ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กาตารีนาแห่งบรากังซา"
Nullzerobot (คุย | ส่วนร่วม) ล ลบลิงก์ที่ซ้ำซ้อน wikidata |
ล ลบหมวดหมู่:ราชินีแห่งสกอตแลนด์แล้ว; เพิ่ม[[หมวดหมู่:คู่สมรสของพระมหากษัตริย์แห่งสกอตแล... |
||
บรรทัด 86: | บรรทัด 86: | ||
[[หมวดหมู่:คู่สมรสของพระมหากษัตริย์อังกฤษ|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
[[หมวดหมู่:คู่สมรสของพระมหากษัตริย์อังกฤษ|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
||
[[หมวดหมู่:ราชวงศ์สจวต|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
[[หมวดหมู่:ราชวงศ์สจวต|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
||
[[หมวดหมู่: |
[[หมวดหมู่:คู่สมรสของพระมหากษัตริย์แห่งสกอตแลนด์|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
||
[[หมวดหมู่:เจ้าหญิงโปรตุเกส|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
[[หมวดหมู่:เจ้าหญิงโปรตุเกส|คแทเธอรีนแห่งบราแกนซา]] |
||
[[หมวดหมู่:บุคคลจากลิสบอน]] |
[[หมวดหมู่:บุคคลจากลิสบอน]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:20, 21 มีนาคม 2556
กาตารีนาแห่งบรากังซา | |
---|---|
แคทเธอรีนแห่งบราแกนซา สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | |
ประสูติ | 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638 Vila Viçosa ประเทศโปรตุเกส |
สิ้นพระชนม์ | 31 ธันวาคม ค.ศ. 1705 (พระชนมายุ 67 พรรษา) ลิสบอน ประเทศโปรตุเกส |
จักรพรรดินี | สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ |
แคทเธอรีนแห่งบราแกนซา สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ | |
ราชวงศ์ | บราแกนซา สจวต |
พระบิดา | พระเจ้าจอห์นที่ 4 แห่งโปรตุเกส |
พระมารดา | ลุยซาแห่งเมดินา-ซิโดเนีย สมเด็จพระราชินีแห่งโปรตุเกส |
แคทเธอรีนแห่งบราแกนซา สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (ภาษาอังกฤษ: Catherine of Braganza) (25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638 - 31 ธันวาคม ค.ศ. 1705) ทรงเป็น"เจ้าหญิงแห่งโปรตุเกส"และ"สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ,สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์"
ช่วงต้นของพระชนม์ชีพ
เจ้าหญิงคาทาลีนาแห่งบราแกนซา-โปรตุเกสประสูติที่วิลลา วิคอสตา ทรงเป็นพระราชธิดาองค์ที่ 2 ใน พระเจ้าจอห์นที่ 4 แห่งโปรตุเกส เมื่อครั้งทรงเป็นดยุคแห่งบราแกนซากับเจ้าหญิงลุยซาแห่งเมดินา-ซิโดเนีย ธิดาในดยุคแห่งเมดินา-ซิโดเนีย ทางพระราชมารดา พระองค์ทรงเป็นพระราชปนัดดารุ่นที่ 3 ใน นักบุญฟรานซิส บอร์เจีย พระองค์ทรงศึกษาในคอนแวนต์ เจ้าหญิงแคทเทอรีนทรงได้รับการควบคุมศึกษาจากพระมารดา ทำให้ทรงสนิทสนมกับพระราชมารดามาก
เนื่องจากการฟื้นฟูพระราชวงศ์โปรตุเกส ซึ่งก็คือ ราชวงศ์บราแกนซา ทำให้พระราชบิดาของพระองค์ได้ครองราชสมบัติในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2183 พระองค์ได้ถูกเสนอให้เป็นพระคู่ครองในเจ้าชายจอห์นแห่งออสเตรีย ผู้เยาว์, ฟรังซัวส์ เดอ เวนโดเม ดยุคแห่งโบฟอร์ต, พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส และสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ พระองค์ถูกมองว่าเป็นช่องทางแห่งความสัมพันธ์และผลประโยชน์สำหรับการทำสัญญาเป็นพันธมิตรระหว่างอังกฤษกับโปรตุเกส หลังจากสนธิสัญญาพีเรนิสในพ.ศ. 2202 แล้วโปรตุเกสก็ละทิ้งฝรั่งเศส และเมื่อพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ได้รับราชบัลลังก์อังกฤษคืนเมื่อปี พ.ศ. 2203 พระมารดาของแคทเธอรีนก็เริ่มเปิดการเจรจาเรื่องการแต่งงานของแคทเธอรีนกับที่ปรึกษาของพระเจ้าชาร์ลส์ ในที่สุดสนธิสัญญาการแต่งงานระหว่างทั้งสองพระองค์ก็ได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2204
