สวนจัวเจิ้ง
Classical Gardens of Suzhou * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
ประเทศ | China |
ภูมิภาค ** | Asia-Pacific |
ประเภท | Cultural |
เกณฑ์พิจารณา | i, ii, iii, iv, v |
อ้างอิง | 813 |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 1997 (คณะกรรมการสมัยที่ 21st) |
เพิ่มเติม | 2000 |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
สวนจัวเจิ้ง (อังกฤษ: Humble Administrator’s Garden, จีนตัวย่อ: 拙政园; จีนตัวเต็ม: 拙政園; พินอิน: Zhuōzhèng Yuán) เป็นสวนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในเมืองซูโจว และด้วยพื้นที่ขนาด 51,950 ตารางเมตร สวนจัวเจิ้งจึงเป็นสวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซูโจว ตั้งอยู่เลขที่ 178 ถนนตงเป่ย (东北街178号) ทางตะวันออกของเมือง และยังเป็น 1 ใน 4 ของสวนที่สำคัญที่สุดของประเทศจีน คำว่า "จัวเจิ้ง" หมายถึง สวนของขุนนางผู้ถ่อมตน สร้างขึ้นตามแบบสวนจีนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสวนที่มีความประณีตงดงามมากที่สุดในทางตอนใต้ของประเทศจีน[1] และได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1997
ประวัติศาสตร์
[แก้]ณ สถานที่ตั้งสวนจัวเจิ้งในปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งของสวนมาตั้งแต่ยุคเชาซิ่ง (Shaoxing period, ค.ศ. 1131-1162) สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มีการเปลี่ยนเจ้าของ รวมทั้งถูกทำลายและบูรณะใหม่ต่อเนื่องมาหลายครั้ง ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยเป็นสวนในที่พักอาศัยของลู่กุยเหมิง (อังกฤษ: Lu Guimeng; จีนตัวย่อ: 陆龟蒙) บัณฑิตและกวีสมัยนั้น สมัยราชวงศ์หยวน สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นสวนของวัดต้าฮง (Dahong Temple) ด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1513 ขุนนางสมัย ราชวงศ์หมิงชื่อ หวังเซี่ยนเฉิง (Wang Xiancheng) ได้สร้างสวนขึ้นใหม่ในบริเวณพื้นที่ทรุดโทรมของวัดต้าฮงเดิมซึ่งถูกไฟใหม้ หลังจากการกลับมายังบ้านเกิดของเขาในเมืองซูโจวในปี ค.ศ. 1510 เมื่อบิดาของเขาเสียชีวิตลง ซึ่งในระหว่างรับราชการนั้น ชีวิตของหวังเซี่ยนเฉิงมีทั้งขาขึ้นและลงอยู่หลายครั้ง จนเมื่อตำแหน่งสุดท้ายก่อนลาออกคือ ผู้ปกครองอำเภอหย่งเจีย (Yongjia) ในมณฑลเจ้อเจียง (Zhejiang)[2]
มีผู้เล่าประวัติของสวนนี้ต่าง ๆ กันไป ทางหนึ่ง (หลักฐานแรกราวปี ค.ศ. 1517) หวังเซี่ยนเฉิงได้รับแรงบันดาลใจจากบทร้อยแก้วในอดีตของพานเยว่ (Pan Yue) บัณฑิตชื่อดังสมัยราชวงศ์จิ๋นตะวันตก ชื่อว่า ชีวิตที่ปรารถนา (An Idle Life) กล่าวว่า "ฉันมีความสุขกับชีวิตที่ไร้กังวล ด้วยการเพาะปลูกต้นไม้และสร้างบ้านของตัวเอง ฉันทดน้ำเพื่อนำมารดผักในสวนของฉัน ชีวิตเยี่ยงนี้ช่างเหมาะสมกับข้าราชการเกษียณอายุอย่างฉันจริง ๆ (I enjoy a carefree life by planting trees and building my own house...I irrigate my garden and grow vegetables for me to eat...such a life suits a retired official like me well.)"