ฮิลารี ดัฟ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฮิลารี ดัฟ
ข้อมูลพื้นฐาน
เกิด (1987-09-28) 28 กันยายน ค.ศ. 1987 (36 ปี)
ที่เกิดรัฐเท็กซัส,  สหรัฐ
แนวเพลงป๊อป, แดนซ์
อาชีพนักร้อง, นักแสดง, นักออกแบบ, นักเขียน
เครื่องดนตรีเสียงร้อง
ช่วงปีพ.ศ. 2541 - ปัจจุบัน
ค่ายเพลงDisney/Buena Vista (2544-2547), Hollywood Records (2548-2551), RCA Records (2557-2559)
เว็บไซต์http://hilaryduff.com Official Website

ฮิลารี เออร์ฮาร์ด ดัฟ (อังกฤษ: Hilary Erhard Duff) เกิดวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1987 เป็น นักร้อง, นักแสดง, นักออกแบบ และนักเขียน ชาวอเมริกัน หลังจากที่เริ่มต้นเข้าสู่วงการด้วยการแสดงบทนำในละครทางโทรทัศน์ Lizzie McGuire ทางช่อง Disney เธอก็มาสู่ผลงานอาชีพบนจอเงินอย่าง Cheaper by the Dozen (2003), The Lizzie McGuire Movie (2003) และ A Cinderella Story (2004)

เธอยังเดินทางบนสายอาชีพนักร้องอีกด้วย โดยสามารถทำยอดขายอัลบั้มของเธอได้กว่า 13 ล้านแผ่นทั่วโลก และมี 4 แผ่นเสียงทองคำขาว (RIAA certified-platinum albums) เป็นเครื่องการันตี[1] อัลบั้มแรกของเธอ Metamorphosis (2003) สามารถทำยอดขายอัลบั้มถล่มทลาย โดยได้ 2 แผ่นเสียงทองคำขาวมาการันตีทีเดียว ต่อมา Hilary Duff (2004), Most Wanted (2005) เป็นอัลบั้มที่ยังคงทำยอดขายแผ่นเสียงทองคำขาวได้ต่อไปอีก Dignity (2007) คืออัลบั้มล่าสุดของเธอ ที่วางจำหน่ายในเดือนเมษายน 2007 และได้แผ่นเสียงทองคำมาครองในเดือนสิงหาคมในปีเดียวกันนั้น[2]

นอกจากนั้นเธอยังเคยมีแบรนด์เสื้อผ้าของเธอ Stuff by Hilary Duff และในปัจจุบันกับแบรนด์ Femme by DKNY รวมทั้ง 2 น้ำหอมภายใต้การดูแลของ อลิซาเบธ เออร์เดน ในนาม With Love...Hilary Duff รวมทั้งเป็นนักเขียนติดอันดับ New York Times Best Seller กับนวนิยายชุด 'Elixir'

ชีวตก่อนเข้าสู่วงการ[แก้]

ฮิลารี ดัฟ เกิดที่ ฮูสตัน, เท็กซัส ในวันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 1987[3] เธอเป็นลูกสาวคนที่ 2 ของ ซูซาน ดัฟ และ โรเบิร์ต ดัฟ เธอมีพี่สาวด้วยหนึ่งคน เฮย์ลีย์ ดัฟ ที่เป็นนักแสดงและนักร้อง ตั้งแต่เธออายุได้ 6 ขวบ แม่ของเธอให้การสนับสนุนในการเป็นนักแสดงของเธอมาก จึงมักจะให้เธอร่วมกิจกรรมการแสดงต่างๆ ร่วมกับพี่สาวอยู่บ่อยๆ เธอและพี่สาวได้แสดงในการแสดงบัลเล่ต์ The Nutcracker Suite กับคณะ Columbus BalletMet ใน ซาน อันโตนีโอ[3] หลังจากนั้นมุมมองการสู่วงการเริ่มกว้างไกลออกไป เธอกับแม่และพี่สาว จึงตัดสินใจเดินทางย้ายมาสู่แคลิฟอร์เนีย และหลังจากนั้นไม่ถึงปี เธอกับพี่สาวก็เริ่มไปคัดตัวตามรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ[4]

ผลงานทางโทรทัศน์[แก้]

เริ่มเข้าสู่วงการโทรทัศน์[แก้]

เธอเข้าสู่อาชีพการแสดงเริ่มจากบทเล็กๆ และบทตัวประกอบในมินิซีรีส์ทางโทรทัศน์ True Women ในปี 1997 ของ Hallmark Entertainment แล้วเธอยังแสดงบทเล็กใน Playing by Heart (1998) ก่อนที่จะได้รับแสดงในบทนำในปี 1998 กับหนัง Casper Meets Wendy ที่สร้างออกมาเป็นแผ่นวางจำหน่าย หนังประสบความสำเร็จมาก ทั้งเรื่องรายได้และคำวิจารณ์[5][6] จนมีภาคต่อออกมา แต่บทนำในภาคต่อต้องอายุน้อยกว่าเธอในขณะนั้น จึงไม่ได้รับบทนำในภาคต่อ ในปี 1999 เธอได้รับบทสมทบในหนังทางโทรทัศน์เรื่อง The Soul Collector ที่สร้างมาจากนิยายของ คาร์ทลีน เคน แสดงคู่กับบรูซ กรีนวู้ด และ เมลลิซา กิลเบิร์ท เธอยังได้รับรางวัล Young Artist Awards มาครองจากสาขารางวัลการแสดงผลงานหนังทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม จากบทบาทในหนังเรื่องนี้อีกด้วย[7] ต่อมาเธอแสดงในละครทางโทรทัศน์เรื่อง Daddio ทางสถานีโทรทัศน์ NBC ร่วมกับ ไมเคิล ชิคลิส ก่อนที่จะถอนตัวออกจากละคร ก่อนที่จะมารับบทนำในละครทางโทรทัศน์ที่ทำให้เธอแจ้งเกิดเต็มตัว

Lizzie McGuire[แก้]

หลังจากที่ถอนตัวออกจาก Daddio เพียงหนึ่งอาทิตย์ต่อมา แม่ของเธอได้รับข่าวดีให้เธอไปคัดตัวแสดงในละครโทรทัศน์เรื่องใหม่ และเธอก็ได้รับบทนำมาในที่สุดในเรื่อง Lizzie McGuire เรื่องราวชีวิตของเด็กสาววัยรุ่นที่มีเรื่องต่างๆ เข้ามาในชีวิตช่วงมัธยมของเธอ เธอร่วมแสดงกับ ลาลีนน์, อดัมส์ แลมเบิร์ก, เจค โทมัส, เคย์ตัน ไซน์เดอร์, โรเบิร์ต คาร์ราดีน และ ฮัลลีย์ ทอดด์ Lizzie McGuire ออกอากาศครั้งแรกที่ช่อง Disney Channel ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2001 กลายเป็นละครโทรทัศน์ดังระเบิดทันนี้ โดยมีผู้ชมชมกว่า 2.3 ล้านคนต่อตอน โดยได้ผู้ชมเด็กสาวอายุ 7-14 ปีเป็นแฟนประจำของละครเรื่องนี้[8] หลังจากที่ฉายไปได้ 65 ตอน ช่อง ABC ก็ติดต่ออยากจะให้เธอไปร่วมแสดงในรายการของตน แต่ท้ายที่สุดก็ยกเลิกไป เพราะเธอยังคงไม่ว่างที่ปลีกตัวไปจากละครฮิตเรื่องนี้ได้ จนในที่สุดในปี 2003 ตัวละครสร้างชื่อของเธอ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ใน The Lizzie McGuire Movie

ต่อมาในปี 2019 เธอได้ปรากฏตัวภายในงาน D23 ประจำปี พร้อมกับผู้บริหาร วอลต์ ดิสนีย์ เพื่อประกาศสร้างซีรีส์ฉบับใหม่ของ Lizzie McGuire ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นภาคต่อเรื่องราวของอดีตสาววัยรุ่น ที่บัดนี้ได้เติบใหญ่เป็นสาววัยทำงาน และพาผู้ชมไปติดตามดูชีวิตของเธอในปัจจุบันได้เป็นตามความฝันที่เคยตั้งเอาไว้ในวัยเด็กหรือไม่ โดยซีรีส์เรื่องนี้วางแผนจะฉายผ่านบริการ ดิสนีย์พลัส จนกระทั่งในช่วงกลางปี 2020 ทางดิสนีย์ได้ออกมาประกาศปลดซีรีส์เรื่องดังกล่าวออกจากแผนงาน โดยระบุว่าเนื้อหาของซีรีส์ไม่เหมาะสมที่จะถูกใส่เข้ามาเป็นคอนเทนท์ของดิสนีย์พลัส ทำให้ซีรีส์ตกอยู่ในสถานะคลุมเครือ โดยที่นักแสดงได้เริ่มถ่ายทำงานไปแล้วบางส่วน และในช่วงปลายเดียวกันนั้น ฮิลารี ดัฟ ได้ออกมาชี้แจงอย่างตรงไปตรงมาว่า ซีรีส์เรื่องนี้ได้จอดนิ่งสนิทและไม่สามารถพัฒนาใดๆ ได้อีกอย่างน่าเสียดาย

Gossip Girl[แก้]

เธอถูกทาบทามให้รับบท Olivia Burke ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้ซีรีส์ชุด Gossip Girl ในฤดูกาลที่ 3 ที่จะเริ่มออกอากาศฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 นี้ โดยส่วนของตัวละครนี้จะเป็นดาราสาวที่มาที่เมืองใหญ่อย่าง มหานครนิวยอร์ก เพื่อมาหาประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยและพัฒนาฝีมือการแสดงของเธอ โดยเธอเป็นรูมเมทคนใหม่ของ วาเนสซ่า (Jessica Szohr)[9]

