ข้ามไปเนื้อหา

กิบลัต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มุสลิมล้อมรอบและละหมาดหันหน้าเข้าหากะอ์บะฮ์

กิบลัต, กิบละฮ์ หรือ ชุมทิศ (อาหรับ: قِبْلَة) คือทิศที่มุสลิมใช้ในบริบททางศาสนาต่าง ๆ โดยเฉพาะการละหมาด มุ่งไปยังกะอ์บะฮ์ในมัสยิดอัลฮะรอมที่มักกะฮ์ ในศาสนาอิสลามเชื่อว่ากะอ์บะฮ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นโดยนบีอิบรอฮีมและอิสมาอีล และการใช้เป็นกิบลัตนั้นถูกกำหนดโดยพระเจ้าในอัลกุรอานหลายโองการที่ประทานแก่มุฮัมมัดในปีฮิจเราะห์ศักราชที่ 2 ก่อนหน้านี้ มุฮัมมัดและผู้ติดตามในมะดีนะฮ์ละหมาดหันหน้าไปยังเยรูซาเลม มัสยิดส่วนใหญ่มีมิห์รอบ (ช่องผนัง) ที่ใช้ระบุทิศทางของทิศกิบลัต

กิบลัตยังใช้เป็นทิศทางเข้าสู่อิห์รอม (พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการแสวงบุญฮัจญ์) เป็นทิศที่สัตว์หันไปเมื่อทำการษะบีฮะฮ์ (การเชือดตามหลักอิสลาม) ทิศทางที่แนะนำสำหรับการขอดุอาอ์ (การขอพร) ทิศทางที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อต้องขับถ่ายหรือถ่มน้ำลาย และทิศทางที่ผู้ตายจะเรียงกันเมื่อฝังศพ กิบลัตอาจสังเกตได้ว่าหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์อย่างแม่นยำ หรือหันไปในทิศทางทั่วไป นักวิชาการอิสลามส่วนใหญ่ถือว่าการหันไปในทิศทางทั่วไปเป็นที่ยอมรับได้ หากไม่สามารถระบุทิศทางกะอ์บะฮ์อย่างแม่นยำกว่าได้

คำจำกัดความทางเทคนิคที่พบมากที่สุดที่นักดาราศาสตร์มุสลิมใช้สำหรับตำแหน่งคือทิศทางบนวงกลมใหญ่ (ในโลกทรงกลม) ผ่านสถานที่ตั้งและกะอ์บะฮ์ นั่นคือทิศทางของเส้นทางที่สั้นที่สุดจากสถานที่หนึ่งไปยังกะอ์บะฮ์ และช่วยคำนวณทิศทางกิบลัตได้อย่างแม่นยำโดยใช้สูตรตรีโกณมิติเชิงทรงกลมที่ใช้พิกัดของตำแหน่งและกะอ์บะฮ์เป็นตัวระบุ วิธีนี้ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือและเว็บไซต์สำหรับชาวมุสลิม และรวบรวมตารางทิศทางกิบลัตที่ใช้ในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เข็มทิศกิบลัต นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดทิศทางกิบลัตได้โดยใช้การสังเกตเงาของแท่งแนวตั้งในโอกาสปีละสองครั้งเมื่อดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะโดยตรงที่มักกะฮ์ นั่นคือในวันที่ 27 และ 28 พฤษภาคม เวลา 12:18 น. ตามเวลามาตรฐานซาอุดีอาระเบีย (09:18 UTC) และในวันที่ 15 และ 16 กรกฎาคม เวลา 12:27 น. ตามเวลามาตรฐานซาอุดีอาระเบีย (09:27 UTC)

ที่ตั้ง

[แก้]
ตอนแรกมุฮัมมัดและมุสลิมยุคแรกในมะดีนะฮ์ละหมาดหันห้นาไปยังเยรูซาเลม และเปลี่ยนกิบลัตไปยังกะอ์บะฮ์ที่มักกะฮ์ใน ค.ศ. 623

