ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เซลล์ (ชีววิทยา)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ปรับปรุงโดยแปลจาก en:cell (biology)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{distinguish|ชีววิทยาเซลล์}}
{{ข้อความแก้กำกวม|เซลล์|เซลล์}}
{{Pp|small=yes}}
<!-- {{pp-move-indef}} -->
{{short description|โครงสร้างและหน่วยการทำงานพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิต}}
{{Infobox anatomy
| Name = เซลล์
| Latin =
| Image = Wilson1900Fig2.jpg
| Caption = เซลล์ของรากหัวหอม (''[[Allium]] cepa'') ที่อยู่ในระยะต่าง ๆ ของ[[การแบ่งเซลล์]] (ภาพโดย [[Edmund Beecher Wilson|E. B. Wilson]], 1900)
| Width =
| Image2 = celltypes.svg
| Caption2 = เซลล์[[ยูแคริโอต]] (ซ้าย) และเซลล์[[โพรแคริโอต]] (ขวา)
| Precursor =
| System =
| Artery =
| Vein =
| Nerve =
| Lymph =
}}


เซลล์ ({{lang-en|cell จาก[[ภาษาละติน]] ''cella'' แปลว่าห้องเล็ก ๆ<ref name="etymonline1">{{cite dictionary|title=Cell|url=http://www.etymonline.com/index.php?term=cell|dictionary=Online Etymology Dictionary|access-date=31 December 2012}}</ref>}}) โครงสร้างและหน่วยการทำงานพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทราบกัน เซลล์เป็นหน่วยย่อยที่สุดของชีวิต ในบางครั้งอาจเรียกว่า"หน่วยโครงสร้างของชีวิต" (the building block of life) การศึกษาเกี่ยวกับเซลล์เรียกว่าเซลล์วิทยา, ชีววิทยาระดับเซลล์, หรือไซโทโลจี
[[ไฟล์:Epithelial-cells.jpg|right|thumb|160px|เซลล์ในจานเพาะเชื้อ ซึ่งถูกย้อมสีไว้ให้เห็น[[คีราติน]] (สีแดง) และ [[ดีเอ็นเอ]] (สีเขียว)]]


เซลล์ประกอบจากไซโทพลาซึมที่มีเยื่อหุ้มล้อมรอบ ภายในไซโทพลาซึมบรรจุสารชีวโมเลกุลเช่นโปรตีนและกรดนิวคลิอิก<ref name="Alberts2002">[https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK26863/ Cell Movements and the Shaping of the Vertebrate Body] in Chapter 21 of ''[https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK21054/ Molecular Biology of the Cell]'' fourth edition, edited by Bruce Alberts (2002) published by Garland Science.<br /> The Alberts text discusses how the "cellular building blocks" move to shape developing [[embryo]]s. It is also common to describe small molecules such as [[amino acid]]s as "[https://www.ncbi.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?cmd=Search&db=books&doptcmdl=GenBookHL&term=%22all+cells%22+AND+mboc4%5Bbook%5D+AND+372023%5Buid%5D&rid=mboc4.section.4#23 molecular building blocks]".</ref> เซลล์ของพืชและสัตว์ส่วนใหญ่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีมิติ (dimension) ระหว่าง 1 ถึง 100 &nbsp;ไมโครเมตร<ref>{{cite book|url=http://www.phschool.com/el_marketing.html|title=Biology: Exploring Life|last1=Campbell|first1=Neil A.| first2 = Brad | last2 = Williamson| first3 = Robin J. | last3 = Heyden | name-list-style = vanc |publisher=Pearson Prentice Hall|year=2006|isbn=9780132508827|location=Boston, Massachusetts}}</ref> สิ่งมีชีวิตถูกจำแนกออกเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular; เช่นแบคทีเรีย) และหลายเซลล์ (multicellular; เช่นพืชและสัตว์)<ref name="NCBI"/> โดยสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวส่วนมากจัดเป็นจุลชีพ (microorganism)
ในทาง[[ชีววิทยา]] '''เซลล์''' ({{lang-en|Cell}}) เป็นโครงสร้างและหน่วยทำงานที่เล็กที่สุดของ[[สิ่งมีชีวิต]]แทบทุกชนิด ในบางครั้งอาจเรียกว่า ''หน่วยที่เป็นองค์ประกอบของชีวิต'' (building blocks of life) สิ่งมีชีวิตบางชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular organism) เช่น [[แบคทีเรีย]] [[ยีสต์]] แต่สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น เช่น [[พืช]] [[สัตว์]] เป็น[[สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์]] (multicellular organism) (มนุษย์มีเซลล์อยู่ประมาณ 100 ล้านล้าน หรือ 10<sup>14</sup> เซลล์)


จำนวนของเซลล์ในพืชและสัตว์แตกต่างกันออกไปตามแต่ละสปีชีส์ มีการประมาณว่าร่างกายของมนุษย์มีจำนวนเซลล์ที่ 40 ล้านล้าน (4&times;10<sup>13</sup>) เซลล์{{efn|An approximation made for someone who is 30 years old, weighs {{convert|70|kg|lbs}}, and is {{convert|172|cm|ft}} tall.<ref name=cellcount/> The approximation is not exact, this study estimated that the number of cells was 3.72±0.81&times;10<sup>13</sup>.<ref name=cellcount/>}}<ref name="cellcount">{{cite journal | vauthors = Bianconi E, Piovesan A, Facchin F, Beraudi A, Casadei R, Frabetti F, Vitale L, Pelleri MC, Tassani S, Piva F, Perez-Amodio S, Strippoli P, Canaider S | display-authors = 6 | title = An estimation of the number of cells in the human body | journal = Annals of Human Biology | volume = 40 | issue = 6 | pages = 463–71 | date = November 2013 | pmid = 23829164 | doi = 10.3109/03014460.2013.807878 | url = https://www.researchgate.net/publication/248399628 | quote = These partial data correspond to a total number of 3.72±0.81&times;10<sup>13</sup> [cells]. | s2cid = 16247166 }}</ref> สำหรับเซลล์ในสมองอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านเซลล์<ref name="JCN">{{cite journal | vauthors = Azevedo FA, Carvalho LR, Grinberg LT, Farfel JM, Ferretti RE, Leite RE, Jacob Filho W, Lent R, Herculano-Houzel S | display-authors = 6 | title = Equal numbers of neuronal and nonneuronal cells make the human brain an isometrically scaled-up primate brain | journal = The Journal of Comparative Neurology | volume = 513 | issue = 5 | pages = 532–41 | date = April 2009 | pmid = 19226510 | doi = 10.1002/cne.21974 | s2cid = 5200449 }}</ref>
[[ทฤษฎีเซลล์]]ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี [[พ.ศ. 2382]] (ค.ศ. 1839) โดย[[แมตเทียส จาคอบ ชไลเดน]] (Matthias Jakob Schleiden) และ [[ทีโอดอร์ ชวานน์]] (Theodor Schwann) ได้อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดประกอบด้วยเซลล์หนึ่งเซลล์หรือมากกว่า เซลล์ทั้งหมดมีกำเนิดมาจากเซลล์ที่มีมาก่อน (preexisting cells) ระบบการทำงานเพื่อความอยู่รอดของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเซลล์ และภายในเซลล์ยังประกอบด้วย[[สารพันธุกรรม|ข้อมูลทางพันธุกรรม]] (hereditary information) ซึ่งจำเป็นสำหรับการควบคุมการทำงานของเซลล์ และการส่งต่อข้อมูลทางพันธุกรรมไปยังเซลล์รุ่นต่อไป


เซลล์ถูกค้นพบโดย[[รอเบิร์ต ฮุก]] (Robert Hooke) ในปีค.ศ. 1665 โดยตั้งชื่อว่า ''cell'' เนื่องจากเขาเปรียบเซลล์ของไม้ก๊อกที่ส่องว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับห้องที่[[ชีวิตอารามวาสีแบบศาสนาคริสต์|นักบวชในศาสนาคริสต์]]ใช้อาศัยภายในอาราม<ref name="Karp2009">{{cite book|last=Karp|first=Gerald| name-list-style = vanc |title=Cell and Molecular Biology: Concepts and Experiments|date=19 October 2009|publisher=John Wiley & Sons|isbn=9780470483374|page=2|quote=Hooke called the pores cells because they reminded him of the cells inhabited by monks living in a monastery.}}</ref><ref>{{cite book|title=Achiever's Biology|date=1990 |publisher=Allied Publishers |isbn=9788184243697|page=36|quote=In 1665, an Englishman, Robert Hooke observed a thin slice of" cork under a simple microscope. (A simple microscope is a microscope with only one biconvex lens, rather like a magnifying glass). He saw many small box like structures. These reminded him of small rooms called "cells" in which Christian monks lived and meditated.| first = Alan Chong | last = Tero | name-list-style = vanc }}</ref> ในปี 1839 มัตทิอัส ยาคอบ ชไลเดน (Matthias Jakob Schleiden) และทีโอดอร์ ชวานน์ (Theodor Schwann) พัฒนาทฤษฎีเซลล์ที่กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนประกอบขึ้นจากหนึ่งเซลล์หรือมากกว่าหนึ่ง, เซลล์เป็นโครงสร้างและหน่วยการทำงานที่เป็นขั้นมูลฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด, และเซลล์ทั้งหมดกำเนิดมาจากเซลล์ที่มีอยู่ก่อน (preexisting cell)<ref>{{cite book | last = Maton | first = Anthea | name-list-style = vanc | title = Cells Building Blocks of Life | publisher = Prentice Hall | year = 1997 | location = New Jersey | url = https://archive.org/details/cellsbuildingblo00mato | isbn = 9780134234762 }}</ref> เซลล์ปรากฏขึ้นบนโลกเมื่อประมาณ 3.5 พันล้านปีก่อน<ref name="Origin1"/><ref name="Origin2"/><ref name="RavenJohnson2002"/>
คำว่า ''เซลล์'' มาจาก[[ภาษาละติน]]ที่ว่า ''cella'' ซึ่งมีความหมายว่า ห้องเล็ก ๆ ผู้ตั้งชื่อนี้คือ[[โรเบิร์ต ฮุก]] (Robert Hooke) เมื่อเขาเปรียบเทียบเซลล์ของไม้ก๊อกเหมือนกับห้องเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระ


== ประเภทของเซลล์ ==
== ทั่วไป ==
เซลล์มีสองประเภทคือ ยูแคริโอตที่มีนิวเคลียส, และโพรแคริโอตที่ไม่มีนิวเคลียส โดยโพรแคริโอตจะพบเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเท่านั้น ในขณะที่ยูแคริโอตสามารถพบได้ทั้งสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียวและหลายเซลล์
=== คุณสมบัติของเซลล์ ===
[[ไฟล์:Cellsize.jpg|thumb|right|190px|เซลล์ของหนูในจานเพาะเชื้อ เซลล์เหล่านี้กำลังขยายขนาดใหญ่ขึ้น แต่ละเซลล์มีขนาดประมาณ 10 [[โมโครเมตร]]]]


=== เซลล์โพรแคริโอต ===
แต่ละเซลล์มีองค์ประกอบและดำรงชีวิตได้ด้วยตัวของมันเอง โดยการนำสารอาหารเข้าไปในเซลล์และเปลี่ยนสารอาหารให้กลายเป็นพลังงานเพื่อการดำรงชีวิตและการสืบพันธุ์ เซลล์มีความสามารถหลายอย่างดังนี้
{{หลัก|โพรแคริโอต}}
* เพิ่มจำนวนโดย[[การแบ่งเซลล์]]
[[File:Prokaryote cell.svg|thumb|upright=1.25|โครงสร้างทั่วไปของเซลล์โพรแคริโอต]]
* [[เมแทบอลิซึม]]ของเซลล์ (cell metabolism) ประกอบด้วย การลำเลียงวัตถุดิบเข้าเซลล์,การสร้างส่วนประกอบของเซลล์,การสร้าง[[พลังงาน]]และ[[โมเลกุล]]และปล่อย[[ผลิตภัณฑ์]]ออกมา การทำงานของเซลล์ขึ้นกับความสามารถในการสกัดและใช้พลังงานเคมีที่สะสมในโมเลกุลของสารอินทรีย์ พลังงานเหล่านี้จะได้จาก[[วิถีเมแทบอลิซึม]] (metabolic pathway)
[[โพรแคริโอต]]ประกอบด้วย[[แบคทีเรีย]]และ[[อาร์เคีย]] ซึ่งเป็นสองจาก[[three domain system|สาม]][[Domain (biology)|โดเมน]]ของสิ่งมีชีวิต เซลล์โพรแคริโอตเป็นรูปแบบแรกของ[[ชีวิต]]บนโลก ซึ่งถูกกำหนดลักษณะด้วยการมี[[กระบวนการทางชีววิทยา]]ที่จำเป็น อันรวมไปถึง[[cell signaling|การสื่อสารระหว่างเซลล์]] เซลล์ประเภทนี้มีความซับซ้อนน้อยและขนาดที่เล็กกว่าเซลล์ยูแคริโอต และไม่มี[[นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]กับ[[ออร์แกเนลล์]]ที่มีเยื่อหุ้ม [[ดีเอ็นเอ]]ของเซลล์โพรแคริโอตประกอบด้วย[[Circular prokaryote chromosome|โครโมโซมแบบวงกลม]]เพียงหนึ่งวงที่สัมผัสกับ[[ไซโทพลาซึม]]โดยตรง บริเวณของไซโทพลาซึมที่มีสารพันธุกรรมเรียกว่า ''นิ[[วคลีออยด์]] (nucleoid)'' โพรแคริโอตเกือบทุกชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 0.5 ถึง 2.0&nbsp;μm<ref>''Microbiology : Principles and Explorations'' By Jacquelyn G. Black</ref>
* [[การสังเคราะห์โปรตีน]]เพื่อใช้ในระบบการทำงานของเซลล์ เช่น [[เอนไซม์]] โดยเฉพาะเซลล์ของ[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]จะมี[[โปรตีน]]ต่าง ๆ ถึง 10,000 ชนิด
* ตอบสนองต่อ[[สิ่งกระตุ้น]]ทั้งภายนอกและภายใน เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ [[pH]] หรือระดับอาหาร.
* [[การขนส่ง]]ของ[[เวสิเคิล]] (vesicle)


เซลล์โพรแคริโอตมีสามบริเวณคือ:
=== ประเภทของเซลล์ ===
[[ไฟล์:celltypes.png|thumbnail|330px|'''ภาพเปรียบเทียบเซลล์ยูแคริโอต (eukaryotes) และเซลล์โพรแคริโอต (prokaryotes) ''' - รูปนี้แสดงเซลล์มนุษย์ (ยูแคริตโอต) และ เซลล์แบคทีเรีย (โพรแคริโอต) ด้านซ้ายแสดงโครงสร้างภายในของเซลล์ยูแคริโอต ซึ่งประกอบด้วย นิวเคลียส (''สีฟ้า'') , นิวคลีโอลัส (''สีน้ำเงิน'') , ไมโทคอนเดรีย (''สีส้ม'') , และไรโบโซม (''สีน้ำเงินเข้ม'') รูปทางขวาแสดงดีเอ็นเอของแบคทีเรีย ที่อยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า นิวคลิออยด์ (''สีฟ้าอ่อน'') และโครงสร้างอื่น ๆ ที่พบในเซลล์[[โพรแคริโอต]] ซึ่งประกอบด้วย เยื่อหุ้มเซลล์ (''สีดำ'') , ผนังเซลล์ (''สีน้ำเงิน'') , แคปซูล (''สีส้ม'') , ไรโบโซม (''สีน้ำเงินเข้ม'') , แฟลกเจลลัม (''สีดำ'')]]


* ส่วนห่อหุ้มเซลล์ – โดยทั่วไปประกอบขึ้นจาก[[เยื่อหุ้มเซลล์]]ที่หุ้มด้วยผนังเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ในแบคทีเรียบางชนิดอาจพบชั้นห่อหุ้มเซลล์ชั้นที่สามเรียกว่า ''[[bacterial capsule|แคปซูล]] (capsule)'' แม้วว่าโพรแคริโอตส่วนใหญ่จะมีชั้นของเยื่อหุ้มเซลล์และ[[ผนังเซลล์]] แต่ก็มียกเว้นเช่น ''[[Mycoplasma]]'' (แบคทีเรีย) และ ''[[Thermoplasma]]'' (อาร์เคีย) ที่มีเพียงชั้นเยื่อหุ้มเซลล์เท่านั้น ส่วนห่อหุ้มเซลล์ให้แข็งแรงแก่เซลล์และแยกภายในของเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อม โดยเป็นตัวกรองที่ทำหน้าที่ป้องกันได้ด้วย (protective filter) ในแบคทีเรีย ผนังเซลล์ประกอบขึ้นจาก[[เพปทิโดไกลแคน]] (peptidoglycan) ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมเพื่อป้องกันแรงภายนอก และยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ขยายตัวและระเบิดออก ([[cytolysis]]) เนื่องจาก[[แรงดันออสโมติก]]ในสารละลาย[[Hypotonicity|ไฮโพโทนิก]] เซลล์ยูแคริโอตบางชนิด (เช่นเซลล์[[พืช]]และเซลล์[[เห็ดรา]]) สามารถพบผนังเซลล์ได้เช่นกัน
วิธีการจัดกลุ่มเซลล์ไม่ว่าเซลล์นั้นจะอยู่ตามลำพังหรืออยู่เป็นกลุ่ม ได้แก่ [[สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว]] (unicellular) ซึ่งดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด จนไปถึงการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า โคโลนี (''colonial forms'') หรือ สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular) ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะกลายเป็นเซลล์เฉพาะทางที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ เช่น เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์
*บริเวณของ[[ไซโทพลาซึม]]ที่บรรจุ[[จีโนม]] (ดีเอ็นเอ), ไรโบโซม, และอินคลูชันหลายชนิดไว้<ref name="NCBI">{{NCBI-scienceprimer|article=What Is a Cell?|url=https://web.archive.org/web/20130503014839/http://www.ncbi.nlm.nih.gov/About/primer/genetics_cell.html|access-date=3 May 2013}} 30 March 2004.</ref> สารพันธุกรรมสามารถพบได้เป็นอิสระในไซโทพลาซึม โพรแคริโอตมี[[extrachromosomal DNA|สารพันธุกรรมที่อยู่นอกโครโมโซม]] (extrachromosomal DNA) ที่เรียกว่า[[พลาสมิด]] (plasmid) ซึ่งโดยปกติอยู่ในรูปวงกลม สำหรับพลาสมิดแบบเส้นมีการระบุในแบคทีเรียชั้น[[สไปโรคีท]]บางสปีชีส์ ทั้งในสกุล ''[[Borrelia]]'' ที่ที่เป็นที่ทราบกันเช่น ''[[Borrelia burgdorferi]]'' ซึ่งเป็นสาเหตุของ[[โรคลายม์]] (Lyme disease)<ref>European Bioinformatics Institute, [http://www.ebi.ac.uk/2can/genomes/bacteria/Borrelia_burgdorferi.html Karyn's Genomes: Borrelia burgdorferi], part of 2can on the EBI-EMBL database. Retrieved 5 August 2012</ref> ดีเอ็นเอขดตัวอยู่ในบริเวณ[[นิวคลีออยด์]]แม้ว่านิวเคลียสจะไม่ก่อตัว พลาสมิดเข้ารหัสสำหรับยีนส่วนเสริมเช่น ยีน[[antibiotic resistance|ต้านทานยาปฏิชีวนะ]]
*ด้านนอกของเซลล์พบ[[แฟลเจลลา]]และ[[พิลัส]]ยื่นออกมาจากผิวเซลล์ ซึงเป็นโครงสร้างที่ประกอบจากโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์สามารถเคลื่อนไหวและสื่อสารกับเซลล์อื่นได้
[[File:Animal cell structure en.svg|thumb|upright=1.25|โครงสร้างโดยทั่วไปของ[[เซลล์สัตว์]]]]
[[File:Plant cell structure-en.svg|thumb|upright=1.25|โครงสร้างโดยทั่วไปของ[[เซลล์พืช]]]]


=== เซลล์ยูแคริโอต ===
โดยสรุป เซลล์สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบคือ
{{หลัก|ยูแคริโอต}}