[3] ซึ่งคำกล่าวนี้สะท้อนถึงชีวิตของหวังซี่ยนเฉิงที่ถูกกลั่นแกล้งให้ออกจากราชการ จึงเหนื่อยหน่ายชีวิตการเป็นขุนนาง และขอมาอยู่อย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติ นอกจากนั้นเขายังเขียนข้อความตัดพ้อไว้ว่า "นี่เป็นหนทางของนักปกครองผู้ไม่ประสบความสำเร็จ (This is the way of ruling for an unsuccessful politician.)[4] โดยคำว่า จัว แปลตามศัพท์ได้ว่า โง่ เงอะงะ หรือหยาบ ซึ่งสอดคล้องกับชีวิตของหวังเซี่ยนเฉิงผู้สร้างที่ไม่ประสบความสำเร็จในงานราชการ จึงใช้คำนี้เป็นส่วนหนึ่งของชื่อสวนเพื่อประชดสังคม ยังมีเรื่องเล่าอีกทางหนึ่งว่า ขุนนางผู้นี้โกงเงินราชการมาสร้างสวน และภายหลังก็ต้องเสียสวนนี้ไปเนื่องจากต้องหาเงินไปใช้หนี้ที่บุตรเสียการพนัน[5]
ในการก่อสร้างสวนจัวเจิ้ง หวังเซี่ยนเฉิงได้ให้ เหวิ๋นเจิงหมิง (อังกฤษ: Wen Zhengming;จีนตัวย่อ : 文徵明) ผู้เป็นทั้งเพื่อนและนักออกแบบสวนชื่อดังของซูโจวเป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลานาน 16 ปี คือในปี ค.ศ. 1526 จึงสร้างเสร็จ เหวิ๋นเจิงหมิงได้เขียนข้อความชื่อ "หมายเหตุสวนจัวเจิ้งของหวัง (Notes of Wang's Humble Administrator's Garden)" และวาดภาพ "ทิวทัศน์ของสวนจัวเจิ้ง (Landscape of the Humble Administrator's Garden)" ไว้เมื่อปี ค.ศ. 1533 ประกอบด้วยภาพวาดพู่กันจีน 31 ภาพ และบทกลอนอีกหลายบทเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับสวนแห่งนี้[3]
หลังจากที่บุตรชายของหวังเซี่ยนเฉิงเสียสวนนี้ไปเนื่องจากการติดหนี้การพนัน ก็มีการเปลี่ยนมือเจ้าของสวนแห่งนี้หลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1631 สวนทางด้านตะวันออกก็ถูกแบ่งออกจากพื้นที่ส่วนอี่น เนื่องจากหวังซินยี่ รองรัฐมนตรีของกระทรวงยุติธรรม (Wang Xinyi, Vice Minister of the Justice Board)[3] ได้ตกลงซื้อพื้นที่สวนส่วนนี้ไป อีกทั้งยังได้ปรับปรุงสวนและอาคารหลายครั้งในช่วง 4 ปีต่อจากนั้น จนกระทั่งเสร็จสิ้นลงเมื่อปี ค.ศ. 1635 แล้วจึงให้ชื่อของสวนใหม่ว่า กุยเถียนเหยวนจวี (อังกฤษ: Dwelling Upon Return to the Countryside; จีนตัวย่อ: 歸田園居) เลียนแบบกวีเถายวนหมิง (ค.ศ. 365 – 427) ที่ออกจากราชการมาใช้ชีวิตเยี่ยงชาวไร่ชาวนา และในปี ค.ศ. 406 กวีผู้นี้ได้แต่งบทกวีชุด กุยหยวนเถียนจวี หรือกลับสู่นาสวน ซึ่งมีอยู่ 5 บท [5]
ต่อมาในปี ค.ศ. 1738 เจียงชี่ ผู้ปกครองเมืองเจียงซู (Jiang Qi, Governor of Jiangsu) ได้ซื้อสวนส่วนกลาง (central garden) ไว้และยังได้ บูรณะสวนครั้งใหญ่อีกด้วย.[3] ในปี ค.ศ. 1860 สวนแห่งนี้กลายเป็นที่พักของผู้บัญชาการทัพกบฏไท่ผิง ชื่อ หลี่ซิ่วเฉิง (อังกฤษ: Li Xiucheng ; จีนตัวย่อ: 李秀成) ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบสวนอย่างมาก จนเป็นลักษณะสวนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้[6]