กิบลัตคือทิศทางของกะอ์บะฮ์ อาคารทรงลูกบาศก์ที่ใจกลางมัสยิดอัลฮะรอมในมักกะฮ์ ภูมิภาคฮิญาซของประเทศซาอุดีอาระเบีย นอกจากบทบาทในฐานะกิบลัตแล้ว สถานที่นี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของมุสลิมที่มีอีกชื่อว่า บัยตุลลอฮ์ และเป็นสถานที่ที่มีการเฏาะวาฟ (การเดินวน) ในช่วงพิธีแสวงบุญฮัจญ์และอุมเราะฮ์ กะอ์บะฮ์มีพื้นที่โดยประมาณเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีมุมทั้งสี่ชี้ไปใกล้กับจุดทิศหลักทั้งสี่[1] ตามอัลกุรอานระบุว่า กะอ์บะฮ์สร้างขึ้นโดยอิบรอฮีมและอิสมาอีล ทั้งสองเป็นนบีในศาสนาอิสลาม[2] มีบันทึกประวัติศาสตร์เพียงไม่กี่ฉบับที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกะอ์บะฮ์ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามามีบทบาท แต่ในรุ่นก่อนศาสดามุฮัมมัด กะอ์บะฮ์ถูกใช้เป็นศาลเจ้าของศาสนาอาหรับก่อนอิสลาม[2]

สถานะกิบลัตของกะอ์บะฮ์ (หรือมัสยิดอัลฮะรอมซึ่งเป็นที่ตั้ง) อิงจากโองการที่ 144, 149 และ 150 ของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ แต่ละส่วนระบุคำสั่งให้ "ผินหน้าของเจ้าไปทางอัล-มัสยิดิลฮะรอม"[3] ตามธรรมเนียมอิสลาม โองการเหล่านี้ได้รับการประทานลงมาในเดือนเราะญับหรือชะอ์บาน ฮ.ศ. 2 (ค.ศ. 623) หรือประมาณ 15 หรือ 16 เดือนหลังมุฮัมมัดอพยพไปมะดีนะฮ์[4][5] ก่อนหน้านั้น มุฮัมมัดและมุสลิมในมะดีนะฮ์ละหมาดหันหน้าไปยังเยรูซาเลมเป็นกกิบลัต ซึ่งเป็นทิศภาวนาเดียวกัน (มีซราห์) ที่ชาวยิวในมะดีนะฮ์ใช้ ธรรมเนียมอิสลามระบุว่าโองการเหล่านี้ถูกเปิดเผยในระหว่างพิธีละหมาด มุฮัมมัดและผู้ติดตามเปลี่ยนทิศทางจากเยรูซาเลมไปยังมักกะฮ์ทันทีในช่วงระหว่างละหมาด บริเวณที่เกิดเหตุการณ์นี้กลายเป็นมัสยิดอัลกิบละตัยน์ ("มัสยิดแห่งสองกิบลัต")[5]

มีรายงานเกี่ยวกับทิศทางกิบลัตในสมัยที่ศาสดามุฮัมมัดอยู่ที่มักกะฮ์ (ก่อนที่ท่านจะอพยพไปยังมะดีนะฮ์) แตกต่างกัน ตามรายงานที่อ้างโดยนักประวัติศาสตร์ อัฏเฏาะบะรี และอรรถกถาจารย์ (ผู้แปลข้อความ) อัลบัยฎอวี มุฮัมมัดละหมาดหันหน้าไปยังกะอ์บะฮ์ ส่วนอีกรายงานที่อ้างโดยอัลบะลาษุรีและอัฏเฏาะบะรีระบุว่า ตอนอยู่ที่มักกะฮ์ มุฮัมมัดละหมาดหันหน้าไปยังเยรูซาเลม และอีกรายงานที่ระบุไว้ในชีวประวัติของมุฮัมมัดของอิบน์ ฮิชามระบุว่า มุฮัมมัดได้ละหมาดในลักษณะหันหน้าเข้าหากะอ์บะฮ์และเยรูซาเลมในเวลาเดียวกัน[5] มุสลิมในปัจจุบันจากทุกนิกาย รวมถึงซุนนีและชีอะฮ์ ละหมาดหันหน้าไปทางกะอ์บะฮ์ ในอดีต มีเพียงกลุ่มเดียวที่ไม่ตามคือพวกเกาะรอมิเฏาะฮ์ กลุ่มนิกายชีอะฮ์ที่ผสานความเชื่อเข้าด้วยกันซึ่งปัจจุบันสูญหายแล้ว และปฏิเสธไม่ให้กะอ์บะฮ์เป็นกิบลัต ใน ค.ศ. 930 กลุ่มนี้เข้าปล้นสะดมมักกะฮ์และใช้เวลาเอาหินดำจากกะอ์บะฮ์ไปยังศูนย์กลางอำนาจที่อัลอะห์ซาอ์ ด้วยเจตนารมณ์ที่จะเริ่มต้นศักราชในศาสนาอิสลามใหม่[6][7]