Younger[แก้]

เดือนมกราคม 2014 เธอร่วมเป็นนักแสดงทีวีซีรีส์ชุดใหม่ทางช่อง TV Land สร้างจากนวนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ พาเมลา เรดมอนด์ ซึ่งได้โปรดิวเซอร์ฝีมือดี ดาร์เรน สตาร์ จากทีวีซีรีส์ชุด Sex and the City มาร่วมอำนวยการสร้าง โดยทีวีซีรีส์ชุดนี้นำแสดงโดย ซัตตัน ฟอสเตอร์, มิเรียม ชอร์, เดบี มาซาร์ ส่วนเธอรับบทเป็น เคลซีย์ อีกหนึ่งตัวละครสำคัญในทีวีซีรีส์ชุดเรื่องนี้[10] นับเป็นการกลับไปแสดงทีวีซีรีส์อีกครั้งในรอบ 5 ปี ต่อมาทางผู้บริหาร TV Land ประกาศเดินหน้าสร้างทีวีซีรีส์ชุดนี้แบบเต็มฤดูกาล จำนวน 12 ตอน โดยมีกำหนดอากาศช่วงฤดูหนาว 2014-2015[11] และซีรีส์ยังคงได้รับอนุมัติให้สร้างฤดูกาลอื่นๆ ตามมาอีก กระทั่งมาถึงฤดูกาลที่ 7 ที่เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเรื่องที่ออกอากาศในปี 2021 ย้ายไปฉายเป็นซีรีส์สตรีมมิ่งออนไลน์แทน

Lizzie McGuire's Reboot[แก้]

ในเดือนสิงหาคม 2019 ภายในงานมหกรรม D23 Expo ได้มีการเซอร์ไพรส์เปิดตัวซีรีส์ใหม่ที่จะเป็นการชุบชีวิตของ ลิซซี่ แม็คไกรว์ ขึ้นมาอีกครั้ง ในฉบับซีรีส์ฉบับใหม่ที่จะเป็นการสานต่อเรื่องราวจากซีรีส์วัยรุ่นเรื่องฮิตในอดีต แต่เป็นเวอร์ชันวัยผู้ใหญ่ของลิซซี่ โดยที่ ฮิลารี ดัฟ ยังคงกลับมารับบทเดิม และจะออนแอร์ผ่านบริการ ดิสนีย์ พลัส แต่ต่อมาโครงการซีรีส์เรื่องดังกล่าวไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ และยังไม่ได้ดำเนินการงาน[12]

ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ดิสนีย์ได้ออกมาชี้แจงว่า ซีรีส์ฉบับรีบูตนี้จำเป็นต้องระงับการสร้าง เนื่องจากโครงเรื่องและเนื้อหาของซีรีส์ไม่เหมาะกับวิสัยทัศน์ของดิสนีย์ พลัส ทำให้ในเวลาต่อมา ฮิลารี ดัฟ ได้เขียนข้อความถามไปยังดิสนีย์ เพือหาโอกาสต่อลมหายใจให้กับซีรีส์เรื่องนี้ ด้วยการส่งไปออนแอร์ที่ Hulu แทนได้หรือไม่ กระทั่งในเดือนธันวาคม 2020 ได้มีการยืนยันชัดเจนแล้วว่า Lizzie McGuire ฉบับรีบูตใหม่นั้น ถูกพับเก็บโครงการลงไปอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจะมีการเริ่มถ่ายทำไปบ้างแล้วราวๆ 1-2 ตอนแรก[13]

How I Met Your Father[แก้]

ช่วงกลางเดือนเมษายน 2021 ทาง Hulu ได้ประกาศสร้างภาคแยกของซีรีส์ชื่อดัง 'How I Met Your Mother' ที่เคยออนแอร์ทางช่อง CBS เป็นฉบับใหม่ที่ชื่อว่า "How I Met Your Father" ที่จะเป็นซีรีส์ทางสตรีมมิ่งออนไลน์ ในเบื้องต้นนั้น ฤดูกาลแรกจะมี 10 ตอน โดยที่ ฮิลารี ดัฟ จะรับบทนำให้ซีรีส์เรื่องนี้ กับตัวละครที่มีชื่อว่า โซฟี อีกทั้งยังได้ทีมผู้สร้างชุดเดิมกลับมาสานต่องาน คาดว่าจะได้ออนแอร์ในช่วงต้นปี 2022 ตามลำดับ[14]

รายการโทรทัศน์อื่นๆ[แก้]

ในขณะที่ Lizzie McGurie กำลังโด่งดัง เธอยังมาแสดงนำให้หนังทางโทรทัศน์ของ Disney ใน Cadet Kelly ร่วมกับ คริสตี้ คาร์ลสัน โรมาโน่ และ แกรี่ โคลล์ ก่อนที่จะสร้างสถิติผู้ชมชมมากที่สุดในรอบ 19 ปีที่ผ่านมา ในหนังเป็นรับบทเป็นเด็กสาวที่ถูกส่งตัวไปในโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อที่จะได้เรียนรู้ถึงความอดทนและสามัคคีในชีวิต เธอยังได้เป็นแขกรับเชิญตามรายการโทรทัศน์ต่างๆ เธอปรากฏใน Chicago Hope ในปีเดือนมีนาคม 2003 ก่อนจะไปรับเชิญใน George Lopez ปีเดียวกันนั้น และไปแสดงรับเชิญคู่กับพี่สาวเธอใน American Dreams ในปี 2005 เธอกลับไปร่วมรับเชิญใน George Lopez อีกครั้ง และแสดงเป็นเพื่อนร่วมชั้นเห็นแก่ตัวใน Joan of Arcadia ในขณะที่เธอทัวร์ Most Wanted กัวดาลาจารา ในเม็กซิโก เธอยังไปรับเชิญในโชว์ของศิลปินท้องถิ่น Rebelde ต่อมาในปี 2007 เธอรับเชิญเปิดตอนใหม่ของโชว์ The Andy Milonakis Show

และในปี 2009 เธอจะกลับไปสู่สื่อที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในอาชีพของเธอ นั่นคือโทรทัศน์นั่นเอง เธอจะแสดงในซีรีส์ใหม่ให้กับช่องสถานีโทรทัศน์ NBC เรื่อง Barely Legal ซึ่งแสดงเป็นนักกฎหมายอายุน้อย ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ คาห์เลียน ฮอร์ทซ[15] นอกจากนั้นเธอจะไปแสดงรับเชิญในกับซีรีส์ Ghost Whisperer ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง CBS โดยเธอจะแสดงในตอนที่ชื่อว่า Thrilled to Death ออกอากาศวันที่ 10 เมษายน 2009 โดยเธอจะแสดงเป็น เมแกน เจฟฟรี่ย์ส หญิงสาวที่เห็นชายที่ถูกฆ่าตายอย่างประหลาด[16] และเธอได้แสดงในซีรีส์ Law & Order: SVU ทางสถานีโทรทัศน์ของ NBC โดยเธอแสดงในตอนที่ชื่อว่า Selfish ที่เป็นเรื่องราวของแม่กับลูก และการลักพาตัว โดยมีกำลังออกอากาศวันที่ 28 เมษายน 2009[17]

ในช่วงปลายปี 2010 เธอแสดงในบทรับเชิญให้แก่ซีรีส์ตลก Communtiy ทางช่อง NBC ในตอนที่มีชื่อว่า Aerodynamics of Gender โดยรับบทเป็น เมแกนห์ นักเรียนสาวร้ายเงียบ! โดยจะออกอากาศในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2010[18]

เดือนสิงหาคม 2012 เธอได้ประกาศเซ็นสัญญาร่วมผลิตและแสดงโชว์ทีวี ทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ เทเลวิชั่น ซึ่งกำลังมองหาโปรเจกต์ทีวีซีรีส์ ความยาวตอนละ 30 นาที เพื่อให้เธอได้รับบทบาทการแสดงทางหน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง[19]

เดือนมกราคม 2013 มีรายงานข่าวระบุว่า เธอจะร่วมแสดงให้ซีรีส์ตลก Raising Hope ทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ เทเลวิชั่น ในตอนที่มีชื่อว่า The Old Girl โดยรับบทเป็น ราเชลล์ แฟนเก่าของ จิมมี่ ตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งจะกลับมาสร้างความปั่นป่วนให้สัมพันธ์ของ 2 พระนางคู่เอก ออกอากาศในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2013[20]

เดือนเมษายน 2013 เธอได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ระบุว่าจะร่วมแสดงเป็นดารารับเชิญให้ซีรีส์ตลกยอดนิยม Two and A Half Men ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ในตอนสุดท้ายของฤดูกาลที่ 10 โดยรับบทเป็น สเตซีย์ แฟนสาวของ วอลเดน (แอชตัน คุชเชอร์) ออกอากาศในวันที่ 9 พฤษภาคม 2013[21]

ผลงานทางภาพยนตร์[แก้]

เธอเริ่มแสดงในภาพยนตร์จอเงินครั้งแรกใน Human Nature (2002) หนังอินดี้ที่เธอถ่ายทำเอาไว้ก่อนจะแสดงใน Lizzie McGuire เธอแสดงเป็นตัวละครของ แพทริเซีย อาร์เคทต์ ในตอนเด็ก

2003 - 2004: ลิซซี่ แมคไกรว์ จุดเริ่มต้นบนจอภาพยนตร์[แก้]

