ข้ามไปเนื้อหา

มอริส กาเมอแล็ง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มอริส กาเมอแล็ง
เกิด20 กันยายน ค.ศ. 1872(1872-09-20)
ปารีส ฝรั่งเศส[1]
เสียชีวิต18 เมษายน ค.ศ. 1958(1958-04-18) (85 ปี)
ปารีส ฝรั่งเศส
รับใช้สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3
แผนก/สังกัดกองทัพฝรั่งเศส
ประจำการ1893–1940
ชั้นยศพลเอกพิเศษ (Général d'armée)
การยุทธ์
บำเหน็จเลฌียงดอเนอร์ชั้นมหากางเขน

พลเอกพิเศษ มอริส กาเมอแล็ง (ฝรั่งเศส: Maurice Gamelin) เป็นนายทหารบกฝรั่งเศสดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพฝรั่งเศสในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่สอง กาเมอแล็งได้รับการยอมรับเป็นผู้บัญชาการมือดีและมีความสามารถ เคยโต้กลับพวกเยอรมันจนได้รับชัยชนะในยุทธการที่แม่น้ำมาร์นในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาก้าวขึ้นเป็นเสนาธิการกองทัพฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1931 รับผิดชอบกำกับการปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสให้ทันสมัย รวมถึงการสร้างแนวป้องกันเส้นมาฌีโน ชื่อเสียงทั้งหมดก็ต้องพังทลายลงในยุทธการที่ฝรั่งเศส (10 พฤษภาคม – 22 มิถุนายน ค.ศ. 1940) ในสงครามโลกครั้งที่สอง

ประวัติ

[แก้]

เขาเกิดเมื่อ ค.ศ. 1872 ที่กรุงปารีส บิดาเป็นนายทหารซึ่งเคยรบในสงครามเอกราชอิตาลี เขาเติบโตมาด้วยความคิดจะแก้แค้นเยอรมนีที่ช่วงชิงอาลซัส-ลอแรนไปในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย กาเมอแล็งเข้าศึกษาโรงเรียนทหารในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1891[1] และจบการศึกษาเป็นที่หนึ่งของรุ่นใน ค.ศ. 1893 เขาได้รับหน้าที่แรกในกรมทหารฝรั่งเศสประจำตูนิเซีย และกลับมายังปารีสใน ค.ศ. 1897 เขารับการศึกษาต่อที่วิทยาลัยการทหารชั้นสูง (École Supérieure de Guerre) อันเลื่องชื่อและจบเป็นอันดับสองของรุ่น และกลายเป็นหนึ่งในสิบแปดทหารหนุ่มดาวรุ่งของกองทัพฝรั่งเศส

สงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้]
กาเมอแล็งใน ค.ศ. 1936

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น กาเมอแล็งก็รับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสคนแรกในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 และบัญชาให้กองพลฝรั่งเศสข้ามชายแดนเข้าไปในเยอรมนีเพื่อบุกซาร์ลันท์ พวกเขารุกเข้าไปได้เพียง 8 กิโลเมตรและหยุดก่อนถึงแนวซีคฟรีทของเยอรมนีที่ยังสร้างไม่เสร็จ กาแมแล็งสั่งถอนทัพกลับมาหลังเส้นมาฌีโน แต่กลับบอกชาติพันธมิตรอย่างโปแลนด์ไปว่าฝรั่งเศสทำลายแนวซีคฟรีทแล้ว ยุทธศาสตร์ของกาเมอแล็งคือรอจนกระทั่งกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษมีความพรั่งพร้อมด้านยุทธภัณฑ์อย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งนักวิชาการเคยประเมินไว้ว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวต้องรอจนถึง ค.ศ. 1941 ทีเดียว นายพลเว็สท์พาลของกองทัพเยอรมันเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ฝรั่งเศสตัดสินใจบุกเข้ามาในตอนนั้นเยอรมนีคงต้านทานได้ไม่เกินสองสัปดาห์ เนื่องจากกำลังพลเยอรมันส่วนใหญ่กำลังติดพันอยู่กับการบุกครองโปแลนด์ทางด้านตะวันออก