ชีวิตของราชินี
พระองค์ได้อภิเษกสมรสเพียงในพระนามที่ลิสบอนในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2205 ต่อมาในเช้าอันอ่อนโยนของวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2205 เรือพระที่นั่งได้เสด็จเทียบท่าที่พอร์ตสมัท เจ้าหญิงแคทเทอรีนวัย 23 พรรษา ผู้ทรงร่างเล็กและพระเกษาสีน้ำตาล แม้จะทรงไม่สะสวยเป็นพิเศษแต่ก็ทรงหวังว่าจะเป็นราชินีที่ดี เป็นภรรยาที่น่ารัก และเป็นแม่ที่มีความสุข ทรงหวังจะได้พบพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระสวามี ที่ไม่เคยแม้จะได้พบหน้า ทรงมาถึงพร้อมด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า พระองค์ทรงได้สัญญากับพระนางลุยซาแห่งโปรตุเกส พระราชมารดาว่า"พระองค์จะไม่มีวนอดทนยอมลงให้กับนางในผู้เสื่อมเสียของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ที่มีนามว่า บาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนเป็นเด็ดขาด" เนื่องจากพระมารดาทรงอบรมพระองค์ไว้ว่าด้วยเรื่องหญิงแพศยาผมน้ำตาลอมแดง ผู้ทรยศพระสวามีแสนดี รังแครังคัดราชบัลลังก์ พร้อมตั้งครรภ์ทายาทกษัตริย์ หลังจากคลอดก็ตั้งครรภ์ใหม่ทันควัน[1]
เซอร์จอห์น เรเรสบี(Sir John Reresby) ผู้มารับเจ้าหญิงอย่างเป็นทางการที่พอร์ตสมัท ประกาศด้วยท่าทีหวาดหวั่นอยู่บ้างว่าเจ้าหญิงแคทเทอรีนนั้น "มิมีใดแลเห็นถึงความสามารถของพระนางในการทำให้กษัตริย์ถ่ายถอนพระราชหฤทัยจากเคานท์เตสแห่งแคสเซิลเมน ผู้เป็นหญิงงามที่สุดแห่งยุคสมัย" แม้ชาวอังกฤษจะต้อนรับการมาถึงของเจ้าหญิงแต่พระเจ้าชาร์ลส์ทรงใช้เวลากับเลดี้แห่งแคสเซิลเมนถึง 6 วันเต็ม ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จมายังพอร์ตสมัท เจ้าหญิงแคทเทอรีนผู้น่าสงสารซึ่งรอคอยอย่างอับอายก็ทรงพระประชวร พระเจ้าชาร์ลส์ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเจ้าสาวของพระองค์ ทว่าพระองค์ทรงตกพระทัยกับพระทนต์ที่ยื่นออกมาของเจ้าหญิงน้อยยิ่งกว่าพระเกศาสไตล์ไอบีเรียนของเจ้าหญิงที่ม้วนเกลียวฉีกแหวกออกมาทั้งสองข้างของพระเศียรแล้วห้อยลงมายังหัวไหล่ เห็นครั้งแรก พระเจ้าชาร์ลส์ทรงบอกกับพระสหายว่า "ข้านึกว่าพวกนั้นพาค้างคาวเข้ามา ไม่ใช้ผู้หญิง" กษัตริย์รับจุมพิตพระองค์แล้วกลับเข้าห้องส่วนพระองค์ ทรงพยายามมองพระนางในแง่บวก วันรุ่งขึ้นทรงตรัสกับเสนาบดีว่า "ใบหน้านางไม่เชิงเรียกได้ว่างามเสียที่เดียว แต่ดวงตานางสวยยิ่ง ไม่มีสิ่งใดในใบหน้านั้นแม้แต่น้อยที่อาจทำให้ถึงขั้นหมดสติได้"[1]
ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2205 ทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสสองพิธีคือ แบบคาทอลิก กระทำเป็นการลับและแบบแองกลิตัน กระทำในที่สาธารณะ เจ้าหญิงแคทเทอรีนจึงได้สวมมงกุฎสมเด็จราชินีแห่งอังกฤษ,สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระราชทรัพย์อันร่ำรวยของโปรตุเกสอันประกอบด้วยทานเจียร์และบอมเบย์ ซึ่งจะเป็นประโยช์แก่อังกฤษสำหรับกิจการในอินเดีย ในวันอภิเษกสมรสบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนได้ประท้วงโดยซักชุดชั้นในของนางซักตากไว้กลางลานพระราชวัง[1]
