เจ้าหญิงอีเรเนอแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์
อีเรเนอ | |||||
---|---|---|---|---|---|
ประสูติ | 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 ดาร์มชตัท, แกรนด์ดัชชีเฮ็สเซิน สมาพันธรัฐเยอรมัน | ||||
สิ้นพระชนม์ | 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 ปราสาทเฮ็มเมิลมาร์ค, รัฐเวือร์ทเทิมแบร์ค-โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น, ประเทศเยอรมนีตะวันตก | (87 ปี)||||
ฝังพระศพ | 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 ปราสาทเฮ็มเมิลมาร์ค, รัฐเวือร์เทิมแบร์ค, ประเทศเยอรมนี | ||||
พระสวามี | เจ้าชายไฮน์ริชแห่งปรัสเซีย | ||||
| |||||
พระบุตร | 3 พระองค์ | ||||
ราชวงศ์ | เฮ็สเซิน-ดาร์มชตัท | ||||
พระบิดา | ลูทวิชที่ 4 แกรนด์ดยุกแห่งเฮ็สเซิน | ||||
พระมารดา | เจ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักร |
เจ้าหญิงอีเรเนอ ลูอีเซอ มารีอา อันนา แห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ (เยอรมัน: Irene Luise Maria Anna von Hessen und bei Rhein) เป็นพระธิดาในลำดับที่สามของเจ้าหญิงอลิซแห่งสหราชอาณาจักรและแกรนด์ดยุกลูทวิชที่ 4 แห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ และมีพระอัยกาและอัยยิกาฝ่ายพระชนนีคือ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา ส่วนพระอัยกาและอัยยิกาฝ่ายพระชนกคือ เจ้าชายคาร์ลแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ และ เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งปรัสเซีย พระองค์เป็นพระชายาในเจ้าชายไฮน์ริชแห่งปรัสเซีย พระญาติชั้นที่หนึ่ง และนอกจากนี้ก็ทรงเป็นพาหะของโรคฮีโมฟิเลียเช่นเดียวกับพระกนิษฐาคือ เจ้าหญิงอาลิกซ์ โดยพระโอรสสองในสามพระองค์ประชวรเป็นโรคเฮโมฟีเลียด้วย
เจ้าหญิงอาลิกซ์ พระขนิษฐาทรงเป็นจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย โดยทรงเปลี่ยนมาใช้พระนามใหม่ว่า อเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา พระอัครมเหสีในจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย และเจ้าชายแอ็นสท์ ลูทวิช พระอนุชาทรงเป็นแกรนด์ดยุกครองรัฐเฮ็สเซินและริมไรน์ ส่วนเจ้าหญิงวิคโทรีอา พระภคินีองค์โตได้อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายลูทวิชแห่งบัทเทินแบร์ค ซึ่งต่อมาทั้งสองทรงเป็นมาร์ควิสและมาร์ชเนสแห่งมิลฟอร์ดฮาเว็น และเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระภคินีอีกพระองค์หนึ่ง (ซึ่งต่อมาทรงได้รับการยกย่องจากศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียให้เป็นนักบุญเอลิซาเบธ ผู้เสียสละ) อภิเษกสมรสกับ แกรนด์ดยุกเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิชแห่งรัสเซีย
ชีวิตในวัยเยาว์
