มามี ไอเซนฮาวร์
มามี ไอเซนฮาวร์ | |
|---|---|
ภาพถ่ายทางการ ป. ค.ศ. 1954 | |
| สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา | |
| ครองตำแหน่ง 20 มกราคม ค.ศ. 1953 – 20 มกราคม ค.ศ. 1961 | |
| ประธานาธิบดี | ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ |
| ก่อนหน้า | เบสส์ ทรูแมน |
| ถัดไป | แจกเกอลีน เคนเนดี |
| ข้อมูลส่วนบุคคล | |
| เกิด | พฤศจิกายน 14, 1896 เมืองบูน รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐ |
| เสียชีวิต | 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979 (82 ปี) วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐ |
| ที่ไว้ศพ | Dwight D. Eisenhower Presidential Library, Museum and Boyhood Home |
| พรรคการเมือง | ริพับลิกัน |
| คู่สมรส | ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (สมรส 1916; เสียชีวิต 1969) |
| บุตร |
|
| ลายมือชื่อ | |
แมรี เจนีวา "มามี" ไอเซนฮาวร์ (อังกฤษ: Mary Geneva "Mamie" Eisenhower, สกุลเดิม: เดาด์ (Doud); 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1896 – 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979) เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริการะหว่าง ค.ศ. 1953–1961 ในฐานะภริยาของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ เธอเกิดที่เมืองบูน รัฐไอโอวา และเติบโตในครอบครัวที่ร่ำรวยในรัฐโคโลราโด เธอแต่งงานกับไอเซนฮาวร์ใน ค.ศ. 1916 ซึ่งขณะนั้นเป็นร้อยโทในกองทัพบกสหรัฐ เธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและเจ้าบ้านต้อนรับแขกที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารอื่น ๆ เมื่อไอเซนเฮาวร์ประจำการอยู่ในสหรัฐอเมริกา ปานามา ฟิลิปปินส์ และฝรั่งเศส ชีวิตแต่งงานของเธอไม่ง่ายเนื่องจากสามีไม่อยู่บ้านเป็นประจำและบุตรชายคนแรกเสียชีวิตเมื่ออายุ 3 ขวบ เธอกลายเป็นบุคคลสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะภรรยาของนายพลไอเซนฮาวร์
ในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ไอเซนฮาวร์ได้รับอำนาจควบคุมค่าใช้จ่ายและตารางการทำงานของทำเนียบขาวเกือบทั้งหมด เธอบริหารจัดการเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด และเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความประหยัดของเธอในงบประมาณของทำเนียบขาวตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง เธอได้ต้อนรับประมุขแห่งรัฐต่างชาติมากมายในฐานะเจ้าภาพ เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองและไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการอภิปรายทางการเมือง แต่เธอก็สนับสนุนสวัสดิการทหารและสิทธิพลเมือง เธอมีปัญหาการทรงตัวเนื่องจากโรคเมนิแยร์ ก่อให้เกิดข่าวลือเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรัง เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ได้รับความนิยม และได้รับการยอมรับในฐานะไอคอนแฟชั่น โดยเป็นที่รู้จักจากทรงผมหน้าม้าอันเป็นเอกลักษณ์และการใช้สีชมพูบ่อยครั้ง เธอดำรงชีวิตแต่งงานอยู่ถึง 52 ปี จนกระทั่งดไวต์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1969 เธอใช้ชีวิตวัยเกษียณในฐานะแม่ม่ายโดยส่วนใหญ่อยู่ที่ฟาร์มของครอบครัวในเมืองเกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะกลับมายังวอชิงตัน ดี.ซี. ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต และเสียชีวิตที่นั่นใน ค.ศ. 1979 ไอเซนฮาวร์เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนสุดท้ายที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]
