ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เจ้าอนันตวรฤทธิเดช"
Up10026444 (คุย | ส่วนร่วม) ลไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยแอปสำหรับไอโอเอส |
ล ย้อนการแก้ไขของ Up10026444 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Rameshe999 ป้ายระบุ: ย้อนรวดเดียว |
||
บรรทัด 5: | บรรทัด 5: | ||
|death_style = พิราลัย |
|death_style = พิราลัย |
||
|death_date = 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 (86 ปี)<br>ณ คุ้มหลวงนครเมืองน่าน |
|death_date = 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 (86 ปี)<br>ณ คุ้มหลวงนครเมืองน่าน |
||
|succession = เจ้าผู้ครองนครน่าน |
|succession = เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน<Br>พระองค์ที่ 62 |
||
| reign-type= ราชาภิเษก |
| reign-type= ราชาภิเษก |
||
| reign= 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 |
| reign= 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 |
||
| reign-type2= ครองราชย์ |
| reign-type2= ครองราชย์ |
||
| reign2= พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435 |
| reign2= พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435 |
||
⚫ | |||
|predecessor2= |
|||
⚫ | |||
| successor2= |
|||
|full name = '''เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน''' |
|full name = '''เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน''' |
||
|succession3= |
|succession3= |
||
| reign-type3= รัชกาล |
| reign-type3= รัชกาล |
||
| reign3= |
| reign3= 39 ปี |
||
| predecessor3= |
|||
⚫ | |||
| successor3 = |
|||
⚫ | |||
|succession4= |
|succession4= |
||
| reign-type4= |
| reign-type4= |
||
บรรทัด 26: | บรรทัด 26: | ||
|mother1= แม่เจ้าขันแก้วชายา |
|mother1= แม่เจ้าขันแก้วชายา |
||
|spouse-type= พระชายา |
|spouse-type= พระชายา |
||
|spouse= แม่เจ้าสุนันทา |
|spouse= แม่เจ้าสุนันทาอัครเทวี<br>แม่เจ้าขอดแก้วเทวี |
||
|spouses-type= ชายา |
|spouses-type= ชายา |
||
|spouses= 10 องค์ |
|spouses= 10 องค์ |
||
บรรทัด 83: | บรรทัด 83: | ||
'''เจ้าอนัตวรฤทธิเดชฯ''' มีพระชายา , ชายา และหม่อม 12 องค์ และราชโอรส ราชธิดา 30 พระองค์ ดังนี้<br> |
'''เจ้าอนัตวรฤทธิเดชฯ''' มีพระชายา , ชายา และหม่อม 12 องค์ และราชโอรส ราชธิดา 30 พระองค์ ดังนี้<br> |
||
* '''พระชายาที่ 1 แม่เจ้าสุนันทาอัครราชเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 6 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 1 แม่เจ้าสุนันทาอัครราชเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 6 พระองค์ |
||
# เจ้า |
# [[เจ้าอุปราช (เจ้ามหาพรหม ณ น่าน)]] |
||
# |
# [[พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช]]ฯ พระเจ้านครเมืองน่าน |
||
# |
#[[เจ้าอุปราช (สิทธิสาร ณ น่าน)|เจ้าอุปราช (เจ้าสิทธิสาร ณ น่าน)]] |
||
# |
# [[เจ้าราชบุตร (เจ้าบุญรังษี ณ น่าน)]] |
||
# เจ้านางหมอกแก้ว |
# เจ้านางหมอกแก้ว |
||
# เจ้านางคำทิพ |
# เจ้านางคำทิพ |
||
* '''พระชายาที่ 2 แม่เจ้าขอดแก้วอัครเทวี''' ประสูติกาลราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 2 แม่เจ้าขอดแก้วอัครเทวี''' ประสูติกาลราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์ |
||
# |
# [[เจ้ามหาพรหมสุรธาดา]] เจ้านครเมืองน่าน พระองค์ที่ 64 |
||
# เจ้านางยอดมโนลา |
# เจ้านางยอดมโนลา |
||
* '''พระชายาที่ 3 แม่เจ้าคำปิวเทวี''' ไม่มีพระประสูติกาล |
* '''พระชายาที่ 3 แม่เจ้าคำปิวเทวี''' ไม่มีพระประสูติกาล |
||
* '''พระชายาที่ 4 แม่เจ้าบัวเขียวเทวี''' ประสูติกาลราชธิดา 1 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 4 แม่เจ้าบัวเขียวเทวี''' ประสูติกาลราชธิดา 1 พระองค์ |
||
# เจ้านางปิว |
# เจ้านางปิว |
||