[[พืช]], [[สัตว์]], [[เห็ดรา]], [[ราเมือก]], [[โพรโทซัว]], และ[[สาหร่าย]] ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิต[[ยูแคริโอต]] เซลล์ประเภทนี้มีความกว้างมากกว่าเซลล์โพรแครโอตทั่วไปประมาณ 15 เท่า และอาจมีปริมาตรที่มากกว่าถึง 1000 เท่า คุณลักษณะสำคัญที่ใช้แยกเซลล์ยูแคริโอตออกจากเซลล์โพรแคริโอตคือ [[Cellular compartment|การจัดส่วนการทำงานภายในเซลล์]] (compartmentalisation) ด้วยการมี[[ออร์แกเนลล์]]ที่มีเยื่อหุ้ม (ส่วนการทำงาน) ที่ซึ่งเกิดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ โดยออร์แกเนลล์ที่สำคัญที่สุดคือ[[นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]<ref name="NCBI"/> อันบรรจุ[[ดีเอ็นเอ]]ของเซลล์ไว้ นิวเคลียสยังเป็นที่มาของของชื่อ ''ยูแคริโอต'' ที่แปลว่า แก่นแท้จริง (true kernel) และยังมีความแตกต่างอื่น ๆ เช่น:
* '''[[โพรแคริโอต]]''' (prokaryote) เป็นเซลล์ที่มีโครงสร้างอย่างง่าย อาจอยู่เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ หรือรวมกลุ่มเป็น[[โคโลนี]] (Colony) ใน[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์]]แบบระบบสามโดเมน (three-domain system) ได้จัดโพรแคริโอตอยู่ในโดเมน[[อาร์เคีย]] (Archaea) และ[[แบคทีเรีย]] (Eubacteria)
* เยื่อหุ้มเซลล์ที่คล้ายคลึงกับของโพรแคริโอตในด้านของหน้าที่และการทำงาน โดยมีความแตกต่างเล็กน้อยในกระบวนการก่อรูป อาจพบผนังเซลล์หรือไม่ก็ได้
* ดีเอ็นเอของยูแคริโอตจัดตัวร่วมกับโปรตีน[[ฮิสโตน]]อยู่ในโมเลกุลเดียวหรือมากกว่า เรียกว่า[[โครโมโซม]] (chromosome) ดีเอ็นทั้งหมดที่อยู่ในโครโมโซมถูกเก็บไว้ในนิวเคลียสแยกต่างหากจากไซโทพลาซึมด้วยเยื่อหุ้ม<ref name="NCBI"/> ออร์แกเนลล์บางชนิดของยูแคริโอตเช่น ไมโทคอนเดรีย สามารถมีดีเอ็นเอของตัวเองได้
*เซลล์ยูแคริโอตหลายชนิดเป็นพวก[[cilium|ซิลิเอต]] (cilate) ที่มีซิเลียปฐมภูมิสำหรับทำหน้าที่รับรู้สิ่งเร้าในเชิงเคมี, [[mechanosensation|เชิงกล]], และเชิงอุณหภูมิ ซิเลียมแต่ละเส้นอาจถูกพิจารณา ได้ว่าเป็น[[Antenna (biology)|หนวดรับความรู้สึก]]ระดับเซลล์ที่ทำหน้าที่ประสานวิถีการสื่อสัญญาณระดับเซลล์ ในบางครั้งอาจควบสัญญาณเพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวของซิเลียเองหรือนำไปสู่กระบวนการแบ่งเซลล์หรือกระบวนการพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ (cell differentiation)<ref name="Christenson2008">{{cite journal | vauthors = Satir P, Christensen ST | title = Structure and function of mammalian cilia | journal = Histochemistry and Cell Biology | volume = 129 | issue = 6 | pages = 687–93 | date = June 2008 | pmid = 18365235 | pmc = 2386530 | doi = 10.1007/s00418-008-0416-9 | author3 = Søren T. Christensen | id = 1432-119X }}</ref>
*เซลล์ยูแคริโอตที่เคลื่อนที่ได้จะใช้ซิเลียและแฟลเจลลา ในพืชตระกูลสนและพืชดอกไม่พบเซลล์ที่เคลื่อนที่ได้<ref name=raven>PH Raven, Evert RF, Eichhorm SE (1999) Biology of Plants, 6th edition. WH Freeman, New York</ref> และแฟลเจลลาของยูแคริโอตมีความซับซ้อนมากกว่าของในโพรแคริโอต<ref>{{cite journal | vauthors = Blair DF, Dutcher SK | title = Flagella in prokaryotes and lower eukaryotes | journal = Current Opinion in Genetics & Development | volume = 2 | issue = 5 | pages = 756–67 | date = October 1992 | pmid = 1458024 | doi = 10.1016/S0959-437X(05)80136-4 }}</ref>


{| class="wikitable" style="margin-left: auto; margin-right: auto;"
* '''[[ยูแคริโอต]]''' (eukaryote) เป็นเซลล์ที่มี[[ออร์แกเนลล์]] (organelle) และผนังของออร์แกเนลล์ มีตั้งแต่เซลล์เดียวเช่น [[อะมีบา]] (amoeba) และ[[เห็ดรา]] (fungi) หรือเป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่นพืชและสัตว์รวมทั้ง[[สาหร่ายสีน้ำตาล]]
|+การเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่างเซลล์โพรแคริโอตและยูแคริโอต

|-
== ส่วนประกอบย่อยของเซลล์ ==
!
[[ไฟล์:biological_cell.svg|thumb|330px|ภาพเซลล์โดยสัตว์ทั่วไป ประกอบด้วย[[ออร์แกเนลล์]]ต่าง ๆ ดังนี้ (1) [[นิวคลีโอลัส]], (2) [[นิวเคลียสเซลล์|นิวเคลียส]], (3) [[ไรโบโซม]], (4) [[เวสิเคิล]], (5) [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ]], (6) [[กอลจิแอปพาราตัส]], (7) [[ระบบเส้นใยของเซลล์]], (8) [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ]], (9) [[ไมโทคอนเดรีย]], (10) [[แวคิวโอล]], (11) [[ไซโทพลาซึม]], (12) [[ไลโซโซม]], (13) [[เซนทริโอล]]]]
![[โพรแคริโอต]]

![[ยูแคริโอต]]
[[ไฟล์:Plant cell structure.png|thumb|330px|ภาพเซลล์พืชทั่วไป แสดงส่วนประกอบย่อยของเซลล์ (ดูตาราง 2 แสดงการเปรียบเทียบระหว่างเซลล์พืชและสัตว์)]]

เซลล์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นโพรแคริโอตหรือยูแคริโอตจะต้องมี[[เยื่อหุ้มเซลล์]] (cell membrane) ทำหน้าที่ห่อหุ้มเซลล์เสมอ เพื่อแยกส่วนประกอบภายในเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อม เป็นการควบคุมการขนส่งสารเข้าออกเซลล์ และเพื่อรักษา[[ความต่างศักย์ทางไฟฟ้าของเซลล์]] (cell potential) ภายในเยื่อหุ้มเซลล์จะประกอบไปด้วย ไซโทพลาซึมที่มีสภาพเป็น[[เกลือ]] และเป็นเนื้อที่ส่วนใหญ่ของเซลล์ ภายในเซลล์จะมี ดีเอ็นเอ [[หน่วยพันธุกรรม]]ของเซลล์หรือยีน และ [[อาร์เอ็นเอ]]ชึ่งจะมีข้อมูลที่จำเป็นในการถ่ายทอดพันธุกรรม รวมทั้ง[[โปรตีน]]ต่าง ๆ เช่น เอนไซม์ นอกจากนี้ภายในเซลล์ก็ยังมีสาร[[ชีวโมเลกุล]] (biomolecule) ชนิดต่าง ๆ อีกมากมาย

=== เยื่อหุ้มเซลล์ - ส่วนหุ้มและปกป้องเซลล์ ===
[[ไซโทพลาซึม]]ของเซลล์ประเภท[[ยูแคริโอต]]จะถูกห้อมล้อมด้วยส่วนที่เรียกว่า [[เยื่อหุ้มเซลล์]] หรือ [[พลาสมา เมมเบรน]] (plasma membrane) พลาสมาเมมเบรนจะพบในเซลล์ประเภทโพรแคริโอตด้วย เยื่อนี้จะทำหน้าที่แยกและปกป้องเซลล์จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่วนใหญ่แล้วถูกสร้างขึ้นจากชั้นของลิพิดสองชั้น หรือ ฟอสโฟลิพิด ไบแลร์ (Phospholipid bilayer) และโปรตีน ภายในเยื่อจะมีโมเลกุลหลากชนิดที่ทำหน้าที่เป็นทั้งช่องทางผ่านของสารและ ปั๊ม (channels and pumps) เพื่อทำหน้าที่เฉพาะในการขนส่ง[[โมเลกุล]]เข้าหรือออกจากเซลล์

=== [[ไซโทสเกเลตอน]] (cytoskeleton) - ส่วนที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ ===
[[ไซโทสเกเลตอน]]เป็นโครงสร้างที่สำคัญ ซับซ้อน และเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีบทบาทในการจัดรูปแบบและจัดเรียงตำแหน่งของ[[ออร์แกเนลล์]]ให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม, ช่วยให้เกิดกระบวนการ[[เอนโดไซโทซิส]] (endocytosis) หรือการนำสารจากภายนอกเซลล์เข้ามาในเซลล์เพื่อใช้ในกระบวนการเจริญเติบโตและการเคลื่อนไหว, บทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อ, และมีโปรตีนจำนวนมากมายในไซโทสเกลเลตอนที่ควบคุมโครงสร้างของเซลล์

ไซโทสเกเลตอน แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ได้แก่ [[ไมโครทูบูล]] (Microtubule) , [[อินเทอร์มีเดียท ฟิลาเมนท์]] (Intermediate Filament) และ [[ไมโครฟิลาเมนท์]] (Microfilament)

=== สารพันธุกรรม (Genetic Material) ===
[[สารพันธุกรรม]]แตกต่างกันสองชนิดคือ :
* [[ดีเอ็นเอ]] (deoxyribonucleic acid-DNA)
* [[อาร์เอ็นเอ]] (ribonucleic acid-RNA)

[[รหัสพันธุกรรม]] (Genetic code) ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเป็นข้อมูลทางพันธุกรรมของเซลล์ซึ่งเก็บอยู่ในรูปดีเอ็นเอหรืออาร์เอ็นเอ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ใช้ดีเอ็นเอสำหรับเก็บข้อมูลทางพันธุกรรม แต่ไวรัสบางชนิด เช่น รีโทรไวรัส (retrovirus) มีอาร์เอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม อาร์เอ็นเอนอกจากจะเป็นสารพันธุกรรมแล้วยังทำหน้าที่เป็นสารที่ขนถ่ายข้อมูลด้วย ได้แก่ [[เมสเซนเจอร์ อาร์เอ็นเอ]] (mRNA) และอาจทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ได้โดยเฉพาะในเซลล์ที่มีอาร์เอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม ได้แก่ [[ไรโบโซมัล อาร์เอ็นเอ]] หรือ (rRNA)

สารพันธุกรรมของพวก[[โปรคาริโอต]] จะถูกจัดอยู่ในโมเลกุลของดีเอ็นเอรูปวงกลมง่าย ๆ เช่น ดีเอ็นเอของ[[แบคทีเรีย]]ซึ่งอยู่ใน[[บริเวณนิวคลอยด์]] (nucleoid region) ของไซโตพลาสซึม ส่วนสารพันธุกรรมของพวกยูคาริโอต จะถูกจัดแบ่งให้อยู่ในโมเลกุลที่เป็นเส้นตรงที่เรียกว่า [[โครโมโซม]] (chromosome) ภายในนิวเคลียส และยังพบว่ามีสารพันธุกรรมอื่น ๆ นอกจากในโครโมโซมในออร์แกเนลล์บางชนิด เช่น ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ (ดูเพิ่มเติมที่[[ทฤษฎีเอ็นโดซิมไบโอติก]] (endosymbiotic theory)) เช่น ในเซลล์มนุษย์จะมีสารพันธุกรรมในบริเวณดังนี้ในนิวเคลียส เรียกว่า [[นิวเคลียร์ จีโนม]] (nuclear genome) แบ่งเป็นโมเลกุลเส้นตรง ดีเอ็นเอ 46 เส้น หรือ 23 คู่ เรียกว่า โครโมโซม
* ในไมโทคอนเดรีย เรียกว่า [[ไมโทคอนเดรียล จีโนม]] (mitochondrial genome) เป็นโมเลกุลดีเอ็นเอรูปวงกลมที่แยกจากดีเอ็นเอใน[[นิวเคลียส]] ถึงแม้[[ไมโทคอนเดรีย]] จีโนมจะเล็กมากแต่ก็มีรหัสสำหรับการสร้าง[[โปรตีน]]ที่สำคัญ

สารพันธุกรรมจากภายนอกที่สังเคราะห์ขึ้นได้เองสามารถนำไปใส่ในเซลล์ได้เราเรียกกระบวนการนี้ว่า [[ทรานสเฟกชัน]] (transfection)

== [[กายวิภาคศาสตร์]]ของเซลล์ ==

{| align="center" class="toccolours" border="1" style="border:1px solid gray; border-collapse:collapse;"
|+'''ตารางที่ 1: เปรียบเทียบรูปร่างของเซลล์ แบบโพรแคริโอต และแบบยูแคริโอต'''
|-
|&nbsp;
!โพรแคริโอต
!ยูแคริโอต
|-
|-
!Typical organisms
!ตัวอย่างสิ่งมีชีวิต
|[[แบคทีเรีย]], [[อาร์เคีย]]
|[[แบคทีเรีย]], [[อาร์เคีย]]
|[[โพรทิสต์]], [[เห็ดรา]], [[พืช]], [[สัตว์]]
|[[โพรทิสต์]], [[เห็ดรา]], [[พืช]], [[สัตว์]]
|-
|-
!ขนาดตัวอย่าง
!ขนาดโดยทั่วไป
|~ 1–5&nbsp;[[Micrometre|μm]]<ref name="CampbellBiology320">{{cite book | title=Campbell Biology—Concepts and Connections | publisher=Pearson Education | year=2009 | page=320}}</ref>
|~ 1-10 [[ไมโครเมตร]]
|~ 10–100&nbsp;μm<ref name=CampbellBiology320 />
|~ 10-100 [[ไมโครเมตร]] (เซลล์สเปิร์มหากไม่นับหาง จะมีขนาดเล็กกว่านี้)
|-
|-
!ชนิดของ[[นิวเคลียสเซลล์|นิวเคลียส]]
!ประเภทของ[[นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]
|[[บริเวณนิวคลอยด์]]; ไม่มีนิวเคลียสแท้จริง
|[[nucleoid region|นิวคลีออยด์]]; ไม่มีนิวเคลียสแท้จริง
|นิวเคลียสจริง มีผนังสองชั้น
|นิวเคลียสแท้จริงที่มีเยื่อหุ้มสองชั้น
|-
|-
!ดีเอ็นเอ
![[ดีเอ็นเอ]]
|วงกลม (ธรรมดา)
|แบบวงกลม (โดยปกติ)
|โมเลกุล เป็นแนวตรง (โครโมโซม) และมีโปรตีน[[ฮิสโตน]]
|แบบเส้น ([[โครโมโซม]]) พร้อมกับมี[[โปรตีน]][[ฮิสโตน]]
|-
|-
!อาร์เอ็นเอ/การสังเคราะห์โปรตีน
![[อาร์เอ็นเอ]]/การสังเคราะห์[[โปรตีน]]
|ทั้งคู่เกิดใน[[ไซโทพลาซึม]]
|เกิดขึ้นควบคู่กันใน[[ไซโทพลาซึม]]
|อาร์เอ็นเอ-สังเคราะขึ้นภายในนิวเคลียส<br />สังเคราะห์โปรตีนในไซโตพลาสซึม
|[[Transcription (genetics)|RNA synthesis]] เกิดขึ้นในนิวเคลียส<br />[[Translation (biology)|protein synthesis]] เกิดขึ้นในไซโทพลาซึม
|-
|-
!ขนาด[[ไรโบโซม]]
![[ไรโบโซม]]
|[[50S]] และ [[30S]]
|70S
|70Sและ80S
|[[60S]] และ [[40S]]
|-
|-
!Cytoplasmic structure
!โครงสร้างภายในไซโตพลาสซึม
|very few structures
|โครงสร้างเล็กมาก
|highly structured by [[endomembrane system|endomembranes]] and a [[cytoskeleton]]
|จัดโครงสร้างโดย เอ็นโดเมมเบรน และ [[ไซโตสเกเลตัน]] (cytoskeleton)
|-
|-
![[การเคลื่อนไหวของเซลล์]]
![[Chemotaxis|การเคลื่อนไหวของเซลล์]]
|[[Flagellum|flagella]] made of [[flagellin]]
|[[แฟลเจลลัม|แฟกเจลลา]] สร้างจากโปรตีน[[แฟลเจลลิน]] (flagellin)
|flagella and [[Cilium|cilia]] containing [[microtubule]]s; [[lamellipodia]] and [[filopodia]] containing [[actin]]
|แฟกเจลลา และ [[ซีเลีย]] สร้างจากโปรตีน[[ทูบูลิน]] (tubulin)
|-
|-
![[ไมโทคอนเดรีย]]
![[Mitochondrion|ไมโทคอนเดรีย]]
|ไม่มี
|ไม่มี
|มี ตั้งแต่ หนึ่ง ถึงหลายสิบ
|ตั้งแต่หนึ่งจนถึงหลายพัน
|-
|-
![[คลอโรพลาสต์]]
![[คลอโรพลาสต์]]
|ไม่มี
|ไม่มี
|พบใน[[สาหร่าย]]และ[[พืช]]
|ใน[[สาหร่าย]]และ[[พืช]]
|-
|-
!การจัดระเบียบ
!การประสานงานกันระหว่างเซลล์
|ปกติเป็นเซลล์เดี่ยว
|ปกติเป็นเซลล์เดี่ยว
|เซลล์เดี่ยว, เป็นโคโลนี, สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ชั้นสูงจะมีเซลล์หลายชนิดที่มีหน้าที่เฉพาะมากมาย
|เซลล์เดี่ยว, โคโลนี, higher multicellular organisms with specialized cells
|-
|-
![[การแบ่งเซลล์]]
![[การแบ่งเซลล์]]
|[[การแบ่งเป็นสองส่วน]] (simple division)
|[[การแบ่งตัวออกเป็นสอง]] (การแบ่งเซลล์อย่างง่าย)
|[[ไมโทซิส]] <br />[[ไมโอซิส]]
|[[ไมโทซิส]] (แบ่งออกเป็นสองหรือแตกหน่อ) <br />[[ไมโอซิส]]
|}

{| align="center" class="toccolours" border="1" style="border:1px solid gray; border-collapse:collapse;"
|+'''ตาราง 2: การเปรียบเทียบโครงสร้างของ เซลล์พืช และ เซลล์สัตว์'''
|-
|-
![[โครโมโซม]]
|
|โครโมโซมหนึ่งอัน
![[เซลล์สัตว์]]
|มีโครโมโซมมากกว่าหนึ่งอัน
![[เซลล์พืช]]
|-
|- valign="top"
![[เยื่อหุ้ม]]
!ออร์แกเนลล์ (Organelles)
|[[เยื่อหุ้มเซลล์]]
|
|เยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์
* [[นิวเคลียสเซลล์|นิวเคลียส]] (Nucleus)
** [[นิวคลีโอลัส]] (Nucleolus in nucleus)
* [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม]] (Endoplasmic reticulum)
** [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ]] (Rough endoplasmic reticulum)
** [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ]] (Smooth endoplasmic reticulum)
* [[ไรโบโซม]] (Ribosome)
* [[ไซโทสเกเลตอน]] (Cytoskeleton)
* [[กอลจิแอปพาราตัส]] (Golgi apparatus)
* [[ไซโทพลาซึม]] (Cytoplasm)
* [[ไมโทคอนเดรีย]] (Mitochondria)
* [[เวสิเคิล]] (Vesicle)
* [[แวคิวโอล]] (Vacuole)
* [[ไลโซโซม]] (Lysosome)
* [[เซนทริโอล]] (Centriole)
|
* [[นิวเคลียสเซลล์|นิวเคลียส]] (Nucleus)
** [[นิวคลีโอลัส]]ในนิวเคลียส (Nucleolus in nucleus)
* [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม]] (Endoplasmic reticulum)
** [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ]] (Rough endoplasmic reticulum)
** [[เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ]] (Smooth endoplasmic reticulum)
* [[ไรโบโซม]] (Ribosomes)
* [[ไซโทสเกเลตอน]] (Cytoskeleton)
* [[กอลจิแอปพาราตัส]] หรือ [[ดิกไทโอโซม]] (dictiosomes)
* [[ไซโทพลาซึม]] (Cytoplasm)
* [[ไมโทคอนเดรีย]] (Mitochondria)
* [[เวสิเคิล]] (Vesicle)
* [[คลอโรพลาสต์]] (Chloroplast) และ [[พลาสติด]] (plastid)
* [[แวคิวโอล]] (Central vacuole)
** [[โทโนพลาสต์]] (Tonoplast-central vacuole membrane)
* [[เพอรอกซิโซม]] (Peroxisome)
* [[ไกลออกซิโซม]] (Glyoxysome)
|- valign="top"
!
|
* [[ซิเลีย]] (Cilium)
* [[แฟลเจลลัม]] (Flagellum)
* [[พลาสมา เมมเบรน]] (Plasma membrane)
|
* [[พลาสมา เมมเบรน]] (Plasma membrane)
* [[ผนังเซลล์]] (Cell wall)
* [[พลาสโมเดสมาตา]] (Plasmodesmata)
* [[แฟลเจลลัม]]ในเซลล์สืบพันธุ์ (Flagellum in gametes)
|}
|}