แมรี เจนีวา "มามี" เดาด์เกิดที่เมืองบูน รัฐไอโอวา โดยเป็นบุตรคนที่สองของจอห์น เชลดอน เดาด์ ผู้บริหารบริษัทฆ่าสัตว์และเตรียมเนื้อสัตว์สำหรับขาย และของเอลิวีรา มาทิลดา คาร์ลสัน[3][4] เธอเติบโตที่เมืองซีดาร์แรพิดส์ (รัฐไอโอวา), เมืองเพวโบล, เมืองโคโลราโดสปริงส์, เมืองเดนเวอร์ (สามเมืองนี้อยู่ในรัฐโคโลราโด) และบ้านพักฤดูหนาวเดาด์ที่เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส[5] แม่ของเธอเป็นลูกสาวของผู้อพยพชาวสวีเดน และมักพูดภาษาสวีเดนในบ้าน[1] พ่อของเธอบริหารบริษัทฆ่าสัตว์และเตรียมเนื้อสัตว์สำหรับขาย Doud & Montgomery ที่ก่อตั้งโดยพ่อของเขา จนกระทั่งเกษียณอายุในวัย 36 ปี นอกจากนี้ เขายังทำการลงทุนในคอกปศุสัตว์ชั่วคราวในรัฐอิลลินอยและรัฐไอโอวา ทำให้ก่อร่างสร้างทรัพย์สมบัติไว้ได้มาก[6] ความมั่งคั่งของเขาทำให้ครอบครัวมีความสะดวกสบายมาก รวมทั้งคนรับใช้ที่คอยดูแลความต้องการของพวกเขาและการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมชั้นสูง[7]
มามีมีพี่น้อง 3 คน ได้แก่ พี่สาวชื่อเอเลนอร์ คาร์ลสัน เดาด์ (Eleanor Carlson Doud) และน้องสาวสองคนชื่ออีดา เม เดาต์ และมาเบล ฟรานซิส "ไมค์" เดาต์[4] ครอบครัวต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมในช่วงต้นชีวิตของมามีเมื่อเอเลนอร์เสียชีวิตตอนอายุ 17 ปี[8] พ่อแม่ของพวกเธอทำงานโดยแบ่งแยกหน้าที่อย่างเคร่งครัด พ่อเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องครอบครัวและธุรกิจ ส่วนแม่เป็นผู้บริหารจัดการบ้าน เนื่องจากมามีมีคนรับใช้คอยดูแลความต้องการ จึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะดูแลบ้าน ซึ่งเป็นทักษะที่เธอต้องเรียนรู้จากสามี[2][9] เธอป่วยเป็นไข้รูมาติกรุนแรงเมื่อยังเป็นเด็ก ส่งผลให้ต้องกังวลเรื่องสุขภาพตลอดชีวิต[10] แม้ว่าการศึกษาของเธอจะจำกัด แต่พ่อก็สอนให้เธอรู้จักบริหารเงิน[11] ครอบครัวของเธอเดินทางบ่อยครั้ง และเมื่อเธอโตขึ้น ก็ได้ส่งให้ไปเรียนที่ Wolcott School for Girls จนจบ[1]
สมรสและครอบครัว
[แก้]สมรส
[แก้]
เดาด์มีชายหนุ่มมาจีบหลายคน แต่เธอเริ่มสนใจร้อยตรีดไวต์ ดี. "ไอก์" ไอเซนฮาวร์ใน ค.ศ. 1915 ทั้งสองได้รับการแนะนำตัวในขณะที่ครอบครัวเดาต์กำลังไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งที่ค่ายทหารฟอร์ตแซมฮิวสตัน[1] เขาแหกกฎด้วยการชวนเธอไปเยี่ยมชมค่ายทหารพร้อมกับเขาระหว่างที่เขาเดินตรวจตรา เธอหลงใหลเขาทันที แต่ปฏิเสธเมื่อเขาขอออกเดท เขาจีบเธอต่ออีกเดือนก่อนที่จะเริ่มออกเดทกันแบบไม่มีคนอื่น และทั้งคู่ก็หมั้นกันในวันวาเลนไทน์ ค.ศ. 1916 ในตอนแรกไอก์ให้แหวนรุ่น รร.นายทหารเวสต์พอยต์ขนาดเล็กแก่เธอตามธรรมเนียม[12] ต่อมาเขาก็ให้แหวนขนาดเท่าตัวจริงตามคำขอของเธอ และขออนุญาตแต่งงานอย่างเป็นทางการในวันนักบุญแพทริก มามีฉลองทั้งวันวาเลนไทน์และวันนักบุญแพทริกเป็นวันครบรอบการหมั้นหมาย[13]
พ่อของมามีตกลงให้แต่งงานโดยมีเงื่อนไขว่าไอเซนฮาวร์จะต้องไม่เข้ารับราชการเป็นทหารอากาศฝ่ายกองทัพบก เพราะเขาคิดว่ามันอันตรายเกินไป[1] ความกังวลเกี่ยวกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของประเทศสหรัฐเร่งให้ทั้งสองแต่งงานกันเร็วขึ้น โดยทำพิธีที่บ้านของครอบครัวเดาด์ในเมืองเดนเวอร์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1916 ทั้งสองไปฮันนีมูนและไปเยี่ยมพ่อแม่ของไอก์ที่เมืองแอบิลีน รัฐแคนซัส ก่อนจะกลับไปที่ฟอร์ตแซมฮิวสตันที่ไอก์ประจำการอยู่[7] มามียังได้พบกับมิลตัน เอส. ไอเซนฮาวร์ น้องชายของไอก์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของมามี[14]
ภรรยาทหารกองทัพบก
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ
[แก้]เจ้าบ้านหญิงทำเนียบขาว
[แก้]
ไอเซนฮาวร์ได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในช่วงที่ตำแหน่งนี้เริ่มสร้างภาพลักษณ์ต่อสาธารณชนในระดับประเทศ[10] เธอวิจารณ์ความสนใจที่ให้แก่ตำแหน่งนี้ โดยยืนกรานว่าสามีของเธอต่างหากเป็นบุคคลสาธารณะของครอบครัว และโดยทั่วไปปฏิเสธที่จะรับหน้าที่นอกทำเนียบขาว[7] เธอพยายามอยู่ห่างจากสื่อมวลชน หลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ และให้แมรี เจน แมคคาฟฟรี เลขานุการของเธอ พูดคุยกับนักข่าวแทนเธอ[15] เธอยังปฏิเสธคำขอเขียนคอลัมน์ให้กับหนังสือพิมพ์ New York Herald Tribune และจัดงานแถลงข่าวเพียงครั้งเดียวในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง[2] เธอให้ความเป็นมิตรกับนักข่าวเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยยืนกรานว่าต้องเรียกเธอว่า มามี ความสองจิตสองใจของเธอที่มีต่อสื่อมวลชนไม่ได้ขยายไปถึงช่างภาพ ซึ่งเธอยินดีให้ความร่วมมือ[16] เธอยังเขียนตอบจดหมายทุกฉบับที่ได้รับเป็นการส่วนตัว และบางครั้งก็ส่งต่อปัญหาที่จดหมายนั้นกล่าวถึงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง[11]
บริหารจัดการทำเนียบขาว
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ชีวิตช่วงหลัง
[แก้]
ใน ค.ศ. 1961 ไอเซนฮาวร์เกษียณอายุพร้อมกับอดีตประธานาธิบดีที่เกตตีสเบิร์ก ซึ่งเป็นบ้านถาวรแห่งแรกของสามีภรรยา โดยยังมีบ้านอีกหลังที่เมืองพาล์มเดเซิร์ต รัฐแคลิฟอร์เนียด้วย[17] เมื่อสามีใกล้เสียชีวิต มีการผ่านกฎหมายรับประกันการคุ้มครองจากกรมกิจลับตลอดชีพสำหรับหญิงม่ายของประธานาธิบดี[11] หลังไอก์เสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1969 มามีเดินทางไปประเทศเบลเยียม ซึ่งลูกชายของเธอดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต[18] หลังกลับมายังประเทศสหรัฐ เธอใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มจนกระทั่งต้องย้ายไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจากสุขภาพของเธอแย่ลงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970[19] เธอมักอยู่แต่ในห้องนอนหลังสามีเสียชีวิต โดยมีเจ้าหน้าที่กรมกิจลับคอยช่วยเหลือดูแลเธอ[7]
ไอเซนฮาวร์ยังคงเป็นเพื่อนใกล้ชิดกับครอบครัวนิกสันหลังพ้นตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง โดยต่อมาหลานชายของเธอสมรสกับลูกสาวของนิกสันใน ค.ศ. 1968 เธอปรากฏตัวในโฆษณาเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งริชาร์ด นิกสันอีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1972 และครอบครัวนิกสันก็เชิญมามีไปที่ทำเนียบขาวเป็นประจำตลอดช่วงเวลาที่นิกสันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[11] ต่อมาเธอแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เธอสนับสนุนสงครามเวียดนาม แม้ว่าจะตระหนักถึงความยากลำบากที่ทหารอเมริกันต้องเผชิญ และต่อต้านการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยสตรี[11] ในที่สุดเมื่อ ค.ศ. 1973 ไอเซนฮาวร์ก็พูดถึงข่าวลือเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรังในการสัมภาษณ์ โดยอธิบายถึงสาเหตุของอาการวิงเวียนศีรษะของเธอ[16] ข่าวลือเกี่ยวความสัมพันธ์นอกสมรสระหว่างไอก์กับเคย์ ซัมเมิร์สบี กลับมาปรากฏอีกครั้งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 แต่มามีก็ยังยืนยันว่าเธอไม่เชื่อข่าวลือเหล่านั้น[20]
เสียชีวิต
[แก้]ไอเซนฮาวร์เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1979 เธอถูกนำตัวส่งศูนย์การแพทย์ทหารบกวอลเตอร์รีดอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามีของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน เมื่อยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในวันที่ 31 ตุลาคม เธอประกาศกับแมรี จีน หลานสาวของเธอว่าจะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น เธอเสียชีวิตขณะหลับเมื่อเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน[21] พิธีรำลึกจัดขึ้นที่โบสถ์น้อยในค่ายทหารฟอร์ตไมเออร์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งครอบครัวนิกสัน, โรซาลีนน์ คาร์เตอร์, เจค็อบ แจวิตส์, วุฒิสมาชิก อาร์เธอร์ เอฟ. เบิร์นส์, ประธานธนาคารกลางสหรัฐ และเจ้าหน้าที่กรมกิจลับที่ดูแลไอเซนฮาวร์[22] เธอฝังไว้อยู่ข้าง ๆ สามีของเธอในเมืองแอบิลีน รัฐแคนซัส บ้านเกิดของเขา[23]
มรดก
[แก้]
บ้านเกิดของไอเซนฮาวร์เปิดให้สาธารณชนเข้าชม โดยมูลนิธิมามี เดาด์ ไอเซนฮาวร์เป็นผู้ดำเนินการ[24] สถานที่ที่ใช้ชื่อของมามี ไอเซนฮาวร์ได้แก่สวนในเมืองเดนเวอร์[25] และหอสมุดเมืองบรูมฟีลด์ที่ชานเมืองของเดนเวอร์[26] เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศสตรีรัฐโคโลราโดใน ค.ศ. 1985[27]
อิทธิพลด้านแฟชั่น
[แก้]ไอเซนฮาวร์มีชื่อเสียงในเรื่องรสนิยมทางแฟชั่น และผู้หญิงจำนวนมากก็เลียนแบบสไตล์ของเธอ[1] สถาบันการแต่งกายนิวยอร์ก (New York Dress Institute) ยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิง 12 คนที่แต่งตัวดีที่สุดในประเทศทุกปีนับตั้งแต่เธอดำรงตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง สไตล์ของเธอเป็นที่รู้จักในชื่อ "Mamie Look" ซึ่งประกอบไปด้วยชุดกระโปรงยาว ถุงมือสีชมพู กำไลข้อมือประดับจี้ ไข่มุก หมวกใบเล็ก กระเป๋าถือ และผมหน้าม้าประบ่า[1][2][28]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 4 5 6 7 Watson, Robert P. (2001). "Mary Geneva "Mamie" Doud Eisenhower". First Ladies of the United States (ภาษาอังกฤษ). Lynne Rienner Publishers. pp. 231–236. doi:10.1515/9781626373532. ISBN 978-1-62637-353-2. S2CID 249333854.
- 1 2 3 4 Rama Maravillas, Anthony (March 14, 2016). "Overrated Pleasures and Underrated Treasures: Mamie Eisenhower, a Bridge between First Lady Archetypes". ใน Sibley, Katherine A. S. (บ.ก.). A Companion to First Ladies (ภาษาอังกฤษ). John Wiley & Sons. pp. 492–502. ISBN 9781118732182.
- ↑ Eisenhower 1996, pp. 6–7.
- 1 2 Tatanka Historical Associates (February 25, 2005). "National Register of Historic Places Registration Form" (PDF). www.coloradohistory-oahp.org. Colorado Historical Society Office of Archeology & Historic Preservation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 16, 2006. สืบค้นเมื่อ February 4, 2009.
- ↑ "Mamie Eisenhower Biography". National First Ladies Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2012. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
- ↑ Eisenhower 1996, pp. 14–15.
- 1 2 3 4 Schneider, Dorothy; Schneider, Carl J. (2010). "Mamie Geneva Doud Eisenhower". First Ladies: A Biographical Dictionary (ภาษาอังกฤษ) (3rd ed.). Facts on File. pp. 261–270. ISBN 978-1-4381-0815-5.
- ↑ Eisenhower 1996, p. 17.
- ↑ Eisenhower 1996, pp. 44–45.
- 1 2 Schwartz Foster, Feather (2011). "Mamie Eisenhower". The First Ladies: From Martha Washington to Mamie Eisenhower. Cumberland House. pp. 151–157.
- 1 2 3 4 5 "First Lady Biography: Mamie Eisenhower". National First Ladies' Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2012. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
- ↑ D'Este 2002, pp. 99–101.
- ↑ Eisenhower 1996, p. 38.
- ↑ D'Este 2002, p. 105.
- ↑ Beasley, Maurine; Belgrade, Paul (January 1, 1986). "Media Coverage of a Silent Partner". American Journalism. 3 (1): 39–49. doi:10.1080/08821127.1986.10731055. ISSN 0882-1127.
- 1 2 Caroli, Betty Boyd (2010). First Ladies: From Martha Washington to Michelle Obama (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press, USA. pp. 215–223. ISBN 978-0-19-539285-2.
- ↑ Historical Society of Palm Desert; Rover, Hal; Kousken, Kim; Romer, Brett (2009). Palm Desert. Charleston, SC: Arcadia Publishing. p. 103. ISBN 978-0-7385-5964-3.
- ↑ Eisenhower 1996, p. 317.
- ↑ "Mamie Doud Eisenhower chronology". Dwight D. Eisenhower Presidential Library and Museum. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
- ↑ Eisenhower 1996, pp. 323–325.
- ↑ "Biography: Mamie Doud Eisenhower". dwightdeisenhower.com. Dwight D. Eisenhower Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 26, 2008. สืบค้นเมื่อ January 9, 2009.
- ↑ Mitchell, Henry (November 6, 1979). "A Farewell to Mamie Eisenhower". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
- ↑ "Mrs. Eisenhower Quietly Buried At General's Memorial in Kansas". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). November 4, 1979. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
- ↑ "Mamie Doud Eisenhower Birthplace to reopen". The Ogden Reporter. June 30, 2021. สืบค้นเมื่อ October 4, 2022.
- ↑ Gabehart, Zachary (December 7, 2021). Mamie D. Eisenhower Park Picnic Shelter (PDF) (Report). Denver City Council.
- ↑ "History | City and County of Broomfield - Official Website". www.broomfield.org. สืบค้นเมื่อ October 4, 2022.
- ↑ "Mamie Doud Eisenhower". Colorado Women's Hall of Fame. สืบค้นเมื่อ December 2, 2019.
- ↑ Pous, Terri. "Our Fair Ladies: The 14 Most Fashionable First Ladies". Time. ISSN 0040-781X. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.
บรรณานุกรม
[แก้]- D'Este, Carlo (2002). Eisenhower: A Soldier's Life. Henry Holt & Company. ISBN 9780805056860.
- Eisenhower, Susan (1996). Mrs. Ike: Memories and Reflections on the Life of Mamie Eisenhower. Farrar, Straus and Giroux. ISBN 9780374215149.
อ่านเพิ่ม
[แก้]- Holt, Marilyn Irvin. Mamie Doud Eisenhower: The General's First Lady. Lawrence: University Press of Kansas, 2007. ISBN 9780700615391 OCLC 128236450
- Kimball, D. L. I Remember Mamie. Fayette, IA: Trends & Events, 1981. ISBN 0942698002 OCLC 8228995
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- มามี ไอเซนฮาวร์ ที่อินเทอร์เน็ตมูวีเดตาเบส
- Mamie Eisenhower Letters at Gettysburg College
- Mamie Eisenhower at C-SPAN's First Ladies: Influence & Image