัดไว้ รุ่งเช้ารพินทร์ตื่นนอนมาพบว่ากองกอยและแงซายหายไปพร้อมกับแผนที่ของมังมหานรธา การเดินทางต้องหยุดชะงักกลายเป็นการออกติดตามแงซายและแผนที่แทน รพินทร์ตามรอยเท้าของแงซายที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อชักจูงให้ติดตามไปยังอาณาจักรนิทรานคร

รพินทร์นำคณะนายจ้างตัดเบี่ยงเส้นทางมาทางทิศตะวันตกประมาณ 45 องศา[17] บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามหุบเขาที่เป็นทิวต่ำลงไปยังเบื้องล่าง มองเห็นเป็นสามยอดเรียงกันเป็นทุ่งโล่งมีชื่อเรียกว่าทุ่งมรณะ ระหว่างทางพบเจอกับต้นพริกขี้หนูยักษ์[18]และตะขาบยักษ์ที่โจมตีคณะเดินทางแตกกระจายกันไปคนละทิศละทาง รพินทร์เป็นคนยิงตะขาบยักษ์ตายด้วยปืน .460 เวเธอร์บี้แม็กนั่ม และทิ้งซากไว้บริเวณใกล้ต้นพริกขี้หนูยักษ์ ระหว่างทางทั้งหมดพบร่างของแงซายผลุบ ๆ โผล่ ๆ เป็นระยะ ไชยยันต์ตามรอยแงซายไปยังก้นหุบเขาแต่เกิดพลาดท่าโดนตะขาบกัดแทบเสียชีวิต ดารินพยายามปฐมพยาบาลช่วยชีวิตไชยยันต์อย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่สามารถแก้พิษของตะขาบดงได้ จนกระทั่งส่างปาเป็นคนเสนอให้ใช้วิธีรักษาด้วยการนำพริกขี้หนูดงและเนื้อตะขาบมาพอกบริเวณปากแผล

จอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2[แก้]

กองกอยที่เคยบุกปางพักจนถูกจับได้ก่อนหลบหนีหายไปกับแงซาย ย้อนกลับมาช่วยนำทางรพินทร์ไปยังต้นพริกขี้หนู เพื่อนำเม็ดพริกมาบดผสมกับเนื้อตะขาบยักษ์ใช้รักษาแก้อาการพิษตะขาบ แต่ถูกค้างคาวยักษ์โจมตีอย่างกะทันหันจนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น เมื่อทำร้ายฝ่ายรพินทร์ไม่ได้ ค้างคาวยักษ์ตัวนั้นก็หวนกลับไปทางด้านปางพัก เชษฐาและดารินก็เกิดยิงต่อสู้กับค้างคาวยักษ์ที่โฉบลงมาหมายชิงซากตะขาบยักษ์เช่นกันจนหลบหนีไป รพินทร์นำพริกขี้หนูมาให้ส่างปาผสมกับเนื้อตะขาบช่วยให้ไชยยันต์รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

รุ่งขึ้น รพินทร์นำคณะนายจ้างออกตามรอยของแงซายต่อ ท่ามกลางภาวะขาดแคลนน้ำดื่ม และพบกับเสือโคร่งสีดำที่มีขนาดใหญ่เท่าม้าลูกผสม ซึ่งรพินทร์เป็นคนพบรอยเท้าของมัน และเงยหน้าขึ้นมาปะทะหน้ากับมันก่อนที่มันจะกระโจนหนีไป[19] คะหยิ่นใช้ความสามารถพิเศษในการใช้จมูกดมกลิ่นในอากาศ เพื่อหาแหล่งน้ำจนผ่านเข้าเขตดงมรณะ รพินทร์บุกนำทุกคนผ่านมาจนถึงป่าโปร่งในเวลาประมาณบ่ายสี่โมง พบซากละมั่งที่ถูกดูดเลือดจนตาย[20] ก่อนหยุดพักแรม