== วัฏจักรของเซลล์ ==
== องค์ประกอบในระดับเล็กกว่าเซลล์ ==
เซลล์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น[[โพรแคริโอต]]หรือ[[ยูแคริโอต]] ล้วนมีเยื่อหุ้มล้อมรอบเซลล์ เพื่อควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร (เยื่อเลือกผ่าน), และรักษาศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ ด้านในของเยื่อหุ้ม ไซโทพลาซึมกินปริมาตรเกือบทั้งหมดของเซลล์ เซลล์ทุกชนิด (ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ไม่มีนิวเคลียสและออร์แกเนลล์เกือบทุกชนิด เพื่อเอื้อให้มีพื้นที่สูงสุดสำหรับรองรับฮีโมโกลบิน) มีดีเอ็นเอที่เป็นสารที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมของยีน, และอาร์เอ็นเอมที่บรรจุข้อมูลที่จำเป็นสำหรับโปรตีนหลายชนิดเช่น เอนไซม์ (หน่วยปฏิบัติงานที่สำคัญของเซลล์) และยังมี[[ชีวโมเลกุล]]อีกหลายชนิด ในที่นี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบของเซลล์ที่สำคัญเท่านั้น


=== เยื่อหุ้ม ===
วัฏจักรของเซลล์หนึ่ง ๆ จะเริ่มจากการเจริญสะสมสารอาหารและทำกิจกรรมต่าง ๆ จนถึงระยะหนึ่งก็จะแบ่งตัวเพือสร้างเซลล์ใหม่ไปเรื่อย ๆ ในเซลล์[[ยูคาริโอต]]นั้น วัฏจักรของเซลล์มี 4 ระยะที่ชัดเจน คือ
{{หลัก|เยื่อหุ้มเซลล์}}
* G1 เป็นช่วงหลังจากเซลล์ผ่านการแบ่งตัวมาใหม่ จนถึงเตรียมการจะแบ่งตัวอีกครั้ง เป็นช่วงที่เซลล์มีกิจกรรมมาก
[[File: Cell membrane detailed diagram en.svg|thumb|upright=1.35|แผนภาพโดยละเอียดของเยื่อหุ้มเซลล์]]
* S เป็นช่วงเวลาที่มีการจำลองตัวของ DNA เพิ่มจาก 1 ชุดเป็น 2 ชุด เพื่อเตรียมสารพันธุกรรมไว้ให้เซลล์ใหม่ต่อไป
เยื่อหุ้มเซลล์ หรือพลาสมาเมมเบรน เป็นเยื่อชีวภาพที่ล้อมรอบไซโทพลาซึม สำหรับในสัตว์ เยื่อหุ้มเป็นขอบเขตนอกสุดของเซลล์ ในขณะที่พืชและโพรแคริโอตมักหุ้มด้วยผนังเซลล์ เยื่อหุ้มทำหน้าที่แยกและปกป้องเซลล์จากสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยประกอบจากชั้นคู่ของฟอสโฟลิพิดที่มีสมบัติเป็นแอมฟิฟิลิก (มีทั้งส่วนที่เป็นไฮโดรโฟบิกและไฮโดรฟิลิก) ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าฟอสโฟลิพิดไบแลร์ (phospholipid bilayer) หรืออาจเรียกว่าฟลูอิดโมเซอิคเมมเบรน (fluid mosaic membrane) มีโครงสร้างระดับมหโมเลกุลที่เรียกว่าพอโรโซม (porosome) เป็นทางผ่านเอนกประสงค์สำหรับการหลั่งสารของเซลล์ และมีโมเลกุลของโปรตีนจำนวนมากทำหน้าที่เป็นทั้งช่องทางผ่านและปั๊มสำหรับเคลื่อนสารเข้าและออกจากเซลล์<ref name="NCBI"/> เยื่อหุ้มเซลล์ยอมให้สารบางอย่างผ่าน โดยให้สสาร (เช่นโมเลกุลหรือไอออน) ผ่านได้อย่างอิสระ, ผ่านได้ในจำนวนที่จำกัด, หรือผ่านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ผิวนอกของเยื่อหุ้มเซลล์ยังมีโปรตีนตัวรับ (receptor protein) ที่ทำให้เซลล์สามารถตรวจจับโมเลกุลสื่อสัญญาณเช่น [[ฮอร์โมน]]
* G2 เป็นช่วงเวลาหลังจากจำลอง DNA เสร็จแล้ว รอการแบ่งเซลล์ต่อไป

* M เป็นช่วงเวลาที่มีการแบ่งเซลล์แบบ[[ไมโทซิส]] ซึ่งเมื่อแบ่งตัวเสร็จแล้วจะได้เซลล์ลูก 2 เซลล์ ซึ่งมีสารพันธุกรรมเหมือนเซลล์ตั้งต้นทุกประการ
=== ไซโทสเกเลตัน ===
ในเซลล์ที่ผิดปรกติหรือเซลล์บางชนิดเช่นเซลล์ประสาทจะเข้าไปในระยะ G0 ซึ่งเป็นช่วงที่เซลล์จะไม่มีการแบ่งเซลล์อีกและจะไม่สามารถอกกจากระยะนี้ได้
{{หลัก|ไซโทสเกเลตัน}}
ซึ่งถ้าเป็นเซลล์ที่ผิดปรกติจะถูกทิ้งให้ตาย
[[File:DAPIMitoTrackerRedAlexaFluor488BPAE.jpg|thumb|ภาพฟลูออเรสเซนต์ของเอนโดธีเลียม นิวเคลียส, ไมโทคอนเดรีย, และไมโครฟิลาเมนต์ติดสีน้ำเงิน, แดง, และเขียว ตามลำดับ]]
ไซโทสเกเลตันทำหน้าที่จัดและรักษารูปร่างของเซลล์; ยึดออร์แกเนลล์ให้อยู่กับที่, ช่วยให้เกิดกระบวนการเอนโดไซโทซิสที่ทำให้เซลล์สามารถรับสารเข้ามาได้, และกระบวนการ[[ไซโทไคนีซิส]]ซึ่งเป็นกระบวนการแยกเซลล์ลูกหลังจาก[[การแบ่งเซลล์]]; และเคลื่อนส่วนของเซลล์ในระหว่างการเจริญเติบโตและการเคลื่อนที่ ไซโทสเกเลตันของยูแคริโอตประกอบด้วย[[ไมโครฟิลาเมนต์]], [[อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนต์]], และ[[ไมโครทิวบูล]] อินเทอร์มีเดียตฟิลาเมนต์ของ[[เซลล์ประสาท]]เรียกว่า[[นิวโรฟิลาเมนต์]] (neurofilament) โดยมีโปรตีนเข้ามาช่วยการทำงานทั้งการกำกับ, รวมกลุ่ม, และจัดเรียง<ref name="NCBI"/> ไซโทสเกเลตันในโพรแคริโอตยังไม่มีการศึกษาอย่างกระจ่างนัก แต่มีความเกี่ยวข้องกับรูปร่าง, ขั้วเซลล์ (polarity), และการแบ่งเซลล์ (cytokinesis)<ref>{{cite journal | vauthors = Michie KA, Löwe J | title = Dynamic filaments of the bacterial cytoskeleton | journal = Annual Review of Biochemistry | volume = 75 | issue = | pages = 467–92 | year = 2006 | pmid = 16756499 | doi = 10.1146/annurev.biochem.75.103004.142452 | s2cid = 4550126 }}</ref> โปรตีนที่เป็นหน่วยย่อยของไมโครฟิลาเมนต์มีขนาดเล็กและเป็นโมโนเมอริกโปรตีน (monomeric protein) เรียกว่า[[แอกติน]] โปรตีนที่เป็นหน่วยย่อยของไมโครทิวบูลเป็นโมเลกุลไดเมอร์ (dimeric protein) ที่เรียกว่า[[ทูบิวลิน]] สำหรับอินเทอร์มีเดียตฟิลาเมนต์เป็นเฮเทอโรโพลีเมอร์ (heteropolymer) ซึ่งมีหน่วยย่อยต่างกันไปตามชนิดของเซลล์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ โปรตีนหน่วยย่อยของอินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนต์มีได้ตั้งแต่[[ไวเมนทิน]], [[เดสมิน]], [[ลามิน]] (ลามินเอ, บี, และซี), [[เคอราทิน]] (ทั้งที่มีสมบัติเป็นกรดและเบสหลายชนิด), โปรตีนนิวโรฟิลาเมนต์ (NF–L, NF–M)

=== สารพันธุกรรม ===
{{หลัก|ดีเอ็นเอ|อาร์เอ็นเอ}}
[[File:DNA orbit animated.gif|thumb|[[DNA|กรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิก]] (ดีเอ็นเอ)]]
สารพันธุกรรมมีอยู่สองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ [[กรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิก]] (ดีเอ็นเอ) และ[[กรดไรโบนิวคลิอิก]] (อาร์เอ็นเอ) เซลล์ใช้ดีเอ็นเอเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางชีวภาพในระยะยาว โดยข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอยู่ในลำดับของดีเอ็นเอ<ref name="NCBI"/> อาร์เอ็นเอใช้สำหรับขนส่งข้อมูล (เช่นเอ็มอาร์เอ็นเอ) และทำหน้าที่เป็น[[เอนไซม์]] (เช่น[[ไรโบโซม|ไรโบโซมัล]]อาร์เอ็นเอ) สำหรับ[[ทรานส์เฟอร์อาร์เอ็นเอ]]มีหน้าที่เพิ่มกรดอะมิโนระหว่างกระบวน[[การแปลรหัส (พันธุศาสตร์)|การแปลรหัส]]โปรตีน

สารพันธุกรรมของโพรแคริโอต[[circular bacterial chromosome|จัดตัวเป็นวงกลม]]อยู่ในบริเวณ[[นิวคลีออยด์]]ของไซโทพลาซึม และสารพันธุกรรมของยูแคริโอตจัดตัวเป็นเส้นที่แตกต่างกัน<ref name="NCBI"/> เรียกว่า[[โครโมโซม]] อยู่ภายในนิวเคลียส โดยอาจพบสารพันธุกรรมอยู่ภายในออร์แกเนลล์เช่น[[ไมโทคอนเดรีย]]และ[[คลอโรพลาสต์]] (ดู − [[ทฤษฎีเอนโดซิมไบโอติก]])

[[เซลล์ของมนุษย์]]มีสารพันธุกรรมที่ถุกบรรจุอยู่ใน[[นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]] (nuclear genome) และในไมโทคอนเดรีย (mitocondrial genome) ในมนุษย์ [[จีโนม]]ในนิวเคลียสถูกแบ่งออกเป็นโมเลกุลดีเอ็นเอ 46 เส้นที่เรียกว่า[[โครโมโซม]] อันประกอบด้วย[[โฮโมโลกัสโครโมโซม]] 22 คู่ และ[[โครโมโซมเพศ]]หนึ่งคู่ [[จีโนมของไมโทคอนเดรีย]]เป็นโมเลกุลดีเอ็นเอแบบวงกลมซึ่งต่างจากดีเอ็นเอในนิวเคลียส<ref name="NCBI"/> แม้ว่าดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรียจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับโครโมโซมในนิวเคลียส แต่ก็เก็บรหัสสำหรับโปรตีน 13 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของไมโทคอนเดรีย และทีอาร์เอ็นเอบางชนิด

สารพันธุกรรมแปลกปลอม (ส่วนมากเป็นดีเอ็นเอ) สามารถถูกนำเข้าสู่เซลล์ได้ด้วยกระบวนการ[[ทรานส์แฟกชัน]] (transfaction) โดยอาจอยู่ได้ชั่วคราวหากดีเอ็นเอไม่ถูกแทรกเข้า[[จีโนม]] หรือเสถียรหากแทรกตัวเข้าไปแแล้ว [[ไวรัส]]บางชนิดสามารถแทรกสารพันธุกรรมของมันเข้าสู่จีโนมของเจ้าบ้านได้

=== ออร์แกเนลล์ ===
{{หลัก|ออร์แกเนลล์}}
ออร์แกเนลล์เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ที่ปรับตัวและ/หรือพัฒนาไปทำหน้าที่สำคัญ เปรีบยได้กับ[[อวัยวะ]] (organ) ของร่างกายมนุษย์เช่นหัวใจ, ไต, และตับ โดยแต่ละอวัยวะมีหน้าที่ต่างกันออกไป<ref name="NCBI"/> ทั้งโพรแคริโอตและยูแคริโอตมีออร์แกเนลล์ แต่ออร์แกเนลล์ของโพรแคริโอตมีความซับซ้อนน้อยกว่าและไม่มีเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์

ออร์แกเนลล์มีอยู่หลายชนิด บางชนิดพบแยกอยู่เดี่ยว ๆ (เช่น[[|นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]และ[[กอลไจแอปพาราตัส]]) ในขณะที่บางชนิดพบได้จำนวนมาก ตั้งแต่หลายร้อยถึงหลายพัน (เช่น[[ไมโคอนเดรีย]], [[คลอโรพลาสต์]], [[เพอรอกซิโซม]], และ[[ไลโซโซม]]) [[ไซโทซอล]]เป็นของเหลวคล้ายวุ้นที่เติมเต็มช่องว่างในเซลล์และล้อมรอบออร์แกเนลล์

==== ยูแคริโอต ====
[[File:HeLa Hoechst 33258.jpg|thumb|เซลล์มะเร็งในมนุษย์ (ในที่นี้คือ [[HeLa cell]]) ดีเอ็นเอถูกย้อมด้วยสีน้ำเงิน เซลล์ตรงกลางและทางขวาอยู่ในระยะ[[อินเทอร์เฟส]] จึงมองเห็นดีเอ็นเอได้ไม่ชัดเจนและนิวเคลียสถูกย้อมได้ตลอดทั้งโครงสร้าง เซลล์ทางด้านซ้ายกำลังอยู่ในกระบวนการ[[ไมโทซิส]]และโครโมโซมมีการหดตัว]]
[[File:Blausen 0208 CellAnatomy.png|thumb|แบบจำลองสามมิติของเซลล์ยูแคริโอต]]
* '''นิวเคลียสของเซลล์''' : เป็นศูนย์กลางข้อมูลของเซลล์ สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดในเซลล์[[ยูแคริโอต]] เป็นแหล่งจัดเก็บ[[โครโมโซม]]และเป็นที่ซึ่งการจำลองตัวเองของ[[ดีเอ็นเอ]]และการสังเคราะห์ [[อาร์เอ็นเอ]]ผ่าน เกิดขึ้น นิวเคลียสมีรูปร่างเป็นทรงกลมและถูกแยกจากไซโทพลาซึมด้วยเยื่อหุ้มสองชั้นที่เรียกว่า[[นิวเคลียร์เอนเวลโลป]] (nuclear envelope) ซึ่งนอกจากนี้ยังมีหน้าที่ปกป้องดีเอ็นเอจากโมเลกุลที่อาจทำอันตรายต่อโครงสร้างหรือรบกวนกระบวนการของมัน ดีเอ็นเอถูก[[การถอดรหัส (พันธุศาสตร์)|ถอดรหัส]] (transcribed), หรือถูกคัดลอกไปยัง[[อาร์เอ็นเอ]]ชนิดพิเศษที่เรียกว่า[[เอ็มอาร์เอ็นเอ]] ที่จะถูกขนส่งออกนอกนิวเคลียสไปยังไซโพลาซึม อันเป็นที่ซึ่งมันจะถูกแปลไปเป็นโมเลกุลโปรตีนที่จำเพาะ [[นิวคลีโอลัส]]เป็นบริเวณพิเศษภายในนิวเคลียสสำหรับประกอบหน่วยย่อยของไรโบโซม ในโพรแคริโอต กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับดีเอ็นเอเกิดขึ้นในไซโทพลาซึม<ref name="NCBI"/>
*'''ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์''': ทำหน้าที่สร้างพลังงานสำหรับเซลล์ [[ไมโทคอนเดรีย]]เป็นออร์แกเนลล์ที่สามารถเพิ่มจำนวนได้เอง (self-replicating) พบได้หลากหลายในด้านจำนวน, รูปร่าง, และขนาดในไซโทพลาซึมของยูแคริโอต<ref name="NCBI"/> กระบวน[[การหายใจระดับเซลล์]]เกิดขึ้นในไมโทคอนเดรีย ซึ่งสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ด้วยกระบวนการ[[oxydative phosphorylation|ออกซิเดทีฟฟอสโฟริเลชัน]] (oxydative phosphorylation) โดยใช้[[ออกซิเจน]]ปลดปล่อยพลังงานที่สะสมอยู่ในสารอาหาร (ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับ[[กลูโคส]]) เพื่อสร้าง [[ATP]] ไมโทคอนเดรียเพิ่มจำนวนด้วย[[binary fission|การแบ่งออกเป็นสอง]]เช่นเดียวกับโพรแคริโอต คลอโรพลาสต์พบได้ในพืชและสาหร่ายเท่านั้น ทำหน้าที่จับพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรตผ่านกระบวน[[การสังเคราะห์ด้วยแสง]]

[[File:Endomembrane system diagram en.svg|thumb|upright=1.25|แผนภาพแสดง[[ระบบเอนโดเมมเบรน]]]]
*'''ร่างแหเอนโดพลาซึม''': เป็นเครือข่ายสำหรับขนส่งโมเลกุลที่ถูกกำหนดให้รับการดัดแปลงหรือไปยังจุดหมายที่เฉพาะ (เทียบกับโมเลกุลที่ลอยอยูอย่างอิสระในไซโทพลาซึม) [[ร่างแหเอนโดพลาซึม]]มีสองรูปชนิดคือ ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดขรุขระที่มีไรโบโซมมาเกาะบนผิวเพื่อส่งโปรตีนเข้าไปข้างในร่างแห และร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดเรียบที่ไม่มีไรโบโซมมาเกาะ<ref name="NCBI"/> โดยมีบทบาทเกี่ยวกับการคัดแยกและหลั่งแคลเซียม
*'''กอลไจแอพพาราตัส''': หน้าที่หลักของกอลไจแอพพาราตัสคือการแปรรูปและบรรจุ[[macromolecule|โมเลกุลขนาดใหญ่]] (macromolecule) เช่น[[โปรตีน]]และ[[ลิพิด]]ที่เซลล์สังเคราะห์ขึ้นมา
*'''ไลโซโซมและเพอรอกซิโซม''': [[ไลโซโซม]]บรรจุ[[digestive enzyme|เอนไซม์สำหรับย่อย]] (เอซิด[[ไฮโดรเลส]]) [[ออร์แกเนลล์]]ที่เกินมาหรือหมดอายุแล้ว, อาหาร, และ[[ไวรัส]]หรือ[[แบคทีเรีย]]ที่ถูกเซลล์กลืนกิน [[เพอรอกซิโซม]]มีเอนไซม์ที่ขจัดสาร[[เพอร์ออกไซด์]]ที่เป็นพิษออกจากเซลล์ เซลล์จะไม่สามารถเก็บเอนไซม์ไวได้เลยหากไม่เก็บไว้ในระบบที่มีเยื่อหุ้ม<ref name="NCBI"/>
*'''เซนโทรโซม''': ทำหน้าที่เป็นตัวจัดระเบียบ[[ไซโทสเกเลตัน]] สร้าง[[ไมโครทิวบูล]]ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของไซโทสเกเลตัน กำกับการขนส่งระหว่างร่างแหเอนโดพลาซึมและกอลไจแอปพาราตัส [[เซนโทรโซม]]ประกอบด้วย[[เซนทริโอล]]สองอัน ที่จะแยกออกจากกันระหว่างกระบวน[[การแบ่งเซลล์]]และช่วยในการก่อตัวของ[[ไมโทติกสปินเดิล]] (mitotic spindle) [[เซลล์สัตว์]]พบเซนโทรโซมอันเดียว และยังอาจพบในเซลล์เห็ดราและสาหร่ายได้ด้วย
*'''แวคิวโอล''': [[แวคิวโอล]]แยกสารที่เซลล์ไม่ต้องการแล้ว ในพืชทำหน้าที่เก็บสะสมน้ำ มักถูกอธิบายว่าเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยของเหลวและมีเยื่อหุ้มมาล้อมรอบ บางเซลล์ (โดยเฉพาะใน[[อะมีบา (สกุล)|สกุลอะมีบา]]) มีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลที่สามารถสูบน้ำออกจากเซลล์หากมีน้ำมากเกินไป แวคิวโอลในเซลล์พืชและเห็ดรามักมีขนาดใหญ่กว่าของเซลล์สัตว์

