ข้ามไปเนื้อหา

มามี ไอเซนฮาวร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มามี ไอเซนฮาวร์
ภาพถ่ายทางการ ป. ค.ศ. 1954
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา
ครองตำแหน่ง
20 มกราคม ค.ศ. 1953  20 มกราคม ค.ศ. 1961
ประธานาธิบดีดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์
ก่อนหน้าเบสส์ ทรูแมน
ถัดไปแจกเกอลีน เคนเนดี
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
แมรี เจนีวา เดาด์[1][2]

(1896-11-14)พฤศจิกายน 14, 1896
เมืองบูน รัฐไอโอวา ประเทศสหรัฐ
เสียชีวิต1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979(1979-11-01) (82 ปี)
วอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐ
ที่ไว้ศพDwight D. Eisenhower Presidential Library, Museum and Boyhood Home
พรรคการเมืองริพับลิกัน
คู่สมรสดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (สมรส 1916; เสียชีวิต 1969)
บุตร
ลายมือชื่อ

แมรี เจนีวา "มามี" ไอเซนฮาวร์ (อังกฤษ: Mary Geneva "Mamie" Eisenhower, สกุลเดิม: เดาด์ (Doud); 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1896 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1979) เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริการะหว่าง ค.ศ. 1953–1961 ในฐานะภริยาของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ เธอเกิดที่เมืองบูน รัฐไอโอวา และเติบโตในครอบครัวที่ร่ำรวยในรัฐโคโลราโด เธอแต่งงานกับไอเซนฮาวร์ใน ค.ศ. 1916 ซึ่งขณะนั้นเป็นร้อยโทในกองทัพบกสหรัฐ เธอทำหน้าที่เป็นแม่บ้านและเจ้าบ้านต้อนรับแขกที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารอื่น ๆ เมื่อไอเซนเฮาวร์ประจำการอยู่ในสหรัฐอเมริกา ปานามา ฟิลิปปินส์ และฝรั่งเศส ชีวิตแต่งงานของเธอไม่ง่ายเนื่องจากสามีไม่อยู่บ้านเป็นประจำและบุตรชายคนแรกเสียชีวิตเมื่ออายุ 3 ขวบ เธอกลายเป็นบุคคลสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะภรรยาของนายพลไอเซนฮาวร์

ในฐานะสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ไอเซนฮาวร์ได้รับอำนาจควบคุมค่าใช้จ่ายและตารางการทำงานของทำเนียบขาวเกือบทั้งหมด เธอบริหารจัดการเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด และเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความประหยัดของเธอในงบประมาณของทำเนียบขาวตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง เธอได้ต้อนรับประมุขแห่งรัฐต่างชาติมากมายในฐานะเจ้าภาพ เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องการเมืองและไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการอภิปรายทางการเมือง แต่เธอก็สนับสนุนสวัสดิการทหารและสิทธิพลเมือง เธอมีปัญหาการทรงตัวเนื่องจากโรคเมนิแยร์ ก่อให้เกิดข่าวลือเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรัง เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่ได้รับความนิยม และได้รับการยอมรับในฐานะไอคอนแฟชั่น โดยเป็นที่รู้จักจากทรงผมหน้าม้าอันเป็นเอกลักษณ์และการใช้สีชมพูบ่อยครั้ง เธอดำรงชีวิตแต่งงานอยู่ถึง 52 ปี จนกระทั่งดไวต์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1969 เธอใช้ชีวิตวัยเกษียณในฐานะแม่ม่ายโดยส่วนใหญ่อยู่ที่ฟาร์มของครอบครัวในเมืองเกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ก่อนจะกลับมายังวอชิงตัน ดี.ซี. ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต และเสียชีวิตที่นั่นใน ค.ศ. 1979 ไอเซนฮาวร์เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนสุดท้ายที่เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]
A small house sits by a sign reading "Historic site, Mamie Doud Eisenhower Birthplace, Museum and Library"
บ้านเกิดของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แมรี (มามี) เดาด์ ไอเซนฮาวร์, 709 (เดิมเลข 718) ถ. แคร์โรว์ เมืองบูน รัฐไอโอวา

