มัสยิดอัลอักศอ
มัสยิดอัลอักศอ | |
---|---|
جامع الأقصى المصلى القبلي المسجد الاقصى (พิพาท) | |
ศาสนา | |
ศาสนา | อิสลาม |
หน่วยงานกำกับดูแล | มุฮัมมัด อะห์มัด ฮุซัยน์ (แกรนด์มุฟตีเยรูซาเลม) |
ที่ตั้ง | |
ที่ตั้ง | เนินพระวิหาร (เยรูซาเลมตะวันออก) |
ที่ตั้งในเมืองเก่าเยรูซาเลม | |
ผู้บริหาร | Jerusalem Islamic Waqf |
พิกัดภูมิศาสตร์ | 31°46′34″N 35°14′09″E / 31.77617°N 35.23583°E |
สถาปัตยกรรม | |
ประเภท | มัสยิด |
รูปแบบ | อิสลามตอนต้น |
เริ่มก่อตั้ง | คริสต์ศตวรรษที่ 7–8 |
ลักษณะจำเพาะ | |
ทิศทางด้านหน้า | เหนือ–ตะวันตกเฉียงเหนือ |
ความจุ | มากกว่า 5,000 คน |
วัสดุ | หินปูน (กำแพงส่วนนอก, ด้านหน้าอาคาร), ตะกั่วและคอนกรีต (โดม), หินอ่อนสีขาว (เสาหินข้างใน) และโมเสก[1] |
มัสยิดอัลอักศอ (อาหรับ: المسجد الاقصى) เรียกอย่างถูกต้องว่า ญามิอุลอักศอ (อาหรับ: جامع الأقصى) มีอีกชื่อว่า มัสยิดกิบลี หรือ มุศ็อลลากิบลี (อาหรับ: المصلى القبلي, อักษรโรมัน: al-muṣallā al-qiblī, แปลตรงตัว 'หอละหมาดกิบลัต (ใต้)')[2] เป็นมัสยิดรวมหรือหอละหมาดในย่านเมืองเก่าของเยรูซาเลม บางข้อมูลให้ชื่ออาคารนี้ว่า มัสยิดอัลอักศอ[3][4][5] แต่ชื่อนี้เป็นที่โต้แย้ง เนื่องจากสามารถใช้กับพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นที่ตั้งของอาคารได้[6] พื้นที่ที่กว้างกว่ามีอีกชื่อว่า ฮะรอมุชชะรีฟ[7] ประกอบด้วยพื้นที่มัสยิดอัลอักศอและเนินพระวิหาร[8][9][10]
ในสมัยเคาะลีฟะฮ์ อุมัรแห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน (ค. 634 – 644) หรือเคาะลีฟะฮ์ มุอาวิยะฮ์ที่ 1 แห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (ค. 661 – 680) มีการสร้างอาคารละหมาดขนาดเล็กบนพื้นที่ใกล้กับที่ตั้งของมัสยิด ส่วนมัสยิดในปัจจุบันที่ตั้งอยู่บนกำแพงตอนใต้ของพื้นที่นั้น สร้างขึ้นโดยอับดุลมะลิก เคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์องค์ที่ 5 (ค. 685 – 705) หรืออัลวะลีดที่ 1 (ค. 705 – 715) ผู้สืบทอดของพระองค์ (หรือทั้งสองพระองค์) ในแนวเดียวกันกับโดมแห่งศิลา หลังมัสยิดถูกทำลายจากแผ่นดินไหวใน ค.ศ. 746 จึงมีการสร้างใหม่ใน ค.ศ. 758 โดย อัลมันศูร เคาะลีฟะฮ์แห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ จากนั้นจึงขยายเพิ่มเติมใน ค.ศ. 780 โดยเคาะลีฟะฮ์ อัลมะฮ์ดี โดยมีทางเดินสิบห้าแถวและโดมกลาง แต่มัสยิดนี้ถูกทำลายจากแผ่นดินไหวที่หุบเขาทรุดจอร์แดน ค.ศ. 1033 ก่อนที่จะสร้างขึ้นใหม่โดยเคาะลีฟะฮ์ อัซซอฮิรแห่งรัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ โดยลดทางเดินเหลือ 7 แถว แต่ตกแต่งภายในด้วยซุ้มประตูตรงกลางวิจิตรบรรจงที่ปูด้วยโมเสกรูปพืชพรรณ โครงสร้างปัจจุบันรักษาโครงร่างในคริสต์ศตวรรษที่ 11