==== ยูแคริโอตและโพรแคริโอต ====
* '''ไรโบโซม''' : [[ไรโบโซม]]เป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากโมเลกุล[[อาร์เอ็นเอ]]และ[[โปรตีน]]<ref name="NCBI"/> ประกอบขึ้นจากสองหน่วยย่อยและทำหน้าที่เป็นสายการประกอบ (assembly line) ที่มีการนำอาร์เอ็นเอมาใช้เพื่อสังเคราะห์โปรตีนขึ้นจากกรดอะมิโน ไรโบโซมสามารถพบลอยอยู่อย่างอิสระในไซโทพลาซึม หรือเกาะอยู่กับเยื่อหุ้ม (ร่างแหเอนโดพลาซึมแบบขรุขระในยูแคริโอต หรือที่เยื่อหุ้มเซลล์ในโพรแคริโอต)<ref>{{cite journal | vauthors = Ménétret JF, Schaletzky J, Clemons WM, Osborne AR, Skånland SS, Denison C, Gygi SP, Kirkpatrick DS, Park E, Ludtke SJ, Rapoport TA, Akey CW | display-authors = 6 | title = Ribosome binding of a single copy of the SecY complex: implications for protein translocation | journal = Molecular Cell | volume = 28 | issue = 6 | pages = 1083–92 | date = December 2007 | pmid = 18158904 | doi = 10.1016/j.molcel.2007.10.034 | url = https://authors.library.caltech.edu/90566/2/1-s2.0-S1097276507008258-mmc1.pdf }}</ref>

== โครงสร้างภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์ ==
เซลล์หลายชนิดมีโครงสร้างที่อยู่ภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน โครงสร้างเหล่านี้ค่อนข้างเด่นชัดเนื่องจากมันไม่ได้รับการปกป้องจากสภาพแวดล้อมภายนอกโดยเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็น[[เยื่อเลือกผ่าน]] องค์ประกอบของโครงสร้างเหล่านี้จำต้องมีกระบวนการส่งออกข้ามเยื่อหุ้มเซลล์สำหรับการประกอบเป็นโครงสร้างต่อไป

=== ผนังเซลล์ ===
{{Further|Cell wall}}
เซลล์โพรแคริโอตและยูแคริโอตหลายชนิดมี[[ผนังเซลล์]]ที่ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากสิ่งแวดล้อมทั้งเชิงกลและเชิงเคมี และเป็นชั้นเสริมการป้องกันให้กับเยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์ต่างชนิดกันมีผนังเซลล์ที่องค์ประกอบต่างกันออกไปเช่น เซลล์พืชมีผนังเซลล์ที่ประกอบขึ้นจาก[[เซลลูโลส]], ผนังเซลล์ของเห็ดราที่ประกอบขึ้นจาก[[ไคทิน]], และผนังเซลล์ของแบคทีเรียที่ประกอบขึ้นจาก[[เพปทิโดไกลแคน]]

=== โพรแคริโอต ===

==== แคปซูล ====
[[bacterial capsule|แคปซูล]]เจลาตินพบได้ภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์ของแบคทีเรียบางชนิด แคปซูลอาจเป็นได้ทั้ง[[พอลิแซ็กคาไรด์]]เช่นใน [[pneumococci]] และ [[meningococci]], เป็น[[พอลิเพปไทด์]]ดังเช่น ''[[Bacillus anthracis]]'', หรือเป็น[[กรดไฮยาลูรอนิก]]ดังที่พบใน [[streptococci]] แคปซูลไม่สามารถทำให้เด่นชัดได้ด้วยกระบวนการย้อมตามปกติ สีย้อมที่ใช้สำหรับตรวจหาแคปซูลเช่น[[อินเดียอิงค์]], [[เมทิลบลู]] ทำให้แคปซูลมีความแตกต่าง (contrast) จากเซลล์มากพอที่จะทำการส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ได้<ref>{{cite book | url=https://books.google.com/books?id=N2GU-DYKkk0C&q=Prokaryotic+india+ink&pg=PA87 | title=Prokaryotes | publisher=Newnes | date=Apr 11, 1996 | isbn=9780080984735}}</ref>{{rp|87}}

==== แฟลเจลลา ====
[[แฟลเจลลา]]เป็นออร์แกเนลล์สำหรับการเคลื่อนไหวในระดับเซลล์ แฟลเจลลาของแบคทีเรียยืดออกมาจากไซโทพลาซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์และโผล่ออกทางผนังเซลล์ แฟลเจลลาเป็นรยางคล้ายเส้นด้ายที่ยาวและหนา ประกอบขึ้นจากโปรตีน ชนิดของแฟลเจลลาต่างกันออกไปในอาร์เคียและยูแคริโอต

==== ฟิมเบรีย ====
[[fimbria (bacteriology)|ฟิมเบรีย]]เป็นฟิลาเมนต์คล้ายเส้นผมที่สั้นและบาง พบบนผิวเซลล์แบคทีเรีย ก่อตัวขึ้นจากโปรตีนที่เรียกว่า[[พิลิน]] (pilin) และมีความเกี่ยวข้องกับ[[cell adhesion|การจับตัว]]ของแบคทีเรียกับตัวรับที่จำเพาะบนผิวเซลล์ของมนุษย์ และยังมีพิไลชนิดพิเศษที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ[[bacterial conjugation|คอนจูเกชันในแบคทีเรีย]]

== กระบวนการในระดับเซลล์ ==
[[File:Three cell growth types.svg|thumb|upright=1.25|เซลล์[[โพรแคริโอต]]แบ่งตัวด้วยกระบวน[[การแบ่งออกเป็นสอง]] ในขณะที่เซลล์[[ยูแคริโอต]]แบ่งเซลล์ผ่านกระบวนการ[[ไมโทซิส]]หรือ[[ไมโอซิส]]]]

=== การจำลองตัวเอง ===
{{หลัก|การแบ่งเซลล์}}
การแบ่งเซลล์เกี่ยวข้องกับการที่เซลล์หนึ่งแบ่งตัวออกเป็นเซลล์ลูกสองเซลล์ ซึ่งนำไปสู่การเจริญเติบโตของ[[สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์]] (การเจริญของ[[เนื้อเยื่อ]]) และการสืบพันธุ์ ([[การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ|แบบไม่อาศัยเพศ]]) ใน[[สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว]] เซลล์[[โพรแคริโอต]]แบ่งตัวด้วยกระบวน[[การแบ่งออกเป็นสอง]] (binary fission) ในขณะที่เซลล์[[ยูแคริโอต]]แบ่งผ่านกระบวนการแบ่งนิวเคลียสที่เรียกว่า[[ไมโทซิส]] (mitosis) ตามด้วยกระบวนการแบ่งเซลล์ที่เรียกว่า[[ไซโทไคนีซิส]] (cytokinesis) เซลล์[[ดิพลอยด์]]อาจผ่านกระบวนการ[[ไมโอซิส]]เพื่อผลิตเซลล์[[แฮพลอยด์]] ที่ปกติได้เซลล์ลูกสี่เซลล์ เซลล์แฮพลอยด์ที่ได้ทำหน้าที่เป็น[[gamete|เซลล์สืบพันธุ์]]ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ โดยรวมตัวกันเป็นเซลล์ดิพลอยด์

[[DNA replication|การจำลองดีเอ็นเอ]] (หรือกระบวนการทำสำเนาจีโนมของเซลล์)<ref name="NCBI"/> เกิดขึ้นเมื่อเซลล์แบ่งตัวผ่านกระบวนการไมโทซิสหรือการแบ่งออกเป็นสอง ในระยะ S ของ[[วัฏจักรเซลล์]]

ในไมโอซิส ดีเอ็นเอถูกจำลองเพียงครั้งเดียว ในระยะที่เซลล์มีการแบ่งตัวสองครั้ง การจำลองดีเอ็นเอเกิดขึ้นก่อนระยะ[[ไมโอซิส I]] เท่านั้น โดยจะไม่เกิดขึ้นในการแบ่งเซลล์ระยะที่สองของระยะ[[ไมโอซิส II]]<ref>{{cite book|title=Campbell Biology—Concepts and Connections|year=2009|publisher=Pearson Education|page=138}}</ref> และเช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น ๆ ของเซลล์ การจำลองตัวเองต้องอาศัยโปรตีนที่พัฒนามาเป็นพิเศษสำหรับดำเนินกระบวนการ<ref name="NCBI"/>
[[File:Catabolism schematic.svg|thumb|left|แผนผังโดยสังเขปของกระบวนการ[[แคแทบอลิซึม]]ของ[[โปรตีน]], [[คาร์โบไฮเดรต]]และ[[ไขมัน]]]]
=== การซ่อมแซมดีเอ็นเอ ===
{{หลัก|การซ่อมแซมดีเอ็นเอ}}
โดยปกติ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบรรจุเอนไซม์ที่ตรวจตราดีเอ็นเอเพื่อหา[[DNA damage (naturally occurring)|ความเสียหาย]]และดำเนินกระบวน[[การซ่อมแซมดีเอ็นเอ|การซ่อมแซม]]เมื่อตรวจพบ<ref>D. Peter Snustad, Michael J. Simmons, Principles of Genetics – 5th Ed. (DNA repair mechanisms) pp. 364-368</ref> สิ่งมีชีวิตตั้งแต่แบคทีเรียจนถึงมนุษย์ได้พัฒนากระบวนการซ่อมแซมที่หลากหลาย อันเป็นสิ่งที่ระบุได้ถึงความสำคัญของกการบำรุงรักษาดีเอ็นเอให้อยู่ในสภาวะปกติเพื่อหลีกเลี่ยงการตายของเซลล์หรือความผิดพลาดในกระบวนการจำลองตัวเองที่เป็นผลมาจากความเสียหายของดีเอ็นเอ ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธ์ุ (mutation) แบคทีเรีย [[Escherichia coli|''E. coli'']] เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลลื (cellular organism) ที่มีการศึกษากระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่พัฒนามาเป็นอย่างดีและหลากหลาย อันประกอบด้วย: (1) [[nucleotide excision repair|การซ่อมแซมด้วยการตัดออกของนิวคลีโอไทด์]] (nucleotide excision repair) (2) [[DNA mismatch repair|การซ่อมแซมดีเอ็นเอที่มีนิวคลีโอไทด์เข้าคู่กันผิด]] (DNA mismatch repair) (3) [[non-homologous end joining|การเชื่อมปลายนอนโฮโมโลกัส]]ของดีเอ็นเอที่ขาดทั้งสองสาย (non-homologous end joining of double-strand breaks) (4) [[homologous recombination|การซ่อมแซมแบบรีคอมบิเนชัน]] (recombinational repair) และ (5) l[[ight-dependent repair|การซ่อมแซมแบบใช้แสง]] (light-dependent repair, [[photolyase|photoreactivation]])

=== การเจริญเติบโตและเมแทบอลิซึม ===
[[File:Proteinsynthesis.png|thumb|ภาพรวมของกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน: ภายใน[[นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]ของเซลล์ (สีฟ้า) [[ยีน]] (สีน้ำเงิน) ถูก[[การถอดรหัส (พันธุศาสตร์)|ถอดรหัส]]ไปเป็น[[อาร์เอ็นเอ]] ที่ซึ่งภายหลังจะเข้ารับการปรับแต่งและควบคุมหลังถอดรหัส (post-transcriptional modification and control) ทำให้ได้[[เอ็มอาร์เอ็นเอ]] (สีแดง) ที่จะถูกขนส่งออกนอก[[ไซโทพลาซึม]]ไปยังนิวเคลียส (สีพีช) อันเป็นที่เกิดกระบวน[[การแปลรหัส (พันธุศาสตร์)|การแปลรหัส]]ไปเป็นโปรตีนด้วย[[ไรโบโซม]] (สีม่วง) ที่ทำหน้าที่จับคู่นิวคลีโอไทด์บน[[โคดอน]]ทีละสามตัวกับคู่[[ทีอาร์เอ็นเอ]]ที่เหมาะสม โปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นใหม่ (สีดำ) มักถูกนำไปแปรรูปต่อไป เช่นการเข้าจับกับโปรตีนปฏิบัติงาน (effector protein; สีดำ) เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน]]
{{หลัก|การเจริญเติบโตของเซลล์|เมแทบอลิซึม}}
ระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่อง เซลล์เจริญเติบโตผ่านการทำงานของกระบวนการเมแทบอลิซึมระดับเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แต่ละเซลล์มีการแปรรูปโมเลกุลของสารอาหาร โดยมีอยู่สองประเภทคือ [[แคแทบอลิซึม]]ที่เป็นการแยกสลายโมเลกุลซับซ้อนเพื่อให้ได้พลังงานและ[[ตัวรีดิวซ์|ความสามารถในการรีดิวซ์]] (reducing power) และ[[แอแนบอลิซึม]]ซึ่งเซลล์ใช้พลังงานและความสามารถในการรีดิวซ์เพื่อสร้างโมเลกุลซับซ้อนแล[[ะดำเนินกระบวนการทางชีววิทยาอื่น ๆ น้ำตาลเชิงซ้อนที่สิ่งมีชีวิตบริโภคเข้าไปสามารถถูกย่อยสลายเป็นโมเลกุลน้ำตาลอย่างง่ายที่เรียกว่ามอโนแซ็กคาไรด์]] (monosaccharide) เช่น[[กลูโคส]] ที่เมื่ออยู่ภายในเซลล์จะถูกแยกสลายไปอีก เพื่อสร้าง[[อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต]] (adenosine triphosphate, ATP)<ref name="NCBI"/> อันเป็นโมเลกุลเป็นแหล่งพลังงานพร้อมใช้งานของเซลล์ ผ่านสองวิถีที่แตกต่างกัน

=== การสังเคราะห์โปรตีน ===
{{หลัก|การสังเคราะห์ทางชีวภาพของโปรตีน}}
เซลล์มีความสามารถในการสังเคราะห์โปรตีนขึ้นมาใหม่ โปรตีนที่สร้างใหม่นี้มีความจำเป็นต่อการปรับสภาพและบำรุงรักษากิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ การสังเคราะห์โปรตีนเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของโมเลกุลโปรตีนขึ้นจากหน่วยย่อย[[กรดอะมิโน]]ที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสอยู่ในดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ โดยทั่วไปการสังเคราะห์โปรตีนประกอบด้วยสองขั้นตอนใหญ่คือ [[การถอดรหัส (พันธุศาสตร์)|การถอดรหัส]]และ[[การแปลรหัส (พันธุศาสตร์)|การแปลรหัส]]

การถอดรหัสเป็นกระบวนการซึ่งข้อมูลทางพันธุกรรมในดีเอ็นเอถูกใช้เพื่อสร้างสายอาร์เอ็นเอคู่สม (complimentary RNA) ซึ่งจะถูกนำผ่านกระบวนการที่ทำให้ได้[[เอ็มอาร์เอ็นเอ]] (messenger RNA, mRNA) ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระทั่วเซลล์ โมเลกุลเอ็มอาร์เอ็นเอเข้าจับกับองค์ประกอบของโปรตีน-อาร์เอ็นเอที่เรียกว่า[[ไรโบโซม]] ซึ่งพบใน[[ไซโทซอล]]อันเป็นที่ซึ่งเอ็มอาร์เอ็นเอถูกแปลรหัสไปเป็นลำดับพอลิเพปไทด์ ไรโบโซมควบคุมการก่อตัวของลำดับพอลิเพปไทด์ที่มีพื้นมาจากเอ็มอาร์เอ็นเอ ลำดับของเอ็มอาร์เอ็นเอสัมพันธ์โดยตรงกับลำดับพอลิเพปไทด์ด้วยการเข้าจับกับ[[ทรานส์เฟอร์อาร์เอ็นเอ]] (transfer RNA, tRNA) ที่เป็นโมเลกุลตัวแปลง ในช่องสำหรับเข้าจับในไรโบโซม สายพอลิเพปไทด์ที่สร้างใหม่จะพับตัวเป็นโปรตีนสามมิติที่พร้อมทำงานต่อไป

=== การเคลื่อนไหว ===
[[หลัก|การเคลื่อนไหว]]
สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวสามารถเคลื่อนที่เพื่อหาอาหารและหนีจากผู้ล่า กลไกการเคลื่อนไหวมักเกี่ยวข้องกับ[[ซิเลีย]]และ[[แฟลเจลลา]]

ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์สามารถเคลื่อนที่ระหว่างกระบวนการเช่น การรักษาบาดแผล, การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และ[[การแพร่กระจาย]]ของเซลล์มะเร็ง อย่างในการรักษาบาดแผล เซลล์เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ไปยังบาดแผลเพื่อฆ่าจุลชีพที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ การเคลื่อนไหวของเซลล์เกี่ยวข้องกับโปรตีนหลายชนิดที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ, ตัวเชื่อมโยง, รวมกลุ่ม, ประสาน, ยึดติด, ขับเคลื่อน, และอื่นๆ<ref>{{cite journal | vauthors = Ananthakrishnan R, Ehrlicher A | title = The forces behind cell movement | journal = International Journal of Biological Sciences | volume = 3 | issue = 5 | pages = 303–17 | date = June 2007 | pmid = 17589565 | pmc = 1893118 | doi = 10.7150/ijbs.3.303 | publisher = Biolsci.org }}</ref> การเคลื่อนไหวประกอบด้วยสามขั้นตอนคือ การยื่นขอบนำทาง (leading edge) ของเซลล์, การยึดติดกับพื้นผิวของขอบนำและการปล่อยตัวจากพื้นผิวของตัวและส่วนท้ายของเซลล์, และการหดตัวของไซโทสเกเลตันเพื่อดึงเซลล์ไปข้างหน้า แต่ละขั้นตอนขับเคลื่อนด้วยแรงเชิงกลที่เกิดจากส่วนที่แตกต่างกันของไซโทสเกเลตัน<ref name="Alberts2">{{cite book |last1=Alberts |first1=Bruce | name-list-style = vanc |title=Molecular biology of the cell |date=2002 |publisher=Garland Science |isbn=0815340729 |pages=973–975 |edition=4th}}</ref><ref name="Ananthakrishnan">{{cite journal | vauthors = Ananthakrishnan R, Ehrlicher A | title = The forces behind cell movement | journal = International Journal of Biological Sciences | volume = 3 | issue = 5 | pages = 303–17 | date = June 2007 | pmid = 17589565 | pmc = 1893118 | doi = 10.7150/ijbs.3.303 }}</ref>

==== การนำทาง, ควบคุม, และสื่อสาร ====
{{See also|Cybernetics#In biology}}
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่าเซลล์วิถีเดียว (one way cell, ค้นพบจากเซลล์ของราเมือกและเซลล์มะเร็งตับอ่อนของหนู) มีความสามารถใน[[Chemotaxis|การนำทาง]]ภายในร่างกายและการระบุเส้นทางที่ดีสุดผ่านเขาวงกตที่ซับซ้อน โดยสร้างระดับขั้นความเข้มข้น (gradient) ผ่านการแยกสลายสารเ[[คโมแอดแทรกแตนท์]] (chemoattractant) ที่ละลายอยู่ในตัวกลาง ซึ่งทำให้เซลล์สามารถรับรู้ถึงแยกในเขาวงกตก่อนที่จะไปถึง รวมไปถึงตามมุมต่าง ๆ ด้วย<ref>{{cite news |last1=Willingham |first1=Emily | name-list-style = vanc |title=Cells Solve an English Hedge Maze with the Same Skills They Use to Traverse the Body |url=https://www.scientificamerican.com/article/cells-solve-an-english-hedge-maze-with-the-same-skills-they-use-to-traverse-the-body/ |access-date=7 September 2020 |work=Scientific American |language=en}}</ref><ref>{{cite news |title=How cells can find their way through the human body |url=https://phys.org/news/2020-08-cells-human-body.html |access-date=7 September 2020 |work=phys.org |language=en}}</ref><ref>{{cite journal | vauthors = Tweedy L, Thomason PA, Paschke PI, Martin K, Machesky LM, Zagnoni M, Insall RH | title = Seeing around corners: Cells solve mazes and respond at a distance using attractant breakdown | journal = Science | volume = 369 | issue = 6507 | date = August 2020 | pages = eaay9792 | pmid = 32855311 | doi = 10.1126/science.aay9792 | s2cid = 221342551 | url = https://science.sciencemag.org/content/369/6507/eaay9792 }}</ref>

== การมีหลายเซลล์ ==
{{หลัก|สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์}}

=== การพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะและการแบ่งแยกหน้าที่ ===
{{Main|Cellular differentiation}}
[[File:C elegans stained.jpg|thumb|upright|''[[Caenorhabditis elegans]]'' ที่ถูกย้อมเพื่อเน้นให้เห็นนิวเคลียสของแต่ละเซลล์]]
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์คือ[[สิ่งมีชีวิต]]ที่ประกอบขึ้นจากเซลล์หลาย ๆ เซลล์ ตรงกันข้ามกับ[[สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว]]<ref>{{cite book | last = Becker | first = Wayne M. | name-list-style = vanc | title = The world of the cell | publisher = [[Benjamin Cummings|Pearson Benjamin Cummings]] | year = 2009 | isbn = 9780321554185 | page = 480|display-authors=etal}}</ref>

ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ซับซ้อน เซลล์มีการพัฒนาไปเป็นหลายประเภทที่แตกต่างกันตามหน้าที่ที่จำเพาะ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชนิดหลัก ๆ ของเซลล์คือ เซลล์ผิวหนัง, เซลล์กล้ามเนื้อ, เซลล์ประสาทล เซลล์เม็ดเลือด, ไฟโบบลาสต์, สเต็มเซลล์, และอื่น ๆ เซลล์ต่างชนิดกันมักมีรูปร่างและการทำงานที่ต่างกันจากการแสดงออกที่ต่างกันของยีนที่เซลล์บรรจุไว้ แต่กระนั้นก็ยังเหมือนกันในทางพันธุกรรม โดยมีจีโนไทป์ที่เหมือนกัน

เซลล์แต่ละชนิดที่แตกต่างกันล้วนมีพัฒนามาจากเซลล์ต้นกำเนิดเพียงเซลล์เดียวที่เรียกว่าไซโกต ซึ่งพัฒนาไปเป็นเซลล์หลายร้อยชนิดที่แตกต่างกันระหว่างกระบวนการพัฒนาไซโกต การพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ (differentiation) ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (เช่นการมีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ข้างเคียง) และจากความแตกต่างภายในเซลล์ (เช่นที่เกิดจากการกระจายของโมเลกุลที่ไม่เท่ากันระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์)

=== ต้นกำเนิดของการมีหลายเซลล์ ===
{{หลัก|สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์}}
การมีหลายเซลล์มีการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกันอย่างน้อย 25 ครั้ง<ref name="Grosberg2007">{{cite journal | vauthors = Grosberg RK, Strathmann RR | url = http://www-eve.ucdavis.edu/grosberg/Grosberg%20pdf%20papers/2007%20Grosberg%20%26%20Strathmann.AREES.pdf | title = The evolution of multicellularity: A minor major transition? | journal = Annu Rev Ecol Evol Syst | year = 2007 | volume = 38 | pages = 621–54 | doi = 10.1146/annurev.ecolsys.36.102403.114735 }}</ref> รวมถึงในโพรแคริโอตเช่น [[ไซยาโนแบคทีเรีย]], [[myxobacteria]], [[actinomycetes]], ''[[Deltaproteobacteria|Magnetoglobus multicellularis]]'', หรือ ''[[Methanosarcina]]'' อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีความซับซ้อนพัฒนาขึ้นในยูแคริโอตเพียงหกกลุ่ม: สัตว์, เห็ดรา, สาหร่ายสีน้ำตาล, สาหร่ายสีแดง, สาหร่ายสีเขียว, และพืช<ref name="pmid21351878">{{cite journal | vauthors = Popper ZA, Michel G, Hervé C, Domozych DS, Willats WG, Tuohy MG, Kloareg B, Stengel DB | display-authors = 6 | title = Evolution and diversity of plant cell walls: from algae to flowering plants | journal = Annual Review of Plant Biology | volume = 62 | issue = | pages = 567–90 | date = 2011 | pmid = 21351878 | doi = 10.1146/annurev-arplant-042110-103809 | url = http://public.wsu.edu/~lange-m/Documnets/Teaching2011/Popper2011.pdf | hdl = 10379/6762 }}</ref> พบว่ามีการวิวัฒน์ขึ้นซ้ำไปมาในพืช ([[Chloroplastida]]), หนึ่งหรือสองครั้งใน[[สัตว์]], หนึ่งครั้งใน[[สาหร่ายสีน้ำตาล]], และอาจหลายครั้งใน[[เห็ดรา]], [[Mycetozoa|ราเมือก]], และ[[สาหร่ายสีแดง]]<ref>{{cite journal| last = Bonner | first = John Tyler | name-list-style = vanc |authorlink=John Tyler Bonner |year=1998 |title=The Origins of Multicellularity |journal=Integrative Biology: Issues, News, and Reviews |volume=1 |issue=1 |pages=27–36 |url=http://courses.cit.cornell.edu/biog1101/outlines/Bonner%20-Origin%20of%20Multicellularity.pdf |format=PDF, 0.2 MB |issn=1093-4391 |doi=10.1002/(SICI)1520-6602(1998)1:1<27::AID-INBI4>3.0.CO;2-6 |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20120308175112/http://courses.cit.cornell.edu/biog1101/outlines/Bonner%20-Origin%20of%20Multicellularity.pdf |archive-date=March 8, 2012 }}</ref> การมีหลายเซลล์อาจวิวัฒน์ขึ้นจาก[[Colony (biology)|โคโลนี]] (colony) ของสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาระหว่างกัน, [[cellularisation|การแบ่งออกเป็นเซลล์]] (cellularisation), หรือจากสิ่งมีชีวิตที่มี[[Symbiosis|ความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกัน]] (symbiotic relationship)

หลักฐานแรกของการมีหลายเซลล์มาจากสิ่งมีชีวิตคล้าย[[ไซยาโนแบคทีเรีย]]ที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง 3 ถึง 3.5 พันล้านปีที่แล้ว<ref name="Grosberg2007"/> ฟอสซิลอื่นของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ยุคแรกมีทั้ง ''[[Grypania]] spiralis'' (ที่ยังคงมีการโต้แย้งกันอยู่) และฟอสซิลในหินดินดานสีดำจาก [[Francevillian Group]] Fossil B Formation ใน[[กาบอง]]<ref>{{cite journal | vauthors = El Albani A, Bengtson S, Canfield DE, Bekker A, Macchiarelli R, Mazurier A, Hammarlund EU, Boulvais P, Dupuy JJ, Fontaine C, Fürsich FT, Gauthier-Lafaye F, Janvier P, Javaux E, Ossa FO, Pierson-Wickmann AC, Riboulleau A, Sardini P, Vachard D, Whitehouse M, Meunier A | display-authors = 6 | title = Large colonial organisms with coordinated growth in oxygenated environments 2.1 Gyr ago | journal = Nature | volume = 466 | issue = 7302 | pages = 100–4 | date = July 2010 | pmid = 20596019 | doi = 10.1038/nature09166 | authorlink = Abderrazak El Albani | s2cid = 4331375 | bibcode = 2010Natur.466..100A }}</ref>

วิวัฒนาการของการมีหลายเซลล์จากบรรพบุรุษที่มีเซลล์เดียวได้มีการจำลองในห้องปฏิบัติการ เป็น[[experimental evolution|การทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการ]]ที่ใช้การเหยื่อเป็น[[selective pressure|ปัจจัยกดดัน]] (selective pressure) <ref name="Grosberg2007"/>

== ต้นกำเนิด ==<!-- This section is linked from [[Timeline of evolution]] -->
{{หลัก|ประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต}}

=== กำเนิดเซลล์แรก ===
[[File:Stromatolites.jpg|thumb|[[สโตรมาโทไลต์]]ที่[[ไซยาโนแบคทีเรีย]] (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ทิ้งไว้ เป็นฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกเท่าที่ทราบกัน ฟอสซิลที่มีอายุกว่าพันล้านปีนี้มาจาก[[Glacier National Park (U.S.)|Glacier National Park]] ในสหรัฐอเมริกา]]
{{further|กำเนิดชีวิตจากสิ่งไร้ชีวิต|วิวัฒนาการของเซลล์}}
มีอยู่หลายทฤษฎีเกี่ยวกับโมเลกุลขนาดเล็กที่นำไปสู่สรรพชีวิตใน[[early Earth|โลกยุคแรก]] ซึ่งอาจถูกนำมาที่โลกด้วยอุกกาบาต (ดูเพิ่มที่''[[อุกกาบาตเมอร์ชิสัน]]''), ถูกสร้างขึ้นที่ปล่องน้ำร้อนใต้ทะเลลึก, หรืออาจถูกสังเคราะห์ด้วยฟ้าผ่าในบรรยากาศรีดิวซ์ (ดูเพิ่มที่''[[การทดลองของมิลเลอร์–อูเรย์]]'') มีข้อมูลจากการทดลองน้อยมากที่สามารถให้นิยามว่า "รูปแบบ" แรกที่สามารถจำลองตัวเองได้คืออะไร แต่เชื่อว่า[[อาร์เอ็นเอ]]อาจเป็นโมเลกุลจำลองตัวเองได้รูปแบบแรกสุด จากความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมและการเร่งปฏิกิริยาเคมี (ดูเพิ่มที่''[[ทฤษฎีโลกของอาร์เอ็นเอ]]'') ทั้งนี้ตัวตน (entity) ที่มีศักยภาพในการจำลองตัวเองอาจมีอยู่ก่อนหน้าอาร์เอ็นเอแล้ว เช่น[[Abiogenesis|มอนต์มอริลโลไนต์]]และ[[กรดเพปไทด์นิวคลิอิก]]<ref name=OrgelLE>{{cite journal | vauthors = Orgel LE | title = The origin of life--a review of facts and speculations | journal = Trends in Biochemical Sciences | volume = 23 | issue = 12 | pages = 491–5 | date = December 1998 | pmid = 9868373 | doi = 10.1016/S0968-0004(98)01300-0 }}</ref>

เซลล์ปรากฏขึ้นเมื่อ 3.5 พันล้านปีที่แล้ว<ref name="Origin1">{{cite journal | vauthors = Schopf JW, Kudryavtsev AB, Czaja AD, Tripathi AB | date = 2007 | title = Evidence of Archean life: Stromatolites and microfossils | journal = Precambrian Research | volume = 158 | issue = 3–4 | pages = 141–55 | bibcode = 2007PreR..158..141S | doi = 10.1016/j.precamres.2007.04.009 }}</ref><ref name="Origin2">{{cite journal | vauthors = Schopf JW | title = Fossil evidence of Archaean life | journal = Philosophical Transactions of the Royal Society of London. Series B, Biological Sciences | volume = 361 | issue = 1470 | pages = 869–85 | date = June 2006 | pmid = 16754604 | pmc = 1578735 | doi = 10.1098/rstb.2006.1834 }}</ref><ref name="RavenJohnson2002">{{cite book | first1 = Peter Hamilton | last1 = Raven | first2 = George Brooks | last2 = Johnson | name-list-style =vanc |title=Biology|url=https://archive.org/details/biologyrave00rave| url-access = registration |access-date=7 July 2013|year=2002|publisher=McGraw-Hill Education|isbn=9780071122610|page=[https://archive.org/details/biologyrave00rave/page/68 68]}}</ref> ในปัจจุบันเชื่อว่าเซลล์ที่เกิดขึ้นมาในยุคนั้นเป็น[[เฮเทอโรทรอพ]] (heterotroph) เยื่อหุ้มเซลล์มีความเป็นไปได้ว่าจะซับซ้อนน้อยกว่าและยอมให้สารผ่านเข้าออกได้ง่ายกว่าในยุคปัจจุบัน ด้วยการมีกรดไขมันเพียงสายเดียวต่อลิพิด จากที่ทราบกันว่าลิพิดจัดตัวเป็น[[เวสิเคิล (ชีววิทยาและเคมี)|เวสิเคิล]]เยื่อไขมันแบบสองชั้นในทันทีเมื่ออยู่ในน้ำ และอาจมีมาก่อนอาร์เอ็นเอ แต่เยื่อหุ้มเซลล์แบบแรก ๆ อาจถูกสร้างขึ้นโดยอาร์เอ็นเอที่เร่งปฏิกิริยาเคมีได้ และอาจต้องอาศัยโปรตีนโครงสร้างสำหรับการก่อตัว<ref>{{cite journal | vauthors = Griffiths G | title = Cell evolution and the problem of membrane topology | journal = Nature Reviews. Molecular Cell Biology | volume = 8 | issue = 12 | pages = 1018–24 | date = December 2007 | pmid = 17971839 | doi = 10.1038/nrm2287 | s2cid = 31072778 }}</ref>

=== กำเนิดเซลล์ยูแคริโอต ===
เซลล์ยูแคริโอตอาจวิวัฒน์ขึ้นมาจากกลุ่มสังคมเอนโดซิมไบโอซิสของเซลล์โพรแคริโอต ออร์แกเนลล์ที่บรรจุดีเอ็นเอเช่น[[ไมโทคอนเดรีย]]และ[[คลอโรพลาสต์]] สืบเชื้อมาจาก[[โพรทีโอแบคทีเรีย]]โบราณและ[[ไซยาโนแบคทีเรีย]]ที่หายใจโดยใช้ออกซิเจนตามลำดับ และ[[Endosymbiotic theory|ถูกควบรวม]]ให้เข้ามาอาศัยในเซลล์บรรพบุรุษที่เป็น[[อาร์เคีย]]

ปัจจุบันยังคงมีข้อถกเถียงกันว่าออร์แกเนลล์อย่างเช่นไฮโดรเจโนโซมมีมาก่อนกำเนิดของไมโทคอนเดรียหรือว่าเป็นไปในทางกลับกัน (ดูเพื่มที่ ''[[สมมติฐานไฮโดรเจน]]'' สำหรับต้นกำเนิดของเซลล์ยูแคริโอต)

== ประวัติศาสตร์ของการค้นคว้า ==
{{หลัก|ทฤษฎีเซลล์}}
[[File:RobertHookeMicrographia1665.jpg|thumb|ภาพวาดของฮุคแสดงเซลล์ในไม้ก๊อก]], 1665]]
* 1632–1723: อันโตนี ฟัน เลเวินฮุกเรียนรู้การสร้าง[[เลนส์]]ด้วยตนเอง, สร้าง[[กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง]]อย่างง่ายขึ้นและนำพร้อมทั้งส่องดูและวาดภาพโพรโตซัวเช่น[[วอร์ติเซลลา]]จากน้ำฝน, และ[[แบคทีเรีย]]จากปากของเขาเอง
* 1665: รอเบิร์ต ฮุกค้นพบเซลล์ใน[[ไม้ก๊อก]]และในเนื่อเยื่อของพืชที่ยังมีชีวิตอยู่ จากกล้องจุลทรรศน์เชิงซ้อนในยุคแรก เขาเป็นผู้ที่บัญญัติคำว่า ''cell'' (จากภ[[าษาละติน]] ''cella'' ที่แปลว่าห้องขนาดเล็ก<ref name="etymonline1"/>) ในหนังสือ ''[[Micrographia]]''<ref name="Hooke">{{cite book|last1=Hooke|first1=Robert | name-list-style = vanc |title=Micrographia: ...|date=1665|publisher=Royal Society of London|location=London, England|pages=113|url= https://archive.org/stream/mobot31753000817897#page/113/mode/2up}}" ... I could exceedingly plainly perceive it to be all perforated and porous, much like a Honey-comb, but that the pores of it were not regular [...] these pores, or cells, [...] were indeed the first microscopical pores I ever saw, and perhaps, that were ever seen, for I had not met with any Writer or Person, that had made any mention of them before this ... " – Hooke describing his observations on a thin slice of cork. See also:
[http://www.ucmp.berkeley.edu/history/hooke.html Robert Hooke]</ref>
* 1839: [[ทีโอดอร์ ชวานน์]] และ [[มัตทิอัส ยาคอบ ชไลเดน]] ชี้แจงหลักการที่ว่าทั้งพืชและสัตว์ล้วนประกอบขึ้นจากเซลล์ ซึ่งเป็นการสรุปว่าเซลล์เป็นหน่วยย่อยสามัญของโครงสร้างและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และเป็นการตั้งทฤษฎีเซลล์
* 1855: [[Rudolf Virchow]] กล่าวว่าเซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่มาจากเซลล์ที่มีอยู่ก่อนหน้าผ่านกระบวน[[การแบ่งเซลล์]] (''omnis cellula ex cellula'')
* 1859: ความเชื่อที่ว่าสรรพชีวิตสามารถเกิดขึ้นได้เอง (''[[Abiogenesis|generatio spontanea]]'') ถูกโต้แย้งโดย[[หลุยส์ ปาสเตอร์]] (แม้ว่า[[ฟรานเซสโก เรดิ]]จะได้ทำการทดลองในปี 1668 ที่ได้ผลสรุปเหมือนกันก็ตาม)
* 1931: [[แอ็นสท์ รุสคา]]สร้าง[[กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน]]ตัวแรกขึ้นที่[[มหาวิทยาลัยฮุมบ็อลท์แห่งเบอร์ลิน]] จนถึงปี 1935 เขาได้สร้างกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนที่มีความสามารถจำแนกจุด (resolution) มากเป็นสองเท่าของกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ทำให้ค้นพบออร์แกเนลล์ใหม่ ๆ
* 1953: โดยอาศัยงานของ[[โรซาลินด์ แฟรงคลิน]] [[James D. Watsonวัตสัน]]และ[[Francis Crickคริก]]ประกาศการค้นพบโครงสร้าง[[double helix|เกลียวคู่]]ของดีเอ็นเอ
* 1981: [[ลินน์ มาร์กุลิส]]เผยแพร่ ''Symbiosis in Cell Evolution'' ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับ[[ทฤษฎีเอนโดซิมไบโอติก]]

== หน้าที่เกี่ยวข้อง ==
{{Portal|Biology}}
{{Div col}}
* [[Cell cortex]]
* [[Cell culture]]
* [[Cellular model]]
* [[Cytorrhysis]]
* [[Cytoneme]]
* [[Cytotoxicity]]
* [[Human cell]]
* [[Lipid raft]]
* [[Outline of cell biology]]
* ''[[Parakaryon myojinensis]]''
* [[Plasmolysis]]
* [[Syncytium]]
* [[Tunneling nanotube]]
* [[Vault (organelle)]]
{{div col end}}


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{Reflist}}
{{คอมมอนส์|Cell (biology) }}

* [http://www.ericdigests.org/2004-1/cells.htm Teaching about the Life and Health of Cells.]
== เชิงอรรถ ==
* [http://www.biopic.co.uk/cellcity/cell.htm The cell like a city].
{{Notelist}}

== รายการอ่านเพิ่มเติม ==
{{Refbegin}}
* {{Cite book | last1 = Alberts | first1 = Bruce | last2 = Johnson | first2 = Alexander | last3 = Lewis | first3 = Julian | last4 = Morgan | first4 = David | last5 = Raff | first5 = Martin | last6 = Roberts | first6 = Keith | last7 = Walter | first7 = Peter | name-list-style = vanc | year = 2015 | title = Molecular Biology of the Cell | edition = 6th | publisher = Garland Science | page = 2 | isbn = 9780815344322 | ref = {{sfnRef|Alberts}} }}
* {{Cite book |vauthors=Alberts B, Johnson A, Lewis J, Raff M, Roberts K, Walter P | title = Molecular Biology of the Cell | edition = 6th| publisher = Garland | year = 2014 | url = http://www.garlandscience.com/product/isbn/9780815344322 | isbn = 9780815344322}}; The [https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/bv.fcgi?rid=mboc4.TOC&depth=2 fourth edition is freely available] from [[National Center for Biotechnology Information]] Bookshelf.
* {{Cite book | vauthors = Lodish H, Berk A, Matsudaira P, Kaiser CA, Krieger M, Scott MP, Zipurksy SL, Darnell J | title = Molecular Cell Biology | edition = 5th | publisher = WH Freeman: New York, NY | year = 2004 | url = https://archive.org/details/molecularcellbio00harv | isbn = 9780716743668 }}
* {{Cite book | vauthors =Cooper GM |title=The cell: a molecular approach | edition = 2nd | publisher=ASM Press |location=Washington, D.C |year=2000 |pages= |isbn=9780878931026 | url = https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/bv.fcgi?rid=cooper.TOC&depth=2 }}
{{Refend}}

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{Commons category|Cells}}
{{Wikiquote}}
* [http://www.mechanobio.info/ MBInfo – Descriptions on Cellular Functions and Processes]
* [http://www.mechanobio.info/topics/cellular-organization MBInfo – Cellular Organization]
* [http://publications.nigms.nih.gov/insidethecell/ Inside the Cell] – a science education booklet by [[National Institutes of Health]], in PDF and [[ePub]].
* [https://web.archive.org/web/20150409081232/http://www.cellsalive.com/ Cells Alive!]
* [http://www.biology.arizona.edu/cell_bio/cell_bio.html Cell Biology] in "The Biology Project" of [[University of Arizona]].
* [http://www.centreofthecell.org/ Centre of the Cell online]<!-- Partly by [[Queen Mary University]]. -->
* [http://cellimages.ascb.org/ The Image & Video Library of The American Society for Cell Biology], a collection of peer-reviewed still images, video clips and digital books that illustrate the structure, function and biology of the cell.
* [http://highmagblog.blogspot.com/ HighMag Blog], still images of cells from recent research articles.
* [http://www.hhmi.org/news/betzig20110304.html New Microscope Produces Dazzling 3D Movies of Live Cells], March 4, 2011 – [[Howard Hughes Medical Institute]].
* [http://wormweb.org/celllineage WormWeb.org: Interactive Visualization of the ''C. elegans'' Cell lineage] – Visualize the entire cell lineage tree of the nematode ''[[Caenorhabditis elegans|C. elegans]]''
* [http://www.histology-world.com/photoalbum/thumbnails.php?album=44 Cell Photomicrographs]