นอกจากนั้น ในปี ค.ศ. 1738 สวนตะวันตกก็ถูกซื้อไปโดย Ye Shikuan Chief Histographer เช่นกัน และให้ชื่อสวนส่วนนี้ว่า "สวนหนังสือ" (The Garden of Books) และหลังจากนั้นก็ถูกซื้อต่อโดยพ่อค้าชาวเมืองซูโจวชื่อ จาง ลิ่วเฉียน (Zhang Lüqian) เมื่อปี ค.ศ. 1877 ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น (The Subsidiary Garden) [3]
สมัยกบฏไท่ผิงหรือไต้เผ็ง (ค.ศ. 1850–1864) และช่วงที่ซูโจวตกอยู่ใต้การยึดครองของต่างประเทศ สวนนี้ถูกทิ้งโดยไม่มีการบำรุงรักษา[5]
เมื่อปี ค.ศ. 1949 สมัยรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 1949–ปัจจุบัน) ได้รวมพื้นที่ทั้งสามส่วนเข้าด้วยกัน และในปี ค.ศ. 1952 ได้มีการปรับปรุงสวนนี้ขึ้นมาใหม่ซึ่งต่อมาเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมชม[5]
ปี ค.ศ. 1997 สวนจัวเจิ้งได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
การออกแบบ
[แก้]สวนจัวเจิ้งมีความโดดเด่นในด้านภูมิทัศน์ทางน้ำซึ่งครอบคลุมบริเวณถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด โชว์ศิลปะการไหลเวียนตามธรรมชาติที่เรียบง่ายแบบคลาสิคสมัยหมิง[5] มีศาลาและสะพานจำนวนมากทำหน้าที่เชื่อมต่อสระน้ำและเกาะต่างๆ ในสวนเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งด้วยบทกลอนโคลงคู่และภาพวาดพู่กันจีนของเหวิ๋นเจิงหมิงซึ่งเป็นผู้ออกแบบสวนนี้เอง[5]
ด้านไม้ดอกไม้ประดับที่ตกแต่งในสวนแห่งนี้ เป็นพรรณไม้ที่นิยมกันในประเทศจีน เช่น ตู้จวน ฉาฮวา (camellia) บัว สนชนิดต่างๆ กุหลาบ ไห่ถัง แมกโนเลีย ไม้ดัดต่างๆ แบบซูโจว[5]
บริเวณสวนแบ่งพื้นที่ออกเป็น ส่วนหลัก คือ ส่วนกลาง (the central part หรือ Zhuozheng Yuan) ส่วนตะวันออก (the eastern part ซึ่งเดิมเรียกว่า Guitianyuanju หรือ Dwelling Upon Return to the Countryside) และส่วนตะวันตก (the western part หรือ the Supplementary Garden) ภายในสวนทั้งหมดประกอบด้วยอาคารต่างๆ รวม 48 หลัง แผ่นจารึก (stone tablets) อีก 101 แผ่น เสาหินสลัก (stelae) 40 แท่ง ต้นไม้โบราณสูงค่า 21 ต้น และยังมีต้นไม้ถาด (tray plant; penjing หรือ penzai ในภาษาจีน หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า bonzai) อีกกว่า 700 ต้น [7]
สวนตะวันออก (Eastern Garden; 东园): ประกอบด้วยอาคารล้อมรอบลานหญ้าและสระน้ำตรงกลาง ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกลุ่มต้นอินทนิล ซึ่งมาจากชื่อเรียกไม่เป็นทางการ (nickname) ของสำนักราชเลขาธิการสมัยราชวงศ์ถัง (the Tang Dynasty State Secretariat) ที่ถูกเรียกว่าฝ่ายอินทนิล (Crape Myrtle Department)
สวนกลาง (Central Garden; 中园): พื้นที่หลักของสวนส่วนนี้คือสระน้ำ "เกลียวคลื่น (Surging Wave)" ซึ่งมีเกาะ 3 แห่งอยู่กลางสระ
สวนตะวันตก (Western Garden; 西园): ส่วนนี้มีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของสวนกลาง และยังมีบริเวณส่วนใหญ่เป็นสระน้ำซึ่งวางตัวจากเหนือสู่ใต้ และมีเกาะบริเวณกลางสระ แม้ว่าสวนตะวันตกจะมีขนาดเล็ก แต่ก็วางแผนและสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน ศาลาต่างๆ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากถูกจัดวางตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ[6]