ในระหว่างการบูรณะเป็นระยะ ๆ ราชวงศ์อิสลามที่ปกครองพื้นที่นี้ได้สร้างมัสยิดและอาณาบริเวณเพิ่มเติม เช่น โดม ด้านหน้าอาคาร หออะษาน กับมินบัร และโครงสร้างภายใน ก่อนทีนักรบครูเสดเข้ายึดครองใน ค.ศ. 1099 มัสยิดนี้เคยเป็นพระราชวัง หลังจากนั้นจึงกลายเป็นกองบัญชาการของอัศวินเทมพลาร์ หลังเศาะลาฮุดดีนยึดพื้นที่นี้คืนใน ค.ศ. 1187 โครงสร้างนี้จึงกลับไปเป็นมัสยิด แล้วมีโครงการบูรณะ ซ่อมแซม และขยายในศตวรรษถัดมาของรัฐสุลต่านอัยยูบ รัฐสุลต่านมัมลูก จักรวรรดิออตโตมัน สภามุสลิมสูงสุดของบริติชปาเลสไตน์ และในสมัยเวสต์แบงก์ภายใต้การครอบครองของจอร์แดน มัสยิดนี้อยู่ภายใต้การบริหารแบบอิสระของ Jerusalem Islamic Waqf นับตั้งแต่เริ่มต้นการครอบครองเวสต์แบงก์ของอิสราเอล[11]
มัสยิดอัลอักศอตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ทางประวัติศาสตร์และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในศาสนายูดาห์และศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในบริเวณพระวิหารในกรุงเยรูซาเลม พื้นที่ทั้งหมดจึงมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์สูง และเป็นบริเวณที่เกิดความรุนแรงและควบคุมไม่ได้โดยหลักในความขัดแย้งอิสราเอล–ปาเลสไตน์[12]
คำนิยาม
[แก้]ศัพท์ "มัสยิดอัลอักศอ" มาจากอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ที่ 17 ("มัสยิดอันไกลโพ้น") ใช้เรียกพื้นที่เนินพระวิหารทั้งหมด ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า ฮะรอมุชชะรีฟ ส่วน "ญามิอุลอักศอ" ใช้เรียกอาคารมัสยิดรวมที่มีโดมสีเงิน[13][14][15] นักเขียนชาวอาหรับและเปอร์เซียหลายคนอย่างอัลมักดิซี นักภูมิศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 10[16] นอซีร์ ฆูสโรว์ นักวิชาการในคริสต์ศตวรรษที่ 11[16] อัลอิดรีซี นักภูมิศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 12[17] และมุญีรุดดีน นักวิชาการอิสลามในคริสต์ศตวรรษที่ 15,[2][18] เช่นเดียวกันกับเอ็ดเวิร์ด โรบินสัน นักบูรพาคดีในคริสต์ศตวรรษที่ 19[13] Guy Le Strange และเอ็ดเวิร์ด เฮนรี พาล์มเมอร์อธิบายว่า ศัพท์ มัสยิดอัลอักศอ สื่อถึงลานสนามว่างทั้งหมดที่มีอีกชื่อว่า เนินพระวิหาร หรือฮะรอมุชชะรีฟ นั่นคือ พื้นที่ทั้งหมดโดยรวมโดมแห่งศิลา, น้ำพุ, ประตูใหญ่ และหออะษาน 4 แห่ง เนื่องจากอาคารเหล่านี้ยังไม่มีการสร้างในช่วงที่มีการบันทึกกุรอาน[14][19][20] อัลมักดิซีกล่าวถึงอาคารทางใต้ (หัวข้อบทความนี้) เป็น Al Mughattâ ("ส่วนที่ถูกคลุม") และนอซีร์ ฆูสโรว์กล่าวถึงสิ่งนี้ด้วยศัพทเปอร์เซียว่า Pushish (ความหมายเดียวกันกับ "Al Mughatta") หรือ มักศูเราะฮ์ (ส่วนของสัมพจนัยทั้งหมด)[16]
อาคารนี้ยังมีอีกชื่อเรียกว่า มัสยิด(อัล)กิบลี หรือมุศ็อลลา(อัล)กิบลี สื่อถึงที่ตั้งทางตอนใต้ของพื้นที่ทั้งหมด เนื่องจากมีการย้ายกิบลัตจากเยรูซาเลมไปยังมักกะฮ์[21]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Al-Ratrout, H. A., The Architectural Development of Al-Aqsa Mosque in the Early Islamic Period, ALMI Press, London, 2004.