* '''พระชายาที่ 5 แม่เจ้าแว่นเทวี '''ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 3 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 5 แม่เจ้าแว่นเทวี '''ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 3 พระองค์ |
||
# เจ้านางแก้วไหลมา |
# เจ้านางแก้วไหลมา |
||
# เจ้านางบุษบา |
# เจ้านางบุษบา |
||
# เจ้าน้อยบุญสวรรค์ |
# เจ้าน้อยบุญสวรรค์ |
||
* '''พระชายาที่ 6 แม่เจ้าอัมราเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 6 แม่เจ้าอัมราเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์ |
||
# เจ้าน้อยฟ้าร่วนเมืองอิน |
# เจ้าน้อยฟ้าร่วนเมืองอิน |
||
# เจ้านางขันคำ |
# เจ้านางขันคำ |
||
* '''พระชายาที่ 7 แม่เจ้าปาริกาเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 8 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 7 แม่เจ้าปาริกาเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 8 พระองค์ |
||
# |
# [[เจ้าบุรีรัตน (เจ้าน้อยบรม ณ น่าน)]] |
||
# เจ้าน้อยบัวเลียว |
|||
# เจ้าน้อยบัวเลียว ณ น่าน ภายหลังเป็น [[เจ้าสุริยวงษ์ (เจ้าน้อยบัวเลียว ณ น่าน)|เจ้าสุริยวงษ์ นครเมืองน่าน]] |
|||
# เจ้าหยั่งคำเขียว |
# เจ้าหยั่งคำเขียว |
||
# |
# [[เจ้าราชสัมพันธ์วงษ์ (เจ้าน้อยบัวลองป่องฟ้าบุนทนาวงษ์)]] |
||
# เจ้าน้อยหมอกมุงเมือง |
# เจ้าน้อยหมอกมุงเมือง |
||
# |
# [[เจ้าราชบุตร (เจ้ารัตนเรืองรังษี ณ น่าน)]] |
||
# เจ้าน้อยสุทธนะ |
# เจ้าน้อยสุทธนะ |
||
# เจ้านางคำเขียว |
# เจ้านางคำเขียว |
||
* '''พระชายาที่ 8 แม่เจ้าสุคันธาเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 4 พระองค์ |
* '''พระชายาที่ 8 แม่เจ้าสุคันธาเทวี''' ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 4 พระองค์ |
||
# |
# [[เจ้าราชบุตร (เจ้าน้อยอนุรศรังษี)]] |
||
# เจ้านางเกียงคำ |
# เจ้านางเกียงคำ |
||
# เจ้านางเหมือย |
# เจ้านางเหมือย |
||
บรรทัด 137: | บรรทัด 137: | ||
# เจ้าหนานมหาวงษ์ |
# เจ้าหนานมหาวงษ์ |
||
รวมพระราชโอรส พระราชธิดา ในเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน 30 พระองค์ แบ่งเป็นพระราชโอรส 18 พระองค์ |
รวมพระราชโอรส พระราชธิดา ในเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน 30 พระองค์ แบ่งเป็น |
||
* พระราชโอรส 18 พระองค์ |
|||
* พระราชธิดา 12 พระองค์ |
|||
==พระกรณียกิจ== |
==พระกรณียกิจ== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:46, 16 กุมภาพันธ์ 2564
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช | |||||
---|---|---|---|---|---|
เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน พระองค์ที่ 62 | |||||
ราชาภิเษก | 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2395 | ||||
ครองราชย์ | พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2435 | ||||
ก่อนหน้า | เจ้าหลวงมหาวงษ์ | ||||
ถัดไป | พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช | ||||
รัชกาล | 39 ปี | ||||
ประสูติ | พ.ศ. 2348 | ||||
พิราลัย | 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 (86 ปี) ณ คุ้มหลวงนครเมืองน่าน | ||||
พระชายา | แม่เจ้าสุนันทาอัครเทวี แม่เจ้าขอดแก้วเทวี | ||||
ชายา | 10 องค์ | ||||
พระราชบุตร | 40 พระองค์ | ||||
| |||||
ราชสกุล | ณ น่าน สายที่ 2[1] | ||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ | ||||
พระบิดา | สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ | ||||
พระมารดา | แม่เจ้าขันแก้วชายา |
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช[2] หรือ เจ้าอนันตยศ[3]เป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน องค์ที่ 62 และเป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน องค์ที่ 12 แห่ง ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ ครองราชย์ในปี พ.ศ. 2395 - พ.ศ. 2434 รวมระยะเวลา 39 ปี ชาวน่านเรียกพระองค์โดยลำลองว่า เจ้ามหาชีวิต เป็นราชโอรส ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ ประสูติแต่แม่เจ้าขอดแก้วชายา