[แก้]เจ้าหญิงประสูติในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 ณ พระราชวังใหม่ เมืองดาร์มชตัท โดยทรงได้รับพระนามแรก ที่มาจากภาษากรีก แปลว่า "สันติภาพ" เนื่องจากพระองค์ประสูติในช่วงของการสิ้นสุดสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย[1] เจ้าหญิงอลิซทรงเห็นว่าเจ้าหญิงอีเรเนอทรงเป็นเด็กที่ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดและครั้งหนึ่งทรงเขียนถึงเจ้าหญิงวิคโทรีอา พระภคินีว่าอีเรเนอนั้น "ไม่สวยน่ารัก"[2] แม้ว่าจะไม่มีพระสิริโฉมงามเท่าเจ้าหญิงเอลิซาเบธ แต่เจ้าหญิงทรงสุภาพเรียบร้อย ถึงแม้จะเป็นแค่ลักษณะนิสัย เจ้าหญิงอลิซทรงอบรมเลี้ยงดูพระธิดาแบบเรียบง่าย มีพระพี่เลี้ยงชาวอังกฤษควบคุมดูแลพระโอรสและธิดา และให้เสวยพระกระยาหารพวกข้าวบดเหลวกับแอ็ปเปิ้ลอบ และสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ทรงสอนพระธิดาเรื่องการบ้านการเรือน เช่น การอบขนมเค้ก จัดปูเตียง จุดไฟในเตาผิง และปัดกวาดฝุ่นให้ห้องนอน เจ้าหญิงอลิซยังทรงเน้นถึงความจำเป็นในการช่วยเหลือคนจนและพาพระธิดาไปในการเยี่ยมเยียนโรงพยาบาลและงานการกุศลต่างๆ ด้วย[3]
ในปี ค.ศ. 1873 ทั้งครอบครัวรู้สึกโศกเศร้าเมื่อเจ้าชายฟรีดริช ซึ่งมีพระนามเรียกเล่นว่า "ฟริตตี้" พระอนุชาที่ประชวรโรคเฮโมฟีเลียของเจ้าหญิงอีเรเนอ พลัดตกจากหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พระเศียรติดอยู่กับราวระเบียง และได้สิ้นพระชนม์ในอีกหลายชั่วโมงต่อมาเนื่องจากพระโลหิตคั่งในสมอง[4] ต่อมาอีกหลายเดือนหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระโอรสวัยเยาว์ เจ้าหญิงอลิซก็ทรงนำพระโอรสและธิดาไปยังหลุมฝังพระศพเพื่อสวดมนต์ต์และทรงหดหู่เมื่อถึงการฉลองครบรอบที่เกี่ยวกับพระองค์[5] ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1878 เจ้าหญิงอีเรเนอ พระภคินี พระอนุชา พระกนิษฐาและพระชนกประชวรด้วยโรคคอตีบ เจ้าหญิงมารี ซึ่งมีพระนามเรียกเล่นว่า "เมย์" ก็ได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้ ส่วนพระชนนีซึ่งทรงเหนื่อยล้าจากการพยาบาลพระโอรสและธิดา ทรงติดโรคนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อทรงทราบว่าประชวรใกล้สิ้นพระชนม์ เจ้าหญิงอลิซก็ทรงสั่งเสียความปรารถนาต่างๆ รวมถึงคำแนะนำในการเลี้ยงดูพระธิดาและดูแลการบ้านการเรือนกับพระสวามี เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคคอตีบเมื่อธันวาคมปีเดียวกัน[6]
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงอลิซ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงตกลงพระทัยจะเป็นเหมือนเป็นพระชนนีให้กับพระราชนัดดาในราชวงศ์เฮ็สเซิน เจ้าหญิงอีเรเนอ พระภคินี พระกนิษฐาและพระอนุชาที่ยังทรงพระชนม์อยู่ ได้ทรงประทับอยู่ในอังกฤษช่วงวันหยุดต่างๆ และพระอัยยิกาทรงก็ส่งคำแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาและความเห็นเกี่ยวกับฉลองพระองค์ของพระราชนัดดามายังพระอาจารย์ด้วย[7]
อภิเษกสมรส
[แก้]เจ้าหญิงอีเรเนอทรงอภิเษกสมรสวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1888 ณ ปราสาทชาร์ล็อตเต็นบูร์ก กรุงเบอร์ลิน กับเจ้าชายไฮน์ริชแห่งปรัสเซีย พระราชโอรสพระองค์ที่สองในจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งเยอรมนี และเจ้าหญิงวิกตอเรีย พระราชกุมารี จักรพรรดินีมเหสีแห่งเยอรมนี ในฐานะที่พระชนนีของทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพี่น้องกัน เจ้าหญิงอีเรเนอและเจ้าชายไฮน์ริชเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งของกันและกัน[8] การอภิเษกสมรสสร้างความไม่พอพระทัยแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เพราะพระองค์ไม่เคยทรงทราบถึงการขอความรักกันจนกระทั่งทั้งสองพระองค์ตกลงพระทัยที่จะอภิเษกสมรส[9] เจ้าหญิงวิคโทรีอา จักรพรรดินีมเหสีทรงพอพระทัยในตัวเจ้าหญิงอีเรเนอมาก อย่างไรก็ดี จักรพรรดินีทรงตกพระทัยมากเนื่องจากเจ้าหญิงอีเรเนอมิทรงสวมผ้าคลุมไหล่หรือผ้าคุลมบ่าเพื่ออำพรางพระอุทรขณะทรงพระครรภ์พระโอรสพระองค์แรกคือ เจ้าชายวัลเดมาร์ ซึ่งประชวรด้วยโรคเฮโมฟีเลียในปี ค.