คะหยิ่นได้กลิ่นเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นแหล่งน้ำ[21] จึงนำรพินทร์และคณะนายจ้างมุ่งหน้าขึ้นทางเหนือ[22] ท่ามกลางความกระหายน้ำอย่างหนัก แงซายได้นำน้ำมวกใส่กระบอกไม้ไผ่มาช่วยเหลือโดยวางทิ้งไว้พร้อมกับรอยเท้า ขณะที่ดารินดื่มน้ำด้วยความกระหาย ก็พบเห็นมันตรัยซึ่งหลบแวบไวๆเข้าไปในดงเถาวัลย์ ก่อนจะพบซากศพแห้งตายซากแช่อยู่ในแอ่งน้ำ ดารินจำมันตรัยได้จากการที่ปรากฏตัวให้เห็นเมื่อครู่จึงร้องเอ็ดขึ้นลั่น[23] ทุกคนไม่อยากจะเชื่อดารินเท่าไร แต่เมื่อผละจากแอ่งน้ำนั้นออกมา ก็พบว่าคะหยิ่นลืมปืนทิ้งไว้ที่แอ่งน้ำนั้น จึงย้อนกลับไป และพบว่าศพตายซากนั้นหายไปจากแอ่งน้ำ และทิ้งไว้แต่เพียงรอยเท้าเปียกน้ำเดินหายไป

รพินทร์นำคณะนายจ้างเดินทางมุ่งเข้าเขตดงเถาวัลย์กินคน พรานเกิด พรานเส่ย และไชยยันต์เกือบถูกเถาวัลย์รัดไปกิน เชษฐา ดาริน และรพินทร์ต้องช่วยกันแก้ออกมา คณะเดินทางพบบันทึกการเดินทางของ "แจน เครเมอร์" ซึ่งเป็นนักสำรวจที่ผ่านเข้ามาในบริเวณนี้เมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ระบุเรื่องของเสือโคร่งดำ ตะขาบยักษ์ กองกอย ค้างคาวยักษ์ เหมือนอย่างที่คณะเจออยู่ตอนนี้ และพบเสือหินสลักในถ้ำที่มีขนาดและลักษณะเดียวกันกับเสือโคร่งดำที่ทั้งคณะพบทุกประการ ในตอนเย็นเสือโคร่งดำก็เข้ามาดื่มน้ำในแอ่งน้ำใกล้ที่พัก ในคืนนั้นเชษฐาได้ยินเสียงกลองมโหรีแว่วราวกับมีงานพระราชพิธี รพินทร์ได้ยินเสียงฆ้องใหญ่[24] ดารินฝันถึงเรื่องราวของอาณาจักรนิทรานคร[25] และในเช้าของวันต่อมา ทุกคนก็พบว่าเสือหินในถ้ำนั้นหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย

จอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3[แก้]

รุ่งขึ้นระหว่างตามร่องรอยของแงซายพบรอยเท้าช้างขนาดใหญ่ เชษฐาถูกเสือโคร่งดำแอบผลักหินกลิ้งลงมาถูกปืนพัง จึงเปลี่ยนมาใช้ปืน .460 ของแงซายที่ทิ้งไว้แทน[26]ซึ่งมีลูกกระสุนเหลืออยู่ 28 นัด[27] และพบซากผีตายซากตัวเดียวกับที่ปรากฏในแอ่งน้ำในถ้ำจึงช่วยกันหากิ่งไม้มาทำฟืนเผา แต่มีเสือโคร่งดำตัวใหญ่กระโจนเข้าขัดขวางและคาบซากหลบหนีไป[28] รพินทร์นำคณะนายจ้างตัดทางผ่านไปตามทุ่งแฝกและหญ้าคา ระหว่างทางเกิดไฟป่าลุกลามอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั้งหมดต้องดิ้นรนเอาตัวรอด หลบหนีเข้าไปภายในถ้ำ จนพบหลักฐานคนโบราณเคยอาศัยอยู่ในถ้ำ[29]โดยมีโขลงช้างหลบหนีไฟป่าตามเข้ามาไปถ้ำด้วย[30] ทำให้แต่ละคนพากันหลบหนีโขลงช้างจนพลัดตกลงไปในเหว รพินทร์ตกลงไปกับดาริน ไชยยันต์ตกลงไปกับมาเรีย ส่วนเชษฐาและพรานพื้นเมืองที่เหลือตกลงในปล่องบริเวณตื้น ๆ จึงสามารถคลานขึ้นมาเก็บสัมภาระทั้งหมดไว้ได้