องค์ประกอบของสวนและคำอธิบาย | |
---|---|
สวนตะวันออก (Eastern Garden) | |
กำแพงมังกร (Dragon Wall)
เป็นกำแพงตั้งอยู่บริเวณทางเข้าสวนด้านคลอง (the canal entry) โดยหันหน้าเข้าหาประตูทางเข้า | |
ศาลาสีน้ำเงิน (All Blue Pavilion)
เป็นศาลาที่มีปีกทั้งสองด้านยื่นออกไปในสระน้ำ ได้รับชื่อจากบทกลอนของกวีสมัยราชวงศ์ถัง ชื่อ จู้กวงซี (อังกฤษ: Chu Guangxi; จีนตัวย่อ: 儲光羲) (707–760) มีใจความว่า "เหล่าวัชพืชน้ำทำให้น้ำในสระดูมีสีเขียวเข้ม (Waterweeds in the pond look dark green)" และศาลานี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ระเบียงตกปลา (the Angling Terrace) | |
ศาลาท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ (Celestial Spring Tower)
ศาลาทรงแปดเหลี่ยม สร้างขึ้นล้อมรอบบ่อน้ำที่มีอยู่เดิมที่มีชื่อว่า ท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ (the celestial spring) | |
โถงข้าวฟ่างหอมรัญจวน (Fragrant Sorghum Hall)
โถงขนาดใหญ่ที่มีถึงห้าส่วนด้ายหลังคาทรงปั้นหยา ชื่อของอาคารนี้ได้มาจากทุ่งข้าวฟ่าง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ใกล้ๆ โถงนี้ หน้าต่างอาคารตกแต่งด้วยภาพแกะสลักจากฉากในบทกละครเรื่อง ความโรแมนติกของห้องยุโรป (Romance of the Western Chammber) ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวน | |
ศาลามองไปแสนไกล (Looking Far Away Pavilion)
เป็นศาลาทรงสี่เหลี่ยม(ทางเข้า)เปิดออกทั้งสองด้าน ตั้งอยู่บนเนินเขาด้านหน้าโถงข้าวฟ่างหอมรัญจวน (the Fragrant Sorghum Hall) | |
โถงหลานเสวี่ย หรือโถงกล้วยไม้และหิมะ (Orchid and Snow Hall)
ตั้งชื่อตามคำในบทกวีของหลี่ไป๋ เจ้าของเดิมใช้เป็นที่นั่งดื่มเหล้าและแต่งบทกวีกับเพื่อนฝูงที่เสาใหญ่กลางห้องโถงเขียนบทกวีกล่าวถึงความงดงาม ความรุ่งเรือง และความซบเซาของสวนนี้[5] แบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนด้วยฉากไม้แกะสลักเป็นแผนที่สวนจัวเจิ้ง โดยชื่อของโถงคือ กล้วยไม้และหิมะ เป็นสัญลักษณ์ของพิธีกรรมอันบริสุทธิ์ (ritual purity) | |
ศาลาพิงสายรุ้ง (Pavilion of the Leaning against Rainbow)
ศาลาทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาทรงจั่วปั้นหยา ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าของสวนส่วนกลาง | |
ศาลาชมดอกบัว (Pavilion of Lotus)
ศาลาหลังคาปั้นหยาเปิดทั้งสองด้านและมีระเบียงโดยรอบทั้งสี่ด้านตั้งอยู่ริมสระบัว โดยได้ชื่อมาจากบทกลอนของหยางหว่านหลี่ (อังกฤษ:Yang Wanli;จีนตัวย่อ :楊萬里) กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งจารึกอยู่บนแผ่นหินภายในศาลา | |
สวนกลาง (Central Garden) | |
โถงไม้ใผ่ (Bamboo Hall)
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โถงทิศใต้ (the Southern Hall) เป็นอาคารหลังคาทรงปั้นหยา ชื่อโถงไม้ใผ่ได้มาจากดงป่าใผ่ที่อยู่ใกล้ๆ | |