ศ. 1889 จักรพรรดินีที่ทรงสนพระทัยในการเมืองและเหตุการณ์ปัจจุบันยังทรงไม่เข้าพระทัยอีกด้วยว่าทำไมเจ้าชายไฮน์ริชและเจ้าหญิงอีเรเนอไม่เคยทรงอ่านหนังสือพิมพ์เลย[10] อย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสกันด้วยความสุขและทรงเป็นที่รู้จักว่า "The Very Amiables" (คู่ที่น่ารักมาก) ในหมู่พระประยูรญาติ เนื่องจากลักษณะท่าทางอันสุภาพเรียบร้อย ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสสามพระองค์คือ
- เจ้าชายวัลเดมาร์แห่งปรัสเซีย (วัลเดมาร์ วิลเฮล์ม ลูทวิช ฟรีดริช วิคตอร์ ไฮน์ริช; 20 มีนาคม ค.ศ. 1889 - 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1945)[11]
- ทรงอภิเษกสมรสวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1919 ณ เมืองเฮมเมลมาร์ค ประเทศเยอรมนี กับ เจ้าหญิงคาลิกซ์ตา แอ็กเนส อเดลไฮด์ เอียร์มการ์ด เฮเลนา คาโรลา เอลิซา เอ็มมาแห่งลิปเปอ (14 ตุลาคม ค.ศ. 1895 - 15 ธันวาคม ค.ศ. 1982)
- เจ้าชายซีกิสมุนด์แห่งปรัสเซีย (วิลเฮล์ม วิคตอร์ คาร์ล เอากุสต์ ไฮน์ริช ซิกิสมุนด์; 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1896 - 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978)
- ทรงอภิเษกสมรสในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1919 ณ เมืองเฮมเมลมาร์ค ประเทศเยอรมนี กับ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์แห่งซัคเซิน-อัลเทนบูร์ก (4 มีนาคม ค.ศ. 1899 - 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1989)
- เจ้าชายไฮน์ริชแห่งปรัสเซีย (ไฮน์ริช วิคตอร์ ลูทวิช ฟรีดริช; 9 มกราคม ค.ศ. 1900 - 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904)
เชื้อสายของเจ้าชายไฮน์ริชและเจ้าหญิงอีเรเนอประกอบด้วยพระนัดดาสององค์ พระปนัดดาสององค์ และโอรสธิดาของพระปนัดดาอีกหกคน[12]
สัมพันธ์ในครอบครัว
[แก้]เจ้าหญิงได้ทรงถ่ายทอดพันธุกรรมเฮโมฟีเลียไปยังเจ้าชายวัลเดมาร์และเจ้าชายไฮน์ริช พระโอรสองค์โตและองค์เล็ก พระพลานามัยของเจ้าชายวัลเดมาร์น่าเป็นห่วงมากสำหรับพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์[13] ต่อมาก็ยังทรงโทมนัสเป็นอันมากเมื่อเจ้าชายไฮน์ริช พระโอรสองค์เล็กชนมายุ 4 ชันษา สิ้นพระชนม์หลังจากหกล้มและพระเศียรกระแทกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904[14] หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายไฮน์ริช เจ้าหญิงอาลิกซ์ ซึ่งเป็นพระขนิษฐาที่ขณะนี้เป็นจักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย ทรงมีประสูติกาลพระโอรสที่ประชวรด้วยโรคเฮโมฟีเลีย พระนามว่า มกุฎราชกุมารอเล็กซิส ส่วนพระราชินีวิคโทรีอา ยูจีเนียแห่งสเปน พระญาติชั้นที่หนึ่งก็มีพระโอรสที่ประชวรด้วยโรคเฮโมฟีเลียสองพระองค์เช่นกัน
