ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เฟซบุ๊ก"
ล ย้อนการแก้ไขของ 124.121.128.209 (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Xqbot |
|||
บรรทัด 27: | บรรทัด 27: | ||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
[[มาร์ก ซัก |
[[มาร์ก ซักคอคก์เบิบ](Mark Suckcockburb)] ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของ[[มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด]] โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ [[ฮอตออร์น็อต]] ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด<ref>{{cite news|url=http://web.archive.org/web/20050403215543/www.thecrimson.com/article.aspx?ref=357292 |title=Hundreds Register for New Facebook Website |first=Alan J. |last=Tabak |date=February 9, 2004 |publisher=Harvard Crimson |accessdate=2008-11-07}}</ref> และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ ''[[The Harvard Crimson]]'' เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน<ref name="autogenerated2007">Locke, Laura. [http://www.time.com/time/business/article/0,8599,1644040,00.html "The Future of Facebook"], Time Magazine, July 17, 2007. Retrieved November 13, 2009.</ref> |
||
[[ไฟล์:MarkZuckerberg.jpg|thumb|[[มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก]] ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก]] |
[[ไฟล์:MarkZuckerberg.jpg|thumb|[[มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก]] ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:27, 4 กันยายน 2554
ประเภท | บริการเครือข่ายสังคม |
---|---|
ภาษาที่ใช้ได้ | หลายภาษา |
เจ้าของ | |
สร้างโดย | มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก |
ยูอาร์แอล | www.facebook.com |
เชิงพาณิชย์ | ใช่ |
ลงทะเบียน | จำเป็น |
เฟซบุ๊ก (อังกฤษ: Facebook) เป็นบริการเครือข่ายสังคมและเว็บไซต์ เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ดำเนินงานและมีเจ้าของคือ บริษัท เฟซบุ๊ก (Facebook, Inc.) [1] จากข้อมูลเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 เฟซบุ๊กมีผู้ใช้ประจำ 500 ล้านบัญชี[2][3][N 1] ผู้ใช้สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัว เพิ่มรายชื่อผู้ใช้อื่นในฐานะเพื่อนและแลกเปลี่ยนข้อความ รวมถึงได้รับแจ้งโดยทันทีเมื่อพวกเขาปรับปรุงข้อมูลส่วนตัว นอกจากนั้นผู้ใช้ยังสามารถร่วมกลุ่มความสนใจส่วนตัว จัดระบบตาม สถานที่ทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ อื่น ๆ ชื่อของเฟซบุ๊กนั้นมาจากชื่อเรียกภาษาปากของสมุดที่ให้กับนักเรียนเมื่อเริ่มเแรกเรียนในสถาบันอุดมศึกษา ที่มอบให้โดยคณะบริหารมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถรู้จักผู้อื่นได้ดีมากขึ้น เฟซบุ๊กอนุญาตให้ใครก็ได้เข้าสมัครลงทะเบียนกับเฟซบุ๊ก โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
เฟซบุ๊กก่อตั้งขึ้นโดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ร่วมกับเพื่อนร่วมห้องในวิทยาลัยของเขาและเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ชื่อ เอ็ดวาร์โด ซาเวริน, ดิสติน มอสโควิตซ์ และคริส ฮิวส์[4] เดิมทีสมาชิกของเว็บไซต์จะจำกัดเฉพาะกลุ่มผู้ก่อตั้งและนักเรียนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด แต่ต่อมาขยับขยายไปสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแถบบอสตัน, กลุ่มไอวีลีก, และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แล้วค่อย ๆ เพิ่มนักเรียนจากมหาวิทยาลับอื่น จนกระทั่งเปิดให้กับนักเรียนระดับไฮสคูล จนในที่สุดทุกคนก็สามารถเข้าสมัครได้โดยอายุมากกว่า 13 ปีขึ้นไป