พระประวัติ
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน มีพระนามเดิมว่า เจ้าอนันตยศ ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2348 เป็นราชโอรส ในสมเด็จเจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ ประสูติแต่ แม่เจ้าขันแก้วชายา มีพระขนิษฐา ร่วมเจ้ามารดา 1 พระองค์ คือ แม่เจ้าต่อม
ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็น เจ้านครเมืองน่านในปี พ.ศ. 2395 สืบสันตติวงศ์ ต่อจาก พระมาตุลา เจ้าหลวงมหาวงษ์ ผู้เป็นพระญาติวงศ์ทางพระบิดา และ ได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็น "เจ้าอนันตวรฤทธิเดช" เมื่อปี พ.ศ. 2399 จนกระทั่งพิราลัยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 ด้วยโรคชรา รวมอายุ 86 ปี[4]
พระนาม
- สมเด็จพระเชษฐบรมราชาอนันตยศวรราชเจ้า องค์เป็นอิสสราธิบัตติองค์ เป็นเจ้าแก่รัฐประชาในไชยนันทเทพบุรีนครราชธานีนครเมืองน่าน พระนามเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ที่ปรากฏในกฎหมายอาณาจักรหลักคำเมืองน่าน[5]
- สมเด็จเสฏฐบรมบพิตรเจ้ามหาชีวิตองค์อนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ชัยนันทเทพ บรมมหาราชพงษาธิบดี มหาอิสราธิปติในสิริชัยนันทเทพบุรี พระนามเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ที่ปรากฏในศิลาจารึก วัดดอนไชย [6]
พระอิสริยยศ
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน ทรงดำรงพระอิสริยยศ ดังนี้
- เจ้าพระพิไชยราชา
- เจ้าพระยารัตนหัวเมืองแก้ว
- เจ้าพระยาบุรีรัตน
- เจ้าพระยาหลวงมงคลวรยศ เจ้านครเชียงน่าน
- เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน
เครื่องอิสริยยศที่ได้รับพระราชทาน
- ในปี พ.ศ. 2395 เจ้าอนันตยศ เสด็จลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพฯ เมื่อนั้นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จิงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตร และสถาปนาขึ้นเป็น เจ้าพระยามงคลวรยศ เจ้านครเชียงน่าน และทรงได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยยศ ดังนี้
- เสื้อแขบคำ
- ผ้านุ่งแขบคำ
- พระมาลาสุบหัว
- กระโถนคำ
- คนโทคำ
- พานหมากคำเครื่องในคำ
- ปืนชนิดดี 1 บอก
- ดาบฝักคำ 1 เถื่อน
- โถเงิน 2 ใบ
- ทวน 2 เล่ม
- ในปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนพระอิสริยยศ เจ้าพระยามงคลวรยศ เจ้าเมืองน่าน ขึ้นเป็น เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน แล้วทรงพระราชทานเครื่องอิสริยยศ ดังนี้'
- ทรงประพาศ
- กระโจมหัวคำ
- แท่นแก้ว 5 ชั้น
- เสตฉัตรขาว 7 ใบ
- ดาบหลูปคำ
- ทวนเขียวคำ ฝักเขียว 4 เล่ม
- ปืนชนิดดี 2 บอก
- กระโถนคำ 1
- พานหมากคำ 1
- มีดด้ามคำ 1
- มปัดตีคำ 2 แถว
- รูปม้าคำ 1
- โต๊ะเงิน 1 ใบ
- เบ้ายาคำ 1
ราชโอรส ราชธิดา
เจ้าอนัตวรฤทธิเดชฯ มีพระชายา , ชายา และหม่อม 12 องค์ และราชโอรส ราชธิดา 30 พระองค์ ดังนี้
- พระชายาที่ 1 แม่เจ้าสุนันทาอัครราชเทวี ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 6 พระองค์
- เจ้าอุปราช (เจ้ามหาพรหม ณ น่าน)
- พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครเมืองน่าน
- เจ้าอุปราช (เจ้าสิทธิสาร ณ น่าน)
- เจ้าราชบุตร (เจ้าบุญรังษี ณ น่าน)
- เจ้านางหมอกแก้ว
- เจ้านางคำทิพ
- พระชายาที่ 2 แม่เจ้าขอดแก้วอัครเทวี ประสูติกาลราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์
- เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครเมืองน่าน พระองค์ที่ 64
- เจ้านางยอดมโนลา
- พระชายาที่ 3 แม่เจ้าคำปิวเทวี ไม่มีพระประสูติกาล
- พระชายาที่ 4 แม่เจ้าบัวเขียวเทวี ประสูติกาลราชธิดา 1 พระองค์
- เจ้านางปิว
- พระชายาที่ 5 แม่เจ้าแว่นเทวี ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 3 พระองค์
- เจ้านางแก้วไหลมา
- เจ้านางบุษบา
- เจ้าน้อยบุญสวรรค์
- พระชายาที่ 6 แม่เจ้าอัมราเทวี ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์