ในปี 2003 เธอได้แสดงในบทนำครั้งแรกบนจอภาพยนตร์ในหนังแอคชั่นสายลับ Agent Code Banks ร่วมกับ แฟรงคิน มิวนิซ หนังประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจนมีภาคต่อตามออกมา แต่เธอไม่ได้แสดงในภาคต่อนั้น ในปีเดียวกันเธอมี The Lizzie McGuire Movie หนังที่สร้างมาจากละครโทรทัศน์สร้างชื่อของเธอ Lizzie McGuire หนังทำรายได้ได้ดีมากในอเมริกากว่า 42.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาปลายปีนั้นเธอแสดงเป็นหนึ่งในลูก 12 คนของ สตีฟ มาร์ติน และ บอนนี่ ฮันท์ ในหนังครอบครัวเรื่อง Cheaper by the Dozen ซึ่งกลายเป็นความประสบความสำเร็จทันทีที่หนังออกฉาย จนมีภาคต่อออกมา Cheaper by the Dozen 2 ในปี 2005 ที่เธอยังคงร่วมแสดง แต่ในภาคต่อกลับไม่ประสบความสำเร็จทางด้านคำวิจารณ์นัก

ในปี 2004 เธอแสดงในหนังโรแมนติกตลก A Cinderella Story หนังได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเรื่องการแสดงของเธอ แต่กลับสวนทางกับด้านรายได้ของหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด ต่อมาในช่วงปลายปีเดียวกัน เธอแสดงนำใน Raise Your Voice เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงในหนังชีวิต เธอรับบทเป็นเด็กสาววัยรุ่นเสียงดี ที่ปิดตัวเองหลังจากที่พี่ชายเธอเสีย จนกระทั่งเธอได้รับเข้าการศึกษาที่โรงเรียนสอนดนตรี ซึ่งเป็นโจทย์ชีวิตของเธอ ที่เธอตั้งใจว่าจะทำสิ่งนี้เพื่อพี่ชายผู้ล่วงลับของเธอ คือการกลับมาร้องเพลงอีกครั้ง หนังได้รับคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ในด้านลบ และกล่าวถึงการแสดงของเธอ ที่ไม่ค่อยพัฒนาเท่าไหร่ และเรื่องการรับบทที่เป็นแบบซ้ำๆเดิมๆ ทำให้หนังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ และทำให้เธอได้เข้าชิงรางวัล Razzie Awards ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดแย่เป็นปีแรก จาก Raise Your Voice และ A Cinderella Story

2005 - 2008: เริ่มต้นในฐานะนักแสดงดาวรุ่ง[แก้]

ในปี 2005 เธอแสดงนำในเรื่อง The Perfect Man แสดงเป็นลูกสาวที่พยายามจะให้แม่ของเธอ (เฮย์เธอร์ ล็อกเลียร์) เจอกับผู้ชายที่ดีๆ หนังไม่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ และในปีเดียวกันเธอได้เข้าชิงรางวัล Razzie Awards อีกครั้ง จากการแสดงใน The Perfect Man และ Cheaper by the Dozen 2 ต่อมาในปี 2006 เธอแสดงใน Material Girls หนังตลกที่แสดงร่วมกับพี่สาวของเธอ เฮย์ลีย์ ดัฟ หนังไม่เป็นที่ประทับใจนักวิจารณ์แม้แต่น้อย ส่งผลให้หนังเก็บรายได้ไปได้เพียง 10 กว่าล้านเท่านั้น หนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่อง Erin Brockovich เรื่องนี้ได้ มาร์ธา คูลลิจด์ มากำกับการแสดงให้ พร้อมทั้งได้ มาดอนน่า มาเป็นผู้อำนวยการสร้างภายใต้บริษัทสร้างหนังของเธอ Maverick Entertainment จากการแสดงของทั้งสองพี่น้อง ทำให้พวกเธอได้เข้าชิง 2 รางวัลจาก Razzie Awards ในปีนั้น

ในปี 2008 ที่ร่วมแสดงในหนังแอคชั่น กับ จอห์น คูลแซก ใน War, Inc. ที่เข้าฉายแบบจำกัดโรง โดยเธอแสดงเป็นนักร้องเอเชียสุดร้อนแรง ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการแสดงครั้งสำคัญของเธอทีเดียว เธอยังแสดงร่วมกับ โจนท์ คูลแซก, มาริสา โทเม และเซอร์ เบน คิงส์ลีย์ โดยทำรายได้เปิดตัว 35,000 เหรียญ จากการเปิดตัวฉายแค่ 2 โรงในนิวยอร์ดและแอล.เอ. เท่านั้น และยังได้รับเสียงวิจารณ์เรื่องการแสดงของเธอ ในทางที่ดีจากบรรดานักวิจารณ์อีกด้วย

2009 - ปัจจุบัน: รับบทบาทในภาพยนตร์นอกกระแส[แก้]

เธอร่วมแสดงในหนังอินดี้ What Goes Up (aka Safety Glass) หนังย้อนยุคที่ย้อนกลับไปสู่ช่วงกลางปี '80 เล่าถึงนักเรียนสาวกลุ่มหนึ่ง ที่มีชีวิตอยู่ในยุคที่มีการปล่อยกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ เธอแสดงร่วมกับ สตีฟ คูลแกน, มอลลี่ แชนนอน, จอห์น เพคและโอลิเวีย ทริลบาย หนังมีแผนจะลงโรงฉายแบบจำกัดโรงในเดือนพฤษภาคม 2009 และจะกลายเป็นรูปแบบดีวีดีจำหน่ายทันที ในวันที่ 16 มิถุนายน 2009 โดยสตูดิโอโซนี่ พิคเจอร์ส ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังร่วมแสดงใน Greta ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กสาววัยรุ่นที่มีปัญหาชีวิต ครอบครัวส่งเธอมาอยู่กับคุณยายในเมืองอันเงียบสงบ เพื่อให้เธอค้นหาชีวิต เธอได้แสดงร่วมกับนักแสดงฝีมือดีอย่าง เอเลน เบอร์ทีน, ไมเคิล เมอร์ฟีย์ และอีวาน รอส หนังได้เปิดฉายรอบฉายทดลองก่อนฉายจริง ได้รับกระแสตอบรับกลับออกมาเป็นอย่างดี และจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบวงจำกัดในวันที่ 11 ธันวาคม 2009

เธอยังมีชื่อเป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ทางโทรทัศน์จาก ABC Family เรื่อง Beauty & the Briefcase โดยเป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อ 'Diary of a Working Girl' ของ แดเนียลล่า บรอดสกี้ โดยได้ผู้กำกับ กิล จังเกอร์ มากำกับหนัง 2 ชั่วโมงนี้แล้ว โดยเรื่องราวของหนังโรแมนติกเรื่องนี้เกิดขึ้นกับนักข่าวแฟชั่นสาวที่ยอมลงทุนกระโจนลงไปในโลกของวงการธุรกิจแสนวุ่นวายเพื่อที่จะได้ลิ้มลองรักกับหนุ่มในชุดสูทเพื่อที่จะนำเรื่องมาเขียนส่งให้กับบรรณาธิการของเธอ โดยหนังเรื่องนี้มีกำหนดพรีเมียร์ออกอากาศในวันที่ 18 เมษายน 2010[22]

เธอยังเป็นหนึ่งในนักแสดงของหนังที่สร้างมาจากนวนิยายปี 2002 ของ วิลเลี่ยม เกย์ Bloodworth (aka Provinces of Night) ที่เป็นเรื่องราวชีวิตของหนุ่มสาวชาวใต้ของอเมริกาในช่วงยุค 1950 ของอเมริกา โดยเธอร่วมเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงร่วมกับนักร้องลูกทุ่งชาวใต้ชื่อดัง คริส คริสโตเฟอร์สัน, วัล คิลเมอร์ และดไวท์ ยอร์คแมน [23] โดย โทบี้ คีธ ได้ถอนตัวออกไปหลังจากเปิดกล้องถ่ายทำได้เพียงวันเดียว หนังกำกับโดยผู้กำกับ เชน แด็กซ์ เทเลอร์[24] โดยบทบาทที่เธอได้รับคือภรรยาสาวชาวลูกทุ่ง ลาเวน ลี หนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบจำกัดโรงฉาย 20 พฤษภาคม 2011 และออกวางจำหน่ายเป็นรูปแบบดีวีดีจำในเดือนมิถุนายน 2011 ในเวลาต่อมา

รวมทั้งยังร่วมแสดงในหนังตลกเรื่องใหม่ของสองพี่น้องโพลิช Stay Cool โดยเธอรับบทเป็น แชสต้า โอ'นีล นักเรียนไฮสคูลปีสุดท้ายสุดเซ็กซี่ หนังจะเริ่มถ่ายทำกันในเดือนกรกฎาคม 2008 ที่ ซานตา คาลริต้า ใน แคลิฟอร์เนีย และมีนักแสดงอีกมากมาย เช่น วิโอน่า ไรเดอร์, มาร์ค โพลิช, ชอว์น อัสติน, เชวี่ เชส และจอน คลาย์เยอร์ ซึ่งเปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์โลกที่เทศกาลหนัง Tribeca Films Festival ในนิวยอร์กปลายเดือนเมษายน 2009 และมีกำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์แบบจำกัดโรงฉาย 16 กันยายน 2011 และออกวางจำหน่ายเป็นรูปแบบดีวีดีจำในเดือนเดียวกันนั้น

ปลายปี 2010 เธอตัดสินใจวางมือจากอาชีพนักเขียนชั่วคราว รับแสดงในหนังอินดี้ตลก She Wants Me เรื่องราวความรักในวงการภาพยนตร์และดารา โดยเธอจะสวมบทบาทเป็น คิม พาวเวอร์ส ดาราสาวทรงเสน่ห์[25]

ในเดือนกรกฎาคม 2013 เธอมีชื่อเป็นหนึ่งในนักแสดงหนังตลกเรื่อง Flock of Dudes ร่วมกับนักแสดงชื่อดัง เช่น ลีอา มิเชล, สกายลาร์ ออสติน, เรย์ ลิออตต้า และ ไบรอัน กรีนเบิร์ก มีกำหนดฉายอย่างไม่เป็นทางการในปี 2014[26]

ผลงานทางดนตรี[แก้]

2002 - 2004: Lizzie McGuire to Metamorphosis[แก้]

ในปี 2002 เธอได้ร้องเพลงประกอบละครโทรทัศน์ของเธอ Lizzie McGuire ในเพลง "I Can't Wait" ซึ่งมีต้นฉบับเป็นเพลงของ บรู๊ค แมคคาลล์มอนด์ และ "The Tiki Tiki Tiki Room" ในอัลบั้มแรกของ DisneyMania อัลบั้มแรกของเธอนั้นคือ Santa Claus Lane (2002) เป็นอัลบั้มรวมเพลงคริสต์มาส เพลงเธอได้ร่วมทำงานกับพี่สาวของเธอ เฮย์ลีย์ ดัฟ, ลิล โรมิโอ และคริสติน่า มิลาน แค่ซิงเกิลเพลง "Tell Me a Story (About the Night Before)" ก็สามารถทำยอดขายได้ถล่มทลาย ขึ้นสู่อันดับที่ 154 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และยังได้แผ่นเสียงทองคำมาครองอีกด้วย เพลง "Santa Claus Lane" ถูกนำไปให้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Santa Claus 2 และเพลง "What Christmas Should Be" ก็นำไปใช้ในภาพยนตร์ Cheaper by the Dozen อีกด้วย นอกจากจะร้องเพลง "I Can't Wait" ประกอบละครโทรทัศน์ของเธอแล้ว ในเวอร์ชันภาพยนตร์เธอยังร้องเพลง "Why Not" ประกอบในภาพยนตร์ของเธอ The Lizzie McGuire Movie ที่โด่งดังข้ามโลกไปถึงออสเตรเลีย ส่วนอัลบั้มประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ก็ทำยอดขายได้ดี

หลังจากนั้นเธอเริ่มทำอัลบั้มที่ 2 ทันที ที่ถือว่าเป็นสตูดิโออัลบั้มแรกของเธอ Metamorphosis (2003) อัลบั้มขึ้นชาร์ตทันทีที่วางจำหน่ายในแคนาดา ก่อนที่จะมาขายดีในอเมริกา เป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จอีกอัลบั้มหนึ่งในปีนั้น โดยมียอดรวมขายกว่า 3.7 ล้านแผ่นจนถึงเดือนพฤษภาคม 2005 ซิงเกิลเปิดตัว "So Yesterday" ติดอัลบั้ม Top 10 ไปทั่วโลก ก่อนที่ละครโทรทัศน์เรื่อง Laguna Beach นำเพลง "Come Clean" ไปใช้เป็นเพลงเปิดเรื่อง ซึ่งเพลงนั้นก็นำไปเป็นซิงเกิลที่ 2 และก็ยังสามารถติดชาร์ตไปทั่วโลกทั้งที่สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซิงเกิลที่ 3 "Little Voice" ไม่ได้วางจำหน่ายในอเมริกา แต่จำหน่ายเฉพาะในแคนาดาและออสเตรเลีย

ปลายปี 2003 เธอจึงเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกใน Metamorphosis Tour และหลังจากนั้นก็มี Most Wanted Tour ซึ่งทั้ง 2 ทัวร์ของเธอ มียอดการจำหน่ายบัตรชมคอนเสิร์ตที่ขายหมดไปอย่างรวดเร็ว ในเดือนมกราคม 2004 อัลบั้มที่ 2 ของ DisneyMania ใน DisneyMania 2 เธอได้ร้องเพลง "The Siamese Cat Song" ร่วมกับพี่สาวของเธอ และเพลง "Circle of Life" ที่ร่วมร้องกับศิลปินของดิสนีย์ ไม่เท่านั้นสองพี่น้องดัฟยังนำเพลงของ The Go-Gos มาขับร้องใหม่ในเพลง "Our Lips Are Sealed" เพื่อนำไปประกอบภาพยนตร์ A Cinderella Story

อัลบั้มที่ 3 ของเธอ ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่ออัลบั้มใน Hilary Duff ที่เธอยังมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงในอัลบั้มนี้ด้วย โดยอัลบั้มนี้เป็นการเพิ่มบุคลิกภาพใหม่ๆ เพิ่งดนตรีความเป็นร็อกมากขึ้น อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในวันเกิดปีที่ 17 ของเธอพอดี (ในเดือนกันยายน 2004) และเปิดตัวได้ในอันดับที่ 2 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และเปิดตัวอันดับที่ 1 ในแคนาดา อัลบั้มนี้ขายได้ 1.5 ล้านแผ่นใน 8 เดือน มีเพียง "Fly" เป็นซิงเกิลเดียวที่จำหน่ายในอเมริกา เพลงนี้ยังข้ามไปโด่งดังที่ออสเตรเลียด้วย และปล่อยเพลง "Someone Watching Over Me" ที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่อง Raise Your Voice ของเธอ นอกจากนั้นเธอยังร้องเพลง "(I'll Give) Anything But Up" ในอัลบั้ม Marlo Thomas & Friends: Thanks & Giving All Year Long (2004) ก่อนที่จะเริ่มทัวร์ Most Wanted Tour อีก 9 เดือนต่อมา

2005 - 2006: Most Wanted[แก้]

อัลบั้มที่ 4 ของเธอ Most Wanted (2005) เป็นการนำเพลงที่ประสบความสำเร็จมารวบรวมในอัลบั้มนี้ และเพิ่มเพลงรีมิกซ์ใหม่ รวมทั้งเพลงใหม่ที่แรงบันดาลใจของศิลปินป๊อป-ร็อคอย่าง The Killers และ Muse ลงไปในอัลบั้มด้วย อัลบั้มนี้เปิดตัวได้ดีในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยการเปิดตัวอันดับที่ 1 บนชาร์ตถึง 2 สัปดาห์ติดกัน เช่นเดียวกันกับที่แคนาดา เพลงเปิดอัลบั้มอย่าง "Wake Up" ที่ได้ โจเอล แมดเดน และพี่ชายของเขา เบนจิ สมาชิกของวง Good Charlotte มาร่วมกันทำเพลงนี้ ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ไต่ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 100 สูงที่สุดของเธอ ซิงเกิลที่ 2 "Beat of Mt Heart" ฮิตใน MTV แต่ไม่ขึ้นชาร์ตใดๆ ในอเมริกา และหลังจากนั้นเธอมี 4Ever อัลบั้มรวมเพลงที่มีวางจำหน่ายในอิตาลีเท่านั้น ในปี 2006 เธอได้ร้องเพลงใหม่ร่วมกับพี่สาวของเธอ "Material Girl" ที่เป็นการนำเพลงต้นฉบับสุดฮิตของ มาดอนน่า มาขับร้องใหม่ เพื่อประกอบภาพยนตร์ Material Girls ที่พวกเธอแสดง โดยได้ ทิมบาแลนด์ มาร่วมทำเพลงนี้ให้ด้วย

2007 - 2008: Dignity and Independent Music[แก้]

ร้องเพลงที่โทรอนโต ในรายการมัชมิวสิก ปี 2007

ในสตูดิโออัลบั้มที่ 4 ของเธอ Dignity เธอมีส่วนร่วมในการทำงานมากในอัลบั้มนี้ โดยได้ร่วมเขียนเพลงกับ Kara DioGuardi และยังได้ Rhett Lawrence Tim & Bob และ Richaed Vission มาร่วมทำเพลงในอัลบั้มนี้ให้ โดยอัลบั้มนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเปลี่ยนแนวดนตรีเป็นแดนซ์ ซึ่งก็ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นป๊อป-ร็อคอยู่ และเพิ่มชาวน์อิเล็กทรอนิคเข้าไป

ซิงเกิลแรก "Play with Fire" เปิดตัวก่อนอัลบั้ทวางจำหน่ายนานมาก จึงไม่ประสบความสำเร็จนัก จนกระทั่งมาซิงเกิลที่ 2 "With Love" ทำให้เธอเปิดตัวได้สวยงามในชาร์ตบิลบอร์ด 100 และชาร์ต Dance Club Play ในมิวสิกวิดีโอเพลง With Love ยังเป็นการโฆษณาน้ำหอมใหม่ของเธอด้วย With Love...Hilary Duff ที่ออกวางจำหน่ายเดือนกันยายน 2006 อัลบั้มนี้วางจำหน่ายในเดือนเมษายน 2007 และเปิดตัวได้ที่ 4 ในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และมียอดขายที่ดีในออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ทัวร์คอนเสิร์ต Dignity World Tour เริ่มขึ้นปลายปี 2007 พร้อมกับซิงเกิลที่ 3 "Stranger" ที่ฮิตขึ้นชาร์ตทันทีในอเมริกา และในเดือนกันยายน 2007 เธอเริ่มทำเพลงที่จะเป็นซิงเกิลใหม่ของเธอ "Reach Out" ที่เป็นการนำเพลง "Personal Jesus" ของ Depeche Mode มาขับร้องใหม่ ซึ่งมีแผนนำเอามาโปรโมต ก่อนที่อัลบั้มชุดใหม่ของเธอจะออกมาในช่วงปลายปี 2008 นี้ นอกจากนั้นเธอยังร่วมแต่งเพลงในกับศิลปินรุ่นน้องด้วย เพลง "I Will" ที่มีแผนจะใส่ไว้ในอัลบั้มใหม่ของ วาเนสซ่า ฮัดเจน Identified แต่ท้ายที่สุด เพลงนี้ก็ถูกตัดออกไป