แมรี เจนีวา "มามี" เดาด์เกิดที่เมืองบูน รัฐไอโอวา โดยเป็นบุตรคนที่สองของจอห์น เชลดอน เดาด์ ผู้บริหารบริษัทฆ่าสัตว์และเตรียมเนื้อสัตว์สำหรับขาย และของเอลิวีรา มาทิลดา คาร์ลสัน[3][4] เธอเติบโตที่เมืองซีดาร์แรพิดส์ (รัฐไอโอวา), เมืองเพวโบล, เมืองโคโลราโดสปริงส์, เมืองเดนเวอร์ (สามเมืองนี้อยู่ในรัฐโคโลราโด) และบ้านพักฤดูหนาวเดาด์ที่เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส[5] แม่ของเธอเป็นลูกสาวของผู้อพยพชาวสวีเดน และมักพูดภาษาสวีเดนในบ้าน[1] พ่อของเธอบริหารบริษัทฆ่าสัตว์และเตรียมเนื้อสัตว์สำหรับขาย Doud & Montgomery ที่ก่อตั้งโดยพ่อของเขา จนกระทั่งเกษียณอายุในวัย 36 ปี นอกจากนี้ เขายังทำการลงทุนในคอกปศุสัตว์ชั่วคราวในรัฐอิลลินอยและรัฐไอโอวา ทำให้ก่อร่างสร้างทรัพย์สมบัติไว้ได้มาก[6] ความมั่งคั่งของเขาทำให้ครอบครัวมีความสะดวกสบายมาก รวมทั้งคนรับใช้ที่คอยดูแลความต้องการของพวกเขาและการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมชั้นสูง[7]

มามีมีพี่น้อง 3 คน ได้แก่ พี่สาวชื่อเอเลนอร์ คาร์ลสัน เดาด์ (Eleanor Carlson Doud) และน้องสาวสองคนชื่ออีดา เม เดาต์ และมาเบล ฟรานซิส "ไมค์" เดาต์[4] ครอบครัวต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมในช่วงต้นชีวิตของมามีเมื่อเอเลนอร์เสียชีวิตตอนอายุ 17 ปี[8] พ่อแม่ของพวกเธอทำงานโดยแบ่งแยกหน้าที่อย่างเคร่งครัด พ่อเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องครอบครัวและธุรกิจ ส่วนแม่เป็นผู้บริหารจัดการบ้าน เนื่องจากมามีมีคนรับใช้คอยดูแลความต้องการ จึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะดูแลบ้าน ซึ่งเป็นทักษะที่เธอต้องเรียนรู้จากสามี[2][9] เธอป่วยเป็นไข้รูมาติกรุนแรงเมื่อยังเป็นเด็ก ส่งผลให้ต้องกังวลเรื่องสุขภาพตลอดชีวิต[10] แม้ว่าการศึกษาของเธอจะจำกัด แต่พ่อก็สอนให้เธอรู้จักบริหารเงิน[11] ครอบครัวของเธอเดินทางบ่อยครั้ง และเมื่อเธอโตขึ้น ก็ได้ส่งให้ไปเรียนที่ Wolcott School for Girls จนจบ[1]

สมรสและครอบครัว

[แก้]

สมรส

[แก้]
refer to caption
มามีตอนอายุ 17 ปีใน ค.ศ. 1913

เดาด์มีชายหนุ่มมาจีบหลายคน แต่เธอเริ่มสนใจร้อยตรีดไวต์ ดี. "ไอก์" ไอเซนฮาวร์ใน ค.ศ. 1915 ทั้งสองได้รับการแนะนำตัวในขณะที่ครอบครัวเดาต์กำลังไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่งที่ค่ายทหารฟอร์ตแซมฮิวสตัน[1] เขาแหกกฎด้วยการชวนเธอไปเยี่ยมชมค่ายทหารพร้อมกับเขาระหว่างที่เขาเดินตรวจตรา เธอหลงใหลเขาทันที แต่ปฏิเสธเมื่อเขาขอออกเดท เขาจีบเธอต่ออีกเดือนก่อนที่จะเริ่มออกเดทกันแบบไม่มีคนอื่น และทั้งคู่ก็หมั้นกันในวันวาเลนไทน์ ค.ศ. 1916 ในตอนแรกไอก์ให้แหวนรุ่น รร.นายทหารเวสต์พอยต์ขนาดเล็กแก่เธอตามธรรมเนียม[12] ต่อมาเขาก็ให้แหวนขนาดเท่าตัวจริงตามคำขอของเธอ และขออนุญาตแต่งงานอย่างเป็นทางการในวันนักบุญแพทริก มามีฉลองทั้งวันวาเลนไทน์และวันนักบุญแพทริกเป็นวันครบรอบการหมั้นหมาย[13]