{{ออร์แกเนลล์}}
{{ออร์แกเนลล์}}
{{องค์ประกอบของสสาร}}
{{องค์ประกอบของสสาร}}


[[หมวดหมู่:เซลล์| ]]
[[หมวดหมู่:เซลล์]]
[[หมวดหมู่:ชีววิทยาของเซลล์]]
[[หมวดหมู่:ชีววิทยาเซลล์| ]]
[[หมวดหมู่:กายวิภาคศาสตร์เซลล์| ]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:31, 16 พฤศจิกายน 2563

เซลล์
เซลล์ของรากหัวหอม (Allium cepa) ที่อยู่ในระยะต่าง ๆ ของการแบ่งเซลล์ (ภาพโดย E. B. Wilson, 1900)
เซลล์ยูแคริโอต (ซ้าย) และเซลล์โพรแคริโอต (ขวา)
ตัวระบุ
MeSHD002477
THH1.00.01.0.00001
FMA686465
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์

เซลล์ (อังกฤษ: cell จากภาษาละติน cella แปลว่าห้องเล็ก ๆ[1]) โครงสร้างและหน่วยการทำงานพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทราบกัน เซลล์เป็นหน่วยย่อยที่สุดของชีวิต ในบางครั้งอาจเรียกว่า"หน่วยโครงสร้างของชีวิต" (the building block of life) การศึกษาเกี่ยวกับเซลล์เรียกว่าเซลล์วิทยา, ชีววิทยาระดับเซลล์, หรือไซโทโลจี

เซลล์ประกอบจากไซโทพลาซึมที่มีเยื่อหุ้มล้อมรอบ ภายในไซโทพลาซึมบรรจุสารชีวโมเลกุลเช่นโปรตีนและกรดนิวคลิอิก[2] เซลล์ของพืชและสัตว์ส่วนใหญ่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ที่มีมิติ (dimension) ระหว่าง 1 ถึง 100  ไมโครเมตร[3] สิ่งมีชีวิตถูกจำแนกออกเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular; เช่นแบคทีเรีย) และหลายเซลล์ (multicellular; เช่นพืชและสัตว์)[4] โดยสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวส่วนมากจัดเป็นจุลชีพ (microorganism)

จำนวนของเซลล์ในพืชและสัตว์แตกต่างกันออกไปตามแต่ละสปีชีส์ มีการประมาณว่าร่างกายของมนุษย์มีจำนวนเซลล์ที่ 40 ล้านล้าน (4×1013) เซลล์[a][5] สำหรับเซลล์ในสมองอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านเซลล์[6]

เซลล์ถูกค้นพบโดยรอเบิร์ต ฮุก (Robert Hooke) ในปีค.ศ. 1665 โดยตั้งชื่อว่า cell เนื่องจากเขาเปรียบเซลล์ของไม้ก๊อกที่ส่องว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับห้องที่นักบวชในศาสนาคริสต์ใช้อาศัยภายในอาราม[7][8] ในปี 1839 มัตทิอัส ยาคอบ ชไลเดน (Matthias Jakob Schleiden) และทีโอดอร์ ชวานน์ (Theodor Schwann) พัฒนาทฤษฎีเซลล์ที่กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนประกอบขึ้นจากหนึ่งเซลล์หรือมากกว่าหนึ่ง, เซลล์เป็นโครงสร้างและหน่วยการทำงานที่เป็นขั้นมูลฐานของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด, และเซลล์ทั้งหมดกำเนิดมาจากเซลล์ที่มีอยู่ก่อน (preexisting cell)[9] เซลล์ปรากฏขึ้นบนโลกเมื่อประมาณ 3.5 พันล้านปีก่อน[10][11][12]

ประเภทของเซลล์

เซลล์มีสองประเภทคือ ยูแคริโอตที่มีนิวเคลียส, และโพรแคริโอตที่ไม่มีนิวเคลียส โดยโพรแคริโอตจะพบเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเท่านั้น ในขณะที่ยูแคริโอตสามารถพบได้ทั้งสิ่งมีชีวิตที่มีเซลล์เดียวและหลายเซลล์

เซลล์โพรแคริโอต

โครงสร้างทั่วไปของเซลล์โพรแคริโอต

โพรแคริโอตประกอบด้วยแบคทีเรียและอาร์เคีย ซึ่งเป็นสองจากสามโดเมนของสิ่งมีชีวิต เซลล์โพรแคริโอตเป็นรูปแบบแรกของชีวิตบนโลก ซึ่งถูกกำหนดลักษณะด้วยการมีกระบวนการทางชีววิทยาที่จำเป็น อันรวมไปถึงการสื่อสารระหว่างเซลล์ เซลล์ประเภทนี้มีความซับซ้อนน้อยและขนาดที่เล็กกว่าเซลล์ยูแคริโอต และไม่มีนิวเคลียสกับออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม ดีเอ็นเอของเซลล์โพรแคริโอตประกอบด้วยโครโมโซมแบบวงกลมเพียงหนึ่งวงที่สัมผัสกับไซโทพลาซึมโดยตรง บริเวณของไซโทพลาซึมที่มีสารพันธุกรรมเรียกว่า นิวคลีออยด์ (nucleoid) โพรแคริโอตเกือบทุกชนิดเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 0.5 ถึง 2.0 μm[13]

เซลล์โพรแคริโอตมีสามบริเวณคือ:

  • ส่วนห่อหุ้มเซลล์ – โดยทั่วไปประกอบขึ้นจากเยื่อหุ้มเซลล์ที่หุ้มด้วยผนังเซลล์อีกชั้นหนึ่ง ในแบคทีเรียบางชนิดอาจพบชั้นห่อหุ้มเซลล์ชั้นที่สามเรียกว่า แคปซูล (capsule) แม้วว่าโพรแคริโอตส่วนใหญ่จะมีชั้นของเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์ แต่ก็มียกเว้นเช่น Mycoplasma (แบคทีเรีย) และ Thermoplasma (อาร์เคีย) ที่มีเพียงชั้นเยื่อหุ้มเซลล์เท่านั้น ส่วนห่อหุ้มเซลล์ให้แข็งแรงแก่เซลล์และแยกภายในของเซลล์ออกจากสิ่งแวดล้อม โดยเป็นตัวกรองที่ทำหน้าที่ป้องกันได้ด้วย (protective filter) ในแบคทีเรีย ผนังเซลล์ประกอบขึ้นจากเพปทิโดไกลแคน (peptidoglycan) ทำหน้าที่เป็นส่วนเสริมเพื่อป้องกันแรงภายนอก และยังช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ขยายตัวและระเบิดออก (cytolysis) เนื่องจากแรงดันออสโมติกในสารละลายไฮโพโทนิก เซลล์ยูแคริโอตบางชนิด (เช่นเซลล์พืชและเซลล์เห็ดรา) สามารถพบผนังเซลล์ได้เช่นกัน
  • บริเวณของไซโทพลาซึมที่บรรจุจีโนม (ดีเอ็นเอ), ไรโบโซม, และอินคลูชันหลายชนิดไว้[4] สารพันธุกรรมสามารถพบได้เป็นอิสระในไซโทพลาซึม โพรแคริโอตมีสารพันธุกรรมที่อยู่นอกโครโมโซม (extrachromosomal DNA) ที่เรียกว่าพลาสมิด (plasmid) ซึ่งโดยปกติอยู่ในรูปวงกลม สำหรับพลาสมิดแบบเส้นมีการระบุในแบคทีเรียชั้นสไปโรคีทบางสปีชีส์ ทั้งในสกุล Borrelia ที่ที่เป็นที่ทราบกันเช่น Borrelia burgdorferi ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคลายม์ (Lyme disease)[14] ดีเอ็นเอขดตัวอยู่ในบริเวณนิวคลีออยด์แม้ว่านิวเคลียสจะไม่ก่อตัว พลาสมิดเข้ารหัสสำหรับยีนส่วนเสริมเช่น ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะ
  • ด้านนอกของเซลล์พบแฟลเจลลาและพิลัสยื่นออกมาจากผิวเซลล์ ซึงเป็นโครงสร้างที่ประกอบจากโปรตีนที่ช่วยให้เซลล์สามารถเคลื่อนไหวและสื่อสารกับเซลล์อื่นได้
โครงสร้างโดยทั่วไปของเซลล์สัตว์
โครงสร้างโดยทั่วไปของเซลล์พืช

เซลล์ยูแคริโอต

พืช, สัตว์, เห็ดรา, ราเมือก, โพรโทซัว, และสาหร่าย ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตยูแคริโอต เซลล์ประเภทนี้มีความกว้างมากกว่าเซลล์โพรแครโอตทั่วไปประมาณ 15 เท่า และอาจมีปริมาตรที่มากกว่าถึง 1000 เท่า คุณลักษณะสำคัญที่ใช้แยกเซลล์ยูแคริโอตออกจากเซลล์โพรแคริโอตคือ การจัดส่วนการทำงานภายในเซลล์ (compartmentalisation) ด้วยการมีออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้ม (ส่วนการทำงาน) ที่ซึ่งเกิดกิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ โดยออร์แกเนลล์ที่สำคัญที่สุดคือนิวเคลียส[4] อันบรรจุดีเอ็นเอของเซลล์ไว้ นิวเคลียสยังเป็นที่มาของของชื่อ ยูแคริโอต ที่แปลว่า แก่นแท้จริง (true kernel) และยังมีความแตกต่างอื่น ๆ เช่น:

  • เยื่อหุ้มเซลล์ที่คล้ายคลึงกับของโพรแคริโอตในด้านของหน้าที่และการทำงาน โดยมีความแตกต่างเล็กน้อยในกระบวนการก่อรูป อาจพบผนังเซลล์หรือไม่ก็ได้
  • ดีเอ็นเอของยูแคริโอตจัดตัวร่วมกับโปรตีนฮิสโตนอยู่ในโมเลกุลเดียวหรือมากกว่า เรียกว่าโครโมโซม (chromosome) ดีเอ็นทั้งหมดที่อยู่ในโครโมโซมถูกเก็บไว้ในนิวเคลียสแยกต่างหากจากไซโทพลาซึมด้วยเยื่อหุ้ม[4] ออร์แกเนลล์บางชนิดของยูแคริโอตเช่น ไมโทคอนเดรีย สามารถมีดีเอ็นเอของตัวเองได้
  • เซลล์ยูแคริโอตหลายชนิดเป็นพวกซิลิเอต (cilate) ที่มีซิเลียปฐมภูมิสำหรับทำหน้าที่รับรู้สิ่งเร้าในเชิงเคมี, เชิงกล, และเชิงอุณหภูมิ ซิเลียมแต่ละเส้นอาจถูกพิจารณา ได้ว่าเป็นหนวดรับความรู้สึกระดับเซลล์ที่ทำหน้าที่ประสานวิถีการสื่อสัญญาณระดับเซลล์ ในบางครั้งอาจควบสัญญาณเพื่อนำไปสู่การเคลื่อนไหวของซิเลียเองหรือนำไปสู่กระบวนการแบ่งเซลล์หรือกระบวนการพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ (cell differentiation)[15]
  • เซลล์ยูแคริโอตที่เคลื่อนที่ได้จะใช้ซิเลียและแฟลเจลลา ในพืชตระกูลสนและพืชดอกไม่พบเซลล์ที่เคลื่อนที่ได้[16] และแฟลเจลลาของยูแคริโอตมีความซับซ้อนมากกว่าของในโพรแคริโอต[17]
การเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่างเซลล์โพรแคริโอตและยูแคริโอต
โพรแคริโอต ยูแคริโอต
Typical organisms แบคทีเรีย, อาร์เคีย โพรทิสต์, เห็ดรา, พืช, สัตว์
ขนาดโดยทั่วไป ~ 1–5 μm[18] ~ 10–100 μm[18]
ประเภทของนิวเคลียส นิวคลีออยด์; ไม่มีนิวเคลียสแท้จริง นิวเคลียสแท้จริงที่มีเยื่อหุ้มสองชั้น
ดีเอ็นเอ แบบวงกลม (โดยปกติ) แบบเส้น (โครโมโซม) พร้อมกับมีโปรตีนฮิสโตน
อาร์เอ็นเอ/การสังเคราะห์โปรตีน เกิดขึ้นควบคู่กันในไซโทพลาซึม RNA synthesis เกิดขึ้นในนิวเคลียส
protein synthesis เกิดขึ้นในไซโทพลาซึม
ไรโบโซม 50S และ 30S 60S และ 40S
Cytoplasmic structure very few structures highly structured by endomembranes and a cytoskeleton
การเคลื่อนไหวของเซลล์ flagella made of flagellin flagella and cilia containing microtubules; lamellipodia and filopodia containing actin
ไมโทคอนเดรีย ไม่มี ตั้งแต่หนึ่งจนถึงหลายพัน
คลอโรพลาสต์ ไม่มี ในสาหร่ายและพืช
การจัดระเบียบ ปกติเป็นเซลล์เดี่ยว เซลล์เดี่ยว, โคโลนี, higher multicellular organisms with specialized cells
การแบ่งเซลล์ การแบ่งตัวออกเป็นสอง (การแบ่งเซลล์อย่างง่าย) ไมโทซิส (แบ่งออกเป็นสองหรือแตกหน่อ)
ไมโอซิส
โครโมโซม โครโมโซมหนึ่งอัน มีโครโมโซมมากกว่าหนึ่งอัน
เยื่อหุ้ม เยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์และเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์

องค์ประกอบในระดับเล็กกว่าเซลล์

เซลล์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นโพรแคริโอตหรือยูแคริโอต ล้วนมีเยื่อหุ้มล้อมรอบเซลล์ เพื่อควบคุมการผ่านเข้าออกของสาร (เยื่อเลือกผ่าน), และรักษาศักย์ไฟฟ้าของเซลล์ ด้านในของเยื่อหุ้ม ไซโทพลาซึมกินปริมาตรเกือบทั้งหมดของเซลล์ เซลล์ทุกชนิด (ยกเว้นเซลล์เม็ดเลือดแดงที่ไม่มีนิวเคลียสและออร์แกเนลล์เกือบทุกชนิด เพื่อเอื้อให้มีพื้นที่สูงสุดสำหรับรองรับฮีโมโกลบิน) มีดีเอ็นเอที่เป็นสารที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมของยีน, และอาร์เอ็นเอมที่บรรจุข้อมูลที่จำเป็นสำหรับโปรตีนหลายชนิดเช่น เอนไซม์ (หน่วยปฏิบัติงานที่สำคัญของเซลล์) และยังมีชีวโมเลกุลอีกหลายชนิด ในที่นี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบของเซลล์ที่สำคัญเท่านั้น

เยื่อหุ้ม

แผนภาพโดยละเอียดของเยื่อหุ้มเซลล์

เยื่อหุ้มเซลล์ หรือพลาสมาเมมเบรน เป็นเยื่อชีวภาพที่ล้อมรอบไซโทพลาซึม สำหรับในสัตว์ เยื่อหุ้มเป็นขอบเขตนอกสุดของเซลล์ ในขณะที่พืชและโพรแคริโอตมักหุ้มด้วยผนังเซลล์ เยื่อหุ้มทำหน้าที่แยกและปกป้องเซลล์จากสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยประกอบจากชั้นคู่ของฟอสโฟลิพิดที่มีสมบัติเป็นแอมฟิฟิลิก (มีทั้งส่วนที่เป็นไฮโดรโฟบิกและไฮโดรฟิลิก) ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าฟอสโฟลิพิดไบแลร์ (phospholipid bilayer) หรืออาจเรียกว่าฟลูอิดโมเซอิคเมมเบรน (fluid mosaic membrane) มีโครงสร้างระดับมหโมเลกุลที่เรียกว่าพอโรโซม (porosome) เป็นทางผ่านเอนกประสงค์สำหรับการหลั่งสารของเซลล์ และมีโมเลกุลของโปรตีนจำนวนมากทำหน้าที่เป็นทั้งช่องทางผ่านและปั๊มสำหรับเคลื่อนสารเข้าและออกจากเซลล์[4] เยื่อหุ้มเซลล์ยอมให้สารบางอย่างผ่าน โดยให้สสาร (เช่นโมเลกุลหรือไอออน) ผ่านได้อย่างอิสระ, ผ่านได้ในจำนวนที่จำกัด, หรือผ่านไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ผิวนอกของเยื่อหุ้มเซลล์ยังมีโปรตีนตัวรับ (receptor protein) ที่ทำให้เซลล์สามารถตรวจจับโมเลกุลสื่อสัญญาณเช่น ฮอร์โมน

ไซโทสเกเลตัน

ภาพฟลูออเรสเซนต์ของเอนโดธีเลียม นิวเคลียส, ไมโทคอนเดรีย, และไมโครฟิลาเมนต์ติดสีน้ำเงิน, แดง, และเขียว ตามลำดับ

ไซโทสเกเลตันทำหน้าที่จัดและรักษารูปร่างของเซลล์; ยึดออร์แกเนลล์ให้อยู่กับที่, ช่วยให้เกิดกระบวนการเอนโดไซโทซิสที่ทำให้เซลล์สามารถรับสารเข้ามาได้, และกระบวนการไซโทไคนีซิสซึ่งเป็นกระบวนการแยกเซลล์ลูกหลังจากการแบ่งเซลล์; และเคลื่อนส่วนของเซลล์ในระหว่างการเจริญเติบโตและการเคลื่อนที่ ไซโทสเกเลตันของยูแคริโอตประกอบด้วยไมโครฟิลาเมนต์, อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนต์, และไมโครทิวบูล อินเทอร์มีเดียตฟิลาเมนต์ของเซลล์ประสาทเรียกว่านิวโรฟิลาเมนต์ (neurofilament) โดยมีโปรตีนเข้ามาช่วยการทำงานทั้งการกำกับ, รวมกลุ่ม, และจัดเรียง[4] ไซโทสเกเลตันในโพรแคริโอตยังไม่มีการศึกษาอย่างกระจ่างนัก แต่มีความเกี่ยวข้องกับรูปร่าง, ขั้วเซลล์ (polarity), และการแบ่งเซลล์ (cytokinesis)[19] โปรตีนที่เป็นหน่วยย่อยของไมโครฟิลาเมนต์มีขนาดเล็กและเป็นโมโนเมอริกโปรตีน (monomeric protein) เรียกว่าแอกติน โปรตีนที่เป็นหน่วยย่อยของไมโครทิวบูลเป็นโมเลกุลไดเมอร์ (dimeric protein) ที่เรียกว่าทูบิวลิน สำหรับอินเทอร์มีเดียตฟิลาเมนต์เป็นเฮเทอโรโพลีเมอร์ (heteropolymer) ซึ่งมีหน่วยย่อยต่างกันไปตามชนิดของเซลล์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ โปรตีนหน่วยย่อยของอินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนต์มีได้ตั้งแต่ไวเมนทิน, เดสมิน, ลามิน (ลามินเอ, บี, และซี), เคอราทิน (ทั้งที่มีสมบัติเป็นกรดและเบสหลายชนิด), โปรตีนนิวโรฟิลาเมนต์ (NF–L, NF–M)

สารพันธุกรรม

กรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิก (ดีเอ็นเอ)

สารพันธุกรรมมีอยู่สองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ กรดดีออกซีไรโบนิวคลิอิก (ดีเอ็นเอ) และกรดไรโบนิวคลิอิก (อาร์เอ็นเอ) เซลล์ใช้ดีเอ็นเอเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางชีวภาพในระยะยาว โดยข้อมูลจะถูกเข้ารหัสอยู่ในลำดับของดีเอ็นเอ[4] อาร์เอ็นเอใช้สำหรับขนส่งข้อมูล (เช่นเอ็มอาร์เอ็นเอ) และทำหน้าที่เป็นเอนไซม์ (เช่นไรโบโซมัลอาร์เอ็นเอ) สำหรับทรานส์เฟอร์อาร์เอ็นเอมีหน้าที่เพิ่มกรดอะมิโนระหว่างกระบวนการแปลรหัสโปรตีน