สำหรับติดต่อแลกข้อมูลข่าวสาร เปิดใช้งานเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ในช่วงแรกนั้นเฟซบุ๊กเปิดให้ใช้งานเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวออกไปสำหรับมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา และตั้งแต่ 11 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้ขยายมาสำหรับผู้ใช้ทั่วไปทุกคนเหมือนในปัจจุบัน
จากการศึกษาของเว็บ คอมพีต.คอม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กถือเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มีคนใช้มากที่สุด เมื่อดูจากผู้ใช้ประจำรายเดือน รองลงมาคือ มายสเปซ[5] เอ็นเตอร์เทนเมนต์วีกลี ให้อยู่ในรายชื่อ สิ่งที่ดีที่สุดในสิ้นทศวรรษ[6] และควอนต์แคสต์ ประเมินว่า เฟซบุ๊ก มีผู้ใช้ต่อเดือนราว 135.1 ล้านคน นับเฉพาะในสหรัฐอเมริกา[7]
ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554 จากเฟซบุ๊คมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 584,628,480 สมาชิกทั้วโลก โดยเป็นสมาชิกจากประเทศไทย รวม 6,914,800 สมาชิก [8]
ประวัติ
[[มาร์ก ซักคอคก์เบิบ](Mark Suckcockburb)] ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ ฮอตออร์น็อต ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด[9] และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ The Harvard Crimson เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน[10]
เพื่อทำให้ได้สำเร็จ ซักเคอร์เบิร์กได้แฮกเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของฮาวาร์ดในพื้นที่ป้องกัน และได้คัดลอกภาพส่วนตัวประจำหอพัก ซึ่งในขณะนั้นฮาวาร์ดยังไม่มีสารบัญรูปภาพและข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษา และเฟซแมชได้ทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 450 คน และดูรูปภาพ 22,000 ครั้งใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออนไลน์[10] และเว็บไซต์นี้ได้จำลองสังคมกายภาพของคน ด้วยอัตลักษณ์จริง เป็นตัวแทนของกุญแจสำคัญด้านมุมมอง ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น เฟซบุ๊ก[11]
เว็บไซต์ได้ก้าวไกลไปในหลายเซิร์ฟเวอร์ของกลุ่มในมหาวิทยาลัย แต่ก็ปิดตัวไปในอีกไม่กี่วันโดยคณะบริหารฮาวาร์ด ซักเคอร์เบิร์กถูกกล่าวโทษว่าทำผิดต่อระบบรักษาความปลอดภัย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และยังถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อกล่าวหาก็ยกเลิกไป[12] ต่อมาซักเคอร์เบิร์กได้ขยับขยายโครงการในเทอมนั้นเอง โดยได้คิดค้นเครื่องมือการศึกษาทางสังคมที่ก้าวหน้า ของการสอบวิชาประวัติศาสตร์ โดยการอัปโหลดรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรม 500 รูป โดยมี 1 รูปกับอีก 1 ส่วนที่ให้แสดงความเห็น[11] เขาเปิดกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา และคนเริ่มที่จะแบ่งปันข้อความกัน
ในเทอมต่อมาซักเคอร์เบิร์กเริ่มเขียนโค้ดในเว็บไซต์ใหม่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับแรงกระตุ้นให้ทำ เขาพูดไว้ใน The Harvard Crimson เกี่ยวกับเรื่อง เฟซแมช[13] และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ซักเกอร์เบิร์กได้เปิดตัวเว็บไซต์ "เดอะเฟซบุก" ในยูอาร์แอล thefacebook.com[14]
6 วันหลังจากเปิดเว็บไซต์ รุ่นพี่ 3 คน คือ แคเมรอน วิงก์เลวอส, ไทเลอร์ วิงก์เลวอส และดิฟยา นาเรนดรา ได้ฟ้องร้องซักเกอร์เบิร์กที่หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่า เขาได้ช่วยที่จะช่วยสร้างเครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ขณะที่เขาใช้แนวคิดพวกเขาในการสร้างเว็บไซต์เพื่อแข่งขัน[15] ทั้ง 3 คนได้บ่นในหนังสือพิมพ์ Harvard Crimson โดยทางหนังสือพิมพ์เริ่มทำการสอบสวน ต่อมาทั้ง 3 คนได้ยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อซักเกอร์เบิร์กในภายหลัง[16]
แต่เดิม สมาชิกจะจำกัดเฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และภายในเดือนแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้ลงทะเบียนใช้บริการ[17] เอ็ดวาร์โด ซาเวริน (ดูแลเรื่องธุรกิจ), ดิสติน มอสโควิตซ์ (โปรแกรเมอร์), แอนดรูว์ แม็กคอลลัม (กราฟิก) และคริส ฮิวส์ ที่ต่อมาได้ร่วมกับซักเกอร์เบิร์กเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ขยับขยายสู่มหาวิทยาลัยอื่นอย่าง สแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย, และเยล[18] และยังคงขยับขยายต่อสู่กลุ่มไอวีลีกทั้งหมด และมหาวิทยาลัยบอสตัน, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, เอ็มไอที และสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาไปทีละน้อย[19][20]
เฟซบุ๊กได้เป็นบริษัทในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2004 และได้นักธุรกิจ ฌอน พาร์กเกอร์ ที่ได้เคยแนะนำซักเกอร์เบิร์กอย่างเป็นกันเอง ก็ได้ก้าวมาเป็นประธานของบริษัท.[21] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ย้ายฐานปฏิบัติงานมาอยู่ที่ แพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย<[18] และได้รับเงินทุนในเดือนนั้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์พาล ที่ชื่อ ปีเตอร์ ธีล[22] บริษัทได้เปลี่ยนชื่อ โดยลดคำว่า เดอะ ออกไป และซื้อโดเมนเนมใหม่ในชื่อ เฟซบุ๊ก.คอม ในปี ค.ศ. 2005 ด้วยเงิน 2 แสนเหรียญสหรัฐ[23]
เฟซบุ๊กได้เปิดตัวในรูปแบบของโรงเรียนไฮสคูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ที่ซักเกอร์เบิร์กเรียกว่า ก้าวต่อไปที่มีเหตุผล[24] ณ เวลานั้นในเครือข่ายไฮสคูล ต้องการการรับเชิญเท่านั้นเพื่อร่วมเว็บไซต์[25] ต่อมาเฟซบุ๊กได้ขยับขยายให้กับลูกจ้างบริษัทที่คัดสรรอย่าง แอปเปิล และ ไมโครซอฟท์[26] เฟซบุ๊กได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2006 ให้ทุกคนได้ใช้กัน โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปี และมีอีเมล์ที่แท้จริง[27][28]
ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นของเฟซบุ๊กเป็นจำนวน 1.6% ด้วยเงิน 240 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เฟซบุกมีมูลค่าราว 15 พันล้านเหรียญสหรัฐ[29] และทำให้ไมโครซอฟท์มีสิทธิ์ที่จะแขวนป้ายโฆษณาบนเฟซบุ๊กได้[30] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 เฟซบุกประกาศว่าจะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์[31]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กได้กล่าวว่า สถานะการเงินเริ่มเป็นตัวเลขบวกเป็นครั้งแรก [32] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 จากข้อมูลของ เซคันด์มาร์เก็ต ระบุว่าเฟซบุกมีมูลค่า 41 พันล้านเหรียญสหรัฐ (แซงหน้าอีเบย์ไปเล็กน้อย) และถือเป็นบริษัทเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 รองจากกูเกิลและแอมะซอน[33] สถิติผู้เข้าชมในเฟซบุ๊กหลังปี ค.ศ. 2009 ผู้ชมเฟซบุ๊กมากกว่ากูเกิลในปลายสัปดาห์ของสัปดาห์ 13 มีนาคม ค.ศ. 2010 [34]
ข้อพิพาทและการวิจารณ์
เฟซบุ๊กประสบกับข้อพิพาทหลายเรื่อง เฟซบุ๊กถูกปิดกั้นการเข้าถึงเป็นช่วง ๆ ในหลายประเทศ อย่างเช่นใน ประเทศจีน,[35] เวียดนาม[36] อิหร่าน[37] อุซเบกิสถาน[38] ปากีสถาน[39] ซีเรีย[40] และบังคลาเทศ[41] ในเหตุผลที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เนื้อหาการต่อต้านอิสลามและการแบ่งแยกทางศาสนาในเฟซบุ๊ก และยังถูกห้ามใช้จากหลายประเทศ และยังถูกห้ามใช้ในสถานที่ทำงานหลายที่เพื่อป้องกันพนักงานเสียเวลาในการทำงาน[42] และนโยบายความเป็นส่วนตัวก็เป็นประเด็น และความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ก็มีการไกล่เกลี่ยกันหลายต่อหลายครั้ง เฟซบุ๊กได้ลงมือแก้ปัญหาคดีความที่เกี่ยวกับซอร์ซโคดและทรัพย์สินทางปัญญา[43]
บริษัท
รายได้ส่วนมากของเฟซบุ๊กมาจากการโฆษณา โดยไมโครซอฟท์เป็นผู้ร่วมหุ้นพิเศษในด้านการบริการแบนเนอร์โฆษณา[44] และเฟซบุ๊กให้มีการโฆษณาเฉพาะที่อยู่ในรายการลูกค้าของไมโครซอฟท์ และจากข้อมูลของคอมสกอร์ บริษัทสำรวจการตลาดทางอินเทอร์เน็ต ระบุว่า เฟซบุ๊กได้รวบรวมข้อมูลเข้าเว็บไซต์มากกว่า กูเกิลและไมโครซอฟท์ แต่น้อยกว่า ยาฮู![45] ในปี ค.ศ. 2010 ทีมระบบความปลอดภัยได้เพิ่มประโยชน์จากการต่อต้านภัยคุกคามและก่อการร้ายจากผู้ใช้[46] เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เฟซบุ๊กได้เปิดตัว เฟซบุ๊กบีคอน เป็นการพยายามในการโฆษณาให้เหล่าเพื่อน โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เพื่อนซื้อ แต่เฟซบุ๊กบีคอนก็เกิดความล้มเหลว
โดยปกติแล้ว เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (clickthrough rate) ต่ำกว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อื่น ที่ในแบนเนอร์โฆษณา เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิ๊ก 1 ต่อ 5 เทียบกับเว็บไซต์อื่น[47] นั่นหมายถึงว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะกดคลิกโฆษณา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้กูเกิลคลิกโฆษณาแรกในการค้นหาเฉลี่ย 8% (80,000 คลิกในทุก 1 ล้านการค้นหา) [48] แต่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะคลิกโฆษณาในอัตรา 0.04% (400 คลิกในทุก 1 ล้านหน้า) [49]
แซราห์ สมิท ผู้จัดการบริการงานขายออนไลน์ของเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การรณรงค์โฆษณาประสบความสำเร็จ สามารถมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (CTR) ต่ำอยู่ราว 0.05% ถึง 0.04% แต่อัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณาสำหรับโฆษณามีแนวโน้มจะตกลงภายใน 2 อาทิตย์[50] เมื่อเปรียบเทียบ CTR กับมายสเปซแล้ว มียอดประมาณ 0.1% ซึ่งเป็น 2.5 เท่าของเฟซบุ๊ก และต่ำกว่านี้เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น คำอธิบายเรื่อง CTR สำหรับโฆษณาที่ต่ำในเฟซบุ๊กเนื่องจาก ข้อเท็จจริงที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นผู้รอบรู้ทางเทคโนโลยีและใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันและซ้อนโฆษณา ผู้ใช้มักเป็นคนหนุ่มสาวกว่าและชอบที่จะหลีกเลี่ยงข้อความโฆษณา ที่ในมายสเปซแล้วผู้ใช้จะเข้าถึเนื้อหามากกว่า ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะใช้เวลาในการสื่อสารกับเพื่อน เป็นเหตุให้พวกเขาไปสนใจโฆษณา[51]
ในหน้าของตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในบางบริษัทมีรายงานว่า มี CTR สูงถึง 6.49% ในหน้าวอล[52] อินโวลเวอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการตลาดสังคม ประกาศว่า ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่าสามารถบรรลุเป้า CTR ที่ 0.7% ในเฟซบุ๊ก (เป็น 10 เท่าของ CTR การโฆษณาในเฟซบุ๊ก) กับลูกค้าคือ เซเรนาซอฟต์แวร์ ถือเป็นลูกค้ารายแรกของอินโวเวอร์ ที่สามารถมีผู้ชม 1.1 ล้านครั้งจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 8,000 คน[53] จากการศึกษาพบว่า วิดีโอโฆษณาในเฟซบุ๊กนั้น ผู้ใช้ 40% ดูวิดีโอทั้งหมดของวิดีโอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ 25% ของโฆษณาแบบแบนเนอร์ในวิดีโอ[54]
เฟซบุ๊กมีลูกจ้างมากกว่า 1,700 คน และมีสำนักงานใน 12 ประเทศ[55] โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กถือหุ้นของบริษัท 24% แอ็กเซล พาร์ตเนอร์ถือหุ้น 10% ดิจิตอลสกายเทคโนโลยีส์ถือหุ้น 10%[56] ดัสติน มอสโควิตซ์ถือหุ้น 6% เอ็ดวาร์โด ซาเวรินถือหุ้น 5% ฌอน พาร์กเกอร์ถือหุ้น 4% ปีเตอร์ ธีลถือหุ้น 3% เกรย์ล็อกพาร์ตเนอร์สและเมริเทคแคพิทอลพาร์ตเนอร์ส ถือหุ้นระหว่าง 1 ถึง 2% แต่ละบริษัท ไมโครซอฟท์ถือหุ้น 1.3% ลิ คา-ชิงถือหุ้น 0.75% อินเตอร์พับลิกกรุปถือหุ้นน้อยกว่า 0.5% นอกจากนั้นยังมีลูกจ้างปัจจุบันและอดีตลูกจ้างรวมถึงผู้มีชื่อเสียงอื่นถือหุ้นอีกน้อยกว่า 1% เช่น แมต โคห์เลอร์, เจฟฟ์ รอทส์ไชลด์, วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย บาร์บารา บอกเซอร์, คริส ฮิวส์ และโอเวน แวน แนตตา ขณะที่รีด ฮอฟแมนและมาร์ก พินคัสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และที่เหลืออีก 30% ถือหุ้นโดยลูกจ้าง ผู้มีชื่อเสียงไม่เปิดเผยชื่ออีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักลงทุนอื่น[57] แอดัม ดี'แองเจโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและเพื่อนของซักเคอร์เบิร์กได้ลาออกไปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานอ้างว่าเขาและซักเคอร์เบิร์กเริ่มไม่ลงรอยกัน และเป็นเหตุให้เขาไม่มีความสนใจในการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท[58]
หมายเหตุ
- ↑ ผู้ใช้ประจำในเฟซบุ๊กหมายถึง บัญชีรายชื่อของผู้ใช้ที่เยี่ยมเข้าเว็บไซต์ใน 30 วันที่ผ่านมา
อ้างอิง
- ↑ Eldon, Eric. (2008-12-18). "2008 Growth Puts Facebook In Better Position to Make Money". VentureBeat. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ500m
- ↑ "Facebook Statistics". สืบค้นเมื่อ July 21, 2010.
- ↑ Carlson, Nicholas (2010-03-05). "At Last – The Full Story Of How Facebook Was Founded". Business Insider.
- ↑ Kazeniac, Andy (2009-02-09). "Social Networks: Facebook Takes Over Top Spot, Twitter Climbs". Compete.com. สืบค้นเมื่อ 2009-02-17.
- ↑ Geier, Thom (December 11, 2009)). "THE 100 Greatest Movies, TV Shows, Albums, Books, Characters, Scenes, Episodes, Songs, Dresses, Music Videos, and Trends that entertained us over the 10 Years". No. (1079/1080) :74-84. Entertainment Weekly.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ "facebook.com — Quantcast Audience Profile". Quantcast.com. 2010-10-27. สืบค้นเมื่อ 2010-11-07.
- ↑ "Facebook Statistics by country". socialbakers.com/. 2011-1-04. สืบค้นเมื่อ 2011-1-07.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
และ|date=
(help) - ↑ Tabak, Alan J. (February 9, 2004). "Hundreds Register for New Facebook Website". Harvard Crimson. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
- ↑ 10.0 10.1 Locke, Laura. "The Future of Facebook", Time Magazine, July 17, 2007. Retrieved November 13, 2009.
- ↑ 11.0 11.1 McGirt, Ellen. "Facebook's Mark Zuckerberg: Hacker. Dropout. CEO. ", Fast Company, May 1, 2007. Retrieved November 5, 2009.
- ↑ Kaplan, Katherine (2003-11-19). "Facemash Creator Survives Ad Board". The Harvard Crimson. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
- ↑ Hoffman, Claire (2008-06-28). "The Battle for Facebook". Rolling Stone. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 3, 2008. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Seward, Zachary M. (2007-07-25). "Judge Expresses Skepticism About Facebook Lawsuit". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
- ↑ Carlson, Nicolas (2010-03-05). "In 2004, Mark Zuckerberg Broke Into A Facebook User's Private Email Account". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
{{cite news}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - ↑ Brad Stone (2008-06-28). "Judge Ends Facebook's Feud With ConnectU". The New York Times.
- ↑ Phillips, Sarah (2007-07-25). "A brief history of Facebook". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2008-03-07.
- ↑ 18.0 18.1 "Press Room". Facebook. 2007-01-01. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- ↑ Rosmarin, Rachel (2006-09-11). "Open Facebook". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
- ↑ "Online network created by Harvard students flourishes". The Tufts Daily. สืบค้นเมื่อ 2009-08-21.
- ↑ Rosen, Ellen (2005-05-26). "Student's Start-Up Draws Attention and $13 Million". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2009-05-18.
- ↑ "Why you should beware of Facebook". The Age. Melbourne. 2008-01-20. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
- ↑ Williams, Chris (2007-10-01). "Facebook wins Manx battle for face-book.com". The Register. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.|
- ↑ Dempsey, Laura (2006-08-03). "Facebook is the go-to Web site for students looking to hook up". Dayton Daily News.
- ↑ Lerer, Lisa (2007-01-25). "Why MySpace Doesn't Card". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
- ↑ Lacy, Sarah (2006-09-12). "Facebook: Opening the Doors Wider". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
- ↑ Abram, Carolyn (2006-09-26). "Welcome to Facebook, everyone". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2008-03-08.
- ↑ "Terms of Use". Facebook. 2007-11-15. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- ↑ "Facebook and Microsoft Expand Strategic Alliance". Microsoft. 2007-10-24. สืบค้นเมื่อ 2007-11-08.
- ↑ "Facebook Stock For Sale". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06.
- ↑ "Press Releases". Facebook. 2008-11-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-30.
- ↑ "Facebook 'cash flow positive,' signs 300M users". Cbc.ca. 2009-09-16. สืบค้นเมื่อ 2010-03-23.
- ↑ Facebook Becomes Third Biggest US Web Company http://www.thejakartaglobe.com/technology/facebook-becomes-third-biggest-us-web-company/406751
- ↑ "Facebook Reaches Top Ranking in US".
- ↑ "Uzbek authorities have blocked access to Facebook". สืบค้นเมื่อ 21 October 2010. "China's Facebook Status: Blocked". ABC News. July 8, 2009. สืบค้นเมื่อ 13 July 2009.
- ↑ Ben Stocking (2009-11-17). "Vietnam Internet users fear Facebook blackout". The San Francisco Chronicle. Associated Press. สืบค้นเมื่อ 2009-11-17. [ลิงก์เสีย]
- ↑ Shahi, Afshin. (July 27, 2008). "Iran's Digital War". Daily News Egypt. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
- ↑ (รัสเซีย)
- ↑ Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
- ↑ "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
- ↑ Ben Escurado (2010-11-14). "Saudi Arabia blocks Facebook". TechViewz.Org. สืบค้นเมื่อ 2010-11-16.
- ↑ Benzie, Robert (May 3, 2007). "Facebook banned for Ontario staffers". Toronto: TheStar.com. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
- ↑ Stone, Brad (April 7, 2008). "Facebook to Settle Thorny Lawsuit Over Its Origins". The New York Times (blog). สืบค้นเมื่อ November 5, 2009.
- ↑ "Product Overview FAQ: Facebook Ads". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2008-03-10.[ลิงก์เสีย]
- ↑ Story, Louise (2008-03-10). "To Aim Ads, Web Is Keeping Closer Eye on You". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
- ↑ Cluley, Graham (February 1, 2010). "Revealed: Which social networks pose the biggest risk?". Sophos. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
- ↑ "Facebook May Revamp Beacon". BusinessWeek. 2007-11-28. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ "Google AdWords Click Through Rates Per Position". AccuraCast. 2009-10-09. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ Denton, Nick (2007-03-07). "Facebook 'consistently the worst performing site'". Gawker. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ "Facebook Says Click Through Rates Do Not Match Those At Google". TechPulse 360. 2009-08-12. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ Leggatt, Helen (2007-07-16). "Advertisers disappointed with Facebook's CTR". BizReport. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ Klaassen, Abbey (2009-08-13). "Facebook's Click-Through Rates Flourish ... for Wall Posts". AdAge. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ "Involver Delivers Over 10x the Typical Click-Through Rate for Facebook Ad Campaigns". Press release. 2008-07-31. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ Walsh, Mark (2010-06-15). "Study: Video Ads On Facebook More Engaging Than Outside Sites". MediaPost. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
- ↑ "Facebook Factsheet". สืบค้นเมื่อ November 21, 2010.
- ↑ "Facebook's friend in Russia". CNN. 2010-10-04. สืบค้นเมื่อ December 18, 2010.
- ↑ David Kirkpatrick. The Facebook Effect. p. 322. ISBN 1439102112.
- ↑ McCarthy, Caroline (May 11, 2008). "As Facebook goes corporate, Mark Zuckerberg loses an early player". CNET.com. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.