- เจ้าน้อยฟ้าร่วนเมืองอิน
- เจ้านางขันคำ
- พระชายาที่ 7 แม่เจ้าปาริกาเทวี ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 8 พระองค์
- เจ้าบุรีรัตน (เจ้าน้อยบรม ณ น่าน)
- เจ้าน้อยบัวเลียว
- เจ้าหยั่งคำเขียว
- เจ้าราชสัมพันธ์วงษ์ (เจ้าน้อยบัวลองป่องฟ้าบุนทนาวงษ์)
- เจ้าน้อยหมอกมุงเมือง
- เจ้าราชบุตร (เจ้ารัตนเรืองรังษี ณ น่าน)
- เจ้าน้อยสุทธนะ
- เจ้านางคำเขียว
- พระชายาที่ 8 แม่เจ้าสุคันธาเทวี ประสูติกาล ราชโอรสและราชธิดา 4 พระองค์
- เจ้าราชบุตร (เจ้าน้อยอนุรศรังษี)
- เจ้านางเกียงคำ
- เจ้านางเหมือย
- เจ้านางสาวดี
- พระชายาที่ 9 แม่เจ้าแว่นเทวี ไม่มีพระประสูติกาล
- หม่อมที่ 10 หม่อมแก้ว ณ น่าน ประสูติราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์
- เจ้าหนานมหาวงษ์
- เจ้านางปอก
- หม่อมที่ 11 หม่อมคำแปง ณ น่าน ประสูติราชโอรสและราชธิดา 2 พระองค์
- เจ้าน้อยนนต์
- เจ้านางบัวแฝง
- หม่อมที่ 12 บาทบริจาริกา ประสูติราชโอรส 1 พระองค์
- เจ้าหนานมหาวงษ์
รวมพระราชโอรส พระราชธิดา ในเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน 30 พระองค์ แบ่งเป็น
- พระราชโอรส 18 พระองค์
- พระราชธิดา 12 พระองค์
พระกรณียกิจ
สร้างคุ้มหลวงนครน่าน
คุ้มหลวงพระเจ้านครน่านหรือ “หอคำเมืองน่าน” หอคำคุ้มหลวงนครน่าน ตรงใจกลางเมืองเป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนคร เรียกว่าคุ้มหลวงและหอคำ “ คุ้ม” ตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ วัง” คุ้มหลวง ก็คือวังใหญ่นั่นเอง และ “ หอคำ” นั้นตรงกับภาษาไทยใต้เรียกว่า “ ตำหนักทอง” อันสร้างขึ้นไว้ในบริเวณคุ้มหลวงเป็นเครื่องประดับเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนคร บรรดาเมืองประเทศราชในลานนาไทยทั้งปวง ย่อมมีบริเวณที่คุ้มหลวงสำหรับเมือง ใครได้เป็นเจ้าเมืองจะเป็นโดยได้สืบทายาทหรือไม่ก็ตาม ย่อมย้ายจากบ้านเดิมไปอยู่ในคุ้มหลวง แต่ส่วนเหย้าเรือนในคุ้มหลวงนั้นแต่ก่อนสร้างเป็นเครื่องไม้ ถ้าเจ้าเมืองคนใหม่ไม่พอใจจะอยู่ร่วมเรือนกับเจ้าเมืองคนเก่าก็ย่อมจะให้ รื้อถอนเอาไปปลูกถวายวัด ( ยังปรากฏเป็นกุฏิวิหารของวัดที่เมืองน่านบางแห่ง ) แล้วสั่งกะเกณฑ์ให้สร้างเรือนขึ้นอยู่ตามชอบใจของตน ส่วนหอคำนั้น มิได้มีทุกเมืองประเทศราช เพราะหอคำหลวง เป็นเครื่องประดับพระเกียรติพิเศษ สำหรับตัวเจ้าผู้ครองนคร ต่อเจ้าผู้ครองเมืองคนใดได้รับเกียรติเศษสูงกว่าเจ้าผู้ครองเมืองโดยสามัญ ก็สร้างหอคำขึ้งเป็นที่อยู่เฉลิมพระเกียรติยศ
หอคำหลวงเมืองน่าน สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2399 - 2400 ในสมัยของเจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน ปรากฏในพงศาวดารเมืองน่าน ว่าเมื่อพระยาอนันตยศ ย้ายกลับมาตั้งอยู่ ที่เมืองเก่าแล้ว ต่อมาอีกปีหนึ่งคือปี พ.ศ. 2399 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระยาอนันตยศเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงศาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน มีพระเกียรติยศสูงกว่าเจ้าเมืองน่านคนก่อนๆ ซึ่งเคยมียศเป็นแต่พระยา ฉะนั้นในปี พ.ศ. 2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชจึงสร้างหอคำขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อคุ้มหลวงว่า “ คุ้มแก้ว” เพื่อให้วิเศษเป็นตามลักษณะของหอคำ
หอคำหลวง ที่สร้างขึ้นในครั้งนั้น เป็นอาคารไม้สักผสมไม้ตะเคียน หลังคาเป็นทรงจั่ว มุงกระเบื้องไม้แป้นเกล็ด ประดับช่อฟ้าใบระกาและหางหงส์ ตามแบบศิลปะพื้นบ้านเมืองน่าน มีบันไดทางขึ้นสองด้าน มีกำแพงอิฐทั้งสี่ด้าน เป็นตัวเรือนรวมอยู่ในคุ้มแก้ว 7 หลัง โดยเฉพาะตัวเรือนที่เป็นหอคำมีห้องโถงใหญ่ นับว่าเป็นทำนองท้องพระโรงสำหรับเป็นที่ว่าราชการ
- ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 พระเจ้าสุริยพงษ์ผลิตเดช พระเจ้านครเมืองน่าน ได้โปรดให้รื้อลงและสร้างหอคำขึ้นใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกผสมล้านนา ซึ่งปัจจุบันคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน สมุดภาพปักปันเขตแดน ร.ศ. 124 โดยกรมการปกครอง
ด้านการเมือง
เจ้าอนันตวฤทธิเดช ได้ตรากฎหมายสำคัญสูงสุดสำหรับใช้ปกครองในอาณาจักรน่าน คือ '''กฎหมายอาณาจักรหลักคำของเจ้ามหาชีวิต''' ซึ่งเป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลจากคำสอนในพระพุทธศาสนา และมีความเชื่อตามจารีตประเพณี เช่น การแอ่วสาว หรือการเสียผี กฎหมายเจ้ามหาชีวิต มีการตราบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน โดยบทลงโทษสูงสุด คือ ประหารชีวิต กฎหมายควบคุมไปถึงวิถีชีวิต การประกอบการค้า ใช้ปกครองเมืองน่านต่อมา จนถึงคราวเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในปี พ.ศ. 2475 เมืองน่านจึงมาใช้กฎหมายฉบับเดียวกันกับสยาม
ด้านศาสนา
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เจ้านครเมืองน่าน ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 2396 - พ.ศ. 2436 พระองค์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในพระอาณาจักรเมืองน่าน ทั้งการสร้างวิหาร วัด พระพุทธรูป รวมไปถึงการอุปถัมภ์การบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดวาอาราม ต่างๆใน พระอาณาจักรนครเมืองน่าน ดังนี้
- บูรณะวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
- สร้างและบูรณะวิหารวัดกู่คำ
- พ.ศ. 2395 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดศรีพันต้น
- พ.ศ. 2400 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ วัดมิ่งเมือง
- สร้างวัดนาปัง
- สร้างพระธาตุขิงแดง
- สร้างพระธาตุเจ้าจอมทอง เมืองปง
- สร้างพระธาตุเจ้าหนองบัว เมืองไชยพรหม
- สร้างวิหารวัดดอนไชย เมืองศรีสะเกษ (อยู่ในเขตอำเภอนาน้อย)
- พ.ศ. 2410 ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวงวัดภูมินทร์
- สร้างพระธาตุเจ้าวัดพระยาภู
- สร้างพระธาตุเจ้าจอมจ๊อ เมืองเทิง
- สร้างพระธาตุเจ้าเมืองอินทร์
- สร้างพระธาตุเจ้าสบแวน เมืองเชียงคำ
- สร้างพระธาตุเจ้าเป็งสกัด เมืองปัว
- สร้างหอพระธรรม คุ้มหลวงนครน่าน
- สร้างวิหารวัดม่วงติ๊ด
- บูรณะวิหารและอุโบสถวัดสวนตาล
- บูรณะวิหาร และบูรณะพระธาตุวัดดอยเขาแก้ว (วัดเขาน้อย)
- สร้างวัดมณเฑียร
- ใส่ยอดฉัตรพระธาตุเจ้าภูเพียงแช่แห้ง
- สร้างวัดหัวข่วง
- บูรณะพระอุโบสถวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
นอกจากนี้ ยังได้สร้างธรรมนิทานชาดก และจารพระไตรปิฎกลงในคัมภีร์ใบลาน รวมได้ 335 คัมภีร์ นับเป็นผูกได้ 2,606 ผูก ได้นำไปมอบให้เมืองต่าง ๆ มีเมืองลำปาง เมืองลำพูน เมืองเชียงใหม่ เมืองพะเยา เมืองเชียงราย และเมืองหลวงพระบาง
ย้ายเมืองน่าน
ในปี พ.ศ. 2397 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครมืองน่าน ได้ย้ายเมืองน่าน จากดงพระเนตรช้างกลับมาอยู่ที่หัวเวียงใต้ หรือเมืองน่านในปัจจุบัน และให้ซ่อมกำแพงเมืองให้มั่นคง โดยสร้างเป็นกำแพงอิฐ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2400 ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าออกสู่แม่น้ำน่าน ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมา ตั้งอยู่บนเชิงเทิน ซุ้มประตูและป้อมเป็นทรงเรือนยอด กำแพงสูงประมาณ 6 เมตร เชิงเทินกว้าง 2.20 เมตร ใบเสมากว้าง 1 เมตร ยาว 0.90 เมตร สูง 1.20 เมตร ความสูงจากเชิงเทินถึงใบเสมาประมาณ 2 เมตร [7]
- กำแพงด้านทิศเหนือ มีความยาวประมาณ 900 เมตร มีสองประตูคือ ประตูริม และประตูอุญญาณ
- ประตูริม เป็นประตูเมืองที่ออกเดินทางสู่เมืองขึ้นของนครน่านทางภาคเหนือ เช่น เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
- ประตูอมร เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
- กำแพงด้านทิศตะวันออก มีความยาวประมาณ 650 เมตร มีสองประตูคือ ประตูชัย และประตูน้ำเข้ม
- ประตูชัย เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนคร และเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเดินทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