สารพันธุกรรมของโพรแคริโอตจัดตัวเป็นวงกลมอยู่ในบริเวณนิวคลีออยด์ของไซโทพลาซึม และสารพันธุกรรมของยูแคริโอตจัดตัวเป็นเส้นที่แตกต่างกัน[4] เรียกว่าโครโมโซม อยู่ภายในนิวเคลียส โดยอาจพบสารพันธุกรรมอยู่ภายในออร์แกเนลล์เช่นไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ (ดู − ทฤษฎีเอนโดซิมไบโอติก)

เซลล์ของมนุษย์มีสารพันธุกรรมที่ถุกบรรจุอยู่ในนิวเคลียส (nuclear genome) และในไมโทคอนเดรีย (mitocondrial genome) ในมนุษย์ จีโนมในนิวเคลียสถูกแบ่งออกเป็นโมเลกุลดีเอ็นเอ 46 เส้นที่เรียกว่าโครโมโซม อันประกอบด้วยโฮโมโลกัสโครโมโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศหนึ่งคู่ จีโนมของไมโทคอนเดรียเป็นโมเลกุลดีเอ็นเอแบบวงกลมซึ่งต่างจากดีเอ็นเอในนิวเคลียส[4] แม้ว่าดีเอ็นเอของไมโทคอนเดรียจะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับโครโมโซมในนิวเคลียส แต่ก็เก็บรหัสสำหรับโปรตีน 13 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของไมโทคอนเดรีย และทีอาร์เอ็นเอบางชนิด

สารพันธุกรรมแปลกปลอม (ส่วนมากเป็นดีเอ็นเอ) สามารถถูกนำเข้าสู่เซลล์ได้ด้วยกระบวนการทรานส์แฟกชัน (transfaction) โดยอาจอยู่ได้ชั่วคราวหากดีเอ็นเอไม่ถูกแทรกเข้าจีโนม หรือเสถียรหากแทรกตัวเข้าไปแแล้ว ไวรัสบางชนิดสามารถแทรกสารพันธุกรรมของมันเข้าสู่จีโนมของเจ้าบ้านได้

ออร์แกเนลล์

ออร์แกเนลล์เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ที่ปรับตัวและ/หรือพัฒนาไปทำหน้าที่สำคัญ เปรีบยได้กับอวัยวะ (organ) ของร่างกายมนุษย์เช่นหัวใจ, ไต, และตับ โดยแต่ละอวัยวะมีหน้าที่ต่างกันออกไป[4] ทั้งโพรแคริโอตและยูแคริโอตมีออร์แกเนลล์ แต่ออร์แกเนลล์ของโพรแคริโอตมีความซับซ้อนน้อยกว่าและไม่มีเยื่อหุ้มออร์แกเนลล์

ออร์แกเนลล์มีอยู่หลายชนิด บางชนิดพบแยกอยู่เดี่ยว ๆ (เช่น[[|นิวเคลียสของเซลล์|นิวเคลียส]]และกอลไจแอปพาราตัส) ในขณะที่บางชนิดพบได้จำนวนมาก ตั้งแต่หลายร้อยถึงหลายพัน (เช่นไมโคอนเดรีย, คลอโรพลาสต์, เพอรอกซิโซม, และไลโซโซม) ไซโทซอลเป็นของเหลวคล้ายวุ้นที่เติมเต็มช่องว่างในเซลล์และล้อมรอบออร์แกเนลล์

ยูแคริโอต

เซลล์มะเร็งในมนุษย์ (ในที่นี้คือ HeLa cell) ดีเอ็นเอถูกย้อมด้วยสีน้ำเงิน เซลล์ตรงกลางและทางขวาอยู่ในระยะอินเทอร์เฟส จึงมองเห็นดีเอ็นเอได้ไม่ชัดเจนและนิวเคลียสถูกย้อมได้ตลอดทั้งโครงสร้าง เซลล์ทางด้านซ้ายกำลังอยู่ในกระบวนการไมโทซิสและโครโมโซมมีการหดตัว
แบบจำลองสามมิติของเซลล์ยูแคริโอต
  • นิวเคลียสของเซลล์ : เป็นศูนย์กลางข้อมูลของเซลล์ สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดในเซลล์ยูแคริโอต เป็นแหล่งจัดเก็บโครโมโซมและเป็นที่ซึ่งการจำลองตัวเองของดีเอ็นเอและการสังเคราะห์ อาร์เอ็นเอผ่าน เกิดขึ้น นิวเคลียสมีรูปร่างเป็นทรงกลมและถูกแยกจากไซโทพลาซึมด้วยเยื่อหุ้มสองชั้นที่เรียกว่านิวเคลียร์เอนเวลโลป (nuclear envelope) ซึ่งนอกจากนี้ยังมีหน้าที่ปกป้องดีเอ็นเอจากโมเลกุลที่อาจทำอันตรายต่อโครงสร้างหรือรบกวนกระบวนการของมัน ดีเอ็นเอถูกถอดรหัส (transcribed), หรือถูกคัดลอกไปยังอาร์เอ็นเอชนิดพิเศษที่เรียกว่าเอ็มอาร์เอ็นเอ ที่จะถูกขนส่งออกนอกนิวเคลียสไปยังไซโพลาซึม อันเป็นที่ซึ่งมันจะถูกแปลไปเป็นโมเลกุลโปรตีนที่จำเพาะ นิวคลีโอลัสเป็นบริเวณพิเศษภายในนิวเคลียสสำหรับประกอบหน่วยย่อยของไรโบโซม ในโพรแคริโอต กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับดีเอ็นเอเกิดขึ้นในไซโทพลาซึม[4]
  • ไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์: ทำหน้าที่สร้างพลังงานสำหรับเซลล์ ไมโทคอนเดรียเป็นออร์แกเนลล์ที่สามารถเพิ่มจำนวนได้เอง (self-replicating) พบได้หลากหลายในด้านจำนวน, รูปร่าง, และขนาดในไซโทพลาซึมของยูแคริโอต[4] กระบวนการหายใจระดับเซลล์เกิดขึ้นในไมโทคอนเดรีย ซึ่งสร้างพลังงานให้แก่เซลล์ด้วยกระบวนการออกซิเดทีฟฟอสโฟริเลชัน (oxydative phosphorylation) โดยใช้ออกซิเจนปลดปล่อยพลังงานที่สะสมอยู่ในสารอาหาร (ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับกลูโคส) เพื่อสร้าง ATP ไมโทคอนเดรียเพิ่มจำนวนด้วยการแบ่งออกเป็นสองเช่นเดียวกับโพรแคริโอต คลอโรพลาสต์พบได้ในพืชและสาหร่ายเท่านั้น ทำหน้าที่จับพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อสร้างคาร์โบไฮเดรตผ่านกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง
แผนภาพแสดงระบบเอนโดเมมเบรน
  • ร่างแหเอนโดพลาซึม: เป็นเครือข่ายสำหรับขนส่งโมเลกุลที่ถูกกำหนดให้รับการดัดแปลงหรือไปยังจุดหมายที่เฉพาะ (เทียบกับโมเลกุลที่ลอยอยูอย่างอิสระในไซโทพลาซึม) ร่างแหเอนโดพลาซึมมีสองรูปชนิดคือ ร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดขรุขระที่มีไรโบโซมมาเกาะบนผิวเพื่อส่งโปรตีนเข้าไปข้างในร่างแห และร่างแหเอนโดพลาซึมชนิดเรียบที่ไม่มีไรโบโซมมาเกาะ[4] โดยมีบทบาทเกี่ยวกับการคัดแยกและหลั่งแคลเซียม
  • กอลไจแอพพาราตัส: หน้าที่หลักของกอลไจแอพพาราตัสคือการแปรรูปและบรรจุโมเลกุลขนาดใหญ่ (macromolecule) เช่นโปรตีนและลิพิดที่เซลล์สังเคราะห์ขึ้นมา
  • ไลโซโซมและเพอรอกซิโซม: ไลโซโซมบรรจุเอนไซม์สำหรับย่อย (เอซิดไฮโดรเลส) ออร์แกเนลล์ที่เกินมาหรือหมดอายุแล้ว, อาหาร, และไวรัสหรือแบคทีเรียที่ถูกเซลล์กลืนกิน เพอรอกซิโซมมีเอนไซม์ที่ขจัดสารเพอร์ออกไซด์ที่เป็นพิษออกจากเซลล์ เซลล์จะไม่สามารถเก็บเอนไซม์ไวได้เลยหากไม่เก็บไว้ในระบบที่มีเยื่อหุ้ม[4]
  • เซนโทรโซม: ทำหน้าที่เป็นตัวจัดระเบียบไซโทสเกเลตัน สร้างไมโครทิวบูลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของไซโทสเกเลตัน กำกับการขนส่งระหว่างร่างแหเอนโดพลาซึมและกอลไจแอปพาราตัส เซนโทรโซมประกอบด้วยเซนทริโอลสองอัน ที่จะแยกออกจากกันระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์และช่วยในการก่อตัวของไมโทติกสปินเดิล (mitotic spindle) เซลล์สัตว์พบเซนโทรโซมอันเดียว และยังอาจพบในเซลล์เห็ดราและสาหร่ายได้ด้วย
  • แวคิวโอล: แวคิวโอลแยกสารที่เซลล์ไม่ต้องการแล้ว ในพืชทำหน้าที่เก็บสะสมน้ำ มักถูกอธิบายว่าเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยของเหลวและมีเยื่อหุ้มมาล้อมรอบ บางเซลล์ (โดยเฉพาะในสกุลอะมีบา) มีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอลที่สามารถสูบน้ำออกจากเซลล์หากมีน้ำมากเกินไป แวคิวโอลในเซลล์พืชและเห็ดรามักมีขนาดใหญ่กว่าของเซลล์สัตว์

ยูแคริโอตและโพรแคริโอต

  • ไรโบโซม : ไรโบโซมเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นจากโมเลกุลอาร์เอ็นเอและโปรตีน[4] ประกอบขึ้นจากสองหน่วยย่อยและทำหน้าที่เป็นสายการประกอบ (assembly line) ที่มีการนำอาร์เอ็นเอมาใช้เพื่อสังเคราะห์โปรตีนขึ้นจากกรดอะมิโน ไรโบโซมสามารถพบลอยอยู่อย่างอิสระในไซโทพลาซึม หรือเกาะอยู่กับเยื่อหุ้ม (ร่างแหเอนโดพลาซึมแบบขรุขระในยูแคริโอต หรือที่เยื่อหุ้มเซลล์ในโพรแคริโอต)[20]

โครงสร้างภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์

เซลล์หลายชนิดมีโครงสร้างที่อยู่ภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน โครงสร้างเหล่านี้ค่อนข้างเด่นชัดเนื่องจากมันไม่ได้รับการปกป้องจากสภาพแวดล้อมภายนอกโดยเยื่อหุ้มเซลล์ที่เป็นเยื่อเลือกผ่าน องค์ประกอบของโครงสร้างเหล่านี้จำต้องมีกระบวนการส่งออกข้ามเยื่อหุ้มเซลล์สำหรับการประกอบเป็นโครงสร้างต่อไป

ผนังเซลล์

เซลล์โพรแคริโอตและยูแคริโอตหลายชนิดมีผนังเซลล์ที่ทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากสิ่งแวดล้อมทั้งเชิงกลและเชิงเคมี และเป็นชั้นเสริมการป้องกันให้กับเยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์ต่างชนิดกันมีผนังเซลล์ที่องค์ประกอบต่างกันออกไปเช่น เซลล์พืชมีผนังเซลล์ที่ประกอบขึ้นจากเซลลูโลส, ผนังเซลล์ของเห็ดราที่ประกอบขึ้นจากไคทิน, และผนังเซลล์ของแบคทีเรียที่ประกอบขึ้นจากเพปทิโดไกลแคน

โพรแคริโอต

แคปซูล

แคปซูลเจลาตินพบได้ภายนอกเยื่อหุ้มเซลล์และผนังเซลล์ของแบคทีเรียบางชนิด แคปซูลอาจเป็นได้ทั้งพอลิแซ็กคาไรด์เช่นใน pneumococci และ meningococci, เป็นพอลิเพปไทด์ดังเช่น Bacillus anthracis, หรือเป็นกรดไฮยาลูรอนิกดังที่พบใน streptococci แคปซูลไม่สามารถทำให้เด่นชัดได้ด้วยกระบวนการย้อมตามปกติ สีย้อมที่ใช้สำหรับตรวจหาแคปซูลเช่นอินเดียอิงค์, เมทิลบลู ทำให้แคปซูลมีความแตกต่าง (contrast) จากเซลล์มากพอที่จะทำการส่องภายใต้กล้องจุลทรรศน์ได้[21]: 87 

แฟลเจลลา

แฟลเจลลาเป็นออร์แกเนลล์สำหรับการเคลื่อนไหวในระดับเซลล์ แฟลเจลลาของแบคทีเรียยืดออกมาจากไซโทพลาซึมผ่านเยื่อหุ้มเซลล์และโผล่ออกทางผนังเซลล์ แฟลเจลลาเป็นรยางคล้ายเส้นด้ายที่ยาวและหนา ประกอบขึ้นจากโปรตีน ชนิดของแฟลเจลลาต่างกันออกไปในอาร์เคียและยูแคริโอต

ฟิมเบรีย

ฟิมเบรียเป็นฟิลาเมนต์คล้ายเส้นผมที่สั้นและบาง พบบนผิวเซลล์แบคทีเรีย ก่อตัวขึ้นจากโปรตีนที่เรียกว่าพิลิน (pilin) และมีความเกี่ยวข้องกับการจับตัวของแบคทีเรียกับตัวรับที่จำเพาะบนผิวเซลล์ของมนุษย์ และยังมีพิไลชนิดพิเศษที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคอนจูเกชันในแบคทีเรีย

กระบวนการในระดับเซลล์

เซลล์โพรแคริโอตแบ่งตัวด้วยกระบวนการแบ่งออกเป็นสอง ในขณะที่เซลล์ยูแคริโอตแบ่งเซลล์ผ่านกระบวนการไมโทซิสหรือไมโอซิส

การจำลองตัวเอง

การแบ่งเซลล์เกี่ยวข้องกับการที่เซลล์หนึ่งแบ่งตัวออกเป็นเซลล์ลูกสองเซลล์ ซึ่งนำไปสู่การเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (การเจริญของเนื้อเยื่อ) และการสืบพันธุ์ (แบบไม่อาศัยเพศ) ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เซลล์โพรแคริโอตแบ่งตัวด้วยกระบวนการแบ่งออกเป็นสอง (binary fission) ในขณะที่เซลล์ยูแคริโอตแบ่งผ่านกระบวนการแบ่งนิวเคลียสที่เรียกว่าไมโทซิส (mitosis) ตามด้วยกระบวนการแบ่งเซลล์ที่เรียกว่าไซโทไคนีซิส (cytokinesis) เซลล์ดิพลอยด์อาจผ่านกระบวนการไมโอซิสเพื่อผลิตเซลล์แฮพลอยด์ ที่ปกติได้เซลล์ลูกสี่เซลล์ เซลล์แฮพลอยด์ที่ได้ทำหน้าที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ โดยรวมตัวกันเป็นเซลล์ดิพลอยด์

การจำลองดีเอ็นเอ (หรือกระบวนการทำสำเนาจีโนมของเซลล์)[4] เกิดขึ้นเมื่อเซลล์แบ่งตัวผ่านกระบวนการไมโทซิสหรือการแบ่งออกเป็นสอง ในระยะ S ของวัฏจักรเซลล์

ในไมโอซิส ดีเอ็นเอถูกจำลองเพียงครั้งเดียว ในระยะที่เซลล์มีการแบ่งตัวสองครั้ง การจำลองดีเอ็นเอเกิดขึ้นก่อนระยะไมโอซิส I เท่านั้น โดยจะไม่เกิดขึ้นในการแบ่งเซลล์ระยะที่สองของระยะไมโอซิส II[22] และเช่นเดียวกับกิจกรรมอื่น ๆ ของเซลล์ การจำลองตัวเองต้องอาศัยโปรตีนที่พัฒนามาเป็นพิเศษสำหรับดำเนินกระบวนการ[4]

แผนผังโดยสังเขปของกระบวนการแคแทบอลิซึมของโปรตีน, คาร์โบไฮเดรตและไขมัน

การซ่อมแซมดีเอ็นเอ

โดยปกติ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบรรจุเอนไซม์ที่ตรวจตราดีเอ็นเอเพื่อหาความเสียหายและดำเนินกระบวนการซ่อมแซมเมื่อตรวจพบ[23] สิ่งมีชีวิตตั้งแต่แบคทีเรียจนถึงมนุษย์ได้พัฒนากระบวนการซ่อมแซมที่หลากหลาย อันเป็นสิ่งที่ระบุได้ถึงความสำคัญของกการบำรุงรักษาดีเอ็นเอให้อยู่ในสภาวะปกติเพื่อหลีกเลี่ยงการตายของเซลล์หรือความผิดพลาดในกระบวนการจำลองตัวเองที่เป็นผลมาจากความเสียหายของดีเอ็นเอ ซึ่งอาจนำไปสู่การกลายพันธ์ุ (mutation) แบคทีเรีย E. coli เป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลลื (cellular organism) ที่มีการศึกษากระบวนการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่พัฒนามาเป็นอย่างดีและหลากหลาย อันประกอบด้วย: (1) การซ่อมแซมด้วยการตัดออกของนิวคลีโอไทด์ (nucleotide excision repair) (2) การซ่อมแซมดีเอ็นเอที่มีนิวคลีโอไทด์เข้าคู่กันผิด (DNA mismatch repair) (3) การเชื่อมปลายนอนโฮโมโลกัสของดีเอ็นเอที่ขาดทั้งสองสาย (non-homologous end joining of double-strand breaks) (4) การซ่อมแซมแบบรีคอมบิเนชัน (recombinational repair) และ (5) lการซ่อมแซมแบบใช้แสง (light-dependent repair, photoreactivation)

การเจริญเติบโตและเมแทบอลิซึม

ภาพรวมของกระบวนการสังเคราะห์โปรตีน: ภายในนิวเคลียสของเซลล์ (สีฟ้า) ยีน (สีน้ำเงิน) ถูกถอดรหัสไปเป็นอาร์เอ็นเอ ที่ซึ่งภายหลังจะเข้ารับการปรับแต่งและควบคุมหลังถอดรหัส (post-transcriptional modification and control) ทำให้ได้เอ็มอาร์เอ็นเอ (สีแดง) ที่จะถูกขนส่งออกนอกไซโทพลาซึมไปยังนิวเคลียส (สีพีช) อันเป็นที่เกิดกระบวนการแปลรหัสไปเป็นโปรตีนด้วยไรโบโซม (สีม่วง) ที่ทำหน้าที่จับคู่นิวคลีโอไทด์บนโคดอนทีละสามตัวกับคู่ทีอาร์เอ็นเอที่เหมาะสม โปรตีนที่สังเคราะห์ขึ้นใหม่ (สีดำ) มักถูกนำไปแปรรูปต่อไป เช่นการเข้าจับกับโปรตีนปฏิบัติงาน (effector protein; สีดำ) เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน

ระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่อง เซลล์เจริญเติบโตผ่านการทำงานของกระบวนการเมแทบอลิซึมระดับเซลล์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แต่ละเซลล์มีการแปรรูปโมเลกุลของสารอาหาร โดยมีอยู่สองประเภทคือ แคแทบอลิซึมที่เป็นการแยกสลายโมเลกุลซับซ้อนเพื่อให้ได้พลังงานและความสามารถในการรีดิวซ์ (reducing power) และแอแนบอลิซึมซึ่งเซลล์ใช้พลังงานและความสามารถในการรีดิวซ์เพื่อสร้างโมเลกุลซับซ้อนแล[[ะดำเนินกระบวนการทางชีววิทยาอื่น ๆ น้ำตาลเชิงซ้อนที่สิ่งมีชีวิตบริโภคเข้าไปสามารถถูกย่อยสลายเป็นโมเลกุลน้ำตาลอย่างง่ายที่เรียกว่ามอโนแซ็กคาไรด์]] (monosaccharide) เช่นกลูโคส ที่เมื่ออยู่ภายในเซลล์จะถูกแยกสลายไปอีก เพื่อสร้างอะดีโนซีนไตรฟอสเฟต (adenosine triphosphate, ATP)[4] อันเป็นโมเลกุลเป็นแหล่งพลังงานพร้อมใช้งานของเซลล์ ผ่านสองวิถีที่แตกต่างกัน

การสังเคราะห์โปรตีน

เซลล์มีความสามารถในการสังเคราะห์โปรตีนขึ้นมาใหม่ โปรตีนที่สร้างใหม่นี้มีความจำเป็นต่อการปรับสภาพและบำรุงรักษากิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ การสังเคราะห์โปรตีนเกี่ยวข้องกับการก่อตัวของโมเลกุลโปรตีนขึ้นจากหน่วยย่อยกรดอะมิโนที่มีพื้นฐานมาจากข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสอยู่ในดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ โดยทั่วไปการสังเคราะห์โปรตีนประกอบด้วยสองขั้นตอนใหญ่คือ การถอดรหัสและการแปลรหัส

