ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภีมราว รามชี อามเพฑกร"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: ผู้ใช้ใหม่เพิ่มลิงก์ไปยังเว็บอื่น |
ลบลิ้งจาก โอเคเนชั่น และ พันทิพย์ เพราะไม่น่าเชื่อถือ |
||
บรรทัด 24: | บรรทัด 24: | ||
}} |
}} |
||
ดร.'''ภีมราว รามชี อามเพฑกร''' ({{lang-mr|भीमराव रामजी आंबेडकर}}) หรือบางครั้งเรียกอิงการทับศัพท์อังกฤษว่า '''เอ็มเบดการ์''' |
ดร.'''ภีมราว รามชี อามเพฑกร''' ({{lang-mr|भीमराव रामजी आंबेडकर}}) หรือบางครั้งเรียกอิงการทับศัพท์อังกฤษว่า '''เอ็มเบดการ์''' อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย และเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญของอินเดีย ท่านถูกยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย" อีกด้วย อามเพฑกร เป็นผู้อุปถัมภพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้เดินร่วม ขบวนกับ [[มหาตมา คานธี]] และ[[ชวาหระลาล เนห์รู]] เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ต่อมาเนห์รูได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้แต่งตั้งให้อามเพฑกร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรม |
||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
บรรทัด 59: | บรรทัด 59: | ||
หลังจากการอสัญกรรมของอามเพฑกร [[ชวาหระลาล เนห์รู]] นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย ได้กล่าวสรรเสริญนายอามเพฑกร ความว่า |
หลังจากการอสัญกรรมของอามเพฑกร [[ชวาหระลาล เนห์รู]] นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย ได้กล่าวสรรเสริญนายอามเพฑกร ความว่า |
||
{{คำพูด|''ชื่ออามเพฑกร จะต้องถูกจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน โดยเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อลบล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู อามเพฑกรต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำต้องต่อสู้ อามเพฑกร ได้เป็นคนปลุกให้สังคมฮินดูตื่นจากหลับ''|[[ชวาหระลาล เนห์รู]] |
{{คำพูด|''ชื่ออามเพฑกร จะต้องถูกจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน โดยเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อลบล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู อามเพฑกรต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำต้องต่อสู้ อามเพฑกร ได้เป็นคนปลุกให้สังคมฮินดูตื่นจากหลับ''|[[ชวาหระลาล เนห์รู]]}} |
||
==สิ่งสืบเนื่อง== |
==สิ่งสืบเนื่อง== |
||
แม้อามเพฑกรจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยความดีความชอบและคุนูปการต่อประเทศ รวมไปถึงบุคคลวรรณะต่ำ กระแสการเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธศาสนายังคงมีอยู่ โดยชาวพุทธในอินเดีย เมื่อมีการสวดสังฆรัตน์จบแล้ว พวกเขาก็สวดโดยให้อามเพฑกรเป็นสรณะด้วย โดยสวดว่า ''ภีมพัง สรณัง คัจฉามิ'' จนถึงทุกวันนี้ |
แม้อามเพฑกรจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยความดีความชอบและคุนูปการต่อประเทศ รวมไปถึงบุคคลวรรณะต่ำ กระแสการเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธศาสนายังคงมีอยู่ โดยชาวพุทธในอินเดีย เมื่อมีการสวดสังฆรัตน์จบแล้ว พวกเขาก็สวดโดยให้อามเพฑกรเป็นสรณะด้วย โดยสวดว่า ''ภีมพัง สรณัง คัจฉามิ'' จนถึงทุกวันนี้ |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 02:43, 19 พฤษภาคม 2563
ภีมราว รามชี อามเพฑกร | |
---|---|
เกิด | 14 เมษายน พ.ศ. 2434 เมืองมหูม จังหวัดภาคกลาง บริติชราช (ปัจจุบันคือ รัฐมัธยประเทศ ประเทศอินเดีย) |
เสียชีวิต | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2499 (65 ปี) เมืองเดลี ประเทศอินเดีย |
สัญชาติ | อินเดีย |
มีชื่อเสียงจาก | บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย |
คู่สมรส | รามาพาอี อามเพฑกร (พ.ศ. 2449)[1] สาวิตา อามเพฑกร (พ.ศ. 2491)[2] |
บิดามารดา | รามชี มาโลชี สักปาล ภีมาพาอี สักปาล |
ดร.ภีมราว รามชี อามเพฑกร (มราฐี: भीमराव रामजी आंबेडकर) หรือบางครั้งเรียกอิงการทับศัพท์อังกฤษว่า เอ็มเบดการ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรมของอินเดีย และเป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญของอินเดีย ท่านถูกยกย่องให้เป็น "บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย" อีกด้วย อามเพฑกร เป็นผู้อุปถัมภพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และได้เดินร่วม ขบวนกับ มหาตมา คานธี และชวาหระลาล เนห์รู เพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ต่อมาเนห์รูได้เป็นนายกรัฐมนตรีและได้แต่งตั้งให้อามเพฑกร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและกระทรวงยุติธรรม
ประวัติ
ภีมราว รามชี อามเพฑกร หรือ ดร.เอ็มเบดการ์ เกิดที่เมืองมหูม จังหวัดภาคกลาง (ปัจจุบันคือรัฐมัธยประเทศ) เป็นบุตรสุดท้องในจำนวน 14 คน ของรามชี มาโลชี สักปาล (มราฐี: रामजी मालोजी सकपाल) กับภริยาชื่อภีมาพาอี (มราฐี: भीमाबाई) พื้นเพครอบครัวมาจากหมู่บ้านอัมพาวดีในอำเภอรัตนคีรี รัฐมหาราษฏระ พวกเขาถูกกดขี่จากสังคมอย่างรุนแรงเพราะเป็นจัณฑาล บรรพบุรุษของอามเพฑกรได้ทำงานให้กับบริษัทอินเดียตะวันออกมานานพอสมควร และพ่อของเขาเคยถูกเกณฑ์เป็นทหารให้กับกองทัพอินเดียในเมืองมฮาว เขาได้สนับสนุนลูกๆของเขาในการผลักดันให้เรียนต่อ
รามชี สักปาล สนับสนุน ให้ลูกของเขาได้เรียนพื้นฐานของศาสนาฮินดู และใช้ตำแหน่งทางทหารของเขาในการ ให้เรียนที่โรงเรียนรัฐบาล แต่ก็ต้องอดทนกับการกดขี่ของพวกที่วรรณะอื่น
อามเพฑกรและเด็กที่เป็นจัณฑาลคนอื่นๆ ถูกแยกจากเพื่อน ๆ คนอื่นโดยแม้กระทั่งครูก็ยังรังเกียจความเป็นจัณฑาลในตัวเขา พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนในชั้นเรียนและเมื่อเวลาดื่มน้ำจากคนวรรณะอื่น ก็ต้องอ้าปากให้น้ำกรอกลงมาที่ปาก สร้างความเจ็บช้ำใจแก่อามเพฑกรอย่างมาก
พ่อของเขาได้ลาออกจากกองทัพเมื่อปี ค.ศ. 1894 ครอบครัวเขาย้ายไปที่เมือง ซาร์ตารา สองปีต่อมา นางภีมาไพได้เสียชีวิตลง ป้าของเขาได้เลี้ยงดูและต้องอยู่เพียงห้าคน
อามเพฑกร นามสกุลนี้มาจากหมู่บ้านของบรรพบุรุษ คือ หมู่บ้านอัมพาวดี ครูที่สงสารเขาได้ไปแก้ที่ทะเบียนของโรงเรียน ทำให้ตั้งแต่นั้น คนอื่นก็เข้าใจว่า เขามาจากวรรณะพราหมณ์
พ่อของเขาได้แต่งงานใหม่ในปี ค.ศ. 1898 และย้ายไปที่เมืองบอมเบย์(หรือมุมไบในปัจจุบัน) อามเพฑกรเป็นนักเรียนในวรรณะจัณฑาลคนแรกของโรงเรียน ถึงแม้เขาจะถูกเลือกปฏิบัติ แต่ในปี ค.ศ. 1907 เขาได้รับการยอมรับให้ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยบอมเบย์ เป็นคนในวรรณะจัณฑาลคนแรกที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยในอินเดียเอง โดยมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ในหมู่บ้านของเขา
หลังจากครั้งนั้นแล้ว เขาได้พบกับประวัติของพระพุทธเจ้าโดยอาจารย์ กฤษณะ อาจัน คีลูสการ์ หรือ ดาดา คีลูสการ์ นักวิชาการด้านวรรณะ
อามเพฑกรได้แต่งงานกับนางรามาไบที่มาจากเมืองตาโพลี
ปี ค.ศ. 1908 เขาได้รับทุนพระราชทานจากพระราชาสัญจีราวที่3แห่งเมืองพาโรตะ ปี ค.ศ. 1912 เขาได้รับปริญญาทางเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบอมเบย์ และเตรียมทำงานให้กับเมืองพาโรตะ
ภรรยาของเขาได้กำเนิดบุตรชายคนแรกที่ชื่อว่า ยาชวัน ในปีเดียวกัน เขากลับไปย้ายที่เมืองมุมไบเพื่อเฝ้าดูอาการป่วยของพ่อและพ่อได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1913
การเปลี่ยนศาสนา
เนื่องจากเดิมอามเพฑกรเป็นชาวจัณฑาล ภายหลังได้เลิกนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เนื่องจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีการใช้ระบอบวรรณะ ถูกคนวรรณะอื่นรังเกียจเดียดฉันท์ ซึ่งเขาเคยเผชิญมากับตนเองตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อทำลายความอยุติธรรมนั้น อามเพฑกรจึงได้ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะที่เมืองนาคปุระ พร้อมกับบุคคลวรรณะศูทรกว่า 500,000 คน เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499 โดยในการนั้นมีพระภิกษุอยู่ในพิธี ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย 3 รูป คือ ท่านพระสังฆรัตนเถระ (Ven. M. Sangharatana Thera) พระสัทธราติสสเถระ (Ven. S. Saddratissa Thera) และพระปัญญานันทเถระ (Ven. Pannanand Thera) ในพิธีมีการประดับธงธรรมจักรและสายรุ้งอย่างงดงาม ในพิธีนั้น ผู้ปฏิญาณตนได้กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
อย่างไรก็ตามในการเปลี่ยนศาสนาครั้งใหญ่ในครั้งนี้ มีทั้งผู้สนับสนุน และคัดค้านเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผู้นำคำสุนทรพจน์ของอามเพฑกรไปตีพิมพ์เป็นหนังสือ เป็นคำปราศรัยยาว 127 หน้า ขนาด 8 ยก
ถึงแก่อสัญกรรม
หลังจากการประกาศเป็นพุทธมามกะได้เพียง 3 เดือน ก็ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2499[3] ท่ามกลางความเสียใจของเหล่าบรรดาชนชั้นวรรณะต่ำในอินเดีย ชวาหระลาล เนห์รู ได้กล่าวอย่างเศร้าสลดว่า "เพชรของรัฐบาลหมดไปเสียแล้ว" มุขมนตรีของบอมเบย์ในขณะนั้น คือนายชะวาน ได้ประกาศให้วันเกิดของอามเพฑกรถือเป็นวันหยุดราชการของรัฐ เพื่อเป็นเกียรติแก่ดวงวิญญาณของอามเพฑกร ภรรยาของเขาต้องการจะนำศพของท่านอามเพฑกร ไปทำพิธียังบอมเบย์ รัฐบาลก็ได้จัดเที่ยวบินพิเศษให้ เมื่อเครื่องบินนำศพมาถึงบอมเบย์ ประชาชนหลายหมื่นคนได้มารอรับศพของอามเพฑกรอย่างเนืองแน่น
หลังจากการอสัญกรรมของอามเพฑกร ชวาหระลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศอินเดีย ได้กล่าวสรรเสริญนายอามเพฑกร ความว่า
ชื่ออามเพฑกร จะต้องถูกจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน โดยเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อลบล้างความอยุติธรรมในสังคมฮินดู อามเพฑกรต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำต้องต่อสู้ อามเพฑกร ได้เป็นคนปลุกให้สังคมฮินดูตื่นจากหลับ
สิ่งสืบเนื่อง
แม้อามเพฑกรจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ด้วยความดีความชอบและคุนูปการต่อประเทศ รวมไปถึงบุคคลวรรณะต่ำ กระแสการเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธศาสนายังคงมีอยู่ โดยชาวพุทธในอินเดีย เมื่อมีการสวดสังฆรัตน์จบแล้ว พวกเขาก็สวดโดยให้อามเพฑกรเป็นสรณะด้วย โดยสวดว่า ภีมพัง สรณัง คัจฉามิ จนถึงทุกวันนี้
อ้างอิง
- ↑ Pritchett, Frances. "In the 1900s" (PHP). สืบค้นเมื่อ 5 January 2012.
- ↑ Pritchett, Frances. "In the 1940s". สืบค้นเมื่อ 2012-06-13.
- ↑ Dr. B.R. Ambedkar บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย