ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฟรันทซ์ คัฟคา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Xqbot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต ลบ: pag:Franz Kafka; ปรับแต่งให้อ่านง่าย
MelancholieBot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต เพิ่ม: yo:Franz Kafka
บรรทัด 501: บรรทัด 501:
[[vo:Franz Kafka]]
[[vo:Franz Kafka]]
[[war:Franz Kafka]]
[[war:Franz Kafka]]
[[yo:Franz Kafka]]
[[zh:弗朗茨·卡夫卡]]
[[zh:弗朗茨·卡夫卡]]
[[zh-min-nan:Franz Kafka]]
[[zh-min-nan:Franz Kafka]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:59, 29 พฤศจิกายน 2552

ฟรานซ์ คาฟคา
Franz Kafka
ฟรานซ์ คาฟคา, 1906
เกิด3 กรกฎาคม ค.ศ. 1883
ปราก, สาธารณรัฐเช็ก
เสียชีวิต3 มิถุนายน ค.ศ. 1924
เวียนนา, ออสเตรีย
สัญชาติชาวยิว
อาชีพนักเขียน
ผลงานเด่น“The Trial”, “The Castle”,
“กลาย”
แบบแผนการกล่าวถึงนวนิยาย, เรื่องสั้น
ตำแหน่งนักเขียน
นักเขียนชาวยิว

ฟรานซ์ คาฟคา (อังกฤษ: Franz Kafka) (3 กรกฎาคม ค.ศ. 1883 - (3 มิถุนายน ค.ศ. 1924) ฟรานซ์ คาฟคาเป็นนักเขียนชาวยิวคนสำคัญของคริสต์ศตวรรษที่ 20 คาฟคาถือกำเนิดมาในครอบครัวที่พูดภาษาเยอรมัน ผู้มีฐานะปานกลางในกรุงปรากใน ราชอาณาจักรโบฮีเมีย ที่ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบันสาธารณรัฐเช็ก) ผลงานเขียนอันเป็นเอกลักษณ์ของคาฟคาที่ส่วนใหญ่เป็นงานที่เขียนค้างไว้ และส่วนใหญ่ตีพิมพ์หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วถือว่าเป็นงานที่มีอิทธิต่องานวรรณกรรมตะวันตกมากที่สุด[1]

งานเขียนที่สำคัญของคาฟคาก็ได้แก่ “กลาย” (ค.ศ. 1912) และ “In the Penal Colony” (ค.ศ. 1914), while his novels are “The Trial” (ค.ศ. 1925), “The Castle” (1926) และ “Amerika” (ค.ศ. 1927)

ประวัติ

คาฟคาเมื่ออายุได้ห้าขวบ

คาฟคาเกิดในครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิวในกรุงปรากซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรโบฮีเมียในขณะนั้น เฮอร์มันน์ บิดาของคาฟคา (ค.ศ. 1852-ค.ศ. 1931) ได้รับการบรรยายว่มี “ร่างใหญ่ เห็นแก่ตัว และเป็นนักธุรกิจผู้มีบุคลิกที่ชอบยกตนข่มท่าน”[2] คาฟคาเองบรรยายบิดาว่า “เป็นคาฟคาแท้ ผู้แข็งแกร่ง สุขภาพดี เสียงดัง สง่า หลงตัว มีอิทธิพลต่อโลก อดทน มีความรู้ดีเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์” เฮอร์มันน์เป็นบุตรชายคนที่สี่ของยาคอป คาฟคาผู้มีอาชีพเป็น “shochet” หรือคนฆ่าสัตว์ตามธรรมเนียมของยิวที่กำหนดไว้ ผู้ย้ายมาอยู่ปรากจากโอเซ็คที่เป็นหมู่บ้านที่พูดภาษาเช็กไม่ไกลจาก Písek ทางตอนใต้ของโบฮีเมีย หลังจากทำงานเป็นพนักงานเดินทางค้าขายแล้ว ยาคอปก็ตั้งร้านค้าของตนเองขายสิ่งตกแต่งฟุ่มเฟือยสำหรับบุรุษและสตรี ที่มีลูกจ้างถึง 15 คน และใช้นกแจ็คดอว์ (“jackdaw” หรือ “kavka” ในภาษาเช็ก) เป็นสัญลักษณ์ของธุรกิจ มารดาของคาฟคา จูลี (ค.ศ. 1856—ค.ศ. 1934) เป็นลูกสาวของยาคอป เลิวรีย์ผู้มีอาชีพกลั่นเบียร์ผู้มีฐานะดีใน Poděbrady และมีการศึกษาดีกว่าสามี[3]

คาฟคาเป็นลูกชายคนโตในบรรดาพี่น้องหกคน[4] โดยมีน้องชายสองคนจอร์จและไฮน์ริคผู้ที่เสียชีวิตเมื่ออายุปีครึ่งและหกเดือนตามลำดับก่อนที่คาฟคาจะอายุได้เจ็ดขวบ คาฟคามีน้องสาวสามคน กาเบรียล (“เอลลี”) (ค.ศ. 1889–ค.ศ. 1941), วาเลอรี (“วาลลิ”) (ค.ศ. 1890–ค.ศ. 1942) และ ออตติลี (“ออตลา”) (ค.ศ. 1891–ค.ศ. 1943) ระหว่างวันทำงานทั้งบิดาและมารดาต่างก็ไปทำธุรกิจ จูลีช่วยสามีบริหารธุรกิจและบางครั้งก็ทำงานถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน ทิ้งลูกๆ ไว้ให้อยู่ในการเลี้ยงดูของครูและคนรับใช้ต่อเนื่องกันหลายคน ความสัมพันธ์ระหว่างคาฟคาและบิดาเป็นความสัมพันธ์ที่คับแค้นและกดดันที่เป็นปัญหา คาฟคาอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ว่านี้ในใน “Letter to His Father” (ไทย: จดหมายถึงพ่อ) ที่กล่าวถึงความทารุณทางจิตใจที่ได้รับจากบิดามาตั้งแต่เด็ก[ต้องการอ้างอิง]

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองน้องสาวของคาฟคาพร้อมกับครอบครัวถูกส่งไปบริเวณกักกันโลดซ์ (Łódź Ghetto) และไปเสียชีวิตที่นั่นหรือในค่ายกักกัน ออตลาถูกส่งไปยังค่ายกักกันเทอเรเซียนชตัดท์ (Concentration camp Theresienstadt) แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1943 ก็ถูกส่งต่อไปยังค่ายมรณะที่เอาสชวิทซ์ ที่ออตลาพร้อมด้วยเด็กอีก 1,267 คนและผู้ดูแลอีก 51 คนถูกรมแก๊สจนเสียชีวิตในวันที่ถูกส่งตัวไปถึง[5]

การศึกษา

วังคินสคีที่คาฟคาได้รับการศึกษาขั้นมัธยม

คาฟคาเรียนภาษาเยอรมันเป็นภาษาเอก แต่ก็สามารถพูดภาษาเช็กได้อย่างคล่องแคล่ว ต่อมาคาฟคาก็เรียนภาษาฝรั่งเศสและวัฒนธรรม นักเขียนที่คาฟคาชื่นชมขณะนั้นคือกุสตาฟ ฟลอแบรต์ ระหว่างปี ค.ศ. 1889 ถึง ค.ศ. 1893 คาฟคาก็เข้าศึกษาในโรงเรียนประถมเยอรมันสำหรับเด็กชายที่ตลาดขายเนื้อที่ปัจจุบันคือถนนมาสนา การศึกษาทางด้านศาสนายูดายจำกัดอยู่แต่เพียงการทำพิธี “พิธีบาร์มิทซาห์” (Bar and Bat Mitzvah) ซึ่งเป็นพิธีฉลองเมื่ออายุครบ 13 ปี และการไปซินากอกปีละสี่ครั้งกับพ่อซึ่งคาฟคาก็ไม่ชอบทำ[6] หลังจากการศึกษาขั้นประถมแล้วคาฟคาก็เข้าศึกษาขั้นมัธยมต่อที่ Altstädter Deutsches Gymnasium (โรงเรียนเตรียมอุดมเยอรมันในเมืองเก่า) ซึ่งเป็นโรงเรียนระดับแปดซึ่งใช้ภาษาเยอรมันในการสอน และเข้าสอบในปี ค.ศ. 1901

หลังจากนั้นคาฟคาก็เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยชาร์ลส์-เฟอร์ดินานด์ในกรุงปรากโดยเริ่มด้วยการศึกษาวิชาเคมี แต่ก็มาเปลี่ยนสาขาเป็นกฎหมาย ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่มีทางหากินได้หลายอาชีพ และนำความพอใจให้แก่บิดา นอกจากนั้นก็ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ศึกษาภาษาเยอรมันและประวัติศาสตร์ศิลปะเพิ่มขึ้น ระหว่างที่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยคาฟคาก็เข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม Lese- und Redehalle der Deutschen Studenten (สมาคมการอ่านและการพูดของนักศึกษาเยอรมัน) ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดกิจกรรมเกี่ยวกับวรรณกรรม การอ่าน และอื่นๆ ในปลายปีแรกของการศึกษาคาฟคาก็พบแม็กซ์ โบรด (Max Brod) ผู้กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของคาฟคาต่อมาจนตลอดชีวิต และนักหนังสือพิมพ์ฟีลิกซ์ เวลท์ช (Felix Weltsch) ผู้ก็ศึกษากฎหมายเช่นเดียวกับคาฟคา ในที่สุดคาฟคาก็ได้ปริญญาทางกฎหมายเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1906 หลังจากนั้นก็รับหน้าที่เป็นทนายฝึกในศาลแพ่งและศาลอาญาโดยไม่มีเงินเดือนอยู่ปีหนึ่งตามระเบียบ[1]

งานอาชีพ

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 คาฟคาก็ได้รับการจ้างโดยบริษัทประกันภัยอิตาลีใหญ่อัสซิคูราซิโอนิ เจเนราลิ (Assicurazioni Generali) ให้ทำงานอยู่ปีหนึ่ง การติดต่อทางจดหมายในช่วงระยะเวลานี้แสดงให้เห็นถึงความไม่มีความสุขเกี่ยวกับเวลาทำงาน—ระหว่าง 8 นาฬิกาในตอนเช้าไปจนถึงหกนาฬิกาในตอนเย็น—ซึ่งคาฟคากล่าวว่าเป็นช่วงที่ยากต่อการมีสมาธิในการทำงาน เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1908 คาฟคาก็ลาออก สองอาทิตย์ต่อมาก็ได้งานใหม่ที่เหมาะสมกว่ากับสถาบันประกันอุบัติเหตุสำหรับคนงานแห่งราชอาณาจักรโบฮีเมีย บิดามักจะกล่าวถึงงานในฐานะเจ้าหน้าที่ประกันภัยว่าเป็น “Brotberuf” (“งานขนมปัง”) ที่หมายถึงงานที่ทำเพื่อชำระหนี้ แม้ว่าจะอ้างว่าเกลียดงานที่ทำแต่คาฟคาก็เป็นพนักงานผู้มีความอุตาสาหะและมีความสามารถ นอกจากนั้นก็ยังได้รับหน้าที่ให้รวบรวมรายงานประจำปี เท่าที่ทราบก็ดูจะมีความภูมิใจในผลงานพอที่จะส่งไปให้เพื่อนและญาติพี่น้องชื่นชม ในขณะเดียวกันคาฟคาก็เริ่มงานเขียนวรรณกรรม คาฟคาและเพื่อนสนิทอีกสองคนแม็กซ์ โบรด และ ฟีลิกซ์ เวลท์ช เรียกตัวเองว่า “Der enge Prager Kreis” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชมรม “ชมรมปราก” (Prague Circle) ซึ่งเป็น “ชมรมนักเขียนชาวยิว-เยอรมันผู้มีความใกล้ชิดกันที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ เพื่อสร้างงานทางศิลปะบนแผ่นดินอันรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของปราก ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1880 จนกระทั่งถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”[7]

ในปี ค.ศ. 1911 คาร์ล เฮอร์มันน์สามีของเอลลิน้องสาวก็เสนอให้คาฟคาเข้าร่วมในการบริหารโรงงานแอสเบสโทส ที่เรียกว่าบริษัทงานแอสเบสโทสเฮอร์มันน์ ในระยะแรกคาฟคาก็ดูท่าว่าจะมีทัศนคติดีต่องานและอุทิศเวลาว่างให้กับธุรกิจ ในช่วงเดียวกันนั้นก็เริ่มมีความสนใจการเป็นนักแสดงในโรงละครยิดดิชแม้ว่าแม็กซ์ โบรดผู้ตามปกติแล้วสนับสนุนทุกอย่างที่คาฟคาทำจะไม่เห็นด้วย นอกจากนั้นการแสดงก็ยังเป็นจุดเริ่มของความสัมพันธ์กับศาสนายูดายของคาฟคาที่เพิ่มมากขึ้น[8]

ปีต่อๆ มา

ก่อน ค.ศ. 1924

ในปี ค.ศ. 1912 คาฟคาพบเฟลิส เบาเออร์ผู้พำนักอยู่ที่เบอร์ลินและทำงานเป็นผู้แทนของบริษัทเครื่องบันทึกคำบอก (dictaphone) ที่บ้านของแม็กซ์ โบรด ในช่วงห้าปีต่อมาคาฟคาและเฟลิสก็เขียนจดหมายติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ และหมั้นกันสองครั้ง แต่ความสัมพันธ์ก็มาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1917

ในปี ค.ศ. 1917 คาฟคาก็เริ่มป่วยด้วยวัณโรคซึ่งทำให้ต้องได้รับการรักษาตัวบ่อยครั้งโดยการสนับสนุนของครอบครัว โดยเฉพาะจากน้องสาวออตลา แม้ว่าจะหวาดระแวงว่าผู้คนจะรู้สึกว่าเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจทางสุขภาพและทางจิตใจ แต่คาฟคาก็สร้างความประทับใจให้แก่ผู้อื่นในความเยาว์ ความเรียบร้อย หน้าตาที่คมขำ สุขุมและท่าทางใจเย็น เฉลียวฉลาดอย่างเห็นได้ชัด และอารมณ์ขันแบบหน้าตาย[9]

ในปี ค.ศ. 1921 คาฟคาก็มีความสัมพันธ์อย่างจริงจังกับนักวรสารนักเขียนชาวเช็กเมลินา เยเซนสคา (Milena Jesenská) ในเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 1923 เมื่อไปพักร้อนที่ Graal-Müritz บนฝั่งทะเลบอลติคคาฟคาก็พบดอรา ดิอามันท์ (Dora Diamant) และย้ายไปเบอร์ลินอยู่ชั่วระยะหนึ่ง โดยหวังที่จะไปอยู่ห่างจากครอบครัวที่มีอิทธิพลต่องานเขียนที่ทำ ในเบอร์ลินคาฟคาก็อาศัยอยู่กับดิอามันท์ ครูโรงเรียนอนุบาลอายุ 25 ปีที่มาจากครอบครัวยิวออร์โธด็อกซ์ ผู้มีเสรีภาพพอที่หนีจากอดีตของเขตเก็ตโต (ghetto) ได้ ดิอามันท์กลายมาเป็นคนรักและผู้มีอิทธิพลต่อความสนใจในคัมภีร์ทาลมุด (Talmud) ของคาฟคา[10]

โดยทั่วไปแล้วก็เชื่อกันว่าคาฟคาได้รับความทรมานจากโรคซึมเศร้าและ ความกังวลต่อความคิดของสังคม (social anxiety) ตลอดชีวิต[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนั้นแล้วก็ยังได้รับความทรมานจากไมเกรน (migraine), โรคนอนไม่หลับ (insomnia), ท้องผูก, เป็นหนอง และ โรคภัยอื่นๆ ซึ่งเกิดจากความกดดันในชีวิต คาฟคาพยายามแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด แต่อาการวัณโรคกลับร้ายแรงขึ้นอีก เมื่อกลับมาถึงปรากคาฟคาก็เดินทางไปรักษาที่สถานบำบัด (sanatorium) ของนายแพทย์ฮอฟฟ์มันน์ในเคียร์ลิงไม่ไกลจากเวียนนาเพื่อรับการรักษา ซึ่งเป็นที่ที่คาฟคาเสียชีวิตเมื่องันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1924 จากความอดอยาก เพราะอาการของวัณโรคมีผลต่อคอหอยและทำให้มีความเจ็บปวดเกินกว่าที่จะกินอะไรลง ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้โภชนาบำบัด (parenteral nutrition) ฉะนั้นจึงไม่มีวิธีใดที่จะให้อาหารคาฟคาได้ ร่างของคาฟคาถูกนำกลับมายังกรุงปรากและได้รับการฝังเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1924 ในสุสานชาวยิวใหม่ (บริเวณ 21, แถวที่ 14, หมายเลข 33) ใน Prague-Žižkov

ยูดายและไซออนนิสม์

คาฟคามิได้เข้าเกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการกับการดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาของชาวยิว แต่มีความสนใจอย่างจริงจังกับวัฒนธรรมและปรัชญายิว และเป็นผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวรรณกรรมยิดดิช และรักโรงละครยิดดิช[11] คาฟคามีความสนใจเป็นพิเศษกับชาวยิวจากยุโรปตะวันออกที่เห็นว่าเป็นกลุ่มชนที่มีหลักความเชื่อทางศาสนาอันเหนียวแน่นที่ชาวยิวในยุโรปตะวันตกขาด บันทึกประจำวันของคาฟคาเต็มไปด้วยข้ออ้างอิงไปถึงนักเขียนยิดดิชทั้งที่เป็นที่รู้จักและไม่รู้จัก[11] แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตัวว่าห่างเหินจากความเป็นยิวและวิถีชีวิตของชาวยิว: “ผมมีสิ่งใดที่เหมือนกับชาวยิวเล่า? ผมก็แทบจะไม่มีอะไรที่เหมือนกับตนเองอยู่แล้ว ได้แต่เพียงยืนเงียบๆ อยู่มุมห้องพอใจกับตัวเองที่มีความสามารถหายใจได้”

ขณะที่อาจจะมีความรู้สึกห่างเหิน คาฟคาก็มีความฝันที่จะย้ายไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนปาเลสไตน์ในการปกครองของบริติช (British Mandate of Palestine) กับเฟลิส เบาเออร์ และต่อมากับดอรา ดิอามันท์เพื่อไปอยู่ใน “ดินแดนแห่งอิสราเอล” (Land of Israel)[11] ขณะที่อยู่ที่เบอร์ลินคาฟคาก็ศึกษาฮิบรู และจ้างพัว บัท-โทวิมนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจากปาเลสไตน์ให้สอน แต่ก็ไม่คล่องเท่าใดนัก และเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษาสำหรับการศึกษาศาสนายูดาย (Berlin Hochschule für die Wissenschaft des Judentums) ของราไบยูเลียส กรึนทาล

นักวิจารณ์ฮันส์ เคลเลอร์ (Hans Keller) สัมภาษณ์ลูกชายของกรึนทาลคีตกวีโยเซฟ ทาล (Josef Tal):

...เรื่องเล็กที่[โยเซฟ] ทาลเล่าให้ผมฟังก็มีเรื่องใหม่บางเรื่อง, เรื่องที่ทราบด้วยตนเองเกี่ยวกับฟรานซ์ คาฟคาที่ทำให้เห็นภาพพจน์ของอัจฉริยะ – ที่แสดงให้เห็นความไม่สามารถที่จะประพฤติอย่างไม่มีลักษณะได้: [โยเซฟ]สรุปลักษณะของคาฟคาด้วยคำสองสามคำที่ทำให้เข้าใจได้ – ประโยคที่ฟังดูราบเรียบ แต่มีอารมณ์ขันอันท้าทาย ที่คาฟคาเท่านั้นที่จะเป็นผู้คิดขึ้นมาได้ พ่อของทาล ยูเลียส กรึนทาลเป็นราไบผู้ที่เป็นที่นับถือเกี่ยวกับภาษาเซมิติคไปทั่วโลก ผู้ทำการสอนอยู่ที่สถาบันการศึกษาศาสนายูดายที่เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง คาฟคาผู้นั่งอยู่ในชั้นเรียน ขณะที่ความรู้ในวรรณกรรมร่วมสมัยของกรึนทาลมีช่องโหว่อยู่บ้าง และไม่รู้จักว่าคาฟคามีตัวตน ได้แต่สังเกตเห็นเด็กหนุ่มผอมผิวขาวซีดที่นั่งอยู่แถวสุดท้าย ท่าทางเงียบ แต่ตาเป็นประกายผู้มักจะยิงคำถามที่ตรงตามหัวข้อ และเป็นความคิดเห็นที่เป็นของตนเองโดยเฉพาะ วันหนึ่งเมื่อไม่สามารถทนต่อความอยากรู้อยากเห็นต่อไปได้ ยูเลียสก็ถามว่า: "ขอโทษทีเถอะ, คุณน่ะเป็นใคร? คุณทำมาหากินอะไร?" "ผมเป็นนักเขียนวรสารครับ" ซึ่งเป็นคำตอบที่เป็นหัวใจของลักษณะของคาฟคาอย่างแท้จริง (ซึ่งยากต่อการแปลให้ได้เนื้อหา) คำตอบของคาฟคาสรุปได้เป็นสองลักษณะ: การยิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อเอ่ยวาจาอย่างเกินกว่าที่จะราบเรียบ (extreme understatement), การแสดงลักษณะแบบฟรอยด์โดยการย้ายคำตอบจากกระบวนของจิตใต้สำนึกมายังความรู้ตัวของจิตสำนึก และในการบรรยายตนเองอย่างขาดเหตุผล (absurdity) ว่าเป็นนักเขียนวรสารซึ่งเป็นนัยถึงอาชีพการเขียนที่ฉาบฉวย, ขาดคุณค่า และเป็นลักษณะการเขียนที่มีคุณภาพด้อยกว่าการเขียนประเภทอื่น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง งานที่คาฟคาเขียนเป็นการเขียนของงานที่แม้จะปรากฏในวรสารก็จริงแต่เป็นงานที่มีคุณภาพเลิศ – งานเขียนที่เป็นงานที่เกี่ยวกับสิ่งลึกล้ำที่เกิดขึ้นในจิตของมนุษย์ที่ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ผมบรรยายได้ว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบเอก และผมก็ดีใจที่ได้มีคนพบ ทาลเองขณะนั้นยังเป็นเด็กจึงไม่สามารถบรรยายรายละเอียดได้ถึงการมาเยี่ยมที่บ้านของคาฟคาได้ เท่าที่จำได้ก็แต่ชายที่มีร่างซูบผอมและซีดขาวกว่าปกติ และมีตาที่มองทะลุ – ผู้มักจะนั่งเงียบขณะที่สตรีหน้าตางดงามที่นำมาด้วยทำตัวมีชีวิตชีวา[12]

นอกจากนั้นแล้วคาฟคาก็ยังเข้าร่วมการประชุมไซออนนิสต์ครั้งที่สิบเอ็ด และอ่านรายงานของนิคมเกษตรกรยิวในปาเลสไตน์ด้วยความสนใจอย่างจริงจัง[11]

ตามความเห็นของนักวิพากษ์วรรณกรรมฮาโรลด์ บลูม (Harold Bloom) ผู้ประพันธ์ “The Western Canon” กล่าวว่า “ถึงจะปฏิเสธและหลีกเลี่ยงอย่างใด, [งานเขียนของคาฟคา]ก็คืองานเขียนแบบยิว”[8]

อาชีพทางวรรกรรม

หลุมศพของคาฟคาที่ Žižkov

งานเขียนของคาฟคาไม่ได้รับความสนใจจนกระทั่งเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่เรื่องสั้นของคาฟคาเพียงสองสามเรื่องเท่านั้นที่ได้รับการตีพิมพ์ และนวนิยายที่เขียนก็เขียนไม่จบนอกจาก “กลาย” ซึ่งบางท่านก็ถือว่าเป็นนวนิยายขนาดสั้น ก่อนหน้าที่จะเสียชีวิตคาฟคาเขียนจดหมายไปถึงเพื่อนและผู้จัดการสมบัติวรรณกรรม (literary executor) แม็กซ์ โบรด: “แม็กซ์ที่รักยิ่ง, คำขอสุดท้าย: ทุกอย่างที่ผมทิ้งไว้ข้างหลัง... ในกรณีของอนุทิน, งานเขียน, จดหมาย (ของผมเองและของผู้อื่น), ร่าง และ อื่นๆ ขอให้เผาโดยไม่ให้อ่าน”[13] แต่โบรดก็มิได้ทำตามความประสงค์ของคาฟคา โดยเชื่อว่าคาฟคาสั่งไว้เพราะเชื่อว่าโบรดจะไม่ทำตามคำสั่ง—ซึ่งโบรดก็บอกคาฟคาดังว่า ดอรา ดิอามันท์คนรักของคาฟคาก็เช่นกันไม่สนใจความประสงค์ของคาฟคา โดยเก็บสมุดบันทึกไว้ 20 เล่ม และจดหมายอีก 35 ฉบับไว้อย่างลับๆ จนเมื่อถูกยึดโดยเกสตาโป (Gestapo) ในปี ค.ศ. 1933 ในปัจจุบันการพยายามหางานที่หายไปของคาฟคาก็คงดำเนินอยู่ต่อไปทั่วโลก นอกจากจะไม่ได้เผางานตามที่สั่งแล้วโบรดก็ยังเป็นผู้ควบคุมดูแลการตีพิมพ์งานของคาฟคาเกือบทุกชิ้นที่เป็นเจ้าของ ซึ่งไม่นานก็กลายเป็นที่สนใจกันอย่างจริงจัง และการวิพากษ์ที่ให้การสรรเสริญอย่างสูง

งานที่ตีพิมพ์ทั้งหมดนอกจากจดหมายที่เขียนเป็นภาษาเช็กถึง Milena Jesenská ก็เขียนเป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด

ลักษณะการเขียน

คาฟคามักจะใช้ลักษณะพิเศษของภาษาเยอรมันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นในการใช้ประโยคที่ยาวที่บางครั้งประโยคเดียวก็อาจจะยาวทั้งหน้า และคาฟคาจะหยอดความคิดอันไม่คาดมาก่อนตอนในตอนสุดท้ายก่อนที่จะจบประโยค—ซึ่งเป็นความคิดสรุปและเป็นหัวใจของประโยค การที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะโครงสร้างของภาษาเยอรมันเป็นภาษาที่วางคำกิริยาในตำแหน่งสุดท้ายของประโยค โครงสร้างของประโยคเช่นที่ว่านี้ไม่สามารถทำได้ในภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้ความหมายของประโยคขึ้นอยู่กับผู้แปลในการพยายามหาวิธีสร้างประโยคที่สื่อความหมายให้ใกล้เคียงกับประโยคต้นฉบับที่คาฟคาเขียนในภาษาเยอรมัน[14] การแปลงานของคาฟคาจึงมักจะทำได้แต่เนื้อหาบางส่วน แต่การถ่ายทอดในด้านอรรถรสของภาษาและลักษณะการเขียนของคาฟคาเป็นภาษาอื่นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

ปัญหาอีกปัญหาหนี่งที่ยากต่อการแก้ที่ผู้แปลต้องประสบคือการใช้คำหรือวลีของคาฟคาที่จงใจจะให้กำกวมที่มีความหมายหลายอย่าง เช่นในประโยคแรกของ “กลาย

"Als Gregor Samsa eines Morgens aus unruhigen Träumen erwachte, fand er sich in seinem Bett zu einem ungeheueren Ungeziefer verwandelt.

ที่มาแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า

As Gregor Samsa awoke one morning from uneasy dreams he found himself transformed in his bed into a gigantic vermin.

ซึ่งนักวิพากษ์กล่าวว่าภาษาอังกฤษที่แปลมาไม่ตรงกับความหมายในภาษาเยอรมันเท่าใดนักเพราะคำว่า “Ungeziefer” ตามความเห็นของคาฟคามิได้มีความตรงตัวตามตัวอักษรในพจนานุกรม หรือการวางคำกิริยาสำคัญ “verwandelt” ไว้ท้ายประโยคซึ่งไม่สามารถจะทำได้ในภาษาอังกฤษ

อีกตัวอย่างหนึ่งของคำที่มีความหมายสองแง่คือการใช้คำนาม “Verkehr” ในประโยคสุดท้ายของ “The Judgment” คำว่า “Verkehr” ตามตัวอักษรในกรณีนี้แปลว่า “intercourse” (การร่วมเพศ) ซึ่งเช่นเดียวกับในภาษาอังกฤษอาจจะเป็นความหมายที่อาจจะใช้สำหรับทางเพศหรือไม่ใช่ทางเพศก็ได้ นอกจากนั้นก็ยังแปลว่าการจราจรได้ ประโยคนี้มาแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "At that moment an unending stream of traffic crossed over the bridge."[15] สิ่งที่ทำให้มีน้ำหนักว่าคำว่า “Verkehr” มีความหมายสองแง่มาจากคำสารภาพของคาฟคาเองกับโบรดว่าเมื่อเขียนประโยคสุดท้าย ตนเองกำลังคิดถึง "a violent ejaculation" (การหลั่งน้ำอสุจิอันรุนแรง)[16] ในการแปลเป็นภาษาอังกฤษก็มีทางเดียวที่จะแปล 'Verkehr' ได้ก็แต่แปลเป็น "การจราจร?"[17]

การตีความหมาย

อนุสาวรีย์สัมริดของคาฟคาในกรุงปราก

นักวิพากษ์วรรณกรรมได้ตีความหมายของงานของคาฟคาในบริบทของตระกูลวรรณกรรมหลายตระกูลเช่นสมัยใหม่นิยม (Modernism) สัจจะนิยมเวทมนตร์ (Magical realism) และอื่นๆ[18] งานเขียนของคาฟคาแทรกซึมไปด้วยความสิ้นหวังและความเกินเลยอย่างเห็นได้ชัด และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของอัตถิภาวนิยม (existentialism) นักวิพากษ์บางคนพบอิทธิพลของลัทธิมาร์กซในงานเขียนที่เสียดสีระบบงานเช่น “In the Penal Colony”, “The Trial” และ “The Castle”,[18] ขณะที่นักวิพากษ์อื่นชี้ให้เห็นถึงปรัชญาอนาธิปไตยที่เป็นบ่อเกิดของทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบงาน (anti-bureaucratic viewpoint) ส่วนนักวิพากษ์บางคนก็ตีความหมายไปจากมุมมองของศาสนายูดาย หรือบ้างก็จากมุมมองจากปรัชญาฟรอยด์ (Freudianism)[18] จากการที่คาฟคามีความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งกับครอบครัว หรือบ้างก็จากมุมมองของอุปมานิทัศน์ของการแสวงหาพระเจ้า

อีกหัวเรื่องหนึ่งที่แทรกซึมในงานของคาฟคาอย่างสม่ำเสมอคือความเป็นคนนอก (alienation) และการเป็นเหยื่อของการถูกทำร้าย (persecution) และการเน้นคุณลักษณะนี้ในงานของมาร์ธ โรเบิร์ตทำให้การวิจารณ์โต้โดยกิลเลส เดอลูซ (Gilles Deleuze) และ ฟีลิกซ์ กัวต์ตารี (Felix Guattari) ผู้โต้ใน “Kafka:Toward a Minor Literature” ว่าคุณค่าของคาฟคามีมากกว่าการที่จะสรุปกันอย่างง่ายๆ ว่าเป็นผู้ที่มีบุคคลิกเป็นคนโดดเดี่ยวที่สร้างผลงานจากความทรมานทางใจ เพราะเมื่อพิจารณาแล้วงานของคาฟคาเป็นงานที่จงใจ แฝงนัย และ มี “ความซุกซน” (joyful) มากกว่าที่มองเห็นกันอย่างเผินๆ ได้

นอกจากนั้นการอ่านงานของคาฟคาเพียงอย่างเดียว—ที่เน้นความขาดความสำเร็จของตัวละครในการต่อสู้ โดยไม่ทราบอิทธิจากงานศึกษาชีวิตของคาฟคา—ก็จะทำให้ผู้อ่านเห็นถึงอารมณ์ขันของคาฟคา งานของคาฟคาเมื่อมองอีกแง่หนึ่งจึงมิใช่งานเขียนที่สะท้อนภาวะการดิ้นรนของตนเองแต่เป็นการสะท้อนการคิดค้นการดิ้นรนต่อสู้ของมนุษย์โดยทั่วไป

นักเขียนชีวประวัติกล่าวว่าคาฟคามักจะอ่านบทจากงานที่กำลังเขียนให้เพื่อนสนิทฟัง และการอ่านก็มักจะเน้นด้านที่มีอารมณ์ขันของงานเขียน มิลาน คุนเดอรากล่าวถึงอารมณ์ขันเชิงเหนือจริงที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานของคาฟคาที่เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมาเช่นเฟเดอริโก เฟลลินี, กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ, คาร์ลอส ฟวยเอนเทส และ ซัลมัน รัชดี สำหรับกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ผู้กล่าวว่าการอ่าน “กลาย” ทำให้เห็นว่าการเขียน “สามารถทำได้หลายวิธี”

งานเขียน

จดหมายถึงพ่อ

งานของคาฟคาส่วนใหญ่เป็นงานที่เขียนไม่เสร็จ หรือ เป็นงานที่มาทำให้พิมพ์ได้โดยโบรดหลังจากคาฟคาเสียชีวิตไปแล้ว นวนิยาย “The Castle” (ซึ่งหยุดเขียนกลางประโยคและมีเนื้อหาที่กำกวม), “The Trial” (บทมีได้เรียงลำดับและบางบทก็เขียนไม่เสร็จ) และ “Amerika” (ชื่อเดิมที่คาฟคาตั้ง “The Man who Disappeared”) ต่างก็เป็นงานเขียนที่โบรดมาเตรียมพิมพ์ภายหลัง ซึ่งโบรดก็ถือโอกาสในการจัดรูปแบบที่รวมทั้งการวางบทใหม่ การเปลี่ยนภาษา และการแก้เครื่องหมายวรรคตอน ฉะนั้นงานของคาฟคาในภาษาเยอรมันจึงเป็นงานที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะได้รับการตีพิมพ์ งานที่เตรียมโดยโบรดมักจะเรียกว่า “Definitive Editions”

จากบันทึกของสำนักพิมพ์[19]สำหรับ The Castle,[20] มาลคอล์ม เพสลีย์ (Malcolm Pasley) สามารถนำบทเขียนเดิมของคาฟคาได้เกือบทั้งหมดมายังหอสมุดบอดเลียน (Bodleian Library) ของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดได้ในปี ค.ศ. 1961 ต่อมา “The Trial” ก็ซื้อจากการประมูลและเก็บไว้ที่หอสมุด[21] ที่มาร์บาคในเยอรมนี[22]

ต่อมาเพสลีย์้เป็นผู้นำของคณะบรรณาธิการผู้สร้างนวนิยายในภาษาเยอรมันใหม่และได้รับการพิมพ์โดย S. Fischer Verlag[23] เพสลีย์เป็นบรรณาธิการของ “Das Schloß” (The Castle) ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1982 และ “Der Proceß” (The Trial) ใน ค.ศ. 1990 โยสต์ ชิลเลอไมท์เป็นบรรณาธิการของ “Der Verschollene” (“Amerika”) ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1983 งานที่เตรียมโดยบรรณาธิการชุดนี้เรียกว่า “Critical Editions” หรือ “Fischer Editions” งานเขียนในภาษาเยอรมันชุดนี้ และงานเขียนอื่นของคาฟคาสามารถพบออนไลน์ที่ “โครงการคาฟคา”[24]

โครงการคาฟคาอีกโครงการหนึ่งเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยแซนดิเอโกสเตทที่เริ่มในปี ค.ศ. 1998 ที่มีจุดประสงค์ในการเสาะหางานเขียนสุดท้ายของคาฟคา ที่เป็นสมุดบันทึกไว้ 20 เล่ม และจดหมายอีก 35 ฉบับที่ดอรา ดิอามันท์ (ต่อมาดอรา ดิอามันท์-ลาสค์) เก็บไว้อย่างลับๆ ก่อนที่จะถูกยึดไปโดยเกสตาโปในปี ค.ศ. 1933 ภายในสี่เดือนโครงการคาฟคาก็พบคำสั่งยึดและเอกสารสำคัญอื่นๆ ในหอเก็บเอกสารของรัฐบาลในปี ค.ศ. 1998 ในปี ค.ศ. 2003 โครงการคาฟคาก็พบจดหมายต้นฉบับของคาฟคาสามฉบับที่เขียนในปี ค.ศ. 1923 บนพื้นฐานของโครงการแสวงหางานเขียนของคาฟคาที่ก่อตั้งขึ้นโดยแม็กซ์ โบรดและเคลาส วาเก็นบาคในกลางคริสต์ทศวรรษ 1950 โครงการคาฟคามีคณะกรรมการ และ ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและนักค้นคว้าจากทั่วโลก และยังแสวงหาอาสาสมัครเพื่อช่วยในการแก้ปริศนา[25]

ในปี ค.ศ. 2008 นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญเรื่องคาฟคาเจมส์ ฮอว์สกล่าวหาว่านักวิชาการปิดบังรายละเอียดเกี่ยวกับนิตยสารทางเพศที่คาฟคาเป็นสมาชิกเพื่อพยายามรักษาภาพพจน์ของคาฟคาว่าเป็น ผู้อยู่ในวงนอกผู้บริสุทธิ์[26]

การแปลงานของคาฟคา

แหล่งข้อมูลของการแปลงานของคาฟคามีด้วยกันสองแห่งที่ใช้ภาษาเยอรมันสองฉบับ งานแปลเป็นภาษาอังกฤษในระยะแรกทำโดยเอ็ดวิน มิยัวร์ (Edwin Muir) และ วิลลา มิยัวร์และพิมพโดยสำนักพิมพ์อัลเฟรด เอ. คนอฟ หนังสือแปลฉบับนี้ตีพิมพ์กันอย่างแพร่หลายในการตอบรับความนิยมในงานของคาฟคาในปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 ในสหรัฐอเมริกา รุ่นต่อมา (โดยเฉพาะฉบับ ค.ศ. 1954) มีบทเขียนที่ถูกลบออกไปจากรุ่นแรกที่แปลเพิ่มเข้ามาด้วย รุ่นนี้แปลโดยไอท์เนอร์ วิลคินส (Eithne Wilkins) และ เอิร์นสท ไคเซอร์ (Ernst Kaiser) งานรุ่นนี้เรียกว่า “Definitive Editions” การแปลรุ่นนี้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีหลายจุดที่ไม่เป็นกลางและในการตีความหมายจะกำกัดวันเดือนปี

หลังจากมาลคอล์ม เพสลีย์และชิลเลอไมท์รวบรวมบทเขียนเป็นภาษาเยอรมันเสร็จและพิมพ์ การแปลรุ่นนี้เรียกว่า “Critical Editions” หรือ “Fischer Editions” รุ่นนี้แปลจากบทเขียนที่เรียบเรียงใหม่ที่ใกล้เคียงกับงานเขียนต้นฉบับของคาฟคาเอง

งานที่ได้รับการตีพิมพ์

เรื่องสั้น

ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาเยอรมัน ความหมาย ปีตีพิมพ์ (ค.ศ.)
Description of a Struggle Beschreibung eines Kampfes นิยามของความดิ้นรน 1904-1905
Wedding Preparations in the Country Hochzeitsvorbereitungen auf dem Lande การเตรียมการแต่งงานในชนบท 1907-1908
Contemplation Betrachtung ความคิดคำนึง 1904-1912
The Judgment Das Urteil การตัดสิน 22-23 กันยายน 1912
The Stoker คนคุมเตา
In the Penal Colony In der Strafkolonie แดนนักโทษ ตุลาคม 1914
The Village Schoolmaster (The Giant Mole) Der Dorfschullehrer or Der Riesenmaulwurf ครูใหญ่ 1914-1915
Blumfeld, an Elderly Bachelor Blumfeld, ein älterer Junggeselle บลุมเฟลด์ ชายโสดสูงอายุ 1915
The Warden of the Tomb
(บทละครเรื่องเดียวที่เขียน)
Der Gruftwächter คนรักษาสุสาน 1916-1917
The Hunter Gracchus Der Jäger Gracchus กราคคัสนักล่าสัตว์ 1917
The Great Wall of China Beim Bau der Chinesischen Mauer ใกล้กำแพงเมืองจีน 1917
A Report to an Academy Ein Bericht für eine Akademie รายงานจากสถาบัน 1917
Jackals and Arabs Schakale und Araber แจ็คคัลสและอาหรับ 1917
A Country Doctor Ein Landarzt หมอพื้นบ้าน 1919
A Message from the Emperor Eine kaiserliche Botschaft จดหมายจากพระจักรพรรดิ 1919
An Old Leaf Ein altes Blatt ใบไม้แห้ง 1919
The Refusal Die Abweisung การปฏิเสธ 1920
A Hunger Artist Ein Hungerkünstler ศิลปินหิว 1924
Investigations of a Dog Forschungen eines Hundes สืบสวนเรื่องหมา 1922
A Little Woman Eine kleine Frau สาวน้อย 1923
First Sorrow Erstes Leid ความเศร้าครั้งแรก 1921-1922
The Burrow Der Bau ขุดโพรง 1923-1924
Josephine the Singer, or The Mouse Folk Josephine, die Sängerin, oder Das Volk der Mäuse โจเซฟีนนักร้อง 1924

หนังสือรวบรวมบทเขียน:

  • The Penal Colony: Stories and Short Pieces” (แดนนักโทษและเรื่องสั้น), คศ 1948
  • The Complete Stories” (บทเขียนครบชุด), คศ 1971
  • The Basic Kafka (งานพื้นฐานของคาฟคา), คศ 1979
  • The Sons” (ลูกชาย), คศ 1989
  • The Metamorphosis, In the Penal Colony, and Other Stories (กลาย, แดนนักโทษ และเรื่องอื่นๆ), คศ 1995
  • Contemplation” (ความคิดคำนึง), คศ 1998
  • Metamorphosis and Other Stories (แปลงรูป, และเรื่องอื่นๆ), คศ 2007

นวนิยาย

ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาเยอรมัน ความหมาย ปีตีพิมพ์ (ค.ศ.)
กลาย Die Verwandlung November-December 1915)
The Trial
(รวมเรื่องสั้น “Before the Law”)
Der Prozeß การพิจารณาคดี 1925 (รวมเรื่องสั้น หน้ากฎหมาย)
The Castle Das Schloß ปราสาท 1926
Amerika Amerika หรือ Der Verschollene อเมริกา 1927

อนุทินและบันทึก

จดหมาย

อนุสรณ์ถึงคาฟคา

คาฟคามีพิพิธภัณฑ์ที่อุทิศให้แก่งานเขียนในปรากในสาธารณรัฐเช็ก คำว่า “แบบคาฟคา” (Kafkaesque) เป็นคำที่ใช้โดยทั่วไปในการบรรยายความคิด และ สถานการณ์ที่ทำให้นึกถึงงานของคาฟคา โดยเฉพาะ The Trial และ "The Metamorphosis"

ในเม็กซิโกวลี “Si Franz Kafka fuera mexicano, sería costumbrista” (ถ้าฟรานซ์ คาฟคาเป็นชาวเม็กซิกัน คาฟคาก็จะป็นนักเขียนชีวิตประจำวันฮิสปานิค (Costumbrismo)) มักจะใช้ในสื่อต่างๆ ในการบรรยายถึงสถานการณ์อันเหลือเชื่อหรืออันสิ้นหวัง[27] สิ่งที่น่าสังเกตคือจากมุมมองของชาวเช็กคาฟคาเป็นชาวเยอรมัน แต่สำหรับชาวเยอรมันเหนือกว่าสิ่งใดคาฟคาเป็นชาวยิว ซึ่งเป็น “ชะตาของชาวยิวตะวันตกส่วนใหญ่”[7]

การอ้างอิงทางวรรณกรรมและวัฒนธรรม

วรรณกรรม

เรื่องสั้น

ภาพยนตร์

Metamorphosis

บทละคร

  • Kafka's Dick”, ค.ศ. 1986 โดยแอแลน เบนเนตต์ (Alan Bennett) เป็นบทละครที่วิญญาณของคาฟคา, ของพ่อ และของ แม็กซ์ โบรดที่มาปรากฏตัวในบ้านของเสมียนประกันภัยผู้ชื่นชมคาฟคาและภรรยาในยอร์คเชอร์ในอังกฤษ
  • Kafka's Hell-Paradise” (ไทย: นรก-สวรรค์ของคาฟคา), ค.ศ. 2006 โดย มิลาน ริคเตอร์ เป็นบทละครที่มีตัวละครห้าตัวที่ใช้ประโยคจากงานของคาฟคา ความฝัน และการเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคาฟคากับบิดาและกับสตรี แปลมาจากบทละครภาษาสโลวัคโดยอีวาลด์ โอเซอร์ส
  • Kafka's Second Life” (ไทย: ชีวิตที่สองของคาฟคา), ค.ศ. 2007 โดย มิลาน ริคเตอร์ เป็นบทละครที่มีตัวละคร 17 ตัว เริ่มต้นเมื่อคาฟคาเกือบจะหมดลมหายใจและมาจบลงในปี ค.ศ. 1961 แปลมาจากบทละครภาษาสโลวัคโดยอีวาลด์ โอเซอร์ส
  • Pułapka (ไทย: กับดัก), ค.ศ. 1982 โดยTadeusz Różewicz เป็นบทละครที่ดัดแปลงอย่างหลวมๆ จากจดหมายและอนุทินของคาฟคา

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 Contijoch, Francesc Miralles (2000) "Franz Kafka". Oceano Grupo Editorial, S.A. Barcelona. ISBN 84-494-1811-9. (สเปน)
  2. Corngold 1973
  3. Gilman, Sander L. (2005) Franz Kafka. Reaktion Books Ltd. London, UK. p.20-21. ISBN 1-88187-264-5.
  4. Hamalian ([1975], 3).
  5. Danuta Czech: Kalendarz wydarzeń w KL Auschwitz, Oświęcim 1992, p. 534. In the archives of the camp a list with the names of the guardians was preserved.
  6. Letter to his Father, pg. 150
  7. 7.0 7.1 The Metamorphosis and Other Stories, notes. Herberth Czermak. Lincoln, Nebraska: Cliffs Notes 1973, 1996.
  8. 8.0 8.1 "Kafka and Judaism". Victorian.fortunecity.com. สืบค้นเมื่อ 2009-05-28.
  9. Ryan McKittrick speaks with director Dominique Serrand and Gideon Lester about Amerika www.amrep.org
  10. Lothar Hempel www.atlegerhardsen.com
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 "Sadness in Palestine". Haaretz.com. สืบค้นเมื่อ 2009-05-28.
  12. Hans Keller: The Jerusalem Diary - Music, Society and Politics, 1977 and 1979, The Hans Keller Trust in ass. with Plumbago Books, 2001 ISBN 0-9540123-0-5, p156
  13. Quoted in Publisher's Note to The Castle, Schocken Books.
  14. Kafka (1996, xi).
  15. Kafka (1996, 75).
  16. Brod. Max: "Franz Kafka, a Biography". (trans. Humphreys Roberts) New York: Schocken Books,1960. pg 129.
  17. Kafka (1996, xii).
  18. 18.0 18.1 18.2 Franz Kafka 1883 – 1924 www.coskunfineart.com
  19. A Kafka For The 21st century by Arthur Samuelson, publisher, Schocken Books www.jhom.com
  20. Schocken Books, 1998
  21. Herzlich Willkommen www.dla-marbach.de (เยอรมัน)
  22. (publisher's note, The Trial, Schocken Books, 1998
  23. Stepping into Kafka’s head, Jeremy Adler, Times Literary Supplement, 13 October 1995 <http://www.textkritik.de/rezensionen/kafka/einl_04.htm>
  24. The Kafka Project - Kafka's Works in German According to the Manuscript www.kafka.org
  25. Sources: Kafka, by Nicolas Murray, pages 367, 374; Kafka's Last Love, by Kathi Diamant; "Summary of the Results of the Kafka Project Berlin Research 1 June-September 1998" published in December 1998 Kafka Katern, quarterly of the Kafka Circle of the Netherlands. More information is available at http://www.kafkaproject.com
  26. Franz Kafka’s porn brought out of the closet - Times Online at entertainment.timesonline.co.uk
  27. Aquella, Daniel (2006-11-22). "México kafkiano y costumbrista". Daquella manera:Paseo personal por inquietudes culturales, sociales y lo que tengamos a bien obrar. สืบค้นเมื่อ 2007-02-16. {{cite web}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  28. Bashevis Singer, Isaac (1970). A Friend of Kafka, and Other Stories. Farrar, Straus and Giroux. p. 311. ISBN 0-37415-880-0. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  29. Image, Issue 62, Page 7
  30. Menschenkörper movie website www.menschenkoerper.de (เยอรมัน)

บรรณานุกรม

  • Adorno, Theodor. Prisms. Cambridge: The MIT Press, 1967.
  • Corngold, Stanley. Introduction to The Metamorphosis. Bantam Classics, 1972. ISBN 0-553-21369-5.
  • Hamalian, Leo, ed. Franz Kafka: A Collection of Criticism. New York: McGraw-Hill, 1974. ISBN 0-07-025702-7.
  • Heller, Paul. Franz Kafka: Wissenschaft und Wissenschaftskritik. Tuebingen: Stauffenburg, 1989. ISBN 3-923-72140-4.
  • Kafka, Franz. The Metamorphosis and Other Stories. Trans. Donna Freed. New York: Barnes & Noble, 1996. ISBN 1-56619-969-7.
  • Kafka, Franz. Kafka's Selected Stories. Norton Critical Edition. Trans. Stanley Corngold. New York: Norton, 2005. ISBN 9780393924794.
  • Brod, Max. Franz Kafka: A Biography. New York: Da Capo Press, 1995. ISBN 0-306-80670-3
  • Brod, Max. The Biography of Franz Kafka, tr. from the German by G. Humphreys Roberts. London: Secker & Warburg, 1947. OCLC 2771397
  • Calasso, Roberto. K. Knopf, 2005. ISBN 1-4000-4189-9
  • Pietro Citati, Kafka, 1987. ISBN 0-7859-2173-7
  • Coots, Steve. Franz Kafka (Beginner's Guide). Headway, 2002, ISBN 0-340-84648-8
  • Gilles Deleuze & Félix Guattari. Kafka: Toward a Minor Literature (Theory and History of Literature, Vol 30). Minneapolis, University of Minnesota, 1986. ISBN 0-8166-1515-2
  • Danta, Chris. "Sarah's Laughter: Kafka's Abraham" in Modernity 15:2 ([1] April 2008), 343-59.
  • Glatzer, Nahum N., The Loves of Franz Kafka. New York: Schocken Books, 1986. ISBN 0-8052-4001-2
  • Greenberg, Martin, The Terror of Art: Kafka and Modern Literature. New York, Basic Books, 1968. ISBN 0-465-08415-X
  • Gordimer, Nadine (1984). "Letter from His Father" in Something Out There, London, Penguin Books. ISBN 0-14-007711-1
  • Hayman, Ronald. K, a Biography of Kafka. London: Phoenix Press, 2001.ISBN 1-84212-415-3
  • Janouch, Gustav. Conversations with Kafka. New York: New Directions Books, second edition 1971. (Translated by Goronwy Rees.)ISBN 0-8112-0071-X
  • Murray, Nicholas. Kafka. New Haven: Yale, 2004.
  • Pawel, Ernst. The Nightmare of Reason: A Life of Franz Kafka. New York: Vintage Books, 1985. ISBN 0-374-52335-5
  • Thiher, Allen (ed.). Franz Kafka: A Study of the Short Fiction (Twayne's Studies in Short Fiction, No. 12). ISBN 0-8057-8323-7
  • Philippe Zard: La fiction de l'Occident : Thomas Mann, Franz Kafka, Albert Cohen, Paris, P.U.F., 1999.
  • Philippe Zard (ed) : Sillage de Kafka, Paris, Le Manuscrit, 2007, ISBN 2-7481-8610-9

แหล่งข้อมูลอื่น