พ่อของมามีตกลงให้แต่งงานโดยมีเงื่อนไขว่าไอเซนฮาวร์จะต้องไม่เข้ารับราชการเป็นทหารอากาศฝ่ายกองทัพบก เพราะเขาคิดว่ามันอันตรายเกินไป[1] ความกังวลเกี่ยวกับการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของประเทศสหรัฐเร่งให้ทั้งสองแต่งงานกันเร็วขึ้น โดยทำพิธีที่บ้านของครอบครัวเดาด์ในเมืองเดนเวอร์เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1916 ทั้งสองไปฮันนีมูนและไปเยี่ยมพ่อแม่ของไอก์ที่เมืองแอบิลีน รัฐแคนซัส ก่อนจะกลับไปที่ฟอร์ตแซมฮิวสตันที่ไอก์ประจำการอยู่[7] มามียังได้พบกับมิลตัน เอส. ไอเซนฮาวร์ น้องชายของไอก์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเพื่อนสนิทของมามี[14]

ภรรยาทหารกองทัพบก

[แก้]

สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐ

[แก้]

เจ้าบ้านหญิงทำเนียบขาว

[แก้]
Dwight, Mamie, and Indonesian President Sukarno dressed in formal wear smiling at one another
มามีกับดไวต์ ไอเซนฮาวร์ และซูการ์โน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย

ไอเซนฮาวร์ได้เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในช่วงที่ตำแหน่งนี้เริ่มสร้างภาพลักษณ์ต่อสาธารณชนในระดับประเทศ[10] เธอวิจารณ์ความสนใจที่ให้แก่ตำแหน่งนี้ โดยยืนกรานว่าสามีของเธอต่างหากเป็นบุคคลสาธารณะของครอบครัว และโดยทั่วไปปฏิเสธที่จะรับหน้าที่นอกทำเนียบขาว[7] เธอพยายามอยู่ห่างจากสื่อมวลชน หลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ และให้แมรี เจน แมคคาฟฟรี เลขานุการของเธอ พูดคุยกับนักข่าวแทนเธอ[15] เธอยังปฏิเสธคำขอเขียนคอลัมน์ให้กับหนังสือพิมพ์ New York Herald Tribune และจัดงานแถลงข่าวเพียงครั้งเดียวในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง[2] เธอให้ความเป็นมิตรกับนักข่าวเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กัน โดยยืนกรานว่าต้องเรียกเธอว่า มามี ความสองจิตสองใจของเธอที่มีต่อสื่อมวลชนไม่ได้ขยายไปถึงช่างภาพ ซึ่งเธอยินดีให้ความร่วมมือ[16] เธอยังเขียนตอบจดหมายทุกฉบับที่ได้รับเป็นการส่วนตัว และบางครั้งก็ส่งต่อปัญหาที่จดหมายนั้นกล่าวถึงแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง[11]

บริหารจัดการทำเนียบขาว

[แก้]

ชีวิตช่วงหลัง

[แก้]
refer to caption
ภาพถ่ายมามี ไอเซนฮาวร์ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1971

ใน ค.ศ. 1961 ไอเซนฮาวร์เกษียณอายุพร้อมกับอดีตประธานาธิบดีที่เกตตีสเบิร์ก ซึ่งเป็นบ้านถาวรแห่งแรกของสามีภรรยา โดยยังมีบ้านอีกหลังที่เมืองพาล์มเดเซิร์ต รัฐแคลิฟอร์เนียด้วย[17] เมื่อสามีใกล้เสียชีวิต มีการผ่านกฎหมายรับประกันการคุ้มครองจากกรมกิจลับตลอดชีพสำหรับหญิงม่ายของประธานาธิบดี[11] หลังไอก์เสียชีวิตในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1969 มามีเดินทางไปประเทศเบลเยียม ซึ่งลูกชายของเธอดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต[18] หลังกลับมายังประเทศสหรัฐ เธอใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มจนกระทั่งต้องย้ายไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่วอชิงตัน ดี.ซี. เนื่องจากสุขภาพของเธอแย่ลงในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970[19] เธอมักอยู่แต่ในห้องนอนหลังสามีเสียชีวิต โดยมีเจ้าหน้าที่กรมกิจลับคอยช่วยเหลือดูแลเธอ[7]

ไอเซนฮาวร์ยังคงเป็นเพื่อนใกล้ชิดกับครอบครัวนิกสันหลังพ้นตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง โดยต่อมาหลานชายของเธอสมรสกับลูกสาวของนิกสันใน ค.ศ. 1968 เธอปรากฏตัวในโฆษณาเพื่อสนับสนุนการเลือกตั้งริชาร์ด นิกสันอีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1972 และครอบครัวนิกสันก็เชิญมามีไปที่ทำเนียบขาวเป็นประจำตลอดช่วงเวลาที่นิกสันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[11] ต่อมาเธอแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เธอสนับสนุนสงครามเวียดนาม แม้ว่าจะตระหนักถึงความยากลำบากที่ทหารอเมริกันต้องเผชิญ และต่อต้านการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยสตรี[11] ในที่สุดเมื่อ ค.ศ. 1973 ไอเซนฮาวร์ก็พูดถึงข่าวลือเรื่องโรคพิษสุราเรื้อรังในการสัมภาษณ์ โดยอธิบายถึงสาเหตุของอาการวิงเวียนศีรษะของเธอ[16] ข่าวลือเกี่ยวความสัมพันธ์นอกสมรสระหว่างไอก์กับเคย์ ซัมเมิร์สบี กลับมาปรากฏอีกครั้งในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 แต่มามีก็ยังยืนยันว่าเธอไม่เชื่อข่าวลือเหล่านั้น[20]

เสียชีวิต

[แก้]

ไอเซนฮาวร์เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1979 เธอถูกนำตัวส่งศูนย์การแพทย์ทหารบกวอลเตอร์รีดอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามีของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน เมื่อยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในวันที่ 31 ตุลาคม เธอประกาศกับแมรี จีน หลานสาวของเธอว่าจะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น เธอเสียชีวิตขณะหลับเมื่อเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน[21] พิธีรำลึกจัดขึ้นที่โบสถ์น้อยในค่ายทหารฟอร์ตไมเออร์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน โดยมีผู้เข้าร่วมรวมทั้งครอบครัวนิกสัน, โรซาลีนน์ คาร์เตอร์, เจค็อบ แจวิตส์, วุฒิสมาชิก อาร์เธอร์ เอฟ. เบิร์นส์, ประธานธนาคารกลางสหรัฐ และเจ้าหน้าที่กรมกิจลับที่ดูแลไอเซนฮาวร์[22] เธอฝังไว้อยู่ข้าง ๆ สามีของเธอในเมืองแอบิลีน รัฐแคนซัส บ้านเกิดของเขา[23]

มรดก

[แก้]
Painting of Mamie in a pink gown
มามี ไอเซนฮาวร์ในชุดพิธีเข้ารับตำแหน่ง — ภาพวาดใน ค.ศ. 1953 โดยทอมัส สตีเวนส์

บ้านเกิดของไอเซนฮาวร์เปิดให้สาธารณชนเข้าชม โดยมูลนิธิมามี เดาด์ ไอเซนฮาวร์เป็นผู้ดำเนินการ[24] สถานที่ที่ใช้ชื่อของมามี ไอเซนฮาวร์ได้แก่สวนในเมืองเดนเวอร์[25] และหอสมุดเมืองบรูมฟีลด์ที่ชานเมืองของเดนเวอร์[26] เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศสตรีรัฐโคโลราโดใน ค.ศ. 1985[27]

อิทธิพลด้านแฟชั่น

[แก้]

ไอเซนฮาวร์มีชื่อเสียงในเรื่องรสนิยมทางแฟชั่น และผู้หญิงจำนวนมากก็เลียนแบบสไตล์ของเธอ[1] สถาบันการแต่งกายนิวยอร์ก (New York Dress Institute) ยกย่องให้เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิง 12 คนที่แต่งตัวดีที่สุดในประเทศทุกปีนับตั้งแต่เธอดำรงตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง สไตล์ของเธอเป็นที่รู้จักในชื่อ "Mamie Look" ซึ่งประกอบไปด้วยชุดกระโปรงยาว ถุงมือสีชมพู กำไลข้อมือประดับจี้ ไข่มุก หมวกใบเล็ก กระเป๋าถือ และผมหน้าม้าประบ่า[1][2][28]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 5 6 7 Watson, Robert P. (2001). "Mary Geneva "Mamie" Doud Eisenhower". First Ladies of the United States (ภาษาอังกฤษ). Lynne Rienner Publishers. pp. 231–236. doi:10.1515/9781626373532. ISBN 978-1-62637-353-2. S2CID 249333854.
  2. 1 2 3 4 Rama Maravillas, Anthony (March 14, 2016). "Overrated Pleasures and Underrated Treasures: Mamie Eisenhower, a Bridge between First Lady Archetypes". ใน Sibley, Katherine A. S. (บ.ก.). A Companion to First Ladies (ภาษาอังกฤษ). John Wiley & Sons. pp. 492–502. ISBN 9781118732182.
  3. Eisenhower 1996, pp. 6–7.
  4. 1 2 Tatanka Historical Associates (February 25, 2005). "National Register of Historic Places Registration Form" (PDF). www.coloradohistory-oahp.org. Colorado Historical Society Office of Archeology & Historic Preservation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ August 16, 2006. สืบค้นเมื่อ February 4, 2009.
  5. "Mamie Eisenhower Biography". National First Ladies Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2012. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
  6. Eisenhower 1996, pp. 14–15.
  7. 1 2 3 4 Schneider, Dorothy; Schneider, Carl J. (2010). "Mamie Geneva Doud Eisenhower". First Ladies: A Biographical Dictionary (ภาษาอังกฤษ) (3rd ed.). Facts on File. pp. 261–270. ISBN 978-1-4381-0815-5.
  8. Eisenhower 1996, p. 17.
  9. Eisenhower 1996, pp. 44–45.
  10. 1 2 Schwartz Foster, Feather (2011). "Mamie Eisenhower". The First Ladies: From Martha Washington to Mamie Eisenhower. Cumberland House. pp. 151–157.
  11. 1 2 3 4 5 "First Lady Biography: Mamie Eisenhower". National First Ladies' Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 9, 2012. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
  12. D'Este 2002, pp. 99–101.
  13. Eisenhower 1996, p. 38.
  14. D'Este 2002, p. 105.
  15. Beasley, Maurine; Belgrade, Paul (January 1, 1986). "Media Coverage of a Silent Partner". American Journalism. 3 (1): 39–49. doi:10.1080/08821127.1986.10731055. ISSN 0882-1127.
  16. 1 2 Caroli, Betty Boyd (2010). First Ladies: From Martha Washington to Michelle Obama (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press, USA. pp. 215–223. ISBN 978-0-19-539285-2.
  17. Historical Society of Palm Desert; Rover, Hal; Kousken, Kim; Romer, Brett (2009). Palm Desert. Charleston, SC: Arcadia Publishing. p. 103. ISBN 978-0-7385-5964-3.
  18. Eisenhower 1996, p. 317.
  19. "Mamie Doud Eisenhower chronology". Dwight D. Eisenhower Presidential Library and Museum. สืบค้นเมื่อ December 27, 2013.
  20. Eisenhower 1996, pp. 323–325.
  21. "Biography: Mamie Doud Eisenhower". dwightdeisenhower.com. Dwight D. Eisenhower Foundation. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 26, 2008. สืบค้นเมื่อ January 9, 2009.
  22. Mitchell, Henry (November 6, 1979). "A Farewell to Mamie Eisenhower". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
  23. "Mrs. Eisenhower Quietly Buried At General's Memorial in Kansas". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). November 4, 1979. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ October 3, 2022.
  24. "Mamie Doud Eisenhower Birthplace to reopen". The Ogden Reporter. June 30, 2021. สืบค้นเมื่อ October 4, 2022.
  25. Gabehart, Zachary (December 7, 2021). Mamie D. Eisenhower Park Picnic Shelter (PDF) (Report). Denver City Council.
  26. "History | City and County of Broomfield - Official Website". www.broomfield.org. สืบค้นเมื่อ October 4, 2022.
  27. "Mamie Doud Eisenhower". Colorado Women's Hall of Fame. สืบค้นเมื่อ December 2, 2019.
  28. Pous, Terri. "Our Fair Ladies: The 14 Most Fashionable First Ladies". Time. ISSN 0040-781X. สืบค้นเมื่อ July 5, 2016.

บรรณานุกรม

[แก้]

อ่านเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]