- ประตูน้ำเข้ม ใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ และเป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
- กำแพงด้านทิศใต้ มีความยาวประมาณ 1,400 เมตร มีสองประตู
- ประตูเชียงใหม่ เป็นประตูเมืองที่เดินทางไปสู่ต่างเมือง โดยเฉพาะนครเชียงใหม่
- ประตูท่าลี่ เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานหลวงดอนไชย
- กำแพงด้านทิศตะวันตก มีความยาวประมาณ 950 เมตร มีประตูปล่องน้ำ
- ประตูปล่องน้ำ ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
- ประตูหนองห้า เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนาในทุ่งกว้าง และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง
ลักษณะของประตูเมือง ทำเป็นซุ้มบานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม
อาณาจักรหลักคำเมืองน่าน
อาณาจักรหลักคำ เป็นกฎหมายโบราณที่ใช้ปกครองตนเองของเมืองน่าน และเมืองที่อยู่ในเขตปกครองของเมืองน่าน ในช่วงต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2395 ในสมัยพระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช ฯ และได้ใช้ต่อมาจนถึง ปี พ.ศ. 2439 ในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ฯ
อาณาจักรหลักคำเขียนด้วยตัวอักษรล้านนา เป็นกฎหมายที่เน้นให้เห็นระเบียบปฏิบัติขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี ข้อห้าม กฎเกณฑ์ต่าง ๆ อันเป็นการจัดระเบียบสังคมในสมัยนั้น นอกจากนี้ยังแสดงให้ทราบถึงขอบเขตการปกครองของเมืองนั้น
กฎหมายสำคัญที่ลงโทษหนักคือการลักควาย ระบุโทษไว้ว่า ผู้ลักควายไปฆ่ากินจะถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต เพื่อมิให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินต่อไป
กฎหมายที่รักษาธรรมชาติแวดล้อมอันเป็นสาธารณสมบัติ เช่น ห้ามฟันไร่บริเวณต้นน้ำ และริมแม่น้ำ อันเป็นแหล่งกำเนิด และนำน้ำเข้าสู่ไร่นา ใครทำผิดจะถูกคุมขัง เฆี่ยนหลัง 30 แส้ และปรับเงิน 330 น้ำผ่า นอกจากนั้นยังมีกฎหมายห้ามฆ่าค้างคาวในถ้ำ ห้ามเบื่อปลาในน้ำ และห้ามตัดต้นไม้บางชนิด
กฎหมายที่ควบคุมไม่ให้คนยากไร้ถูกขูดรีด เช่นการคิดดอกเบี้ยไม่ว่าจะเป็นเงินตรา หรือข้าวก็ตาม จะต้องมีระยะเวลากู้ถึงสามปี จึงคิดดอกเบี้ยได้ ถ้ากู้นานถึง 9 ปี 10 ปี ก็ให้เอาดอกเบี้ยเท่าเงินต้นเท่านั้น จะมากไปกว่านั้นไม่ได้ และการกำหนดเอาตัวลูกหนี้ให้มีสภาพเป็นทาส จะต้องมีหนี้สินที่มีมูลค่าตั้งแต่ 300 ดอก(มาตราเงิน) ขึ้นไป เป็นต้น
อาณาจักรหลักคำเป็นกฎหมายที่ใช้ในเมืองน่าน และเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นเมืองน่าน ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2396 ถึง พ.ศ. 2451 จึงได้ยกเลิกและมาใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127
สงครามปราบฮ่อ
กองทัพฝ่ายเหนือ ซึ่งมีเจ้าหมื่นไวยวรนารถ เป็นแม่ทัพนั้นยกออกจากกรุงเทพฯ โดยทางเรือเมื่อวันอังคารเดือน 11 แรม 11 ค่ำ ปีระกา พ.ศ. 2428 ขึ้นไปถึงเมืองพิชัยเมื่อเดือน 12 แรม 2 ค่ำ ตั้งประชุมพลที่เมืองพิชัยนั้น ได้โปรดฯ ให้พระยาศรีสหเทพ (อ่วม) ขึ้นไปเป็นพนักงานจัดเสบียงพาหนะส่งกองทัพ ได้จัดการเดินทัพขึ้นไปเมืองหลวงพระบางเป็น 3 ทาง คือ
- ทางที่ 1 กองทัพใหญ่จะยกจากเมืองพิชัยทาง 3 วันถึงเมืองฝาง ต่อนั้นไป 4 วันถึงท่าแฝกเข้าเขตเมืองน่าน ต่อไปอีก 6 วันถึงบ้านนาแล แต่บ้านนาแล 6 วัน รวม 13 วันถึงเมืองหลวงพระบาง
- ทางที่ 2 นั้น จะได้จัดแบ่งเครื่องยุทธภัณฑ์สำหรับกองทัพแต่งให้พระศรีพิชัยสงคราม ปลัดซ้ายกรมการเมืองพิชัย กับนายทหารกรุงเทพฯ ให้คุมไปทางเมืองน้ำปาด ตรงไปตำบลปากลายลงบรรทุกเรือขึ้นไปทางลำน้ำโขง ขึ้นบกที่เมืองหลวงพระบาง
- ทางที่ 3 เมื่อกองทัพใหญ่ยกไปถึงนครเมืองน่านแล้ว จะแต่งให้พระพลสงคราม เมืองสวรรคโลก กับนายทหารปืนใหญ่คุมปืนใหญ่และกระสุนดินดำแยกทางไปลงท่านุ่นริมแม่น้ำโขง จัดลงบรรทุกเรือส่งไปยังเมืองหลวงพระบาง
อนึ่ง เสบียงอาหารที่จะจ่ายให้ไพร่พลในกองทัพตั้งแต่เมืองพิชัย เป็นระยะตลอดไปกว่าจะถึงเมืองหลวงพระบางนั้น พระยาศรีสหเทพรับจัดส่งขึ้นไปรวบรวมไว้เป็นระยะทุก ๆ ตำบล ที่พักให้พอจ่ายกับจำนวนพลในกองทัพมิให้เป็นที่ขัดขวางได้