รพินทร์และดารินตกลงไปในถ้ำ สลบจนบ่ายวันรุ่งขึ้นจึงรู้สึกตัว พบปืนวินเชสเตอร์ .458 และ .44 แมกนั่มยังอยู่ในเป้สนาม ส่วนปืน .300 ตกอยู่ใกล้ ๆ ดารินมี .357 ติดอยู่ในซองข้างเอว รพินทร์รอจนดารินฟื้นคืนสติจึงออกเดินทางต่อ โดยยึดเส้นทางตามลำธารใต้ภูเขาออกมาได้ในช่วงเวลาประมาณใกล้ค่ำ ตกดึกมันตรัยในร่างศพตายซากและเสือโคร่งดำมาก่อกวน ดารินยิงมันตรัยในร่างศพตายซากด้วย .300 ก่อนที่มันตรัยจะหลบหนีไป

ฝ่ายไชยยันต์ที่ตกลงไปพร้อมกับมาเรีย เมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบข้อเท้าตนเองหลุด มาเรียช่วยเหลือด้วยการดึงจนเข้าที่ก่อนแยกย้ายกันสำรวจอาวุธปืนที่หล่นลงมาจนพบภายใต้ถ้ำใต้ภูเขา ไชยยันต์ออกสำรวจรอบ ๆ บริเวณพบปล่องลาวาและเสือหิน จนหาทางออกสู่โลกภายนอกได้สำเร็จในเวลาบ่าย ในช่วงเวลาใกล้ค่ำมาเรียยิงเลียงผาได้ตัวหนึ่งเป็นอาหารเย็นก่อนหลับไปด้วยความเพลีย ตกดึกค้างคาวยักษ์ออกอาละวาด แต่ถูกไชยยันต์ยิงบาดเจ็บสาหัสหลบหนีไป

จอมผีดิบมันตรัย เล่ม 4[แก้]

เช้าวันรุ่งขึ้นไชยยันต์และมาเรียออกติดตามรอยค้างคาวเข้าไปในถ้ำ พบไฟเย็นที่ค้างคาวใช้รักษาบาดแผล[31] แต่หลังจากนั้นถูกซากศพตายซากและเสือโคร่งดำออกตามล่า กองกอยตามมาช่วยเหลือโดยนำทางให้จนออกมานอกถ้ำได้ในตอนบ่ายราวสี่โมง[32] ทั้งสองคนพลัดหลงเข้าไปในป่าดงดิบก่อนช่วยกันจับปลาในลำธารมาเป็นอาหารแต่กลับกลายไปปิ้งปลาบนหลังงูขนาดใหญ่แทน เมื่องูเลื้อยจากไป พบซากกำแพงเมืองโบราณจากจุดที่งูเคยนอนจำศีลอยู่ คืนนั้นมาเรียเป็นประจำเดือนและเกิดอาการปวดท้อง โดยมีไชยยันต์คอยดูแลด้วยความเป็นห่วง

รุ่งเช้าไชยยันต์และมาเรียออกเดินทางต่อจนพบปราสาทเก่าและสุสานโบราณ ระหว่างทางเกิดฝนตกหนัก ทั้งสองคนพากันเข้าไปหลบฝน และลงไปสำรวจในสุสาน ก่อนจะถูกมันตรัยปิดทางลงด้วยประตูกล ติดขังอยู่ในสุสานผีดิบนั้น