โถงกลิ่นหอมขจรขจาย (Distant Fragrance Hall)
เป็นโถงหลักของสวนส่วนกลาง มีบริเวณสามส่วน ผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน เป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่ในช่วงราชวงศ์ชิง ใช้เป็นที่ชมความงามของดอกบัวบาน และเกาะหอม (Fragrant Isle) ที่อยู่ในสระเกลียวคลื่น (Surging Wave Pond) โดยชื่อของโถงนี้ได้มาจากบทกวีของ Zhou Dunyi ที่กล่าวไว้ว่า " Though growing out of the filthy mub, she remains unstained. Though bathed in clear water, she bears no sign of seduction." ซึ่งชื่นชมความงามของดอกบัวและกลิ่นหอมของมันที่ขจรขจายจากสระน้ำนี้ | |
ศาลาอู๋ถงและไม้ใผ่ (Firmiana simplex and Bamboo Pavilion)
ตั้งชื่อตามตำนานพื้นบ้านจีนที่กล่าวไว้ว่า "ที่ไหนมีป่าไผ่ที่นั้นมีบ้านเรือน หรือ Where there are bamboo groves there are houses," and "ด้วยมีต้นอู๋ถงหรือพาราซอลจีน (อังกฤษ: Chinese parasol tree หรือ wutong (Firmiana simplex); Chinese: 梧桐; pinyin: wútóng) อยู่ในสวน ก็มั่นใจได้ว่าอมตะนิรันดร์ (ตำนานนกฟีนิกซ์) และโชคดีจะมาเยือนแน่นอน หรือ With a Parasol tree in his yard, one is assured of a phoniex's coming and good fortune.)" เป็นศาลาทรงสี่เหลี่ยมหลังคาทรงจั่วปั้นหยา ผนังมีประตูรูปพระจันทร์หรือประตูทรงกลมทั้งสี่ด้าน | |
โถงดอกแอปเปิลจิ๋วในฤดูใบไม้ผลิ (Flowering Crabapples in Spring Hall)
ตั้งชื่อตามต้นแอปเปิลจิ๋ว (crabapple; Malus spectabilis) ที่ปลูกอยู่บริเวณสวนเล็กที่อยู่ใกล้ๆ กัน | |
สะพานสายรุ้งโบยบิน (Flying Rainbow Bridge)
สะพานมีหลังคาคลุมเชื่อมต่อกับทางเดินที่ปลายสะพานทั้งสองฝั่ง เป็นสะพานโค้งแห่งเดียวในสวนเมืองซูโจว ออกแบบเพื่อให้สายรุ้งที่สะท้อนกับผืนน้ำโดดเด่นมากขึ้น | |
เกาะหอม (Fragrant Isle)
มีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ กลางน้ำ ตั้งชื่อตามกลิ่นของดอกบัวที่อยู่ในสระเกลียวคลื่น | |
โถงประตูด้านใน (Gatehouse - Inner)
เป็นโถงด้านในของประตูทางเข้าสองชั้น โดยมีทางเดินเชื่อมระหว่างประตูโถงทั้งสอง โถงประตูนี้เป็นประตูทางเข้าดั้งเดิมของสวน | |
โถงประตูด้านนอก (Gatehouse - Outer)
โถงประตูส่วนนี้เป็นประตูดั้งเดิมของสวนหลิว และเป็นส่วนด้านนอกของโถงประตูสองชั้นที่เชื่อมถึงกันด้วยทางเดิน | |
ศาลาระลอกคลี่นสีเขียว (Green Ripple Pavilion)
ศาลาทรงสี่เหลี่ยมเปิดโล่งทั้งสี่ด้านตั้งอยู่ริมสระน้ำ | |
โถงแห่งความเป็นเลิศ (Hall of Elegance)
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โถงแห่งความสวยงามวิจิตร (Pavilion of Exqusitiness) | |
หอฟังเสียงฝน (Listening to the Sound of Rain Hall) | |
โถงกลียวคลื่น (Little Surging Wave Hall)
โถงขนาดพื้นที่สามส่วนที่มีมุขทางเข้าอยู่ริมน้ำในสระเกลียวคลื่น | |
ศาลาเกลียวคลื่น (Little Surging Wave Pavilion)
เป็นศาลาที่เชื่อมต่อมาจากโถงเกลียวคลื่น มีผนังปิดทั้งสี่ด้านเนื่องจากมักใช้เป็นที่พักผ่อนในฤดูหนาวเพื่อชื่นชมทิวท้ศน์สะพานสายรุ้งโบยบิน (Flying Rainbow Bridge) | |
ศาลาต้นโลโคท หรือต้นปี๋แป๋ (Loquat Pavilion)
ได้ชื่อมาจากต้นโลโคท (อังกฤษ: Loquat; วิทยาศาสตร์: Eriobotrya japonica) ที่ปลูกรายล้อมศาลา | |
ศาลาสายลมพัดผ่านดอกบัว (Lotus Breeze Pavilion)
ศาลาทรงหกเหลี่ยมตั้งอยู่กลางสระน้ำ ได้ชื่อศาลามาจากบทกวีของ Li Hongyi ที่กล่าวว่า "ใบหลิวสีเขียว สอดประสานกับสะพานคู่ และสายลมอ่อนโยนพัดพากลิ่นจากดอกบัว (Green willow foliage connects twin bridges; gentle breeze sends in lotus scent from around)" | |
โถงแมกโนเลีย (Magnolia Hall) | |
หอทิวท้ศน์เนินเขา (Mountain in View Tower) | |
ศาลาส้ม (Orange Pavilion)
ตั้งอยู่บนเกาะ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศาลารอแม่คะนิ้งหรือน้ำค้างแข็ง (the Pavilion of Awaiting Frost) | |
ศาลาหิมะและหมู่เมฆ (Pavilion of Fragrant Snow and Azure Cloud) | |
ศาลาโบตั๋น (Peony suffruiticosa Pavilion)
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ศาลาผ้าไหมปัก (Embroidered Silk Pavilion) เป็นศาลาทรงสี่เหลี่ยมเปิดโล่ง ตั้งอยู่บนเนินเขาหินสีเหลือง (a yellowstone rockery) | |
โถงคิดลึกหวังสูง (Think Deep Aim High Hall)
ชื่อโถงนี้มาจากหนังสือของยี่ซุน (Yi Xun) "ยืนอยู่ในหุบเขาลึกเตือนให้คิดลึก และด้วยความสูงที่เห็น เตือนให้หวังสูงตาม (standing by deep valleys makes you think deep, and scaling great heights makes you aim high.)" | |
ศาลาคิดลึกหวังสูง (Think Deep Aim High Pavilion) | |
ศาลาธรรมชาติที่แท้จริง (True Nature Pavilion)
ตั้งชื่อตามชื่อของพระสูตรของพระพุทธศาสนา (Buddhist sutra) ที่มีชื่อเดียวกันนี้ เป็นศาลาที่มีพื้นที่ขนาดสามส่วนทรงสี่เหลี่ยมหลังคาทรงปั้นหยา | |
ศาลาครึ่งตะวันตก (Western Half Pavilion)
เป็นศาลาทรงสี่เหลี่ยมเชื่อมต่อกับทางเข้าสวนตะวันตก | |
สวนตะวันตก (West Garden) | |
ศาลาหมวกไม้ใผ่ (Bamboo Hat Pavilion)
ศาลาทรงหกเหลี่ยมหลังคาทรงกลม ตั้งอยู่บริเวณมุมกำแพงศาลา "ฉันจะนั่งกับใครดี?" ("With Whom Shall I Sit?" Pavilion) | |
หอลอยเขียว (Floating Green Tower) | |
ศาลาสิ่งดีๆสำหรับทั้งสองครอบครัว (Good for Both Families Pavilion)
ศาลาสองชั้นทรงแปดเหลี่ยมตั้งอยู่บนยอดเนินหิน | |
Hall of 36 Mandrian Ducks and 18 Camellias
เป็นโถงหลักของสวนตะวันตก เป็นโถงที่เคยใช้เป็นที่แสดงของอุปรากรจีน Kunqu Opera | |
โถงสดับฟัง (Keep and Listen Hall)
ได้ชื่อมาจากบทกวีของ Li Shangyin ซึ่งกล่าวว่า "ฤดูใบไม้ร่วมอันแสนเศร้ายังไม่ทันจากไป น้ำค้างแข็งยังไม่ทันมา ใบบัวเหี่ยวถูกทิ้งให้ฟังเสียงฝน (Autumn gloom doesn't clear up yet and fall frost gets delayed; withered lotus leaves are left in the pond to hear the patter of rain.)" โถงนี้ออกแบบให้เป็นจุดที่ดีในการชมดอกบัวในสระ | |
ศาลาสะท้อนพระเจดีย์ (Pagoda Reflection Pavilion) | |
หอเงาสะท้อน (Tower of Reflection)
เป็นอาคารสองชั้นที่เป็นอนุสรณ์สำหรับเหวิ๋นเจิงหมิง (Wen Zhengming) และ Sเซินโจว (Shen Zhou) | |
ทางเดินคลื่นริมน้ำ (Wavy Waterside Corridor)
ทางเดินมีหลังคาคลุมที่ใช้เป็นท่าเทียบเรือเล็ก | |
ศาลา "ฉันจะนั่งกับใครดี?" ("With Whom Shall I Sit?" Pavilion)
เป็นชื่อที่ตั้งมาจากบทกวีของ Su Shi ซึ่งกล่าวว่า "กลางแสงจันทร์และสายลมสดชื่น ฉันจะนั่งกับใครดี (With whom shall I sit? the bright moon, refreshing breeze and me.)" | |
ศาลาสีน้ำเงิน (All Blue Pavilion)
เป็นศาลาที่มีปีกทั้งสองด้านยื่นออกไปในสระน้ำ ได้รับชื่อจากบทกลอนของกวีสมัยราชวงศ์ถัง ชื่อ จู้กวงซี (อังกฤษ: Chu Guangxi; จีนตัวย่อ: 儲光羲) (707–760) มีใจความว่า "เหล่าวัชพืชน้ำทำให้น้ำในสระดูมีสีเขียวเข้ม (Waterweeds in the pond look dark green)" และศาลานี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ระเบียงตกปลา (the Angling Terrace) |
-
ศาลาและสระบัว
-
สะพาน
-
ศาลา
-
ภายในสวน
-
สวนตะวันตก
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Forsyth, Holly Kerr (2010). Gardens of Eden: Among the World's Most Beautiful Gardens. Melbourne University Publishing. p. 103. ISBN 0-522-85776-0.
- ↑ Craig Clunas (1996).Fruitful Sites: Garden Culture in Ming Dynasty China. Durham: Duke University Press.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 Yuan, 2004
- ↑ Craig Clunas (1996). Fruitful Sites: Garden culture in Ming Dynasty China. Durham: Duke University Press
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 5.7 เจียงหนานแสนงาม หน้า 248-257 บทพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
- ↑ 6.0 6.1 Lou Qingxi (2011). Chinese gardens. Cambridge: University Press.
- ↑ Suzhou, 2009
บรรณานุกรม
[แก้]- Suzhou China (2009), Humble Administrator's Garden, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03, สืบค้นเมื่อ 2009
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - Ministry of Culture, P.R. China (2003), Humble Administrator's Garden, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-03, สืบค้นเมื่อ 2009
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - Terebess LLC (June 24, 2004), The Humble Administrator's Garden, สืบค้นเมื่อ 2009-02-30
{{citation}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - Yuan (袁), Xuehan (学汉) (2004), The Classical Gardens of Suzhou (苏州古典园林), CIP, p. 217, ISBN 7-214-03763-7, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-11-25, สืบค้นเมื่อ 2014-04-02
{{citation}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help)
- Clunas, Craig (1996), Fruitful Sites: Garden Culture in Ming Dynasty China
- Liu, Dunzhen (1979), Suzhou gudian yuanlin Classic Gardens of Suzhou
- Lou, Qingxi (2011), Chinese Gardens