ข้ามไปเนื้อหา

รัฐสุลต่านแซนซิบาร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รัฐสุลต่านแซนซิบาร์

1856–1964
ธงชาติแซนซิบาร์
ธงชาติ
(1963–1964)
ตราแผ่นดินของแซนซิบาร์
ตราแผ่นดิน
สีชมพู คือ รัฐสุลต่านแซนซิบาร์
สีชมพู คือ รัฐสุลต่านแซนซิบาร์
สถานะ
เมืองหลวงสโตนทาวน์
ภาษาทั่วไป
ศาสนา
อิสลาม[1]
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
(1856–1963)
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
(1963–1964)
สุลต่าน 
• 1856–1870
มาญิด บิน ซะอิด (พระองค์แรก)
• 1963–1964
ญัมชิด บิน อิบดุลลอฮ์ อัล ซะอิด (พระองค์สุดท้าย)
มุขมนตรี 
• 1961
เจฟฟรีน์ ลอว์เรนซ์
• 1961–1964
มุฮัมหมัด ฮามาดี
ประวัติศาสตร์ 
• การแยกจักรวรรดิโอมาน
19 ตุลาคม 1856
• สนธิสัญญาเฮลิโกแลนด์-แซนซิบาร์
1 กรกฎาคม 1890
27 สิงหาคม 1896
• การปฏิวัติแซนซิบาร์
12 มกราคม 1964
ประชากร
• 1964[2]
300,000
สกุลเงินเรียลแซนซิบาร์[3] (1882–1908)
รูปีแซนซิบาร์ (1908–1935)
ชิลลิงแอฟริกาตะวันออก (1935–1964)
รวมถึงรูปีอินเดีย และ มาเรีย เทเรซา ธาลเลอร์ มีหมุนเวียนในระบบด้วย
ก่อนหน้า
ถัดไป
จักรวรรดิโอมาน
สาธารณรัฐประชาชนแซนซิบาร์
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ

รัฐสุลต่านแซนซิบาร์ ( สวาฮีลี: Usultani wa Zanzibar , อาหรับ: سلطنة زنجبار, อักษรโรมัน: Sulṭanat Zanjībār) [1] เป็นรัฐมุสลิมในแอฟริกาตะวันออกที่ปกครองโดยสุลต่านแห่งแซนซิบาร์ ระหว่าง ค.ศ. 1856 - 1964 [4] ดินแดนของรัฐสุลต่านนีเมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดยุคสมัย และในที่สุด รัฐสุลต่านนี้มีอำนาจอธิปไตยอยู่เหนือเพียง หมู่เกาะแซนซิบาร์ และพื้นที่แนวชายฝั่งของเคนยา 16 กม. ในขณะที่พื้นที่ภายในประเทศเคนยาในตอนนั้นเป็น อาณานิคมของสหราชอาณาจักร พื้นที่แถบชายฝั่งเลนถูกบริหารราชการแผ่นดินเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของอาณานิคมนั้นโดย พฤตินัย

ภายใต้ข้อตกลงที่บรรลุเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 1963 สุลต่านแห่งแซนซิบาร์ทรงสละอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ และในวันที่ 12 ธันวาคม ปีเดียวกัน เคนยาก็ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 มกราคม ปีถัดมา ญัมชิด บิน อับดุลลออฮ์ สุลต่านพระองค์สุดท้าย ทรงถูกปลดออกจากอำนาจและสูญเสียอำนาจอธิปไตยเหนือแซนซิบาร์ ซึ่งเป็นดินแดนสุดท้าย อันเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของรัฐสุลต่าน

เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1964 เกิดการปฏิวัติขึ้นในรัฐสุลต่านแซนซิบาร์ นำโดยพรรคแอฟริกันแอฟโฟร-ชีราซี เพื่อโค่นล้มรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่อยู่เป็นกลุ่มอาหรับ นำโดยกลุ่มคนผิวสีซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในรัฐสุลต่าน การปฏิวัติเป็นไปอย่างโหดร้ายทารุณ มีผู้บาดเจ็บล้มตายประมาณ 2,000-20,000 คน พรรคดังกล่าวได้ใช้วิธีการอันโหดร้ายทารุณกรรมอย่างยิ่ง เช่น การสังหาร การสังหาร และบางครั้งถึงขั้นข่มขืนชาวอาหรับ

ประวัติศาสตร์

[แก้]

การก่อตั้ง

[แก้]

ตามที่นักสำรวจในศตวรรษที่ 16 นามว่า เลโอ อาฟริกานุซ กล่าวไว้ว่า แซนซิบาร์ (Zanguebar) เป็นคำที่ชาวอาหรับและเปอร์เซียใช้เรียกชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาที่ทอดยาวจากเคนยาไปจนถึงโมซัมบิก ซึ่งปกครองโดยอาณาจักรมุสลิมกึ่งอิสระ 5 อาณาจักร ได้แก่ มอมบาซา มาลินดี กิลวา โมซัมบิก และ โซฟาลา นอกจากนี้ อาฟริกานุซ ยังสังเกตอีกว่าทุกรัฐมีข้อตกลงสวามิภักดิ์ต่อรัฐสำคัญๆ ในแอฟริกากลาง รวมถึง ราชอาณาจักรมูตาปา ด้วย [5] [6]

ในปี ค.ศ. 1698 แซนซิบาร์กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนโพ้นทะเลของโอมาน หลังจากที่ ซะอิฟ บิน ซุลตัน อิหม่ามของโอมาน เอาชนะโปรตุเกสใน มอมบาซา ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศเคนยา ในปีค.ศ. 1832 [7] หรือ 1840 [8] ผู้ปกครองโอมาน ซะอิด บิน ซุลตัน ทรงย้ายราชสำนักของเขาจากกรุงมัสกัตมายังสโตนทาวน์ บนเกาะอุนกุจา (เกาะแซนซิบาร์) พระองค์ได้ทรงสถาปนากลุ่มชนชั้นนำอาหรับและทรงสนับสนุนให้มีการปลูกต้น กานพลู โดยใช้แรงงานทาสบนเกาะ [9] ต่อมมการค้าของแซนซิบาร์ตกอยู่ในมือของพ่อค้าจากอนุทวีปอินเดีย มากขึ้น ซึ่งซะอิดทรงสนับสนุนให้พ่อค้าเหล่านี้มาตั้งถิ่นฐานบนเกาะ หลังจากที่พระองค์สรรคตในปีค.ศ. 1856 พระราชโอรสทั้งสอง คือ มาญิด บิน ซะอิด และ ทูไวนี บิน ซะอิด ได้ต่อสู้กันเพื่อชิงราชบัลลังก์ ดังนั้น แซนซิบาร์และโอมานจึงถูกแบ่งออกเป็นสอง อาณาจักร ที่แยกจากกัน Thuwaini กลายเป็นสุลต่านแห่ง มัสกัตและโอมาน ในขณะที่ Majid กลายเป็น สุลต่านองค์แรกของแซนซิบาร์ แต่จำเป็นต้องจ่ายบรรณาการประจำปีให้กับราชสำนักโอมานในมัสกัต [10] [11] ระหว่างการครองราชย์เป็นสุลต่านนาน 14 ปี พระองค์ได้ทรงรวบรวมอำนาจของพระองค์ให้มั่นคงโดยเกี่ยวข้องกับ การค้าทาสในท้องถิ่น ภายใต้แรงกดดันจากอังกฤษ ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขา บาร์กาช บิน ซาอิด ได้ช่วยยกเลิก การค้าทาสในแซนซิบาร์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นส่วนใหญ่ [12] สุลต่านคนที่สาม คาลิฟา บิน ซาอิด ยังทรงผลักดันความก้าวหน้าของประเทศในการยกเลิกทาสอีกด้วย [13]

  1. 1.0 1.1 Gascoigne, Bamber (2001). "History of Zanzibar". HistoryWorld. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  2. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ speller4
  3. "Coins of Zanzibar". Numista. สืบค้นเมื่อ 2012-05-23.
  4. Ndzovu, Hassan J. (2014). "Historical Evolution of Muslim Politics in Kenya from the 1840s to 1963". Muslims in Kenyan Politics: Political Involvement, Marginalization, and Minority Status. Northwestern University Press. pp. 17–50. ISBN 9780810130029. JSTOR j.ctt22727nc.7.
  5. Africanus, Leo (1526). The History and Description of Africa. Hakluyt Society. pp. 51–54. สืบค้นเมื่อ 11 July 2017.
  6. Ogot, Bethwell A. (1974). Zamani: A Survey of East African History. East African Publishing House. p. 104.
  7. Ingrams 1967, p. 162
  8. Appiah & Gates 1999, p. 2045
  9. Ingrams 1967, p. 163
  10. "Background Note: Oman". U.S. Department of State - Diplomacy in Action.
  11. Ingrams 1967, pp. 163–164
  12. Michler 2007, p. 37
  13. Ingrams 1967, p. 172