ทางด้านรพินทร์และดารินนั้น เมื่อเช้าขึ้นก็ผละจากที่พักริมลำธารออกเดินทางตามหาพรรคพวก และพบแงซายออกมาเดินลับๆล่อๆให้ตามอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะหลบหายไป ฝ่ายพรานบุญคำที่พลัดหลงกับเชษฐาและคนอื่น ออกติดตามค้นหาคณะเช่นกัน แต่กลับเจอโขลงช้างจนต้องปีนหนีขึ้นต้นไม้ พอตอนจะลงกลับลงไม่ได้เพราะช้างดึงเถาวัลย์ขาดหมด แงซายนำลูกทอยมาทิ้งไว้ให้ที่โคนต้นไม้ก่อนจากไป จนกระทั่งพรานบุญคำได้ยินเสีบงปืนจากดารินซึ่งยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเป็นสัญญาณเรียกหาแงซายที่หายไป ก็กู่เรียกหา รพินทร์กับดารินตามเสียงมาจนกระทั่งพบกัน และรพินทร์ก็ตอกทอยขึ้นไปรับพรานบุญคำลงมาจากต้นกร่างใหญ่[33] ซึ่งเมื่อลงมาถึงพื้นดินพรานบุญคำก็เล่าถึงเมืองโบราณที่เห็นเมื่อคืนให้รพินทร์และดารินฟัง[34]

หลังจากช่วยเหลือพรานบุญคำลงมาแล้วจึงออกเดินทางต่อ ช่วงเวลาประมาณบ่ายพบกับรอยของงูยักษ์ ซากกำแพงเมืองโบราณที่ปรักหักพัง ร่องรอยที่พักของไชยยันต์และมาเรีย พรานบุญคำเก็บผ้าซับเลือดประจำเดือนของมาเรียไว้ใช้สำหรับแก้อาถรรพณ์ของมันตรัย ช่วงใกล้ค่ำพบต้นพริกขี้หนูยักษ์และปะทะกับตะขาบยักษ์ที่ดงสักและหนีเข้าไปติดในซอกหิน กลางดึกค้างคาวยักษ์จู่โจม รพินทร์ใช้ไม้แหลมทาด้วยเลือดประจำเดือนของมาเรียแทงอกค้างคาวอย่างแรงจนไม้หักคาจนมันต้องบินหนีไปด้วยความเจ็บปวด รุ่งขึ้น รพินทร์ ดารินและพรานบุญคำพบมันเผาและเห็ดโคนวางไว้โดยแงซาย หลังรับประทานอาหารจึงออกติดตามค้นหาเชษฐาและพรานพื้นเมืองคนอื่น ๆ ต่อไป ตอนบ่ายเกิดฝนตกหนัก (เป็นขณะเดียวกับที่ไชยยันต์และมาเรียหลบฝนในสุสาน) ภายหลังฝนหยุดตกพบเจอปลอกกระสุนลูกซองของพรานพื้นเมืองและก้นซิการ์ฮาวานาของเชษฐาลอยตามน้ำมา รพินทร์นำดารินและพรานบุญคำออกค้นหาต่อจนเย็นจึงพบปราสาทของนางพญาพันธุมวดี

อ้างอิง[แก้]

  1. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3381, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3381
  2. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3386, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3386
  3. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3390, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3390
  4. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3408, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3408
  5. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3425, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3425
  6. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3431, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3431
  7. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3487, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3487
  8. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3502, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3502
  9. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3524, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3524
  10. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3539, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3539
  11. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3548, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3548
  12. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3553, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3553
  13. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3559, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3559
  14. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3567, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3567
  15. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3631, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3631
  16. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3642, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3642
  17. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3664, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3664
  18. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 1 หน้า 3714, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3714
  19. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 3872, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3872
  20. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 3887 - 3889, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3887 - 3889
  21. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 3928, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3928
  22. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 3949, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3949
  23. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 3994, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 3994
  24. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 4131 - 4133, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4131 - 4133
  25. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 2 หน้า 4138 - 4139, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4138 - 4139
  26. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3 หน้า 4250 - 4257, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4250 - 4257
  27. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3 หน้า 4259, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4259
  28. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3 หน้า 4274, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4274
  29. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3 หน้า 4290, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4290
  30. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 3 หน้า 4316, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4316
  31. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 4 หน้า 4680 - 4681, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4680 - 4681
  32. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 4 หน้า 4710, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4710
  33. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 4 หน้า 4770, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4770
  34. พนมเทียน, เพชรพระอุมา ตอนจอมผีดิบมันตรัย เล่ม 4 หน้า 4789, สำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม, 2544, หน้า 4789