ความสัมพันธ์ของเธอกับค่ายเพลงต้นสังกัด Hollywood Records เริ่มเกิดความไม่เข้าใจกันขึ้น ทำให้เธอจะมีอัลบั้ม Best of Hilary Duff แทนที่จะเป็นสตูดิโออัลบั้มชุดใหม่ เนื่องจากไม่พอใจกับทางค่ายต้นสังกัด โดยในอัลบั้มนี้จะเพิ่มเพลงใหม่ 2 เพลง นั่นคือ Reach Out และ Holiday และจะรวมเอาเพลงฮิตของเธอตั้งแต่เริ่มร้องเพลงมารวมอยู่ในอัลบั้มนี้ โดยในอัลบั้มนี้ได้รับการถูกเมินจากทางค่ายต้นสังกัดเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการตลาดและการโฆษณาที่มีการสนับสนุนน้อยมาก ทำให้แฟนคลับของเธอต่างไม่พอใจนัก รวมทั้งการเลื่อนกำหนดวางขายของอัลบั้มนี้มาหลายต่อหลายครั้ง และความล่าช้าของการส่งเพลงใหม่เพื่อโปรโมตตามสถานีวิทยุ และการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอที่ล่าช้า และยังไม่กำหนดออกอากาศแต่อย่างใด จึงทำให้อัลบั้มเพลงนี้จะเป็นอัลบั้มเพลงชุดสุดท้ายของเธอภายใต้ต้นสังกัด Hollywood Records ซึ่งสัญญาของเธอจะสิ้นสุดลงปลายปี 2008 นี้

มิวสิกวิดีโอเพลง Reach Out ของเธอ ได้รับการออกอากาศครั้งแรกวันที่ 28 ตุลาคม 2008 ใน MySpace ในขณะที่อัลบั้ม Best of Hilary Duff ของเธอที่วางจำหน่ายในอเมริกา 11 พฤศจิกายน 2008 ไม่ประสบความสำเร็จนัก อัลบั้มเปิดตัวยอดขายได้เพียงไม่ถึง 2,000 แผ่นในสัปดาห์แรก และเปิดตัวได้นอก Billboard Top 200 ซึ่งอยู่ในชาร์ตนั่นได้เพียงสัปดาห์เดียว แต่เพลง Reach Out ของเธอก็สามารถทยานขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในฝั่งของ Billboard Hot Dance Club Play ภายใน 4 สัปดาห์นี้ นอกจากนั้น ซิงเกล Reach Out และอัลบั้ม Best of ของเธอนี้ จะไปตีตลาดในอังกฤษเดือนมกราคม

2013 - 2016: Breathe In Breathe Out[แก้]

เดือนตุลาคม 2013 ฮิลารี ดัฟ ได้โพสต์ภาพลงอินสตาแกรมส่วนตัวของเธอ ขณะกำลังบันทึกเสียงเพลงใหม่ในสตูดิโอ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอ ที่ทิ้งระยะห่างจากอัลบั้มก่อนกว่า 6 ปีเต็ม ทั้งนี้เธอยังได้โพสต์ข้อความและภาพร่วมกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อดังหลายคน อาทิเช่น บิลลี่ มานน์, ลินดี้ ร็อบบินส์ หรือ เดวิด ควินโนส เป็นต้น เดือนธันวาคม 2013 เธอได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อประเทศแคนาดา ระบุว่า เพลงใหม่ในอัลบั้มชุดที่ 5 จะเป็นแนวป๊อป-อิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ มีท่วงทำนองแปลกๆ สอดแทรกความเป็นอินดี้ เธอมีส่วนร่วมในการทำเพลงและเขียนเพลง ประมาณ 7-8 เพลง[27] เดือนมีนาคม 2014 เธอโพสต์ภาพและข้อความระหว่างการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหม่ ซึ่งยังไม่ระบุว่าเป็นค่ายเพลงใด เดือนพฤษภาคม 2014 เธอให้สัมภาษณ์ระหว่างร่วมงาน iHeart Radio Music Awards ระบุว่า เธอยังคงทำงานเพลงร่วมกับโปรดิวเตอร์และนักแต่งเพลงหลายคน อีกทั้งเธอยังร่วมแต่งเพลงที่ใช้สำหรับในอัลบั้มใหม่ของเธอด้วย เธอยังได้มีโอกาสร่วมงานกับ เอ็ด ชีแรน ซึ่งคาดว่าเพลงใหม่ของเธอจะถูกปล่อยซิงเกลออกมาในช่วงฤดูร้อนปี 2014 ก่อนที่อัลบั้มเพลงชุดใหม่จะออกตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงต่อไป[28]

วันที่ 21 กรกฎาคม 2014 เธอโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับซิงเกลเพลงใหม่จากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ซึ่งมีการยืนยันว่าคือเพลง 'Chasing the Sun' ซึ่งประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนนั้นได้มีการถ่ายทำมิวสิควิดิโอขึ้นที่ริมชายหาดมาลิบู รัฐแคลิฟอร์เนีย ทั้งนี้ซิงเกลโปรโมทจากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ไนท์คลับชื่อดัง 'Marquee' ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2014[29] และในวันที่ 29 กรกฎาคม 2014 ซิงเกลแรกจากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอ Chasing the Sun ได้ออกวางจำหน่ายทั่วโลกในระบะดิจิตอล ทั้งนี้ยังได้ระบุว่า อาร์ซีเอเรเคิดส์ เป็นสังกัดค่ายเพลงใหม่ของเธอ[30] ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน 2014 เธอได้ปล่อยเพลงซิงเกลโปรโมทเพลงที่ 2 จากสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอคือเพลง All About You และในเดือนพฤษภาคม 2015 เธอได้ปล่อยซิงเกลเพลงใหม่ชื่อว่า Sparks พร้อมกับระบุชื่อสตูดิโออัลบั้มที่ 5 ของเธอคือ Breathe In Breathe Out มีกำหนดวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนมิถุนายน 2015

สตูดิโออัลบั้มที่ 5 Breathe In Breathe Out เปิดตัวยอดขายในอันดับที่ 5 บนชาร์ตบิลบอร์ด Top 200 นับเป็นอัลบั้มชุดที่ 5 ของเธอ ที่สามารถเปิดตัวได้ใน Top 5 และยังมีการตัดซิงเกลในอัลบั้มนี้ออกมาเพื่อโปรโมท Tattoo กับ My Kind แต่ไม่มีการผลิตมิวสิควิดีโออย่างเป็นทางการออกมาแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการวางแผนออกทัวร์อัลบั้มช่วงต้นปี 2016 แต่ต่อมามีการยืนยันชัดเจนว่า เธอไม่มีการเดินทางสายทัวร์ตามที่วางแผนเบื้องต้นเอาไว้ จนกระทั่งเดือนเมษายน 2016 ทางค่ายอาร์ซีเอเรเคิดส์ ได้ลบชื่อของเธอออกจากรายชื่อศิลปินในสังกัด โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุ

ผลงานเขียน[แก้]

An Elixir Novel (Elixir, Devoted & True)[แก้]

นอกจากนี้ดัฟยังได้สวมบทบาทการเป็นนักเขียนนวนิยายที่เธอแต่งขึ้นเอง โดยมีชื่อว่า 'Elixir' ซึ่งเป็นนวนิยายวัยรุ่นภายใต้สำนักพิมพ์ Simon & Schuster โดยเป็นเรื่องของการคลายปมหลังจากที่พ่อหายตัวไปของช่างภาพข่าวหญิงคนหนึ่ง รวมทั้งเรื่องราวความรักที่อันตรายและรักสามเส้า ซึ่งนวนิยายเล่มนี้มีแผนจะออกจำหน่ายวันที่ 12 ตุลาคม 2010 จำนวน 416 หน้า และมีโครงการเขียนเป็นนวนิยายชุดออกวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปี 2012[31] โดยหลังจากที่หนังสือได้วางจำหน่าย หนังสือได้ติดอันดับใน New York Times Best Seller ในหมวดหนังสือสำหรับเด็กและเยาชนได้ในที่สุด และเธอยังร่วมออกบุ๊คทัวร์ทั่วประเทศเป็นเวลา 2 สัปดาห์อีกด้วย สำหรับผลตอบรับในหนังสือเล่มแรกจากปลายปากกาของเธอ ได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกพอสมควร ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนต่างทึ่งในความสามารถด้านการเขียนของเธอเป็นอย่างมาก และชมว่าเนื้อเรื่องน่าสนใจและชวนติดตามต่อไป

ขณะที่วันที่ 11 ตุลาคม 2011 นวนิยายภาคต่อจาก Elixir เล่มที่ 2 ชื่อว่า Devoted ได้วางจำหน่ายทั่วสหรัฐอเมริกา ภายใต้สำนักพิมพ์ Simon & Schuster เช่นเดิม โดยผลงานเล่มนี้ เธอได้เริ่มต้นเขียนตั้งแต่ปลายปี 2010 เล่าเรื่องราวการผจญภัยของหญิงสาวชื่อ แคลร์ กับเรื่องราวที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่คาดคิดและต้องตัดสินใจ Devoted นวนิยายชุดเล่มดังกล่าว ยังคงได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวก สุดท้ายกับนวนิยายภาคต่อของ Elixir และ Devoted ซึ่งออกวางจำหน่ายในวันที่ 16 เมษายน 2013 เล่าเรื่องราวบทสรุปของการผจญภัยและปมปริศนาของ แคลร์ ทั้งนี้ True นวนิยายชุดเล่ม 3 เล่มดังกล่าว ได้รับเสียงวิจารณ์ในเชิงลบเป็นเสียส่วนใหญ่

My Little Brave Girl[แก้]

ในปี 2021 ดัฟได้มีผลงานหนังสือนิทานสำหรับเด็กที่มีชื่อว่า My Little Brave Girl ซึ่งเธอได้เปิดเผยว่า หนังสือเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก แบงก์ส ลูกสาวของเธอ

ผลงานอื่นๆ[แก้]