การถอดรหัสเป็นกระบวนการซึ่งข้อมูลทางพันธุกรรมในดีเอ็นเอถูกใช้เพื่อสร้างสายอาร์เอ็นเอคู่สม (complimentary RNA) ซึ่งจะถูกนำผ่านกระบวนการที่ทำให้ได้เอ็มอาร์เอ็นเอ (messenger RNA, mRNA) ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระทั่วเซลล์ โมเลกุลเอ็มอาร์เอ็นเอเข้าจับกับองค์ประกอบของโปรตีน-อาร์เอ็นเอที่เรียกว่าไรโบโซม ซึ่งพบในไซโทซอลอันเป็นที่ซึ่งเอ็มอาร์เอ็นเอถูกแปลรหัสไปเป็นลำดับพอลิเพปไทด์ ไรโบโซมควบคุมการก่อตัวของลำดับพอลิเพปไทด์ที่มีพื้นมาจากเอ็มอาร์เอ็นเอ ลำดับของเอ็มอาร์เอ็นเอสัมพันธ์โดยตรงกับลำดับพอลิเพปไทด์ด้วยการเข้าจับกับทรานส์เฟอร์อาร์เอ็นเอ (transfer RNA, tRNA) ที่เป็นโมเลกุลตัวแปลง ในช่องสำหรับเข้าจับในไรโบโซม สายพอลิเพปไทด์ที่สร้างใหม่จะพับตัวเป็นโปรตีนสามมิติที่พร้อมทำงานต่อไป

การเคลื่อนไหว

การเคลื่อนไหว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวสามารถเคลื่อนที่เพื่อหาอาหารและหนีจากผู้ล่า กลไกการเคลื่อนไหวมักเกี่ยวข้องกับซิเลียและแฟลเจลลา

ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์สามารถเคลื่อนที่ระหว่างกระบวนการเช่น การรักษาบาดแผล, การตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง อย่างในการรักษาบาดแผล เซลล์เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ไปยังบาดแผลเพื่อฆ่าจุลชีพที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ การเคลื่อนไหวของเซลล์เกี่ยวข้องกับโปรตีนหลายชนิดที่ทำหน้าที่เป็นตัวรับ, ตัวเชื่อมโยง, รวมกลุ่ม, ประสาน, ยึดติด, ขับเคลื่อน, และอื่นๆ[24] การเคลื่อนไหวประกอบด้วยสามขั้นตอนคือ การยื่นขอบนำทาง (leading edge) ของเซลล์, การยึดติดกับพื้นผิวของขอบนำและการปล่อยตัวจากพื้นผิวของตัวและส่วนท้ายของเซลล์, และการหดตัวของไซโทสเกเลตันเพื่อดึงเซลล์ไปข้างหน้า แต่ละขั้นตอนขับเคลื่อนด้วยแรงเชิงกลที่เกิดจากส่วนที่แตกต่างกันของไซโทสเกเลตัน[25][26]

การนำทาง, ควบคุม, และสื่อสาร

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2020 นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่าเซลล์วิถีเดียว (one way cell, ค้นพบจากเซลล์ของราเมือกและเซลล์มะเร็งตับอ่อนของหนู) มีความสามารถในการนำทางภายในร่างกายและการระบุเส้นทางที่ดีสุดผ่านเขาวงกตที่ซับซ้อน โดยสร้างระดับขั้นความเข้มข้น (gradient) ผ่านการแยกสลายสารเคโมแอดแทรกแตนท์ (chemoattractant) ที่ละลายอยู่ในตัวกลาง ซึ่งทำให้เซลล์สามารถรับรู้ถึงแยกในเขาวงกตก่อนที่จะไปถึง รวมไปถึงตามมุมต่าง ๆ ด้วย[27][28][29]

การมีหลายเซลล์

การพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะและการแบ่งแยกหน้าที่

Caenorhabditis elegans ที่ถูกย้อมเพื่อเน้นให้เห็นนิวเคลียสของแต่ละเซลล์

สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์คือสิ่งมีชีวิตที่ประกอบขึ้นจากเซลล์หลาย ๆ เซลล์ ตรงกันข้ามกับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว[30]

ในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ซับซ้อน เซลล์มีการพัฒนาไปเป็นหลายประเภทที่แตกต่างกันตามหน้าที่ที่จำเพาะ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ชนิดหลัก ๆ ของเซลล์คือ เซลล์ผิวหนัง, เซลล์กล้ามเนื้อ, เซลล์ประสาทล เซลล์เม็ดเลือด, ไฟโบบลาสต์, สเต็มเซลล์, และอื่น ๆ เซลล์ต่างชนิดกันมักมีรูปร่างและการทำงานที่ต่างกันจากการแสดงออกที่ต่างกันของยีนที่เซลล์บรรจุไว้ แต่กระนั้นก็ยังเหมือนกันในทางพันธุกรรม โดยมีจีโนไทป์ที่เหมือนกัน

เซลล์แต่ละชนิดที่แตกต่างกันล้วนมีพัฒนามาจากเซลล์ต้นกำเนิดเพียงเซลล์เดียวที่เรียกว่าไซโกต ซึ่งพัฒนาไปเป็นเซลล์หลายร้อยชนิดที่แตกต่างกันระหว่างกระบวนการพัฒนาไซโกต การพัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ (differentiation) ถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม (เช่นการมีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ข้างเคียง) และจากความแตกต่างภายในเซลล์ (เช่นที่เกิดจากการกระจายของโมเลกุลที่ไม่เท่ากันระหว่างกระบวนการแบ่งเซลล์)

ต้นกำเนิดของการมีหลายเซลล์

การมีหลายเซลล์มีการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกันอย่างน้อย 25 ครั้ง[31] รวมถึงในโพรแคริโอตเช่น ไซยาโนแบคทีเรีย, myxobacteria, actinomycetes, Magnetoglobus multicellularis, หรือ Methanosarcina อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีความซับซ้อนพัฒนาขึ้นในยูแคริโอตเพียงหกกลุ่ม: สัตว์, เห็ดรา, สาหร่ายสีน้ำตาล, สาหร่ายสีแดง, สาหร่ายสีเขียว, และพืช[32] พบว่ามีการวิวัฒน์ขึ้นซ้ำไปมาในพืช (Chloroplastida), หนึ่งหรือสองครั้งในสัตว์, หนึ่งครั้งในสาหร่ายสีน้ำตาล, และอาจหลายครั้งในเห็ดรา, ราเมือก, และสาหร่ายสีแดง[33] การมีหลายเซลล์อาจวิวัฒน์ขึ้นจากโคโลนี (colony) ของสิ่งมีชีวิตที่พึ่งพาระหว่างกัน, การแบ่งออกเป็นเซลล์ (cellularisation), หรือจากสิ่งมีชีวิตที่มีความสัมพันธ์แบบอยู่ร่วมกัน (symbiotic relationship)

หลักฐานแรกของการมีหลายเซลล์มาจากสิ่งมีชีวิตคล้ายไซยาโนแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง 3 ถึง 3.5 พันล้านปีที่แล้ว[31] ฟอสซิลอื่นของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ยุคแรกมีทั้ง Grypania spiralis (ที่ยังคงมีการโต้แย้งกันอยู่) และฟอสซิลในหินดินดานสีดำจาก Francevillian Group Fossil B Formation ในกาบอง[34]

วิวัฒนาการของการมีหลายเซลล์จากบรรพบุรุษที่มีเซลล์เดียวได้มีการจำลองในห้องปฏิบัติการ เป็นการทดลองเกี่ยวกับวิวัฒนาการที่ใช้การเหยื่อเป็นปัจจัยกดดัน (selective pressure) [31]

ต้นกำเนิด

กำเนิดเซลล์แรก

สโตรมาโทไลต์ที่ไซยาโนแบคทีเรีย (สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน) ทิ้งไว้ เป็นฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดบนโลกเท่าที่ทราบกัน ฟอสซิลที่มีอายุกว่าพันล้านปีนี้มาจากGlacier National Park ในสหรัฐอเมริกา

มีอยู่หลายทฤษฎีเกี่ยวกับโมเลกุลขนาดเล็กที่นำไปสู่สรรพชีวิตในโลกยุคแรก ซึ่งอาจถูกนำมาที่โลกด้วยอุกกาบาต (ดูเพิ่มที่อุกกาบาตเมอร์ชิสัน), ถูกสร้างขึ้นที่ปล่องน้ำร้อนใต้ทะเลลึก, หรืออาจถูกสังเคราะห์ด้วยฟ้าผ่าในบรรยากาศรีดิวซ์ (ดูเพิ่มที่การทดลองของมิลเลอร์–อูเรย์) มีข้อมูลจากการทดลองน้อยมากที่สามารถให้นิยามว่า "รูปแบบ" แรกที่สามารถจำลองตัวเองได้คืออะไร แต่เชื่อว่าอาร์เอ็นเออาจเป็นโมเลกุลจำลองตัวเองได้รูปแบบแรกสุด จากความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมและการเร่งปฏิกิริยาเคมี (ดูเพิ่มที่ทฤษฎีโลกของอาร์เอ็นเอ) ทั้งนี้ตัวตน (entity) ที่มีศักยภาพในการจำลองตัวเองอาจมีอยู่ก่อนหน้าอาร์เอ็นเอแล้ว เช่นมอนต์มอริลโลไนต์และกรดเพปไทด์นิวคลิอิก[35]

เซลล์ปรากฏขึ้นเมื่อ 3.5 พันล้านปีที่แล้ว[10][11][12] ในปัจจุบันเชื่อว่าเซลล์ที่เกิดขึ้นมาในยุคนั้นเป็นเฮเทอโรทรอพ (heterotroph) เยื่อหุ้มเซลล์มีความเป็นไปได้ว่าจะซับซ้อนน้อยกว่าและยอมให้สารผ่านเข้าออกได้ง่ายกว่าในยุคปัจจุบัน ด้วยการมีกรดไขมันเพียงสายเดียวต่อลิพิด จากที่ทราบกันว่าลิพิดจัดตัวเป็นเวสิเคิลเยื่อไขมันแบบสองชั้นในทันทีเมื่ออยู่ในน้ำ และอาจมีมาก่อนอาร์เอ็นเอ แต่เยื่อหุ้มเซลล์แบบแรก ๆ อาจถูกสร้างขึ้นโดยอาร์เอ็นเอที่เร่งปฏิกิริยาเคมีได้ และอาจต้องอาศัยโปรตีนโครงสร้างสำหรับการก่อตัว[36]

กำเนิดเซลล์ยูแคริโอต

เซลล์ยูแคริโอตอาจวิวัฒน์ขึ้นมาจากกลุ่มสังคมเอนโดซิมไบโอซิสของเซลล์โพรแคริโอต ออร์แกเนลล์ที่บรรจุดีเอ็นเอเช่นไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์ สืบเชื้อมาจากโพรทีโอแบคทีเรียโบราณและไซยาโนแบคทีเรียที่หายใจโดยใช้ออกซิเจนตามลำดับ และถูกควบรวมให้เข้ามาอาศัยในเซลล์บรรพบุรุษที่เป็นอาร์เคีย

ปัจจุบันยังคงมีข้อถกเถียงกันว่าออร์แกเนลล์อย่างเช่นไฮโดรเจโนโซมมีมาก่อนกำเนิดของไมโทคอนเดรียหรือว่าเป็นไปในทางกลับกัน (ดูเพื่มที่ สมมติฐานไฮโดรเจน สำหรับต้นกำเนิดของเซลล์ยูแคริโอต)

ประวัติศาสตร์ของการค้นคว้า

ภาพวาดของฮุคแสดงเซลล์ในไม้ก๊อก

, 1665]]

หน้าที่เกี่ยวข้อง

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 "Cell". Online Etymology Dictionary. สืบค้นเมื่อ 31 December 2012.
  2. Cell Movements and the Shaping of the Vertebrate Body in Chapter 21 of Molecular Biology of the Cell fourth edition, edited by Bruce Alberts (2002) published by Garland Science.
    The Alberts text discusses how the "cellular building blocks" move to shape developing embryos. It is also common to describe small molecules such as amino acids as "molecular building blocks".
  3. Campbell NA, Williamson B, Heyden RJ (2006). Biology: Exploring Life. Boston, Massachusetts: Pearson Prentice Hall. ISBN 9780132508827.
  4. 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 4.12 4.13 4.14 4.15 4.16 4.17  บทความนี้รวมเอางานสาธารณสมบัติจากเว็บไซต์หรือเอกสารของ NCBI "What Is a Cell?" 30 March 2004.
  5. 5.0 5.1 5.2 Bianconi E, Piovesan A, Facchin F, Beraudi A, Casadei R, Frabetti F, และคณะ (November 2013). "An estimation of the number of cells in the human body". Annals of Human Biology. 40 (6): 463–71. doi:10.3109/03014460.2013.807878. PMID 23829164. S2CID 16247166. These partial data correspond to a total number of 3.72±0.81×1013 [cells].
  6. Azevedo FA, Carvalho LR, Grinberg LT, Farfel JM, Ferretti RE, Leite RE, และคณะ (April 2009). "Equal numbers of neuronal and nonneuronal cells make the human brain an isometrically scaled-up primate brain". The Journal of Comparative Neurology. 513 (5): 532–41. doi:10.1002/cne.21974. PMID 19226510. S2CID 5200449.
  7. Karp G (19 October 2009). Cell and Molecular Biology: Concepts and Experiments. John Wiley & Sons. p. 2. ISBN 9780470483374. Hooke called the pores cells because they reminded him of the cells inhabited by monks living in a monastery.
  8. Tero AC (1990). Achiever's Biology. Allied Publishers. p. 36. ISBN 9788184243697. In 1665, an Englishman, Robert Hooke observed a thin slice of" cork under a simple microscope. (A simple microscope is a microscope with only one biconvex lens, rather like a magnifying glass). He saw many small box like structures. These reminded him of small rooms called "cells" in which Christian monks lived and meditated.
  9. Maton A (1997). Cells Building Blocks of Life. New Jersey: Prentice Hall. ISBN 9780134234762.
  10. 10.0 10.1 Schopf JW, Kudryavtsev AB, Czaja AD, Tripathi AB (2007). "Evidence of Archean life: Stromatolites and microfossils". Precambrian Research. 158 (3–4): 141–55. Bibcode:2007PreR..158..141S. doi:10.1016/j.precamres.2007.04.009.
  11. 11.0 11.1 Schopf JW (June 2006). "Fossil evidence of Archaean life". Philosophical Transactions of the Royal Society of London. Series B, Biological Sciences. 361 (1470): 869–85. doi:10.1098/rstb.2006.1834. PMC 1578735. PMID 16754604.
  12. 12.0 12.1 Raven PH, Johnson GB (2002). Biology. McGraw-Hill Education. p. 68. ISBN 9780071122610. สืบค้นเมื่อ 7 July 2013.
  13. Microbiology : Principles and Explorations By Jacquelyn G. Black
  14. European Bioinformatics Institute, Karyn's Genomes: Borrelia burgdorferi, part of 2can on the EBI-EMBL database. Retrieved 5 August 2012
  15. Satir P, Christensen ST (June 2008). "Structure and function of mammalian cilia". Histochemistry and Cell Biology. 129 (6): 687–93. doi:10.1007/s00418-008-0416-9. PMC 2386530. PMID 18365235. 1432-119X.
  16. PH Raven, Evert RF, Eichhorm SE (1999) Biology of Plants, 6th edition. WH Freeman, New York
  17. Blair DF, Dutcher SK (October 1992). "Flagella in prokaryotes and lower eukaryotes". Current Opinion in Genetics & Development. 2 (5): 756–67. doi:10.1016/S0959-437X(05)80136-4. PMID 1458024.
  18. 18.0 18.1 Campbell Biology—Concepts and Connections. Pearson Education. 2009. p. 320.
  19. Michie KA, Löwe J (2006). "Dynamic filaments of the bacterial cytoskeleton". Annual Review of Biochemistry. 75: 467–92. doi:10.1146/annurev.biochem.75.103004.142452. PMID 16756499. S2CID 4550126.
  20. Ménétret JF, Schaletzky J, Clemons WM, Osborne AR, Skånland SS, Denison C, และคณะ (December 2007). "Ribosome binding of a single copy of the SecY complex: implications for protein translocation" (PDF). Molecular Cell. 28 (6): 1083–92. doi:10.1016/j.molcel.2007.10.034. PMID 18158904.
  21. Prokaryotes. Newnes. Apr 11, 1996. ISBN 9780080984735.
  22. Campbell Biology—Concepts and Connections. Pearson Education. 2009. p. 138.
  23. D. Peter Snustad, Michael J. Simmons, Principles of Genetics – 5th Ed. (DNA repair mechanisms) pp. 364-368
  24. Ananthakrishnan R, Ehrlicher A (June 2007). "The forces behind cell movement". International Journal of Biological Sciences. Biolsci.org. 3 (5): 303–17. doi:10.7150/ijbs.3.303. PMC 1893118. PMID 17589565.
  25. Alberts B (2002). Molecular biology of the cell (4th ed.). Garland Science. pp. 973–975. ISBN 0815340729.
  26. Ananthakrishnan R, Ehrlicher A (June 2007). "The forces behind cell movement". International Journal of Biological Sciences. 3 (5): 303–17. doi:10.7150/ijbs.3.303. PMC 1893118. PMID 17589565.
  27. Willingham E. "Cells Solve an English Hedge Maze with the Same Skills They Use to Traverse the Body". Scientific American (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 7 September 2020.
  28. "How cells can find their way through the human body". phys.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 7 September 2020.
  29. Tweedy L, Thomason PA, Paschke PI, Martin K, Machesky LM, Zagnoni M, Insall RH (August 2020). "Seeing around corners: Cells solve mazes and respond at a distance using attractant breakdown". Science. 369 (6507): eaay9792. doi:10.1126/science.aay9792. PMID 32855311. S2CID 221342551.
  30. Becker WM, และคณะ (2009). The world of the cell. Pearson Benjamin Cummings. p. 480. ISBN 9780321554185.
  31. 31.0 31.1 31.2 Grosberg RK, Strathmann RR (2007). "The evolution of multicellularity: A minor major transition?" (PDF). Annu Rev Ecol Evol Syst. 38: 621–54. doi:10.1146/annurev.ecolsys.36.102403.114735.
  32. Popper ZA, Michel G, Hervé C, Domozych DS, Willats WG, Tuohy MG, และคณะ (2011). "Evolution and diversity of plant cell walls: from algae to flowering plants" (PDF). Annual Review of Plant Biology. 62: 567–90. doi:10.1146/annurev-arplant-042110-103809. hdl:10379/6762. PMID 21351878.
  33. Bonner JT (1998). "The Origins of Multicellularity" (PDF). Integrative Biology: Issues, News, and Reviews. 1 (1): 27–36. doi:10.1002/(SICI)1520-6602(1998)1:1<27::AID-INBI4>3.0.CO;2-6. ISSN 1093-4391. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF, 0.2 MB)เมื่อ March 8, 2012.
  34. El Albani A, Bengtson S, Canfield DE, Bekker A, Macchiarelli R, Mazurier A, และคณะ (July 2010). "Large colonial organisms with coordinated growth in oxygenated environments 2.1 Gyr ago". Nature. 466 (7302): 100–4. Bibcode:2010Natur.466..100A. doi:10.1038/nature09166. PMID 20596019. S2CID 4331375.
  35. Orgel LE (December 1998). "The origin of life--a review of facts and speculations". Trends in Biochemical Sciences. 23 (12): 491–5. doi:10.1016/S0968-0004(98)01300-0. PMID 9868373.
  36. Griffiths G (December 2007). "Cell evolution and the problem of membrane topology". Nature Reviews. Molecular Cell Biology. 8 (12): 1018–24. doi:10.1038/nrm2287. PMID 17971839. S2CID 31072778.
  37. Hooke R (1665). Micrographia: ... London, England: Royal Society of London. p. 113." ... I could exceedingly plainly perceive it to be all perforated and porous, much like a Honey-comb, but that the pores of it were not regular [...] these pores, or cells, [...] were indeed the first microscopical pores I ever saw, and perhaps, that were ever seen, for I had not met with any Writer or Person, that had made any mention of them before this ... " – Hooke describing his observations on a thin slice of cork. See also: Robert Hooke

เชิงอรรถ

  1. An approximation made for someone who is 30 years old, weighs 70 กิโลกรัม (150 ปอนด์), and is 172 เซนติเมตร (5.64 ฟุต) tall.[5] The approximation is not exact, this study estimated that the number of cells was 3.72±0.81×1013.[5]

รายการอ่านเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น