เจ้าหญิงอีเรเนอที่ทรงได้รับการเลี้ยงดูมาให้เชื่อวิถีความพฤติสมัยวิกตอเรียอย่างแท้จริง ทรงตกพระทัยอย่างง่ายดายกับสิ่งที่เห็นว่าเป็นความไร้ศีลธรรม [15] เมื่อเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระภคินีทรงเลิกนับถือนิกายลูเธอรันเยอรมัน ที่ทั้งสองพระองค์ทรงเติบโตมาและเข้ารีตในศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียในปี ค.ศ. 1891 เจ้าหญิงทรงรู้สึกเศร้าพระทัยมาก พระองค์ทรงเขียนถึงพระชนกว่าทรง"ร้องไห้อย่างหนัก"กับการตัดสินใจของเจ้าหญิงเอลิซาเบธ[16] ต่อมาเจ้าหญิงอาลิกซ์ได้ทรงเข้ารีตในศาสนจักรออร์โธด็อกซ์รัสเซียด้วยเช่นกันเมื่อทรงอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย แม้ว่าจะทรงผิดหวังกับการเลือกนับถือศาสนา พระองค์ยังคงใกล้ชิดสนิทสนมกับพระภคินีและขนิษฐาทั้งสอง ในปี ค.ศ. 1907 เจ้าหญิงอีเรเนอทรงช่วยเหลือจัดแจงการอภิเษกสมรสที่ต่อมาเป็นเสมือนหายนะระหว่างแกรนด์ดัชเชสมาเรีย ปาฟลอฟนาแห่งรัสเซียกับเจ้าชายวิลเฮล์มแห่งสวีเดน ดยุกแห่งโซเดอร์มันลานด์[17] พระราชินีแห่งสวีเดน พระชนนีในเจ้าชายวิลเฮล์มทรงเป็นสหายเก่าของทั้งเจ้าหญิงเอลิซาเบธและเจ้าหญิงอีเรเนอ [18] แกรนด์ดัชเชสมาเรียทรงเขียนเล่าต่อมาว่าเจ้าหญิงอีเรเนอทรงกดดันพระองค์ให้ทำพิธีอภิเษกสมรสให้ลุล่วงเมื่อทรงสงสัย พระองค์ตรัสกับแกรนด์ดัชเชสว่าการล้มเลิกงานพิธีจะทำให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธ"เสียใจอย่างมาก"[19] ในปี ค.ศ. 1912 เจ้าหญิงอีเรเนอทรงเป็นหนึ่งในแรงสนับสนุนต่อเจ้าหญิงอาลิกซ์ พระขนิษฐา เมื่อมกุฎราชกุมารอเล็กซิสใกล้สิ้นพระชนม์จากความซับซ้อนของโรคเฮโมฟีเลียที่เรือนล่าสัตว์ของราชวงศ์ในประเทศโปแลนด์[20]
ปลายพระชนม์ชีพ
[แก้]ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงอีเรเนอกับพระภคินีและพระขนิษฐาต้องแตกแยกออกจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งทำให้ต้องทรงอยู่กันคนละฝ่าย เมื่อสงครามสิ้นสุดลง พระองค์ทรงได้ข่าวว่าเจ้าหญิงอาลิกซ์ พระสวามี พระโอสธิดาและเจ้าหญิงเอลิซาเบธ พระภคินีทรงถูกปลงพระชนม์โดยพวกบอลเชวิค หลังจากสงครามและการสละราชสมบัติของจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ประเทศเยอรมนีไม่ได้ปกครองด้วยราชวงศ์ปรัสเซียอีกต่อไป แต่เจ้าหญิงอีเรเนอกับพระสวามียังคงประทับในตำหนักเฮมเมลมาร์ค ทางตอนเหนือของประเทศอยู่
เมื่อแอนนา แอนเดอร์สันปรากฏตัวขึ้นที่กรุงเบอร์ลินในปี ค.ศ. 1921 โดยอ้างว่าเป็นแกรนด์ดัชเชสอนาสตาเซีย นิโคไลเยฟนาแห่งรัสเซีย ผู้รอดชีวิตจากการปลงพระชนม์พระราชวงศ์ เจ้าหญิงอีเรเนอเสด็จไปพบกับหญิงสาวคนนั้นแต่ตัดสินว่านางแอนเดอร์สันไม่ใช่พระนัดดาที่ทรงพบครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1913[21] เจ้าชายไฮน์ริช พระสวามีทรงกล่าวว่าการพูดถึงนางแอนเดอร์สันรบกวนพระทัยเจ้าหญิงอีเรเนอมากเกินไปและทรงสั่งว่าห้ามมิให้ใครพูดถึงหญิงคนนั้นเมื่อพระองค์ทรงอยู่ด้วย เจ้าชายไฮน์ริชสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1929 และอีกหลายปีต่อมา เจ้าชายซิกิสมุนด์ พระโอรสทรงตั้งคำถามกับนางแอนเดอร์สันผ่านสื่อกลางเกี่ยวกับวัยเยาว์ที่มีร่วมกันและกล่าวว่าคำตอบถูกหมดทุกขัอ[22] เจ้าหญิงอีเรเนอทรงรับอุปการะเจ้าหญิงบาร์บารา พระธิดาในเจ้าชายซิกิสมุนด์ ที่ประสูติในปี ค.ศ. 1920 ไว้เป็นทายาทหลังจากที่เจ้าชายได้เสด็จออกจากเยอรมนีเพื่อไปประทับยังประเทศคอสตาริกาในช่วงทศวรรษที่ 1930 เจ้าชายซิกิสมุนด์ทรงปฏิเสธที่จะเสด็จกลับมาประทับในเยอรมนีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2[23] เจ้าหญิงอีเรเนอทรงโทมนัสอย่างแสนสาหัสเมื่อเจ้าชายวัลเดมาร์ พระโอรสองค์โตประชวรด้วยโรคเฮโมฟีเลียในปี ค.ศ. 1945 และสิ้นพระชนม์เนื่องจากการขาดเลือดสำหรับการถ่ายโลหิต ส่วนเจ้าหญิงก็สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953 สิริพระชันษาได้ 87 ปี 4 เดือน โดยได้ทรงทิ้งพระตำหนักเฮมเมลมาร์คไว้ให้เป็นมรดกแก่พระนัดดา
พระอิสริยยศ
[แก้]- 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1866 - 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1888: พระองค์เจ้าหญิงอีเรเนอแห่งเฮ็สเซินและริมไรน์ (Her Grand Ducal Highness Princess Irene of Hesse and by Rhine)
- 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1888 - 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1953: สมเด็จเจ้าหญิงอีเรเนอแห่งปรัสเซีย (Her Royal Highness Princess Irene of Prussia)
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Mager (1998), p. 27
- ↑ Pakula (1995), p. 322
- ↑ Mager (1998), pp. 28-29
- ↑ Mager (1998), p. 45
- ↑ Mager (1998), pp. 45-46
- ↑ Mager (1998), p. 56
- ↑ Mager (1998), p. 57
- ↑ Mager (1998), p. 111
- ↑ Queen Victoria (1975)
- ↑ Pakula (1995), p. 513
- ↑ Eilers (1997), p. 130-131
- ↑ Paul Theroff (2007). ""Mecklenburg"". An Online Gotha. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-11-12. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2007.
- ↑ Pakula (1995), p. 537
- ↑ Maylunas and Mironenko (1997), pp. 239-240
- ↑ Massie (1995), p. 165
- ↑ Mager (1998), p. 135.
- ↑ Mager (1998), p. 228
- ↑ Mager (1998), p. 228
- ↑ Grand Duchess Marie (1930)
- ↑ Maylunas and Mironenko (1997), p. 355
- ↑ Kurth (1983), p. 51
- ↑ Kurth (1983), p. 272
- ↑ Kurth (1983), p. 428
- Eilers, Marlene A. (1997), Queen Victoria’s Descendants, Rosvall Royal Books, Falköping, 2nd Edition. ISBN 9-163-05964-9.
- Kurth, Peter (1983). Anastasia: The Riddle of Anna Anderson. Little, Brown, and Company. ISBN 0-316-50717-2.
- Grand Duchess Marie (1930). Education of a Princess: A Memoir. Viking Press.
- Mager, Hugo (1998). Elizabeth: Grand Duchess of Russia. Carroll and Graf Publishers, Inc. ISBN 0-7867-0678-3
- Massie, Robert K. (1995). The Romanovs: The Final Chapter. Random House. ISBN 394-58048-6
- Mironenko, Sergei, and Maylunas, Andrei (1997). A Lifelong Passion: Nicholas and Alexandra: Their Own Story. Doubleday. ISBN 0-385-48673-1.
- Pakula, Hannah (1995). An Uncommon Woman: The Empress Frederick: Daughter of Queen Victoria, Wife of the Crown Prince of Prussia, Mother of Kaiser Wilhelm. Simon and Schuster. ISBN 0-684-84216-5.
- Queen Victoria (1975). Advice to my grand-daughter: Letters from Queen Victoria to Princess Victoria of Hesse. Simon and Schuster. ISBN 0671222422