เธอเปิดแบรนด์เสื้อผ้าของเธอ Stuff by Hilary Duff ขึ้นในเดือนมีนาคม 2004 ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายที่ห้างสรรพสินค้า Target ในสหรัฐอเมริกา, ที่ห้าง Kmart ในออสเตรเลีย, ที่ห้าง Zellers ในแคนาดา และ Edgars Stores ในแอฟริกาใต้ โดยเธอเริ่มจากการขายเสื้อผ้า ขยายสินค้าออกเป็นพวกเครื่องประดับ และเครื่องใช้สำหรับสาววัยรุ่น โดยในปี 2007 เว็บไซต์ Stardoll.com ได้นำเธอไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ โดยการเป็นตุ๊กตากระดาษให้สาวๆ มาตกแต่ง แต่งตัวให้เธอ โดยใช้สินค้าจากแบรนด์ของเธอมาตกแต่งและแต่งตัว

ในปี 2004 Playmates Toys ได้นำเธอไปเป็นต้นแบบในการทำตุ๊กตาคนดัง ต่อมาในปลายปี 2006 Mattel ออกจำหน่ายตุ๊กตาบาร์บี้ซูเปอร์สตาร์ โดยมีเธอร่วมเป็นหนึ่งในคอลเล็คชั่น ร่วมกับดาราอีกมากมายทั้ง รีส วิทเทอร์สปูน, บียอนเซ่ และอีกมากมาย

เดือนกันยายน 2006 เธอร่วมทำงานกับบริษัทของ อลิซาเบธ เออร์เดน ออกน้ำหอม With Love... Hilary Duff โดยมีจำหน่ายเฉพาะที่ร้าน Macy ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ก่อนที่จะมีการวางจำหน่ายในแคนาดาและญี่ปุ่นต่อไป ต่อมาในปี 2007 เธอเดินหน้าทำน้ำหอมใหม่ทันที Wrapped With Love ที่จะกลิ่นอายของฤดูร้อน ออกมาจำหน่ายในเดือนมกราคม 2008 และทำเป็นของขวัญพิเศษสำหรับลูกค้าในวันวาเลนไทน์นั้น

เธอเป็นตัวละครร่วมกับสุนัขสุดที่รักของเธอ โลล่า ในเกมคอมพิวเตอร์ชื่อดังของ EA ใน The Sims 2: Pets ที่ออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม 2006 เธอตัวละครของเธอนั้น จะพบได้ตามพื้นที่ส่วนร่วมของเกม พร้อมกับ โลล่า สุนัขของเธอ สำหรับโลล่านั้นเป็นสุนัขพันธุ์ชิวาวา ที่ดารามักเลี้ยงกันบ่อยๆ อย่างเช่น ปารีส ฮิลตัน หรือเจสสิก้า ซิมป์สัน ซึ่งทำให้สุนัขดูเป็นแฟชั่นมากกว่าสัตว์เลี้ยง

ในปี 2009 เธอเข้าเป็นหุ้นส่วนกับ DKNY Jeans ซึ่งเป็นคนดังคนล่าสุดที่ได้ร่วมงานการออกแบบดีไซน์เสื้อผ้าให้กันคอเล็คชั่นที่จะมาถึงของ DKNY โดยเธอออกแบบชุดที่ชื่อว่า The Femme ที่แสดงถึงความเป็นผู้หญิงสาวสู้สังคม ที่ออกจำหน่ายฤดูใบไม้ร่วงและเทศกาลฮอลิเดย์ 2009

เรื่องราวชีวิตส่วนตัว[แก้]

เธอคบหากับนักร้อง แอรอน คาร์เตอร์ ในปี 2001 พวกเขาพบกันที่กองถ่ายละคร Lizzie McGuire ในตอนที่ คาร์เตอร์ มารับเชิญในตอนพิเศษวันคริสมาตส์ ทั้งคู่คบหากันได้ประมาณ 2 ปี ก่อนที่เขาจะไปคบหากับ ลินด์เซย์ โลฮาน ในระหว่างที่เขายังคบกับเธอ ทำให้ทั้งคู่จบสัมพันธ์กันทันที ซึ่งเป็นฉนวนที่ทำให้เธอกับดาราร่วมรุ่น ลินด์เซย์ โลฮาน มีปัญหากัน ใน Celebrith Death Macth เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2007 รายการหยิบยกปัญหาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 สาวมาเล่นสนุก จนในปีเดียวนั้น ทั้งคู่ต่างก็ออกมาให้ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับสัมพันธ์ของทั้งคู่ โดยเธอกล่าวกับ People Magazine ในปาร์ตี้เปิดอัลบั้ม Dignity ของเธอว่า "ลินด์เซย์ เธอเป็นคนที่สนุก และเป็นสาวที่น่ารักคนหนี่ง ทีเดียว" จึงเป็นข้อสรุปว่าทั้งคู่ไม่มีเรื่องบาดหมางกันอีกต่อไป

หลังจากที่เลิกลากับคนรักเก่า ในปี 2004 เธอก็เดทกับนักร้องวง Good Charlotte โจเอล แมดเดน หลังจากนั้นเธอก็โดนหนังสือแท็บลอยด์ต่างๆ เล่นงานเธอ ประโคมข่าวเสียหาย รวมทั้งลงเรื่องการแตกแยกของครอบครัวเธอ และลงข้อความว่าเธอยังบริสุทธิ์อยู่ในเดือนมิถุนายน 2006 ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2006 เธอจบความสัมพันธ์ 2 ปีกับ โจเอล แมดเดน มีสื่อหลายสื่อต้องการที่จะทราบสาเหตุ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอบอกในรายการ MuchMusic ว่า "แน่นอน ฉันไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป"

ในปี 2007 เธอมีโอกาสไปถ่ายแบบร่วมกับนักกีฬา NHL (National Hockey League) ไมค์ คอมรี หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คบหาดูใจกัน เธอชอบที่จะไปดูแฟนหนุ่มแข่งที่สนาม ในวันที่ครบ 20 ปีของเธอ คอมรีเซอร์ไพร์สด้วยการซื้อรถใหม่ราคากว่า 1 แสนเหรียญเป็นของขวัญให้เธอ

เธอยังชอบทำการกุศลอีกด้วย เธอเป็นสมาชิกช่วยเหลือสัตว์ป่า และเป็นหนึ่งในสมาชิกชมรม Kids with a Cause เธอบริจาคเงินสดกว่า 2.5 แสนเหรียญ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่า ในปี 2005 เธอบริจาคเงินอีกกว่า 2.5 ล้านเหรียญเพื่อซื้ออาหารให้แก่ผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีน่าในรัฐทางตอนใต้ ในเดือนสิงหาคม 2006 เธอลงพื้นที่รัฐนิวออร์ลีนส์ เยี่ยมและช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การศึกษาและอาหารแก่โรงเรียนในพื้นที่ในโครงการ USA Harvest

ในเดือนสิงหาคม 2005 เธอต้องไปทำฟันใหม่ หลังจากที่โดนไมค์โครโฟนกระแทกในระหว่างแสดงคอนเสิร์ต เธอกล่าวว่า "ฟันของฉันไม่ค่อยแข็งแรงนัก และมันปิ่นไปหลังจากที่โดนไมค์โครโฟนกระแทกอย่างจัง ฉันจึงต้องไปถอนฟันออก 2 ซี่ เพื่อทำใหม่" ซึ่งตอนนี้เธอจึงไปทำฟันทั้งใหม่ ให้มีขนาดและรูปร่างที่สม่ำเสมอกันเหมือนกับฟันจริงๆของเธอ ในปี 2006 ครอบครัวของเธอ ถึงจุดแตกหักหลังจากที่พ่อและแม่ของเธอแต่งงานอยู่ด้วยกันมานานกว่า 22 ปีต้องสิ้นสุดลง โดยเธอบอกว่าเธอเสียใจมาก ที่รู้ว่าพ่อมีผู้หญิงคนอื่น เรื่องราวนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจในเพลงของเธอ 2 เพลง คือ Stranger และ Gypsy Woman

ในเดือนตุลาคม 2006 เธอต้องไปขออำนาจศาลคุ้มครองตัวเธอ จากแฟนโรคจิตชาวรัสเชีย แม็กซิม มีอาโคฟสกี ที่เดินทางไกลเพื่อที่จะมาใกล้ชิดและติดตามเธอไปทุกๆที่ นอกจากนั้นทางเจ้าหน้าที่สืบสวนยังพบเจอแผนฆาตกรรมของเขา ที่จะลงมือฆ่าเธอ พร้อมๆกับคนที่ขัดขวางเขาไม่ให้ใกล้เธอทั้งหมด โดยเขายังเคยวางแผงที่จะซื้ออาวุธมาทำร้ายตัวเอง หวังที่จะเรียกร้องความสนใจอย่างตัวเธอด้วย ทางเจ้าหน้าที่จึงจับกุมตัวไว้ พร้อมกับตั้งวงเงินประกันตัวสูงถึง 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ่

ในปี 2005 เธอมีรายได้ทั้งหมดกว่า 15 ล้านเหรียญ แล้วในเดือนธันวาคม 2007 นิตยสาร Forbes จัดอันดับคนดังที่อายุไม่เกิน 25 ปีที่มีรายได้มากที่สุด 20 คน เธอติดอยู่ในอันดับที่ 7 ของการจัดอันดับครั้งนี้ โดยมีรายได้กว่า 12 ล้านเหรียญในปีนั้น

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 ไมค์ คอมรี แฟนหนุ่มที่คบหากันเกือบ 3 ปี ได้ขอหมั้นเธอแบบเซอร์ไพร์สที่โรงแรมหรูบนเกาะฮาวาย สร้างความแปลกใจกับตัวเธอ รวมทั้งครอบครัวที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย[32]

14 สิงหาคม 2010 เธอกับแฟนหนุ่ม ไมค์ คอมรี ได้เข้าวิวาห์กันอย่างเป็นส่วนตัวที่แมนชั่นส่วนตัวใน ซานต้า บาบาร่า, แคลิฟอร์เนีย โดยภายในงานวิวาห์ถูกจัดขึ้นอย่างเป็นส่วนตัว มีการเชื้อเชิญแขกที่เป็นเฉพาะเพื่อนและเครือญาติจำนวน 100 คนเท่านั้น เธอเข้าพิธีวิวาห์พร้อมกับชุดแต่งงานของนักออกแบบชื่อดังอย่าง วีร่า แวง โดยหลังจากการแต่งงาน ทั้งคู่ก็เดินทางไปฮันนีมูนเป็นการส่วนตัวเลยในทันที[33]

14 สิงหาคม 2011 เธอได้ฉลองครบรอบแต่งงาน 1 ปีเต็ม กับแฟนหนุ่ม ไมค์ คอมรี พร้อมกับประกาศข้อความผ่านทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเธอว่า ขณะนี้ได้ตั้งครรภ์ลูกคนแรกแล้ว [34]

20 มีนาคม 2012 เธอได้ให้กำเนิดลูกชายคนแรกกับสามี ไมค์ คอมรี ซึ่งมีชื่อว่า ลูกา ครูซ คอมรี[35]

10 มกราคม 2014 เธอได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ ชี้แจงเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสามี ไมค์ คอมรี ที่เดินทางมาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจและแยกทางกัน โดยเขียนข้อความเอาไว้ว่า

ตอนนี้ฉันกับไมค์เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ เรารู้สึกปลาบปลื้มยินดีกับความปรารถนาดีและกำลังใจที่ทุกคนให้มาตลอด วันนี้ไม่ใช่วันที่ง่ายเลย แต่เราจะผ่านมันไปให้ได้ด้วยกัน - @hilaryduff

ภายหลังจากข้อความดังกล่าว สื่อบันเทิงทั่วโลกได้นำเสนอข่าวว่า เธอกับสามีได้แยกทางกันอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากใช้ชีวิตแต่งงานร่วมกัน 3 ปี เป็นการหย่าร้างและจบชีวิตคู่กันด้วยดี ยังคงเป็นเพื่อนและพ่อแม่ที่ดีของลูกชายต่อไป อย่างไรก็ตาม การหย่าร้างของทั้งคู่ สร้างความประหลาดใจแก่ทุกคน เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีสัญญาณใดๆ บ่งบอกว่าทั้งคู่กำลังมีปัญหาชีวิตสมรส[36]

ในช่วงต้นปี 2017 เธอได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับนักร้อง-นักแต่งเพลง แมทธิว โคมา โดยทั้งคู่รู้จักจากการร่วมงานกันในอัลบั้มเพลงชุดที่แล้วของเธอ[37] ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2018 ทั้งคู่ได้ประกาศว่ากำลังจะมีลูกด้วย และเธอให้กำเนิดลูกสาว ที่มีชื่อว่า แบงก์ส ไวโอเลต แบลร์ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ในเวลาต่อมา ทั้งคู่ได้เข้าพิธีสมรสกันอย่างเรียบง่าย ในวันที่ 21 ธันวาคม 2019 และในเดือนตุลาคม 2020 เธอได้ประกาศตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3[38]

ผลงานการแสดง[แก้]

ภาพยนตร์[แก้]

ปี ชื่อเรื่อง (ชื่อภาษาไทย) บทบาท *หมายเหตุ (กำหนดฉายอเมริกา/ไทย)
1997 True Women N/A ออกจำหน่ายเฉพาะในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
1998 Casper Meets Wendy (แคสเปอร์กับเวนดี้ สองจิ๋วกวนเมือง) เวนดี้ ออกจำหน่ายเฉพาะในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
Playing by Heart N/A
2001 Human Nature (เรียลลิตี้โชว์สยองโลก) ลิซ่า จูท ตอนเด็ก USA: 12/04/2002 (Limited), ไทย: วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
2003 Agent Cody Banks (พยัคฆ์หนุ่ม แหวกรุ่น โคดี้ แบงค์ส) นาตาลี คอนเนอร์ส USA: 14/03/2003, ไทย: วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
The Lizzie McGuire Movie (ลิซซี่ แม็คไกวร์ สาวใสกลายเป็นดาว) ลิซซี่ แม็คไกรว์ / อิซาเบลล่า พาริกิ USA: 02/05/2003, ไทย: วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
Cheaper by the Dozen (ครอบครัวเหมาโหลถูกกว่า) ลอเรน บาเกอร์ USA: 25/12/2003, ไทย: 09/04/2547
2004 A Cinderella Story (นางสาวซินเดอเรลล่า ...มือถือสื่อรักกิ๊ง) แซม มอนท์โกเมรี่ USA: 16/07/2004, ไทย: 21/10/2547
Raise Your Voice (ค้นฟ้าคว้าดาว) เทอรี่ แฟลคเชอร์ USA: 08/10/2004, ไทย: 09/02/2548
In Search of Santa (เพนกวินน้อย พลิกฝัน มหัศจรรย์แซนต้า) เจ้าหญิงคริสตัล ออกจำหน่ายเฉพาะในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
2005 The Perfect Man (อลเวงสาวมั่น ปั้นยอดชายให้แม่) ฮอลลี่ แฮมมิลตัน USA: 17/06/2005, ไทย: วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
Cheaper by the Dozen 2 (ครอบครัวเหมาโหลถูกกว่า 2) ลอเรน บาเกอร์ USA: 21/12/2005, ไทย: 09/03/2549
2006 Material Girls (คุณหนูไฮโซ ขอเริ่ด ไม่ขอร่วง) แทนซี่ มาร์เชทต้า USA: 18/08/2006, ไทย: 04/12/2549
2008 War, Inc. โยนิก้า เบบีเยห์ USA: 23/05/2008 (Limited)
2009 What Goes Up aka Safety Glass ลูซี่ USA: 29/05/2009 (Limited)
Greta aka. According to Greta กรีต้า USA: 11/12/2009 (Limited)
2011 Bloodworth (หัวใจบรรเลง บทเพลงชีวิต) ราเวนน์ ลี ฮัลแฟคช์ USA: 20/05/2011 (Limited), ไทย: วางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดี,ดีวีดี
Stay Cool แชสต้า โอ'นีล USA: 16/09/2011 (Limited), Worldwide: September 2010 (DVD)
2012 She Wants Me คิม พาวเวอร์ส USA: 25/09/2012 (Straight to DVD)
Foodfight! ซันซายน์ กู๊ดเนสส์ (เสียงพากย์) USA: 29/10/2012 (Straight to DVD)
2013 Wings วินดี้ (เสียงพากย์-ภาษาอังกฤษ) Russia: 09/08/2013, USA: August 2013 (Straight to DVD)
2014 Wings: Sky Force Heroes วินดี้ (เสียงพากย์-ภาษาอังกฤษ) USA: 08/07/2014 (Straight to DVD)
2015 Flock of Dudes อะแมนดา USA: 13/06/2015 (ร่วมฉายในเทศกาลหนังเมืองลอสแอนเจลิส 2015)
2019 The Haunting of Sharon Tate แชรอน เทท USA: 05/04/2019 (Straight to DVD)

โทรทัศน์[แก้]

ปี ชื่อเรื่อง บทบาท *หมายเหตุ
1999 The Soul Collector เอลลี่ สร้างขึ้นเพื่อฉายทางโทรทัศน์
2000 Chicago Hope เจสซี่ เซลดอน 1 ตอน: Cold Hearts
Daddio N/A แสดงในบทบาทสมทบเล็กๆ
2001-2004 Lizzie McGuire ลิซซี่ แม็คไกรว์ แสดงบทนำ
2002 Cadet Kelly เคลลี่ โคลินส์ สร้างขึ้นเพื่อฉายทางโทรทัศน์ทางช่อง Disney Channel
2003/2005 George Lopez สเตฟานี/เคนซี่ 2 ตอน: Team Leader/George's Grand Slam
2003 American Dreams แชงกรี-ลาส 1 ตอน: Change a Comin
2004 Frasier บริตนีย์ 1 ตอน: Frasier-Lite
2005 Joan of Arcadia ดีแลน ซามัวร์ 1 ตอน: The Rise & Fall of Joan Girardi
2006 Rebelde ตัวเธอเอง 1 ตอน
2007 The Andy Milonakis Show ตัวเธอเอง สารคดี
Hilary Duff: This Is Now ตัวเธอเอง สารคดีชีวประวัติของเธอทางช่อง VH1
2009 Ghost Whisperer เมแกน เจฟฟรี่ย์ส 1 ตอน: Thrilled to Death
Law & Order: SVU แอชลีย์ วอล์คเกอร์ 1 ตอน: Selfish
Gossip Girl โอลิเวีย บรู้ก 6 ตอน (ฤดูกาลที่ 3): Dan de Fleurette, Enough About Eve, How to Succeed in Bassness, The Grandfather: Part II, They Shoot Humphreys, Don't They?, The Last Days of Disco Stick
2010 Beauty & the Briefcase เลน แดเนียล ออกอากาศทางช่อง ABC วันที่ 18 เมษายน 2010 (08.00-10.00 PM ET/PT)
Community เมแกนห์ 1 ตอน (ฤดูกาลที่ 2): Aerodynamics of Gender
2013 Raising Hope ราเชลล์ 1 ตอน (ฤดูกาลที่ 3): The Old Girl
Two and A Half Men สเตซีย์ 1 ตอน (ฤดูกาลที่ 10): Cows, Prepare to Be Tipped
2015 - 2021 Younger เคลซีย์ พีเตอร์ส แสดงบทสมบทหลัก
2022 How I Met Your Father โซฟี แสดงบนนำ

ตารางบ็อกซ์ออฟฟิศ[แก้]

วัน/เดือน/ปี ชื่อเรื่อง ผู้จัดจำหน่าย รายได้เปิดตัวในอเมริกา (ดอลลาร์สหรัฐ) รายได้รวมในอเมริกา (ดอลลาร์สหรัฐ) รายได้จากต่างประเทศ (ดอลลาร์สหรัฐ) รายได้เฉพาะในประเทศไทย (บาท)
12/04/02 Human Nature FineLine $297,340 $705,308
14/03/03 Agent Cody Banks MGM $14,064,317 $47,938,330 $10,857,484
02/05/03 The Lizzie McGuire Movie Buena Vista $17,338,755 $42,734,455 $12,800,000
25/12/03 Cheaper by the Dozen Fox $27,557,647 $138,614,544 $51,597,569 ฿10,000,000
16/07/04 A Cinderella Story Warner Bros. $13,623,350 $51,438,175 $18,629,734 ฿9,500,000
08/10/04 Raise Your Voice New Line Cinema $4,022,693 $10,411,980 $4,455,534 ฿1,600,000
17/06/05 The Perfect Man Universal $5,300,980 $16,535,005 $3,235,470
21/12/05 Cheaper by the Dozen 2 Fox $9,309,387 $82,571,173 $46,610,657 ฿3,600,000
18/08/06 Material Girls MGM $4,603,121 $11,449,638 $5,458,087 ฿1,800,000
23/05/08 War, Inc. FirstLook $35,336 $580,862 $715,322
29/05/09 What Goes Up 3 Kings Production $5,290 $5,290
11/12/09 Greta Anchor Bay Entertainment $124 $124
20/05/11 Bloodworth Samuel Goldwyn $9,612 $12,971
16/09/11 Stay Cool Initiate Productions

ผลงานเพลง[แก้]

อัลบั้มเพลง[แก้]

ปี ชื่ออัลบั้ม ยอดขาย (ในอเมริกา) สังกัด อเมริกา / ไทย
2002 Santa Claus Lane 200,000+ Walt Disney / Sony Music Thailand
2003 Metamorphosis 3,900,000+ Walt Disney / Sony Music Thailand
2004 Hilary Duff 2,000,000+ Hollywood Records / Sony Music Thailand
2005 Most Wanted 1,500,000+ Hollywood Records / Sony Music Thailand
2006 4Ever (Italy Only) 100,000+ Virgin / -
2007 Dignity 420,000+ Hollywood Records / EMI Thailand
2008 Best of Hilary Duff 23,000+ Hollywood Records / Universal Music Thailand
2015 Breathe In. Breathe Out. 35,000+ RCA Records / Sony Music Thailand

ดีวีดี[แก้]

  • 2003: All Access Pass
  • 2004: The Girl Can Rock
  • 2004: Learning to Fly
  • 2006: 4Ever
  • 2007: Dignity (Deluxe Edition)

มิวสิกทัวร์[แก้]

  • 2003: Metamorphosis Tour
  • 2004: Most Wanted Tour
  • 2005-2006: Still Most Wanted Tour
  • 2007-2008: Dignity World Tour

รางวัล[แก้]

ปี รางวัล สถาบันที่มอบรางวัล
2000 รางวัลนักแสดงสมทบเด็กยอดเยี่ยม ประเภทการแสดงภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ (The Soul Collector) Young Artist Awards
2003 รางวัลศิลปินวัยรุ่นแห่งปี Rolling Stone
2004 รางวัลนักแสดงกลุ่มเด็กในภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Cheaper By the Dozen) Young Artist Awards
รางวัลนักร้องหญิงยอดนิยม Kids' Choice Awards

อ้างอิง[แก้]

  1. "Hilary Duff returns With Love and Dignity!". Access All Areas. 2007-02-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-27. สืบค้นเมื่อ 2008-01-14.
  2. "RIAA Database search". RIAA.com. 2008-01-08.
  3. 3.0 3.1 "Hilary Duff Biography". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-21. สืบค้นเมื่อ 2007-11-09.
  4. Huff, Richard (2002-12-01). "A very busy Miss 'Lizzie'". NY daily news. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-02-09. สืบค้นเมื่อ 2008-01-16.
  5. Nathan Rabin (2002-04-23). "Casper meets Wendy". AVClub.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-06. สืบค้นเมื่อ 2007-11-23.
  6. "Casper meets Wendy Review". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-23. สืบค้นเมื่อ 2007-11-23.
  7. "21st Annual Awards". Young Artist Awards. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-19. สืบค้นเมื่อ 2007-12-30.
  8. Heather Phares. "Hilary Duff biography on Yahoo! Music". Yahoo ! Music. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-17. สืบค้นเมื่อ 2007-11-24.
  9. Michael Ausiello. "Hilary Duff joins 'Gossip Girl'". EW.Com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-07-04. สืบค้นเมื่อ 2009-07-01.
  10. "Hilary Duff Returns To TV In New Series, 'Younger'". Huffington Post. สืบค้นเมื่อ 2014-01-15.
  11. "Sutton Foster, Hilary Duff to star in TV Land comedy from Darren Star". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-06-18. สืบค้นเมื่อ 2014-04-14.
  12. "Hilary Duff Asks Disney to Move 'Lizzie McGuire' Revival to Hulu". Variety. สืบค้นเมื่อ 2020-02-28.
  13. "'Lizzie McGuire' Revival Not Moving Forward at Disney Plus". Variety. สืบค้นเมื่อ 2020-12-16.
  14. "'How I Met Your Father': Hulu Hands 'How I Met Your Mother' Spinoff Straight-To-Series Order With Hilary Duff To Star, Isaac Aptaker & Elizabeth Berger To Run". Deadline. สืบค้นเมื่อ 2021-04-22.
  15. "Hilary Duff Is 'Barely Legal' at NBC". Zap2It. 2009-01-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-14. สืบค้นเมื่อ 2009-01-19.
  16. "Hilary Duff to Guest on Ghost Whisperer". CBS. 2009-01-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-01. สืบค้นเมื่อ 2009-01-28.
  17. "Hilary Duff on Law & Order:SVU". CBS. 2009-03-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-03-23. สืบค้นเมื่อ 2009-03-22.
  18. "Community Sneak Peek: Getting Mean..." NBC. 2010-10-30. สืบค้นเมื่อ 2010-10-31.
  19. "Hilary Duff Signs Talent/Development Deal With 20th Century Fox TV". Deadline. 2012-08-13. สืบค้นเมื่อ 2012-08-14.
  20. "Casting Scoop: Hilary Duff Guest Stars on Raising Hope as Jimmy's Ex-Girlfriend". E! Online UK. 2013-01-23. สืบค้นเมื่อ 2013-01-24.
  21. "Hilary Duff On 'Two And A Half Men': 'Lizzie McGuire' Star To Play Ashton Kuther's Love Interest". Huffingtonpost. 2013-04-02. สืบค้นเมื่อ 2013-04-03.
  22. "Hilary Duff in 'Business' for new telepic". TheHollywoodReport By Nellie Andreeva. 2009-08-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-12. สืบค้นเมื่อ 2009-08-11.
  23. "Kristofferson a writer first". CinemaBlend. 2009-04-16. สืบค้นเมื่อ 2009-04-17.[ลิงก์เสีย]
  24. "Hilary Duff And Toby Keith Get Southern-Fried". CinemaBlend. 2009-02-15. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-19. สืบค้นเมื่อ 2009-03-01.
  25. "Hilary Duff joins 'She Wants Me'". Variety. 2010-10-26. สืบค้นเมื่อ 2009-10-27.
  26. "Hilary Duff Filming New Movie Flock Of Dudes". ATRL. 2013-07-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-10. สืบค้นเมื่อ 2013-07-04.
  27. Jane Stevenson (2013-12-04). "Hilary Duff preparing for pop comeback". Toronto Sun. สืบค้นเมื่อ 2013-12-04.
  28. Emilee Lindner (2014-05-02). "You Might Want To Sit Down: Hilary Duff Is Recording An Ed Sheeran Song". MTV. สืบค้นเมื่อ 2014-05-03.
  29. Jason Scott (2014-07-18). "Hilary Duff's New Single Is Coming Sooner Than It Seems". PopDust. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-15. สืบค้นเมื่อ 2014-07-19.
  30. "Pre-order Chasing the Sun by Hilary Duff". iTunes. 2014-07-23. สืบค้นเมื่อ 2014-07-23.
  31. Keith Staskiewicz (2010-03-09). "Hilary Duff to write a YA Series". Entertainment Weekly.Com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-05-12. สืบค้นเมื่อ 2010-03-09.
  32. "Hilary Duff's $1 Million Engagement Ring". The Insider. 2010-08-14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-08-19. สืบค้นเมื่อ 2010-08-16.
  33. "Hilary Duff and Mike Comrie: Engaged!". BauerGriffinOnline. 2010-02-19. สืบค้นเมื่อ 2010-02-19.
  34. Brandi Fowler (2011-08-14). "Hilary Duff Is Going to Be a Mom!". E! Online. สืบค้นเมื่อ 2011-08-14.
  35. "Welcome to the World Luca Cruz Comrie". Hilary Duff. 2012-03-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-26. สืบค้นเมื่อ 2012-03-23.
  36. "Hilary Duff Splits From Husband Mike Comrie: Duo Amicably "Remain Best Friends"". E! Online. 2014-01-10. สืบค้นเมื่อ 2014-01-10.
  37. "Hilary Duff Shares Heartfelt Tribute to Her 'Lover' Matthew Koma". Us Weekly (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-05-07. สืบค้นเมื่อ 2020-05-08.
  38. "Hilary Duff and Matthew Koma are expecting their second baby: 'We are growing!'". Yahoo.com. สืบค้นเมื่อ 2020-10-26.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]