กาเมอแล็งปฏิเสธการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดพื้นที่อุตสาหกรรมในภูมิภาครัวร์ของเยอรมนี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เยอรมนีหันมาตอบโต้ในช่วงที่เขากำลังเร่งเสริมสร้างแสนยานุภาพฝรั่งเศส นอกจากนี้ กาเมอแล็งและนายทหารระดับสูงในกองบัญชาการฝรั่งเศสหลายคนยังติดอยู่กับความเชื่อเก่าที่ว่าอาร์แดนไม่มีวันแตก เขาเลือกที่จะป้องกันอาร์แดนด้วยป้อมปราการไม่กี่แห่งและทหารกองหนุนเพียงสิบกองพล เขาวางกำลังส่วนใหญ่ไว้ทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ติดกับชายแดนเบลเยียม นายพลฮัสโซ ฟ็อน มันท็อยเฟิล ผู้บัญชาการยานเกราะเยอรมันเคยระบุว่า ฝรั่งเศสมียานเกราะที่ดีกว่าและมากกว่าเยอรมนีเสียอีกในตอนนั้น แต่กลับเลือกแตกกำลังยานเกราะไปทั่ว

ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นักยุทธศาสตร์ทหารฝรั่งเศสต่างคาดการณ์กันตั้งแต่ ค.ศ. 1914 แล้วถึงแผนการที่เยอรมนีจะบุกเข้าเบลเยียม และพวกเขาก็ได้ร่างแผนรับมือสำหรับการนี้ไว้แล้ว แผนนี้ถูกตั้งชื่อว่า "แผนดี" (Dyle Plan) โดยให้กองทัพฝรั่งเศสบุกอย่างดุดันเข้าไปปะทะกับกองทหารเยอรมันในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ แต่ในศึกครั้งนี้ แม้ว่ากาเมอแล็งจะรู้ล่วงหน้าว่าเยอรมนีกำลังเสริมสร้างแสนยานุภาพ ถึงขนาดที่ล่วงรู้กำหนดวันเข้าโจมตีของเยอรมนี แต่กาเมอแล็งกลับเลือกจะนิ่งเฉยจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940 โดยเอาแต่บอกว่าเขากำลัง "รอดูสถานการณ์" และเมื่อเยอรมนีเข้าโจมตีเบลเยียมตามที่คาดไว้ กาเมอแล็งกลับปฏิเสธที่จะส่ง 40 กองพลที่ดีที่สุดเข้าปฏิบัติการตามแผนดีล

วันแรก ๆ ของยุทธการที่เบลเยียม เครื่องบินรบสัมพันธมิตรถูกกองทัพอากาศเยอรมันทำลายเกือบหมด กองทหารฝรั่งเศสและอังกฤษกลัวว่าจะถูกโอบล้อมจากสองด้าน จึงถอนกำลังจากแนวป้องกันเบลเยียม แต่ก็ยังช้าเกินไปที่จะหนีพ้นจากวงล้อมของกองพลยานเกราะเยอรมัน ทางด้านใต้ แม้สะพานข้ามแม่น้ำเมิซจะถูกฝรั่งเศสทำลายไปหมดแล้ว แต่กองพลยานเกราะเยอรมันของพลเอกอาวุโสกูเดรีอันกลับข้ามแม่น้ำได้เร็วกว่าที่คาดไว้มาก กาเมอแล็งรีบถอนทหารไปป้องกันกรุงปารีส ด้วยเชื่อว่าปารีสคือเป้าหมายของกูเดรีอัน โดยไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าแท้จริงแล้วกูเดรีอันกำลังมุ่งหน้าไปที่ทะเล ขณะเดียวกัน ทางด้านเหนือ (ฝั่งเบลเยียม) กองพลยานเกราะของพลตรีร็อมเมิลก็รุกไปทางตะวันตกอย่างรวดเร็วจนไปถึงทะเลและปิดล้อมกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรกว่า 330,000 นาย (เป็นฝรั่งเศส 120,000 นาย) ไว้ที่เมืองอารัสและเดิงแกร์ก ฝรั่งเศสและอังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะโต้กลับหรือฝ่าวงล้อมได้อีกต่อไป

ฝรั่งเศสยอมจำนนต่อเยอรมนีในวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1940 กาเมอแล็งถูกรัฐบาลฝรั่งเศสเขตวีชีซึ่งเป็นหุ่นเชิดของเยอรมนีตั้งข้อหาขบถต่อชาติ ตลอดการพิจารณาเขาเอาแต่นิ่งเงียบไม่แก้ต่างใด ๆ เขาถูกจองจำไว้ที่ป้อมปราการปอร์ตาแลในเทือกเขาพิรินี และต่อมาถูกคุมตัวไปคุมขังที่ปราสาทอิทเทอร์ทางเหนือของทีโรล เขาเป็นอิสระในวันสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองบนทวีปยุโรป

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Alexander, Martin S. (1 November 2003). The Republic in Danger: General Maurice Gamelin and the Politics of French Defence, 1933–1940. Cambridge University Press. p. 13. ISBN 978-0-521-52429-2. สืบค้นเมื่อ 26 July 2013.