กองทัพตั้งพักรอพาหนะอยู่ ณ เมืองพิชัย ประมาณ 20 วัน ก็ยังหามาพรักพร้อมกับจำนวนที่เกณฑ์ไม่ ได้ช้าง 108 เชือก โคต่าง 310 ตัว ม้า 11 ตัวเท่านั้น แต่จะให้รอชักช้าไปก็จะเสียราชการ จึงได้จัดเสบียงแบ่งไปแต่พอควรส่วนหนึ่งก่อน อีกส่วนหนึ่งได้มอบให้กรมการเมืองพิชัยรักษาไว้ให้ส่งไปกับกองลำเลียง
ครั้น ณ วันศุกร์ เดือนอ้าย แรม 11 ค่ำ ปีระกา พ.ศ. 2428 เวลาเช้า 3 โมงเศษ เจ้าหมื่นไวยวรนารถยกกองทัพออกจากเมืองพิชัยให้นายร้อยเอกหลวงจำนงยุทธกิจ (อิ่ม) คุมทหารกรุงเทพฯ 100 คนเป็นทัพหน้า ให้นายจ่ายวด (สุข ชูโต) เป็นผู้ตรวจตรา ให้พระอินทรแสนแสง ปลัดเมืองกำแพงเพชรคุมไพร่พลหัวเมือง 100 คน เป็นผู้ช่วยกองหน้า สำหรับแผ้วถางหนทางที่รกเรี้ยวกีดขวางให้กองทัพเดินได้สะดวกด้วย ให้นายร้อยเอกหลวงอาจหาญณรงค์ กับนายร้อยเอกหลวงดัษกรปลาศ เป็นปีกซ้ายและขวา นายร้อยเอกหลวงวิชิต เป็นกองหลัง พระพลเมืองสวรรคโลกเป็นกองลำเลียงเสบียงอาหาร และกองอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมานี้ก็ให้ยกเป็นลำดับไปทุก ๆ กอง
ครั้น ณ วันพุธ เดือนยี่ แรมค่ำ 1 ปีระกา ฯ กองทัพได้ยกไปถึงสบสมุนใกล้กับเมืองน่าน ระยะทางราว 200 เส้นเศษ พักจัดกองทัพอยู่ใกล้เมือง เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน แต่งให้พระยาวังซ้าย และเจ้านายบุตรหลาน แสนท้าวพระยา คุมช้างพลายสูง 5 ศอก ผูกเครื่องจำลองเขียนทอง 3 เชือก กับดอกไม้ ธูปเทียนออกมารับ แม่ทัพจึงให้รอกองทัพพักอยู่นอกเมือง 1 คืน
ครั้นรุ่งขึ้นวันพฤหัสบดี เดือนยี่ แรม 2 ค่ำ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน จึงแต่งให้ท้าวพระยาคุมช้างพลายผูกจำลองเขียนทอง ออกมารับ 3 เชือก และจัดให้เจ้าวังซ้ายผู้หลานคุมกระบวนออกมารับกองทัพด้วย เวลาเช้า 3 โมงเศษ เดินช้างนำทัพเข้าในเมืองพร้อมด้วยกระบวนแห่ที่มารับ ตั้งแต่กองทัพฝ่ายเหนือออกจากเมืองพิชัยไปจนถึงเมืองน่าน รวมวันเดินกองทัพ 17 วัน หยุดพักอยู่เมืองฝางและท่าแฝก 4 วัน รวมเป็น 21 วัน
เวลาบ่าย 3 โมงเศษ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน พร้อมด้วยเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้านายบุตรหลาน แต่งตัวเต็มยศตามแบบบ้านเมืองมายังทำเนียบที่พักกองทัพนั้น ฝ่ายกองทัพก็ได้จัดทหารกองเกียรติยศ 12 คน มีแตรเดี่ยว 2 คัน คอยรับอยู่ที่ทำเนียบ เมื่อเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน เสด็จมาถึงแล้วสนทนาปราศรัยไต่ถามด้วยข้อราชการ และอวยชัยให้พรในการที่จะปราบศัตรูให้สำเร็จ โดยพระบรมราชประสงค์ทุกประการและจัดพระพุทธรูปศิลาศรีพลี 1 องค์ พระบรมธาตุ 1 องค์ ให้แม่ทัพ เพื่อเป็นพิชัยมงคลป้องกันอันตรายในการที่จะไปราชการทัพนั้น กับให้ของทักถามแก่กองทัพสำหรับบริโภคด้วยหลายสิ่ง ครั้นรุ่งขึ้นแม่ทัพนายกองได้ไปเยี่ยมตอบเจ้านครเมืองน่าน กับเจ้าอุปราชเจ้าราชวงศ์และเจ้านายเมืองน่าน
ต่อมาพระยาศรีสหเทพข้าหลวงเชิญเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาสุราภรณ์มงกุฎสยามชั้นที่ 1 ซึ่งโปรดฯ พระราชทานแก่ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้านครเมืองน่าน ขึ้นไปถึงแม่ทัพได้จัดพิธีรับพระราชทานตามธรรมเนียม
ครั้น ณ วันเสาร์ เดือนยี่ แรม 11 ค่ำ เจ้านครน่านได้ส่งช้างมาเข้ากองทัพ 100 เชือก แม่ทัพจึงให้เปลี่ยนช้างหัวเมืองชั้นในที่ได้บรรทุกกระสุนดินดำ เสบียงอาหารมาในกองทัพ 58 เชือก มอบให้พระพิชัยชุมพลมหาดไทยเมืองพิชัย คุมกลับคืนไปยังเมืองพิชัย เพื่อจะได้บรรทุกเสบียงลำเลียงเข้าจากเมืองพิชัยขึ้นมาส่งยังฉางเมืองท่าแฝก ซึ่งพระยาสวรรคโลกได้มาตั้งฉางพักเสบียงไว้สำหรับเมืองน่านจะมารับลำเลียงส่งไปถึงท่าปากเงยและเมืองหลวงพระบางจะได้จัดเรือมารับแต่ปากเงย ส่งต่อไปถึงเมืองงอย[8]
พิราลัย
เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน เสวยราชสมบัติได้ 39 ปี มีพระชนมายุ 86 ชันษา ก็ถึงแก่พิราลัย เมื่อวันศุกร์ ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2435 ณ คุ้มหลวงนครเมืองน่าน