- ↑ 2.0 2.1 Williams, George (1849). The Holy City: Historical, Topographical and Antiquarian Notices of Jerusalem. Parker. pp. 143–160.
The following detailed account of the Haram es-Sherif, with some interesting notices of the City, is extracted from an Arabic work entitled " The Sublime Companion to the History of Jerusalem and Hebron, by Kadi Mejir-ed-din, Ebil-yemen Abd-er-Rahman, El-Alemi," who died A. H. 927, (A. d. 1521)… "I have at the commencement called attention to the fact that the place now called by the name Aksa (i. e. the most distant), is the Mosk [Jamia] properly so called, at the southern extremity of the area, where is the Minbar and the great Mihrab. But in fact Aksa is the name of the whole area enclosed within the walls, the dimensions of which I have just given, for the Mosk proper [Jamia], the Dome of the Rock, the Cloisters, and other buildings, are all of late construction, and Mesjid el-Aksa is the correct name of the whole area."
and also von Hammer-Purgstall, J.F. (1811). "Chapitre vingtième. Description de la mosquée Mesdjid-ol-aksa, telle qu'elle est de nos jours, (du temps de l'auteur, au dixième siècle de l'Hégire, au seizième après J. C.)". Fundgruben des Orients (ภาษาฝรั่งเศส). Vol. 2. Gedruckt bey A. Schmid. p. 93.Nous avons dès le commencement appelé l'attention sur que l'endroit, auquel les hommes donnent aujourd'hui le nom d'Aksa, c'est à-dire, la plus éloignée, est la mosquée proprement dite, bâtie à l'extrêmité méridionale de l'enceinte où se trouve la chaire et le grand autel. Mais en effet Aksa est le nom de l'enceinte entière, en tant qu'elle est enfermée de murs, dont nous venons de donner la longueur et la largeur, car la mosquée proprement dite, le dôme de la roche Sakhra, les portiques et les autres bâtimens, sont tous des constructions récentes, et Mesdjidol-aksa est le véritable nom de toute l'enceinte. (Le Mesdjid des arabes répond à l'ίερόν et le Djami au ναός des grecs.)
- ↑ Yavuz 1996.
- ↑ Salameh, Khader (2009). "A New Saljuq Inscription in the Masjid al-Aqsa, Jerusalem". Levant. 41 (1): 107–117. doi:10.1179/175638009x427620. ISSN 0075-8914. S2CID 162230613.
- ↑ 1936 Survey of Palestine map of the Old City of Jerusalem
- ↑
- Tucker, S.C.; Roberts, P. (2008). The Encyclopedia of the Arab-Israeli Conflict: A Political, Social, and Military History [4 volumes]: A Political, Social, and Military History. ABC-CLIO history reference online. ABC-CLIO. p. 70. ISBN 978-1-85109-842-2.
Al-Aqsa Mosque The al-Aqsa Mosque (literally, "farthest mosque") is both a building and a complex of religious buildings in Jerusalem. It is known to Muslims as al-Haram al-Sharif (the Noble Sanctuary) and to Jews and Christians as the Har ha-Bayit or Temple Mount. The whole area of the Noble Sanctuary is considered by Muslims to be the al-Aqsa Mosque, and the entire precinct is inviolable according to Islamic law. It is considered specifically part of the waqf (endowment) land that had included the Western Wall (Wailing Wall), property of an Algerian family, and more generally a waqf of all of Islam. When viewed as a complex of buildings, the al-Aqsa Mosque is dominated and bounded by two major structures: the al-Aqsa Mosque building on the east and the Dome of the Rock (or the Mosque of Omar) on the west. The Dome of the Rock is the oldest holy building in Islam.
- "Jerusalem holy site clashes fuel fears of return to war". BBC News. 2022-04-22. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 May 2022. สืบค้นเมื่อ 30 May 2022.
Whole site also considered by Muslims as Al Aqsa Mosque
- UNESCO World Heritage Centre (2022-04-04). "39 COM 7A.27 - Decision". UNESCO World Heritage Centre. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 May 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-05-29.
…the historic Gates and windows of the Qibli Mosque inside Al-Aqsa Mosque/ Al-Haram Al-Sharif, which is a Muslim holy site of worship and an integral part of a World Heritage Site
- PEF Survey of Palestine, Jerusalem, 1884, p.119: "The Jamia el Aksa, or 'distant mosque' (that is, distant from Mecca), is on the south, reaching to the outer wall. The whole enclosure of the Haram is called by Moslem writers Masjid el Aksa, 'praying-place of the Aksa,' from this mosque."
- Yitzhak Reiter: "This article deals with the employment of religious symbols for national identities and national narratives by using the sacred compound in Jerusalem (The Temple Mount/al-Aqsa) as a case study. The narrative of The Holy Land involves three concentric circles, each encompassing the other, with each side having its own names for each circle. These are: Palestine/Eretz Israel (i.e., the Land of Israel); Jerusalem/al-Quds and finally The Temple Mount/al-Aqsa compound...Within the struggle over public awareness of Jerusalem's importance, one particular site is at the eye of the storm—the Temple Mount and its Western Wall—the Jewish Kotel—or, in Muslim terminology, the al-Aqsa compound (alternatively: al-Haram al-Sharif) including the al-Buraq Wall... "Al-Aqsa" for the Palestinian-Arab-Muslim side is not merely a mosque mentioned in the Quran within the context of the Prophet Muhammad's miraculous Night Journey to al-Aqsa which, according to tradition, concluded with his ascension to heaven (and prayer with all of the prophets and the Jewish and Christian religious figures who preceded him); rather, it also constitutes a unique symbol of identity, one around which various political objectives may be formulated, plans of action drawn up and masses mobilized for their realization", "Narratives of Jerusalem and its Sacred Compound" เก็บถาวร 21 พฤษภาคม 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Israel Studies 18(2):115-132 (July 2013)
- Annika Björkdahl and Susanne Buckley-Zistel: "The site is known in Arabic as Haram al-Sharif – the Noble Sanctuary – and colloquially as the Haram or the al-Aqsa compound; while in Hebrew, it is called Har HaBeit – the Temple Mount." Annika Björkdahl; Susanne Buckley-Zistel (1 May 2016). Spatialising Peace and Conflict: Mapping the Production of Places, Sites and Scales of Violence. Palgrave Macmillan UK. pp. 243–. ISBN 978-1-137-55048-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 May 2022. สืบค้นเมื่อ 21 May 2022.
- Mahdi Abdul Hadi:"Al-Aqsa Mosque, also referred to as Al-Haram Ash-Sharif (the Noble Sanctuary), comprises the entire area within the compound walls (a total area of 144,000 m2) - including all the mosques, prayer rooms, buildings, platforms and open courtyards located above or under the grounds - and exceeds 200 historical monuments pertaining to various Islamic eras. According to Islamic creed and jurisprudence, all these buildings and courtyards enjoy the same degree of sacredness since they are built on Al-Aqsa's holy grounds. This sacredness is not exclusive to the physical structures allocated for prayer, like the Dome of the Rock or Al-Qibly Mosque (the mosque with the large silver dome)"Mahdi Abdul Hadi เก็บถาวร 2020-02-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Palestinian Academic Society for the Study of International Affairs; Tim Marshall: "Many people believe that the mosque depicted is called the Al-Aqsa; however, a visit to one of Palestine's most eminent intellectuals, Mahdi F. Abdul Hadi, clarified the issue. Hadi is chairman of the Palestinian Academic Society for the Study of International Affairs, based in East Jerusalem. His offices are a treasure trove of old photographs, documents, and symbols. He was kind enough to spend several hours with me. He spread out maps of Jerusalem's Old City on a huge desk and homed in on the Al-Aqsa compound, which sits above the Western Wall. "The mosque in the Al-Aqsa [Brigades] flag is the Dome of the Rock. Everyone takes it for granted that it is the Al-Aqsa mosque, but no, the whole compound is Al-Aqsa, and on it are two mosques, the Qibla mosque and the Dome of the Rock, and on the flags of both Al-Aqsa Brigades and the Qassam Brigades, it is the Dome of the Rock shown," he said. Tim Marshall (4 July 2017). A Flag Worth Dying For: The Power and Politics of National Symbols. Simon and Schuster. pp. 151–. ISBN 978-1-5011-6833-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2019. สืบค้นเมื่อ 17 April 2018.
- Tucker, S.C.; Roberts, P. (2008). The Encyclopedia of the Arab-Israeli Conflict: A Political, Social, and Military History [4 volumes]: A Political, Social, and Military History. ABC-CLIO history reference online. ABC-CLIO. p. 70. ISBN 978-1-85109-842-2.
- ↑ Kershner, Isabel (14 November 2009). "Unusual Partners Study Divisive Jerusalem Site". The New York Times.
- ↑ Hughes, Aaron W. (2014). Theorizing Islam: Disciplinary Deconstruction and Reconstruction. Religion in Culture. Taylor & Francis. p. 45. ISBN 978-1-317-54594-1.
Although later commentators would debate whether or not this journey was a physical one or took place at an internal level, it would come to play a crucial role in establishing Muhammad's prophetic credentials. In the first part of this journey, referred to as the isra, he traveled from the Kaba in Mecca to "the farthest mosque" (al-masjid al-aqsa), identified with the Temple Mount in Jerusalem: the al-Aqsa mosque that stands there today eventually took its name from this larger precinct, in which it was constructed.
- ↑ Sway, Mustafa A. (2015), "Al-Aqsa Mosque: Do Not Intrude!", Palestine - Israel Journal of Politics, Economics, and Culture, 20/21 (4): 108–113, ProQuest 1724483297 – โดยทาง ProQuest,
Ahmed ibn Hanbal (780–855): "Verily, 'Al-Aqsa' is a name for the whole mosque which is surrounded by the wall, the length and width of which are mentioned here, for the building that exists in the southern part of the Mosque, and the other ones such as the Dome of the Rock and the corridors and other [buildings] are novel (muhdatha)." Mustafa Sway: More than 500 years ago, when Mujir Al-Din Al-Hanbali offered the above definition of Al-Aqsa Mosque in the year 900 AH/1495, there were no conflicts, no occupation and no contesting narratives surrounding the site.
- ↑ Omar, Abdallah Marouf (2017). "Al-Aqsa Mosque's Incident in July 2017: Affirming the Policy of Deterrence". Insight Turkey. 19 (3): 69–82. doi:10.25253/99.2017193.05. JSTOR 26300531.
In a treaty signed by Jordan and the Palestinian Authority on March 31, 2013, both sides define al-Aqsa Mosque as being "al-Masjid al-Aqsa with its 144 dunums, which include the Qibli Mosque of al-Aqsa, the Mosque of the Dome of the Rock, and all its mosques, buildings, walls, courtyards". ... Israel insists on identifying al-Aqsa Mosque as being a small building. ... Nonetheless, the Executive Board of UNESCO adopted the Jordanian definition of al-Aqsa Mosque in its Resolution (199 EX/PX/DR.19.1 Rev).
Occupied Palestine: draft decision (199 EX/PX/DR.19.1 REV), UNESCO Executive Board. UNESCO. 2016. - ↑ "Arab states neglect Al-Aqsa says head of Jerusalem Waqf". Al-Monitor. 5 September 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 April 2016. สืบค้นเมื่อ 5 April 2016.
- ↑ The Archaeology of the Holy Land: From the Destruction of Solomon's Temple to the Muslim Conquest เก็บถาวร 15 กรกฎาคม 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Cambridge University Press, Jodi Magness, page 355
- ↑ 13.0 13.1 Robinson, E.; Smith, E. (1841). Biblical Researches in Palestine. John Murray.
The Jámi'a el-Aksa is the mosk alone; the Mesjid el-Aksa is the mosk with all the sacred enclosure and precincts, including the Sükhrah. Thus the words Mesjid and Jāmi'a differ in usage somewhat like the Greek ίερόν and ναός.
- ↑ 14.0 14.1 Palmer, E. H. (1871). "History of the Haram Es Sherif: Compiled from the Arabic Historians". Palestine Exploration Quarterly. 3 (3): 122–132. doi:10.1179/peq.1871.012. ISSN 0031-0328.
EXCURSUS ON THE NAME MASJID EL AKSA. In order to understand the native accounts of the sacred area at Jerusalem, it is essentially necessary to keep in mind the proper application of the various names by which it is spoken of. When the Masjid el Aksa is mentioned, that name is usually supposed to refer to the well-known mosque on the south side of the Haram, but such is not really the case. The latter building is called El Jámʻi el Aksa, or simply El Aksa, and the substructures are called El Aksa el Kadímeh (the ancient Aksa), while the title El Masjid el Aksa is applied to the whole sanctuary. The word Jámi is exactly equivalent in sense to the Greek συναγωγή, and is applied to the church or building in which the worshippers congregate. Masjid, on the other hand, is a much more general term; it is derived from the verb sejada "to adore," and is applied to any spot, the sacred character of which would especially incite the visitor to an act of devotion. Our word mosque is a corruption of masjid, but it is usually misapplied, as the building is never so designated, although the whole area on which it stands may be so spoken of. The Cubbet es Sakhrah, El Aksa, Jam'i el Magharibeh, &c., are each called a Jami, but the entire Haram is a masjid. This will explain how it is that 'Omar, after visiting the churches of the Anastasis, Sion, &c., was taken to the "Masjid" of Jerusalem, and will account for the statement of Ibn el 'Asa'kir and others, that the Masjid el Aksa measured over 600 cubits in length-that is, the length of the whole Haram area. The name Masjid el Aksa is borrowed from the passage in the Coran (xvii. 1), when allusion is made to the pretended ascent of Mohammed into heaven from ·the temple of Jerusalem; "Praise be unto Him who transported His servant by night from El Masjid el Haram (i.e., 'the Sacred place of Adoration' at Mecca) to El Masjid el Aksa (i.e., 'the Remote place of Adoration' at Jerusalem), the precincts of which we have blessed," &c. The title El Aksa, "the Remote," according to the Mohammedan doctors, is applied to the temple of Jerusalem "either because of its distance from Mecca, or because it is in the centre of the earth."
- ↑ PEF Survey of Palestine, Jerusalem, 1884, p.119: "The Jamia el Aksa, or 'distant mosque' (that is, distant from Mecca), is on the south, reaching to the outer wall. The whole enclosure of the Haram is called by Moslem writers Masjid el Aksa, 'praying-place of the Aksa,' from this mosque."
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Le Strange, Guy (1890). Palestine Under the Moslems: A Description of Syria and the Holy Land from A.D. 650 to 1500. Translated from the Works of the Medieval Arab Geographers. Houghton, Mifflin. p. 96.
Great confusion is introduced into the Arab descriptions of the Noble Sanctuary by the indiscriminate use of the terms Al Masjid or Al Masjid al Akså, Jami' or Jami al Aksâ; and nothing but an intimate acquaintance with the locality described will prevent a translator, ever and again, misunderstanding the text he has before him-since the native authorities use the technical terms in an extraordinarily inexact manner, often confounding the whole, and its part, under the single denomination of "Masjid." Further, the usage of various writers differs considerably on these points : Mukaddasi invariably speaks of the whole Haram Area as Al Masjid, or as Al Masjid al Aksî, "the Akså Mosque," or "the mosque," while the Main-building of the mosque, at the south end of the Haram Area, which we generally term the Aksa, he refers to as Al Mughattâ, "the Covered-part." Thus he writes "the mosque is entered by thirteen gates," meaning the gates of the Haram Area. So also "on the right of the court," means along the west wall of the Haram Area; "on the left side" means the east wall; and "at the back" denotes the northern boundary wall of the Haram Area. Nasir-i-Khusrau, who wrote in Persian, uses for the Main-building of the Aksâ Mosque the Persian word Pushish, that is, "Covered part," which exactly translates the Arabic Al Mughatta. On some occasions, however, the Akså Mosque (as we call it) is spoken of by Näsir as the Maksurah, a term used especially to denote the railed-off oratory of the Sultan, facing the Mihrâb, and hence in an extended sense applied to the building which includes the same. The great Court of the Haram Area, Nâsir always speaks of as the Masjid, or the Masjid al Akså, or again as the Friday Mosque (Masjid-i-Jum'ah).
- ↑ Idrīsī, Muhammad; Jaubert, Pierre Amédée (1836). Géographie d'Édrisi (ภาษาฝรั่งเศส). à l'Imprimerie royale. pp. 343–344.
Sous la domination musulmane il fut agrandi, et c'est (aujourd'hui) la grande mosquée connue par les Musulmans sous le nom de Mesdjid el-Acsa مسجد الأقصى. Il n'en existe pas au monde qui l'égale en grandeur, si l'on en excepte toutefois la grande mosquée de Cordoue en Andalousie ; car, d'après ce qu'on rapporte, le toit de cette mosquée est plus grand que celui de la Mesdjid el-Acsa. Au surplus, l'aire de cette dernière forme un parallelogramme dont la hauteur est de deux cents brasses (ba'a), et le base de cents quatre-vingts. La moitié de cet espace, celle qui est voisin du Mihrab, est couverte d'un toit (ou plutôt d'un dôme) en pierres soutenu par plusieurs rangs de colonnes ; l'autre est à ciel ouvert. Au centre de l'édifice est un grand dôme connu sous le nom de Dôme de la roche; il fut orné d'arabesques en or et d'autres beaux ouvrages, par les soins de divers califes musulmans. Le dôme est percé de quatre portes; en face de celle qui est à l'occident, on voit l'autel sur lequel les enfants d'Israël offraient leurs sacrifices; auprès de la porte orientale est l'église nommée le saint des saints, d'une construction élégante ; au midi est une chapelle qui était à l'usage des Musulmans; mais les chrétiens s'en sont emparés de vive force et elle est restée en leur pouvoir jusqu'à l'époque de la composition du présent ouvrage. Ils ont converti cette chapelle en un couvent où résident des religieux de l'ordre des templiers, c'est-à-dire des serviteurs de la maison de Dieu.
Also at Williams, G.; Willis, R. (1849). "Account of Jerusalem during the Frank Occupation, extracted from the Universal Geography of Edrisi. Climate III. sect. 5. Translated by P. Amédée Jaubert. Tome 1. pp. 341—345.". The Holy City: Historical, Topographical, and Antiquarian Notices of Jerusalem. J.W. Parker. - ↑ Mustafa Abu Sway (Fall 2000). "The Holy Land, Jerusalem and Al-Aqsa Mosque in the Islamic Sources". Journal of the Central Conference of American Rabbis (CCAR): 60–68.
Quoting Mujir al-Din: "Verily, ‘Al-Aqsa’ is a name for the whole mosque which is surrounded by the wall, the length and width of which are mentioned here, for the building that exists in the southern part of the Mosque, and the other ones such as the Dome of the Rock and the corridors and other [buildings] are novel"
- ↑ Le Strange, Guy (1890). Palestine Under the Moslems: A Description of Syria and the Holy Land from A.D. 650 to 1500. Translated from the Works of the Medieval Arab Geographers. Houghton, Mifflin.
THE AKSÀ MOSQUE. The great mosque of Jerusalem, Al Masjid al Aksà, the "Further Mosque," derives its name from the traditional Night Journey of Muhammad, to which allusion is made in the words of the Kuran (xvii. I)... the term "Mosque" being here taken to denote the whole area of the Noble Sanctuary, and not the Main-building of the Aksà only, which, in the Prophet's days, did not exist.
- ↑ Strange, Guy le (1887). "Description of the Noble Sanctuary at Jerusalem in 1470 A.D., by Kamâl (or Shams) ad Dîn as Suyûtî". Journal of the Royal Asiatic Society of Great Britain and Ireland. Royal Asiatic Society of Great Britain and Ireland. 19 (2): 247–305. doi:10.1017/S0035869X00019420. ISSN 0035-869X. JSTOR 25208864. S2CID 163050043.
…the term Masjid (whence, through the Spanish Mezquita, our word Mosque) denotes the whole of the sacred edifice, comprising the main building and the court, with its lateral arcades and minor chapels. The earliest specimen of the Arab mosque consisted of an open courtyard, within which, round its four walls, run colonades or cloisters to give shelter to the worshippers. On the side of the court towards the Kiblah (in the direction of Mekka), and facing which the worshipper must stand, the colonade, instead of being single, is, for the convenience of the increased numbers of the congregation, widened out to form the Jami' or place of assembly… coming now to the Noble Sanctuary at Jerusalem, we must remember that the term 'Masjid’ belongs not only to the Aksa mosque (more properly the Jami’ or place of assembly for prayer), but to the whole enclosure with the Dome of the Rock in the middle, and all the other minor domes and chapels.
- ↑
- Abu-Sway, Mustafa (2013-03-31). "Al-Aqsa Mosque: Do Not Intrude!". Palestine-Israel Journal.
Not only do the Israeli occupation authorities prevent freedom of movement and freedom of worship, they interfere in defining Al-Aqsa Mosque by restricting the meaning of Al-Aqsa Mosque to the southernmost building, Qibli Mosque, rather than all 144 dunums or 36 acres.
- Omar, Abdallah Marouf (2017). "Al-Aqsa Mosque's Incident in July 2017: Affirming the Policy of Deterrence". Insight Turkey. 19 (3): 69–82. doi:10.25253/99.2017193.05. JSTOR 26300531.
As shown before, Israel tried first to play with the definition of al-Aqsa as being only the Qibli Mosque building. This would give Israel an excuse to request a share in administrating the whole compound, claiming that not all of it is al-Aqsa Mosque
- Yehia Hassan Wazeri THE FARTHEST MOSQUE OR THE ALLEGED TEMPLE AN ANALYTIC STUDY, Journal of Islamic Architecture Volume 2 Issue 3 June 2013, "The blessed Al-Masjid Al-Aqsa, which is mentioned in the Ever Glorious Qur'an (in Sura Al-Isra'), is the blessed spot that is now called Al-Haram Al-Qudsi and is surrounded by the great wall along with the buildings and monuments that have been built on it, on top of which is Al-Masjid Al-Qibli (covered Masjid) and the Dome of the Rock."
- Kamil, Meryem (2020-09-01). "Postspatial, Postcolonial". Social Text. Duke University Press. 38 (3): 55–82. doi:10.1215/01642472-8352247. ISSN 0164-2472. S2CID 234613673.
The compound is an enclosed platform, with its western portion demarcated as the Jewish holy site of the Wailing Wall. Within the com- pound are two hallowed buildings: the Dome of the Rock and al-Qibli mosque.19 Muslims venerate the Dome of the Rock as the site where Muhammad ascended to heaven, and Jews honor the site where Abraham sacrificed Isaac. Al-Qibli mosque is noted by Muslims as the initial direc- tion for prayer before Mecca.
- Omran M. Hassan, A Graphical Vision of Aesthetics of Al-Quds Architecture through the Digital Technology, International Journal of Advanced Science and Technology Vol. 29, No. 7s, (2020), pp. 2819-2838: "As shown, it is a part of the building of Al-Qibli mosque which is part of Al-Aqsa Mosque and one of its monuments with a roofed building topped by a dome covered by a layer of lead, located in the south side of Al-Aqsa Mosque towards Al-Qiblah in which the name Al-Qibli came from."
- Mahdi Abdul Hadi, Al-Aqsa Mosque เก็บถาวร 16 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Palestinian Academic Society for the Study of International Affairs: "Al-Aqsa Mosque, also referred to as Al-Haram Ash-Sharif (the Noble Sanctuary), comprises the entire area within the compound walls (a total area of 144,000 m2) – including all the mosques, prayer rooms, buildings, platforms and open courtyards located above or under the grounds – and exceeds 200 historical monuments pertaining to various Islamic eras. According to Islamic creed and jurisprudence, all these buildings and courtyards enjoy the same degree of sacredness since they are built on Al-Aqsa’s holy grounds. This sacredness is not exclusive to the physical structures allocated for prayer, like the Dome of the Rock or Al-Qibly Mosque (the mosque with the large silver dome)
- Tim Marshall (2017). A Flag Worth Dying For: The Power and Politics of National Symbols. Simon and Schuster. p. 151. ISBN 978-1-5011-6833-8.: "Many people believe that the mosque depicted is called the Al-Aqsa; however, a visit to one of Palestine's most eminent intellectuals, Mahdi F. Abdul Hadi, clarified the issue. Hadi is chairman of the Palestinian Academic Society for the Study of International Affairs, based in East Jerusalem. His offices are a treasure trove of old photographs, documents, and symbols. He was kind enough to spend several hours with me. He spread out maps of Jerusalem's Old City on a huge desk and homed in on the Al-Aqsa compound, which sits above the Western Wall. "The mosque in the Al- Aqsa [Brigades] flag is the Dome of the Rock. Everyone takes it for granted that it is the Al-Aqsa mosque, but no, the whole compound is Al-Aqsa, and on it are two mosques, the Qibla mosque and the Dome of the Rock, and on the flags of both Al-Aqsa Brigades and the Qassam Brigades, it is the Dome of the Rock shown", he said."
- Abu-Sway, Mustafa (2013-03-31). "Al-Aqsa Mosque: Do Not Intrude!". Palestine-Israel Journal.
ข้อมูล
[แก้]- Yavuz, Yildirim (1996). "The Restoration Project of the Masjid al-Aqsa by Mïmar Kemalettın (1922–1926)". Muqarnas. 13: 149–164. JSTOR 1523257.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ มัสยิดอัลอักศอ