พระนางทรงตกหลุมรักพระสวามีทันทีเมื่อแรกพบ พระเจ้าชาร์ลส์ทรงเห็นว่าอาจทำให้พระมเหสีคลุ้มคลั่งได้เพราะทรงเคยสัญญากับบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนว่าจะให้นางเป็นนางในของพระราชินี แต่ในที่สุดพระองค์ก็แนะนำให้รู้จักกัน พระราชินีแคทเทอรีนทรงประทับใจในความงามของผู้มาเยือนแต่เมื่อทรงรู้ว่าคือ บาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมน พระนางพระพักตร์เผือด ทรุดนั้งเศร้าโศกหลั่งพระอัสสุชลและพระโลหิตไหลออกจากพระนาสิก แล้วสลบลง พระเจ้าชาร์ลส์ทรงตีความการกระทำของราชินีว่าเป็นการท้าทายและหยาบคายจึงส่งตัวข้าราชบริพารชาวโปรตุเกสกลับทั้งหมด เหลือเพียงพระราชินีชาวโปรตุเกสเท่านั้น[1]
พระราชินีแคทเทอรีนทรงไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวอังกฤษมากเพราะ ทรงเป็นเจ้าหญิงคาทอลิกที่เคร่งครัด ซึ่งตอนนั้นชาวอังกฤษนับถือนิกายอังกลิตัน และทรงถูกพระสวามีทอดทิ้ง เอ็ดเวิร์ด คลาเรนดอน พระสหายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ได้แนะนำให้กษัตริย์ทอดทิ้งบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมน แต่พระองคืไม่ยอมทรงตรัสว่า "ข้าจะไม่ปลดหญิงผู้นี้" และบังคับให้พระนางแต่งตั้งบาร์บาราเป็นนางในประจำพระที่
พระนางตรัสตอบว่า"คำยืนกรานที่มีต่อกษัตริย์ที่มีต่อเรื่องนี้ ดำเนินไปโดยไม่มีสาเหตุใดนอกจากความเกลียดชังที่พระองค์มีต่อตัวข้าเอง พระองคืปรารถนาจะให้ตัวข้าเป็นที่ดูหมิ่นถิ่นแคลนของโลก โลกจะคิดว่าตัวข้าควรแล้วที่จะได้รับการปรามาสเยี่ยงนั้นหากยอมรับมัน ก่อนทำเช่นนั้นข้าเห็นทีต้องขึ้นเรือเล็กๆสักลำแล้วเนรเทศตนเองสู่กรุงลิสบอนเสียก่อน"[1] ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์เห็นว่าพระนางทรงท้าทายพระองค์จึงทอดทิ้งพระนางให้โดดเดี่ยว ไม่มีใครอยากสนทนากับพระราชินีเพราะอาจถูกพระเจ้าชาร์ลส์ลงโทษได้ ต่อมาทรงกล่าวขออภัยพระสวามีและรับบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนมาเป็นนางในเยี่ยงพระสหาย พระเจ้าชาร์ส์ได้สำนึกคุณและพยายามเอาพระทัยใส่พระนาง และได้พัฒนาจากมิตรภาพเป็นความรักแบบหนึ่ง พระนางแคทเทอรีนเสด็จร่วมกับพระสวามีบ่อยขึ้น ส่วนบาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมน ถูกโดดเดี่ยวบ้าง[1]
พระนางทรงพระสูติกาลถึง 2 ครั้งแต่พระบุตรสิ้นพระชนม์ทั้งหมดในพระครรภ์ เมื่อครั้งทรงพระประชวร และพระนางก็ทรงเป็นหมัน ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ผิดหวังเป็นอันมาก เนื่องจากพระองค์ทรงมีแต่บุตรนอกสมรส และเมื่อพระนางทรงพระประชวรอย่างหนัก บาร์บารา เลดี้แห่งแคสเซิลเมนพยายามภาวนาให้พระองค์ทรงฟื้นพระอาการประชวรเพราะนางไม่อยากถูกแทนที่ด้วยนางในคนใหม่นามว่า ฟรานเซส สจวร์ต จากนั้นพระองค์ก็ให้ความเคารพต่อพระชายาตลอดมา
ในปีพ.ศ. 2213 เหล่านางในของพระเจ้าชาร์ลส์ได้เดินขบวนปกป้องพระนางแคทเทอรีน เมื่อลอร์ดบักกิงแฮม เสนอกฎหมายต่อสภาว่ากษัตริย์สามารถหย่าขาดจากพระชายาซึ่งเป็นหมันได้และสมรสใหม่ได้ เหล่านางในส่งเสียงยืนกรานว่า พระราชินีซึ่งทรงไร้อำนาจและไร้บุตรจะต้องดำรงอยู่เช่นเดิม เพราะราชินีองค์ใหม่อาจให้กำเนิดบุตรและพระองค์อาจทอดทิ้งบุตรนอกสมรสของพระองค์ก็เป็นได้
พระเจ้าชาร์ลส์ทรงได้สติและสั่งห้ามกฎหมายนี้เสีย ทรงกล่าวว่า"ถือเป็นสิ่งร้ายกาจหากจะสร้างทุกข์ให้หญิงที่น่าสงสารเพียงเพราะนางเป็นภรรยาของเขาและมิมีบุตรเพราะเขา นั่นไม่ใช่ความผิดของนางเลย" ซึ่งทรงพูดในเชิงว่า ที่พระราชินีทรงไร้บุตรนั้นไม่ใช่เพราะพระนางแต่เป็นเพราะพระองค์เอง[1]
พระราชนโยบายของพระองค์ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1670 ก็ทำให้ทรงมีความขัดแย้งกับรัฐสภาในปี พ.ศ. 2215 พระเจ้าชาร์ลส์ทรงออกพระราชประกาศผ่อนปรนสิทธิของผู้เป็นโรมันคาทอลิกที่หยุดยั้งการลงโทษทางกฎหมายอาญาต่อผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกและผู้เป็นปฏิปักษ์ทางศาสนาทั้งหมด เนื่องจากพระนางทรงเป็นคาทอลิกซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีการต่อต้านพวกคาทอลิก พระนางทรงถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสังหารเซอร์ เอ็ดมันด์ ก็อดฟรีย์ ในปีพ.ศ. 2221 ซึ่งคนรับใช้ของพระนางตกเผป็นผู้ต้องสงสัย ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ไททัส โอตส์ ได้กล่าวหาว่า พระราชินีแคทเทอรีนนั้นทรงเป็นพวกการคบคิดโพพพิช โอตส์และอิสราเอล ทังก์เขียนเอกสารที่กล่าวโทษสถาบันโรมันคาธอลิกว่าสนับสนุนการปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 โดยใช้มือของนักบวชเยซูอิดในอังกฤษ แม้พระเจ้าชาร์ลส์ทรงปฏิเสธแผนการนี้ แต่ทำให้เกิดความขัดแย้งในสภา ในที่สุด ปีพ.ศ. 2222 พระนางก็สามารถพ้นข้อกล่าวหาได้
บั้นปลายพระชนม์ชีพ
ในพระอาการประชวรระยะสุดท้ายของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 จากการถูกลอบปลงพระชนม์ ในปีพ.ศ. 2228 พระนางทรงวิตกกังวลกับการประนีประนอมของพระองค์กับฝ่ายคาทอลิก พระนางทรงเศร้าสลดอย่างยิ่งต่อการสวรรคตของพระสวามี ต่อมาในปีเดียวกันพระนางทรงขอพระราชทานอภัยโทษแก่เจมส์ สกอตต์ ดยุคแห่งมอนม็อธที่ 1จากข้อหากบฏแผ่นดินจากเหตุการณ์กบฏมอนม็อธ ซึ่งเป็นพระบุตรนอกสมรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2และเป็นโปรเตสแตนต์เพื่อสร้างความนิยมต่อประชาชนในอังกฤษในการเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าเจมส์ผู้เป็นโรมันคาทอลิก แต่พระนางทรงขอพระราชทานอภัยโทษไม่สำเร็จ สมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษได้สั่งปลงพระชนม์เจมส์ สกอตต์ ผู้เป็นพระนัดดาเสีย
อดีตพระราชินีแคทเอรีนยังคงประทับอยู่ในอังกฤษที่บ้านซอมเมอร์เซ็ท จนกระทั่งรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษจบลงจากการการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ โดยสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษและสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ
เริ่มแรกทรงทำตามเงื่อนไขที่ดีกับพระเจ้าวิลเลียมและพระนางแมรี พระอิศริยยศของพระนางหมดอำนาจตามการปฏิบัติของศาสนา ซึ่งการเป็นคาทอลิกของพระนางนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการแตกแยก พระนางทรงถูกริบทรัพย์สินและลดจำนวนคนรับใช้ พระนางทรงถูกเตือนและต่อต้านจากรั้ฐบาลว่าทรงเป็นต้นเหตุ ทำให้เกิดความไม่สงบระหว่างคาทอลิกและอังกลิตัน อดีตพระราชินีแคทเทอรีนทรงต้องเสด็จกลับโปรตุเกสในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2235
พระนางทรงสนับสนุนการทำสนธิสัญญาเมทูเอนในปีพ.ศ. 2246 กับอังกฤษ และทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในพระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 แห่งโปรตุเกส ผู้เป็นพระอนุชา ในปีพ.ศ. 2244 และพ.ศ. 2247 ถึงพ.ศ. 2248 พระนางทรงสิ้นพระชนม์ที่ พระราชวังเบมปอสตา กรุงลิสบอน ในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2248 และพระศพทรงถูกฝังที่ พระอารามเจโรมนิโมส ในซานตา มาเรีย เดอ เบเรม กรุงลิสบอน
ผลกระทบที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
พระนางแคทเทอรีนทรงกำหนดวิธีการดื่มชาด้วพระองค์เอง ในอังกฤษเวลาที่กำหนดเองที่ได้รับความนิยมมากอยู่แล้วโปรตุเกสในหมู่คนชั้นสูงที่ ชาได้ถูกนำเข้าสู่โปรตุเกสจากทรัพย์สินของโปรตุเกสในเอเชียรวมทั้งผ่านร้านค้าโปรตุเกสค้ามีอยู่กับประเทศจีนและญี่ปุ่น
ตามที่ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ Braganza บ้านของมันไม่เพียง แต่การดื่มชา"High Tea"เวลา 16:00 น. (บางคนเชื่อว่ามันเป็นเวลา 17:00 น. ) ซึ่งยังคงประเพณีภาษาโปรตุเกส พระนางแคทเธอรีนยังทรงแนะนำวิธีการดื่มแบบดั้งเดิมบนโต๊ะรับประทานอาหารของอังกฤษ แม้ว่าบางคนได้อ้างว่า ควีนส์ในเมืองนิวยอร์กเป็นชื่อหลังจากพระนางแคทเธอรีนแห่งบราแกนซา พระนามของพระนางไม่ได้กล่าวถึงในครั้งแรก 200 ปีของเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ในคลังเขต เธอได้ แต่ควีนเมื่อ Queens County ก่อตั้งขึ้นข้าง Kings County (บรู๊คลินน์) ใน พ.ศ. 2226 Kings County เป็นพระนามของพระสวามีของพระนางคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2
เนื่องจากข้อกล่าวหาที่สมเด็จพระราชินีและพระราชวงศ์ของเพระนางได้แสวงหากำไรจาก การค้าทาส ได้มีความพยายามล่าสุดในการสร้างอนุสาวรีย์สูง 10 เมตร (33 ฟุต) เพื่อเป็นเกียรติแก่พระนางในควีนส์ได้ถูกทำลายโดยชาวพื้นเมืองและชาวแอฟริกันอเมริกัน,ไอริชอเมริกัน และกลุ่มชุมชน แต่อนุสาวรีย์ยังคงอยู่ใน Expo '98, ใน ลิสบอน, โปรตุเกส หันพระพักตร์ไปทางควีนส์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
พระอิศริยยศ
- 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2181 - 1 ธันวาคม พ.ศ. 2183: ดอนนา คาทาลีนา เดอ บราแกนซา(Dona Catarina de Bragança)
- 1 ธันวาคม พ.ศ. 2183 - 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2196: เจ้าหญิงดอนนา คาทาลีนา(Her Highness The Infanta Dona Catarina)
- 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2196 - 23 เมษายน พ.ศ. 2206: เจ้าหญิงแห่งเบย์รา(Her Royal Highness The Princess of Beira )
- 23 เมษายน พ.ศ. 2206 - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2228: สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ,สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์(Her Majesty The Queen of England, Scotland and Ireland )
- 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2228 - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2248: สมเด็จพระพันปีหลวงแห่งอังกฤษ,สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์(Her Majesty The Queen Dowager of England, Scotland and Ireland)