ความสำคัญทางศาสนา

[แก้]
Several women pray inside a building. There is a niche on the wall in whose direction they pray.
มิห์รอบเป็นมุมหนึ่งของกำแพงมัสยิดที่ระบุทิศทางกิบลัต ใช้ในการละหมาด ภาพถ่ายจากชอฮีซินดา ซามาร์กันด์ ประเทศอุซเบกิสถาน

ตามรากศัพท์ คำว่ากิบลัต (قبلة) ในภาษาอาหรับหมายถึง "ทิศทาง" ในพิธีกรรมและกฎหมายอิสลาม กิบลัตหมายถึงทิศทางพิเศษที่ชาวมุสลิมต้องหันหน้าในระหว่างการละหมาดและในบริบททางศาสนาอื่น ๆ[5] นักวิชาการศาสนาอิสลามยอมรับว่าการหันหน้าไปทางกิบลัตเป็นเงื่อนไขจำเป็นในการทำให้ละหมาดถูกต้องภายใต้สภาวะปกติ;[8] ข้อยกเว้นได้แก่การละหมาดในช่วงสงครามหรือมีความหวาดกลัว เช่นเดียวกันกับการละหมาดที่ไม่บังคับระหว่างการเดินทาง[9] หะดีษ (คำสอนของศาสดามุฮัมมัด) ยังกำหนดด้วยว่ามุสลิมต้องหันหน้าไปทางกิบลัตเมื่อเข้าสู่อิห์รอม (พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพิธีฮัจญ์) หลังจากช่วงกลางของญัมเราะฮ์ (พิธีขว้างก้อนหิน) ในระหว่างการแสวงบุญ[5] มารยาทตามศาสนาอิสลาม (อะดับ) กำหนดให้มุสลิมหันศีรษะของสัตว์เมื่อถูกเชือด และหันใบหน้าของผู้ตายเมื่อถูกฝัง ไปทางกิบลัต[5] กิบลัตเป็นทิศทางที่ต้องการเมื่อทำการดุอาอ์ และหลีกเลี่ยงเมื่อทำการอุจจาระ ปัสสาวะ และถุยน้ำลาย[5]

ข้างในมัสยิด กิบลัตมักได้รับการระบุด้วยมิห์รอบ ช่องในกำแพงหันหน้าไปทางกิบลัต ในละหมาดหมู่ อิหม่ามยืนด้านในหรือใกล้บริเวณนี้ โดยอยู่หน้าผู้มาละหมาดคนอื่น ๆ[10] มิห์รอบกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัสยิดในช่วงสมัยอุมัยยะฮ์และรูปแบบนี้กลายเป็นมาตรฐานในสมัยอับบาซียะฮ์ ก่อนหน้านั้น กิบลัตของมัสยิดจะทราบได้จากทิศทางของผนังด้านหนึ่งของมัสยิด ซึ่งเรียกว่ากำแพงกิบลัต คำว่า มิห์รอบ ปรากฏในอัลกุรอานเพียงครั้งเดียว แต่ในนั้นสื่อถึงทิศสวดของวงศ์วานอิสราเอลมากกว่าส่วนหนึ่งของมัสยิด[10][a] มัสยิดอัมร์ อิบน์ อัลอาศที่ฟุสฏอฏ ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุด เป็นที่ทราบว่าเดิมสร้างมาโดยไม่มีมิห์รอบ แม้ภายหลังมีการเพิ่มบริเวณหนึ่ง[11]

การกำหนด

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. อ้างอิงนี้ปรากฏใน อัลกุรอาน 19:11

อ้างอิง

[แก้]
  1. Wensinck 1978, p. 317.
  2. 1 2 Wensinck 1978, p. 318.
  3. Bashori 2015, pp. 97–98.
  4. Bashori 2015, p. 104.
  5. 1 2 3 4 5 6 7 Wensinck 1986, p. 82.
  6. Wensinck 1978, p. 321.
  7. Daftary 2007, p. 149.
  8. Bashori 2015, p. 103.
  9. Bashori 2015, p. 91.
  10. 1 2 Kuban 1974, p. 3.
  11. Kuban 1974, p. 4.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
  • Abdali, S. Kamal (1997). The Correct Qibla (PDF).
  • King, David A. (2018). "Bibliography of books, articles and websites on historical qibla determinations".
  • van Gent, Robert Harry (2017). "Determining the Sacred Direction of Islam". Webpages on the History of Astronomy.