เมื่อนั้นเจ้าอุปราช ก็ให้เจ้านายผู้ใหญ่ผู้น้อยลงไปกราบทูลพระมหากระษัตริย์เจ้าในกรุงเทพมหานคร ว่าด้วย เจ้าอนันตวรฤทธิเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุรมหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน ถึงแก่พิราลัย
- ในปี พ.ศ. 2435 เจ้ามหาอุปราชาหอน่า เป็นประธาน และพระยาสุนทรนุรักษ์ ข้าหลวงใหญ่ประจำนครเมืองน่าน และเจ้าราชวงษ์ เสนาอามาตย์ก็ได้กะเกณฑ์ไพร่พลบ้านเมืองให้ตัดไม้มาสร้างพระเมรุ
- ในปี พ.ศ. 2435 เจ้ามหาอุปราชาหอน่า เป็นประธาน เจ้าราชวงษ์ และพระยาสุนทรนุรักษ์ ข้าหลวงใหญ่ประจำนครเมืองน่าน พร้อมด้วยหน่อมหาขัติยราชวงษา และเสนาอามาตย์ทั้งหลายก็พร้อมกันแล้ว ก็ชุมนุมมายังช่างไม้ทั้งหลาย ให้สร้างมหาปราสาทพระเมรุหลวงหลังใหญ่ ที่สุสานหลวงข่วงดอนไชย ลุ่มวัดหัวเวียงหั้นแล เจ้ามหาอุปราชาหอน่า ก็ได้แต่งให้พระยาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาวิสุทธิมงคล ให้เป็นหัวหน้าในการจัดการควบคุมยังช่างไม้ทั้งหลาย ที่สร้างมหาปราสาทพระเมรุหลวง มหาปราสาทพระเมรุหลวง สร้างเป็นจตุรมุข ออก 4 ด้านหลังมุงยอดภายในบนประดับแล้วไปด้วยน้ำสีต่าง ๆ ใส่ข้างยอดช่องฟ้าและปวงปี บนยอดใส่เสวตรฉัตรงามดีสอาด แล้วก็แต่งสร้างศาลาบาดล้อมแง่ 14 ด้านจอดติดกันมุงด้วยคา หุ้มด้วยผ้าขาว ทั้ง 4 ด้าน มีประตูทั้ง 4 ด้าน สามารถไขเปิดได้ แล้วก็ตกแต่งด้วยโคมไฟ มากมาย
- ครั้นถึงวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ก็ได้เชิญเอาพระบรมศพเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ลงจากหอคำราชโรงหลวง ก็กระทำสงเสพด้วยดุริยดนตรีนันทเภรีพันสอาด แต่งรูปเทวบุตร 32 ตนไปก่อนน่าแทนแห่ เอาพระศพพระเจ้าฟ้าไปสู่ปราสาทพระเมรุหลวงวันนั้นแล แล้วก็ตั้งเขาอันม่วน มโหรสพ อย่างยิ่งใหญ่ ฝูงประชาไพร่สนุกใจ กระทำบุญให้ทานไปไม่ให้ขาดหยาดน้ำอุทิศส่วนบุญ คือว่ามหาบังสกุลเปนต้นหั้นแล
- ครั้นถึงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ก็ได้พร้อมกันเชิญเอาพระบรมศพ เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ไปถวายพระเพลิงวันนั้นแล
- ครั้นถึงวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2436 เจ้ามหาอุปราชาสุวรรณฝ่ายน่าหอคำ เจ้าราชวงษา เป็นประธาน และหน่อขัติยวงษา เสนาอามาตย์ทั้งหลายก็พร้อมกันอังคาตราธนาเอายังมหาอัฐิเจ้า เสด็จลงจากพระเมรุแล้วก็สงเสพด้วยดุริยดนตรีแห่นำเข้ามาให้สถิตย์อยู่ในพระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำ ก่อน แล้วก็กระทำบังสกุลพระอัฐิเจ้าทำบุญหื้อทานอยู่ในที่นั้น
- ครั้นถึงวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 ก็พร้อมราธนาเอาพระมหาอัฐิเจ้าขึ้นสถิตย์ในกู่ ณ ข่วงพระธาตุเจ้า วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของวัด
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- พ.ศ. 2428 – เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) ชื่อเดิม มงกุฎสยามมหาสุราภรณ์
อ้างอิง
- ↑ https://sites.google.com/site/thailandsurname/home/-n
- ↑ ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน (ฉบับพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช), หน้า 203
- ↑ http://www.car.chula.ac.th/rarebook/book2/clra57_0149/mobile/index.html#p=203
- ↑ ข่าวเจ้าประเทศราชถึงแก่พิราไลย
- ↑ http://www.huglanna.com/index.php?topic=21.0
- ↑ https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/nn2044-wat-donchai1-b-tr2.pdf
- ↑ http://thaiheritage.net/nation/oldcity/oldcity.htm
- ↑ https://vajirayana.org/นิราศเมืองหลวงพระบาง-และ-รายงานปราบเงี้ยว/ประวัติสังเขปของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
ดูเพิ่ม
ก่อนหน้า | เจ้าอนันตวรฤทธิเดช | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เจ้าหลวงมหาวงษ์ | เจ้าผู้ครองนครเมืองน่าน องค์ที่ 62 (พ.ศ. 2395 - 2434) |
พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช |