ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชายผู้เห็นภรรยาเป็นหมวก"
ZeroSixTwo (คุย | ส่วนร่วม) ล →เนื้อความ: แก้ทับศัพท์ชื่อภาษาญี่ปุ่น |
Rescuing 1 sources and tagging 0 as dead.) #IABot (v2.0.8.1 |
||
บรรทัด 38: | บรรทัด 38: | ||
* "'''On the Level'''" (ต้องใช้ระดับน้ำ) เป็นอีกกรณีหนึ่งของคนไข้ที่มี[[การรับรู้อากัปกิริยา]] (proprioception) เสียหาย คุณหมอแซ็กส์ได้สัมภาษณ์คนไข้คนหนึ่งซึ่งมีปัญหาในการเดินคือไม่สามารถเดินได้โดยไม่ล้ม แล้วพบว่า คนไข้ได้สูญเสียประสาทสัมผัสเกี่ยวกับความสมดุลของร่างกายเนื่องจากอาการคล้าย ๆ กับ[[โรคพาร์กินสัน]]ที่ได้ทำความเสียหายให้กับหูชั้นใน เมื่อคนไข้ ได้เปรียบเทียบประสาทสัมผัสของตนกับเครื่องวัดระดับน้ำของช่างไม้ ก็ได้เสนอการสร้างเครื่องมือที่คล้าย ๆ กันเพื่อประกอบกับแว่นตา ซึ่งทำให้เขาสามารถรู้ความสมดุลร่างของตนโดยใช้ตา ซึ่งต่อมากลายเป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้ในคนไข้อีกหลายคนในสถานพยาบาลแห่งนั้น |
* "'''On the Level'''" (ต้องใช้ระดับน้ำ) เป็นอีกกรณีหนึ่งของคนไข้ที่มี[[การรับรู้อากัปกิริยา]] (proprioception) เสียหาย คุณหมอแซ็กส์ได้สัมภาษณ์คนไข้คนหนึ่งซึ่งมีปัญหาในการเดินคือไม่สามารถเดินได้โดยไม่ล้ม แล้วพบว่า คนไข้ได้สูญเสียประสาทสัมผัสเกี่ยวกับความสมดุลของร่างกายเนื่องจากอาการคล้าย ๆ กับ[[โรคพาร์กินสัน]]ที่ได้ทำความเสียหายให้กับหูชั้นใน เมื่อคนไข้ ได้เปรียบเทียบประสาทสัมผัสของตนกับเครื่องวัดระดับน้ำของช่างไม้ ก็ได้เสนอการสร้างเครื่องมือที่คล้าย ๆ กันเพื่อประกอบกับแว่นตา ซึ่งทำให้เขาสามารถรู้ความสมดุลร่างของตนโดยใช้ตา ซึ่งต่อมากลายเป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้ในคนไข้อีกหลายคนในสถานพยาบาลแห่งนั้น |
||
* "'''The Twins'''" (แฝด) เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้[[โรคออทิซึม]]ที่มีความสามารถพิเศษ (autistic savant จะแปลว่าปราชญ์ออทิซึมต่อไป) คือ คุณหมอแซ็กส์ได้พบกับแฝดชายพี่น้องคู่หนึ่งผู้ไม่สามารถจะอ่านหรือคูณเลขได้ แต่ว่า กลับเล่น "เกม" หา[[จำนวนเฉพาะ]] (เลขที่[[การหาร|หาร]]ได้ด้วยหนึ่งและตัวของมันเองเท่านั้น) ได้ ในขณะที่แฝดคู่นี้สามารถบอกเลขเช่นนี้ตั้งแต่หลักเลข 6 ตัวจนถึง 20 ตัว คุณหมอแซ็กส์กลับต้อง (โกง) ใช้หนังสือเลขจำนวนเฉพาะเพื่อที่จะเล่นเกมนี้กับแฝดพี่น้อง เหตุการณ์นี้ได้รับแสดงในหนังเรื่อง House of Cards (ค.ศ. 1993) แสดงนำโดย[[ทอมมี่ ลี โจนส์]] พี่น้องแฝดยังสามารถนับจำนวนไม้ขีด 111 อันที่ตกลงที่พื้นอีกด้วย และให้สังเกตการณ์โดยฉับพลันได้อีกด้วยว่า 111 เป็น 37 สามครั้ง แต่เรื่องนี้ได้รับการตั้งข้อสงสัยโดยมาโกโตะ ยามางูจิ ผู้ไม่เชื่อว่าหนังสือเลขจำนวนเฉพาะจะมีอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ และระบุว่า รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อกล่าวถึงแต่การรับรู้จำนวนโดยประมาณเมื่อมีการนับวัตถุเป็นจำนวนมาก<ref>{{cite journal |doi= 10.1007/s10803-006-0257-0 | format = [[PDF]] | url = http://empslocal.ex.ac.uk/people/staff/mrwatkin/isoc/yamaguchi-sacks.pdf |title=Questionable Aspects of Oliver Sacks’ (1985) Report |year=2006 |last1=Yamaguchi |first1=Makoto |journal=Journal of Autism and Developmental Disorders |volume=37 |issue=7 |pages=1396–1396 |pmid=17066308}}</ref><ref>{{cite journal | format = [[PDF]] | doi = 10.1007/s10803-007-0397-x |year= 2007 |last =Yamaguchi |first =Makoto |url=http://www.secamlocal.ex.ac.uk/people/staff/mrwatkin/isoc/yamaguchi-snyder.pdf | title =Response to Snyder's "Comments on Priming Skills of Autistic Twins and Yamaguchi (2006) Letter to the Editor: 'Questionable Aspects of Oliver Sacks' (1985) Report" | journal = Journal of Autism and Developmental Disorders |volume=37 |issue=7 |page =1401}}</ref> ส่วนปราชญ์ออทิซึมแดเนียล แทมเม็ตชี้ว่า เพราะแฝดพี่น้องเป็นเจ้าของกล่องไม้ขีด จึงอาจจะได้นับจำนวนไม้ขีดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยให้สังเกตว่า ตนเองรู้สึกว่า จำนวน 111 เป็น "เลขที่สวยเป็นพิเศษและมีรูปเหมือนกับไม้ขีด"<ref>{{cite news |last |
* "'''The Twins'''" (แฝด) เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้[[โรคออทิซึม]]ที่มีความสามารถพิเศษ (autistic savant จะแปลว่าปราชญ์ออทิซึมต่อไป) คือ คุณหมอแซ็กส์ได้พบกับแฝดชายพี่น้องคู่หนึ่งผู้ไม่สามารถจะอ่านหรือคูณเลขได้ แต่ว่า กลับเล่น "เกม" หา[[จำนวนเฉพาะ]] (เลขที่[[การหาร|หาร]]ได้ด้วยหนึ่งและตัวของมันเองเท่านั้น) ได้ ในขณะที่แฝดคู่นี้สามารถบอกเลขเช่นนี้ตั้งแต่หลักเลข 6 ตัวจนถึง 20 ตัว คุณหมอแซ็กส์กลับต้อง (โกง) ใช้หนังสือเลขจำนวนเฉพาะเพื่อที่จะเล่นเกมนี้กับแฝดพี่น้อง เหตุการณ์นี้ได้รับแสดงในหนังเรื่อง House of Cards (ค.ศ. 1993) แสดงนำโดย[[ทอมมี่ ลี โจนส์]] พี่น้องแฝดยังสามารถนับจำนวนไม้ขีด 111 อันที่ตกลงที่พื้นอีกด้วย และให้สังเกตการณ์โดยฉับพลันได้อีกด้วยว่า 111 เป็น 37 สามครั้ง แต่เรื่องนี้ได้รับการตั้งข้อสงสัยโดยมาโกโตะ ยามางูจิ ผู้ไม่เชื่อว่าหนังสือเลขจำนวนเฉพาะจะมีอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ และระบุว่า รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อกล่าวถึงแต่การรับรู้จำนวนโดยประมาณเมื่อมีการนับวัตถุเป็นจำนวนมาก<ref>{{cite journal |doi= 10.1007/s10803-006-0257-0 | format = [[PDF]] | url = http://empslocal.ex.ac.uk/people/staff/mrwatkin/isoc/yamaguchi-sacks.pdf |title=Questionable Aspects of Oliver Sacks’ (1985) Report |year=2006 |last1=Yamaguchi |first1=Makoto |journal=Journal of Autism and Developmental Disorders |volume=37 |issue=7 |pages=1396–1396 |pmid=17066308}}</ref><ref>{{cite journal | format = [[PDF]] | doi = 10.1007/s10803-007-0397-x |year= 2007 |last =Yamaguchi |first =Makoto |url=http://www.secamlocal.ex.ac.uk/people/staff/mrwatkin/isoc/yamaguchi-snyder.pdf | title =Response to Snyder's "Comments on Priming Skills of Autistic Twins and Yamaguchi (2006) Letter to the Editor: 'Questionable Aspects of Oliver Sacks' (1985) Report" | journal = Journal of Autism and Developmental Disorders |volume=37 |issue=7 |page =1401}}</ref> ส่วนปราชญ์ออทิซึมแดเนียล แทมเม็ตชี้ว่า เพราะแฝดพี่น้องเป็นเจ้าของกล่องไม้ขีด จึงอาจจะได้นับจำนวนไม้ขีดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยให้สังเกตว่า ตนเองรู้สึกว่า จำนวน 111 เป็น "เลขที่สวยเป็นพิเศษและมีรูปเหมือนกับไม้ขีด"<ref>{{cite news |last=Wilson |first=Peter |title=A savvy savant finds his voice |url=http://www.theaustralian.news.com.au/story/0,25197,24986084-26040,00.html |date=31 January 2009 |publisher=The Australian |accessdate=12 March 2009 |archive-date=2009-02-26 |archive-url=https://web.archive.org/web/20090226141624/http://www.theaustralian.news.com.au/story/0,25197,24986084-26040,00.html |url-status=dead }}</ref> |
||
*"'''The Dog Beneath the Skin'''" (สุนัขใต้ผิวหนัง) เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนแพทย์อายุ 22 ที่คุณหมอเรียกว่า "สตีเฟ่น ดี" หลังจากที่ได้เสพยา[[แอมเฟตามีน]] [[โคเคน]] และ Phencyclidine ผู้ตื่นขึ้นมาพบว่ามีประสาทสัมผัสทางจมูกที่ไวขึ้นเป็นพิเศษ{{Sfn | Sacks | 1985}}{{Page needed | date = October 2013}} หลังจากที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ไปแล้วหลายปี คุณหมอได้เปิดเผยในภายหลังว่า จริง ๆ แล้วคุณหมอเองนั่นแหละคือนักศึกษาแพทย์สตีเฟ่น ดี{{Sfn | Sacks | 2007 | p = 158}} |
*"'''The Dog Beneath the Skin'''" (สุนัขใต้ผิวหนัง) เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนแพทย์อายุ 22 ที่คุณหมอเรียกว่า "สตีเฟ่น ดี" หลังจากที่ได้เสพยา[[แอมเฟตามีน]] [[โคเคน]] และ Phencyclidine ผู้ตื่นขึ้นมาพบว่ามีประสาทสัมผัสทางจมูกที่ไวขึ้นเป็นพิเศษ{{Sfn | Sacks | 1985}}{{Page needed | date = October 2013}} หลังจากที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ไปแล้วหลายปี คุณหมอได้เปิดเผยในภายหลังว่า จริง ๆ แล้วคุณหมอเองนั่นแหละคือนักศึกษาแพทย์สตีเฟ่น ดี{{Sfn | Sacks | 2007 | p = 158}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 03:17, 9 ตุลาคม 2564
"The Man Who Mistook His Wife for a Hat and Other Clinical Tales" | |
---|---|
ผู้ประพันธ์ | โอลิเวอร์ แซ็กส์ |
ประเทศ | สหรัฐอเมริกา |
ภาษา | ภาษาอังกฤษ |
หัวเรื่อง | ประสาทวิทยา, จิตวิทยา |
ประเภท | ประวัติผู้ป่วย |
สำนักพิมพ์ | Summit Books (ประเทศสหรัฐอเมริกา) Gerald Duckworth (ประเทศอังกฤษ) |
วันที่พิมพ์ | ค.ศ. 1985 |
ชนิดสื่อ | หนังสือ |
หน้า | 233 (พิมพ์ครั้งที่ 1) |
ISBN | 0-671-55471-9 |
OCLC | 12313889 |
616.8 19 | |
LC Class | RC351 .S195 1985 |
เรื่องก่อนหน้า | A Leg to Stand On (ค.ศ. 1984) |
เรื่องถัดไป | Seeing Voices (ค.ศ. 1989) |
เดอะแมนฮูมิสทุกฮิสไวฟ์ฟอร์เอแฮตแอนด์อัธเธอร์คลินิเคิลเทลส์ (อังกฤษ: The Man Who Mistook His Wife for a Hat, ท. ชายผู้สำคัญผิดว่าภรรยาตนเป็นหมวกและนิทานคลินิกอื่น") เป็นหนังสือที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1985 ของประสาทแพทย์ โอลิเวอร์ แซ็กส์ อธิบายประวัติผู้ป่วยของคนไข้เขาบางคน ชื่อหนังสือมาจากกรณีศึกษาของชายผู้มีภาวะเสียการระลึกรู้ทางตา (visual agnosia)[1] คือ "ชายผู้สำคัญผิดว่าภรรยาตนเป็นหมวก" ซึ่งมีการใช้ไปเป็นเรื่องอุปรากรที่เปิดฉากในปี ค.ศ. 1986
หนังสือมี 24 บทที่แบ่งออกเป็น 4 ภาค แต่ละภาคเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นหนึ่งของหน้าที่ในสมอง เช่นเรื่องความบกพร่องและเรื่องความเกินที่มีใน 2 ภาคแรก (โดยมีการเน้นที่สมองซีกขวา) ในขณะที่ภาคที่ 3 และที่ 4 พรรณนาถึงสิ่งที่ปรากฏโดยอัตวิสัยกับคนไข้ โดยกล่าวถึงเหตุการณ์ที่มีการระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตโดยไม่มีสาเหตุ การรับรู้ที่เพี้ยนไป และความสามารถและลักษณะที่น่าอัศจรรย์ในบุคคลพิการทางสมอง[2]
เนื้อความ
บทต่าง ๆ ในหนังสือรวมทั้ง
- "The Lost Mariner" (นาวิกโยธินผู้หลงทาง) เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิมมี่ จี ผู้ได้สูญเสียความสามารถในการสร้างความจำใหม่เนื่องจากโรค Korsakoff's syndrome (กลุ่มอาการหลงลืมเนื่องจากการเสพสุรา) เขาไม่สามารถจำสิ่งที่เกิดในชีวิตของเขาได้เริ่มตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง รวมทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่พึ่งเกิดขึ้น 2-3 นาทีก่อน เขาเชื่อว่าตนยังอยู่ในปี ค.ศ. 1945 (ทั้งที่จริง ๆ อยู่ในปลายคริสต์ทศวรรษ 70 และต้นคริสต์ทศวรรษ 80) และดูเหมือนจะมีพฤติกรรมเหมือนกับคนหนุ่มฉลาดปกตินอกเหนือจากความไม่สามารถในการระลึกถึงอดีตและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเขา จิมมี่ต้องดิ้นรนที่จะหาความหมาย ความพอใจ และความสุขในชีวิตของเขาท่ามการการหลงลืมที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องว่ากำลังทำอะไรอยู่จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง
- "The President's Speech" (ปาฐกถาของประธานาธิบดี)[3]เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้ภาวะเสียการสื่อความ (aphasia) และภาวะเสียการระลึกรู้เกี่ยวกับน้ำเสียง (tonal agnosia) ในหอผู้ป่วยหนึ่ง ๆ ที่กำลังฟังปาฐกถาโดยประธานาธิบดีที่เคยเป็นดาราไม่ได้ออกชื่อคนหนึ่ง เชื่อว่าคืออดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน คนไข้กรุ๊ปแรกหัวเราะเพราะเหตุแห่งปาฐกถานั้น ซึ่งคุณหมอแซ็กส์อ้างว่ามีสีหน้าและน้ำเสียงของประธานาธิบดีที่ "ไม่จริงใจ" เป็นเหตุ (คือคนไข้ไม่สามารถเข้าใจถึงคำที่พูดได้ แต่สามารถอ่านสีหน้าและน้ำเสียงได้) ส่วนหญิงคนหนึ่งในคนไข้กรุ๊ปที่สองวิจารถึงโครงสร้างคำพูดว่า "พูดใช้สำนวนที่ไม่ดี ใช้คำอย่างไม่ถูกต้อง ถ้าเขาไม่มีสมองเสียหายก็คงจะมีอะไรที่จะต้องหลบซ่อน" คุณหมอสรุปว่าคนทั่วไปกลับถูกหลอกโดยคำพูดของประธานาธิบดีคนนี้ แต่ว่าคนไข้มีสมองเสียหายกลับไม่ถูกหลอก
- "The Disembodied Lady" (หญิงผู้ไร้ร่าง) เป็นเค้สของหญิงผู้สูญเสียประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการรับรู้อากัปกิริยา (proprioception) ทั้งหมด เป็นประสาทสัมผัสเกี่ยวกับตำแหน่งของอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเปรียบเทียบกับอวัยวะที่อยู่ใกล้ ๆ กัน
- "On the Level" (ต้องใช้ระดับน้ำ) เป็นอีกกรณีหนึ่งของคนไข้ที่มีการรับรู้อากัปกิริยา (proprioception) เสียหาย คุณหมอแซ็กส์ได้สัมภาษณ์คนไข้คนหนึ่งซึ่งมีปัญหาในการเดินคือไม่สามารถเดินได้โดยไม่ล้ม แล้วพบว่า คนไข้ได้สูญเสียประสาทสัมผัสเกี่ยวกับความสมดุลของร่างกายเนื่องจากอาการคล้าย ๆ กับโรคพาร์กินสันที่ได้ทำความเสียหายให้กับหูชั้นใน เมื่อคนไข้ ได้เปรียบเทียบประสาทสัมผัสของตนกับเครื่องวัดระดับน้ำของช่างไม้ ก็ได้เสนอการสร้างเครื่องมือที่คล้าย ๆ กันเพื่อประกอบกับแว่นตา ซึ่งทำให้เขาสามารถรู้ความสมดุลร่างของตนโดยใช้ตา ซึ่งต่อมากลายเป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้ในคนไข้อีกหลายคนในสถานพยาบาลแห่งนั้น
- "The Twins" (แฝด) เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้โรคออทิซึมที่มีความสามารถพิเศษ (autistic savant จะแปลว่าปราชญ์ออทิซึมต่อไป) คือ คุณหมอแซ็กส์ได้พบกับแฝดชายพี่น้องคู่หนึ่งผู้ไม่สามารถจะอ่านหรือคูณเลขได้ แต่ว่า กลับเล่น "เกม" หาจำนวนเฉพาะ (เลขที่หารได้ด้วยหนึ่งและตัวของมันเองเท่านั้น) ได้ ในขณะที่แฝดคู่นี้สามารถบอกเลขเช่นนี้ตั้งแต่หลักเลข 6 ตัวจนถึง 20 ตัว คุณหมอแซ็กส์กลับต้อง (โกง) ใช้หนังสือเลขจำนวนเฉพาะเพื่อที่จะเล่นเกมนี้กับแฝดพี่น้อง เหตุการณ์นี้ได้รับแสดงในหนังเรื่อง House of Cards (ค.ศ. 1993) แสดงนำโดยทอมมี่ ลี โจนส์ พี่น้องแฝดยังสามารถนับจำนวนไม้ขีด 111 อันที่ตกลงที่พื้นอีกด้วย และให้สังเกตการณ์โดยฉับพลันได้อีกด้วยว่า 111 เป็น 37 สามครั้ง แต่เรื่องนี้ได้รับการตั้งข้อสงสัยโดยมาโกโตะ ยามางูจิ ผู้ไม่เชื่อว่าหนังสือเลขจำนวนเฉพาะจะมีอย่างที่คุณหมอกล่าวไว้ และระบุว่า รายงานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อกล่าวถึงแต่การรับรู้จำนวนโดยประมาณเมื่อมีการนับวัตถุเป็นจำนวนมาก[4][5] ส่วนปราชญ์ออทิซึมแดเนียล แทมเม็ตชี้ว่า เพราะแฝดพี่น้องเป็นเจ้าของกล่องไม้ขีด จึงอาจจะได้นับจำนวนไม้ขีดไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยให้สังเกตว่า ตนเองรู้สึกว่า จำนวน 111 เป็น "เลขที่สวยเป็นพิเศษและมีรูปเหมือนกับไม้ขีด"[6]
- "The Dog Beneath the Skin" (สุนัขใต้ผิวหนัง) เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนแพทย์อายุ 22 ที่คุณหมอเรียกว่า "สตีเฟ่น ดี" หลังจากที่ได้เสพยาแอมเฟตามีน โคเคน และ Phencyclidine ผู้ตื่นขึ้นมาพบว่ามีประสาทสัมผัสทางจมูกที่ไวขึ้นเป็นพิเศษ[1][ต้องการเลขหน้า] หลังจากที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ไปแล้วหลายปี คุณหมอได้เปิดเผยในภายหลังว่า จริง ๆ แล้วคุณหมอเองนั่นแหละคือนักศึกษาแพทย์สตีเฟ่น ดี[7]
ในสื่อ
- คริสโตเฟอร์ รอเล็นซ์ได้เขียนเนื้อเพลงของอุปรากรกำกับโดยไมเคิล มอร์ริส ใช้ชื่อของหนังสือนี้ (The Man Who Mistook His Wife for a Hat) ซึ่งเปิดฉากเป็นครั้งแรกในมหานครลอนดอนในปี ค.ศ. 1986 ต่อมาได้มีอุปรากรเรื่องนี้ออกอากาศโทรทัศน์ในประเทศอังกฤษ
- คนไข้ในบทหนึ่งของหนังสือเป็นชายชื่อว่าจิมมี่ จี ผู้มีภาวะเสียความจำส่วนอดีต (anterograde amnesia) ซึ่งเป็นชื่อเหมือนกับจอห์น จี ผู้เป็นตัวละครหลักที่มีความเสียหายทางสมองอย่างเดียวกันในภาพยนตร์ "ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ"
- ในนวนิยาย (ค.ศ. 2011) 11/22/63 ของสตีเฟน คิง มีตัวละครชื่อว่าเจกที่กล่าวว่าไม่ใช่ "ชายผู้ถือเอาภรรยาของตนว่าเป็นหมวก" แต่ว่าเป็น "ชายผู้คิดว่าตนอยู่ในปี ค.ศ. 1958"
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Sacks 1985.
- ↑ Sacks 1985, p. 163.
- ↑ "The President's Speech". Junkfood for Thought. 1 April 2008. สืบค้นเมื่อ 17 August 2009.
- ↑ Yamaguchi, Makoto (2006). "Questionable Aspects of Oliver Sacks' (1985) Report" (PDF). Journal of Autism and Developmental Disorders. 37 (7): 1396–1396. doi:10.1007/s10803-006-0257-0. PMID 17066308.
- ↑ Yamaguchi, Makoto (2007). "Response to Snyder's "Comments on Priming Skills of Autistic Twins and Yamaguchi (2006) Letter to the Editor: 'Questionable Aspects of Oliver Sacks' (1985) Report"" (PDF). Journal of Autism and Developmental Disorders. 37 (7): 1401. doi:10.1007/s10803-007-0397-x.
- ↑ Wilson, Peter (31 January 2009). "A savvy savant finds his voice". The Australian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-26. สืบค้นเมื่อ 12 March 2009.
- ↑ Sacks 2007, p. 158.
- ↑ Music Reviews, United Kingdom: BBC.
แหล่งอ้างอิงอื่น ๆ
- Sacks, Oliver (December 1985). The Man Who Mistook His Wife for a Hat, and Other Clinical Tales. Summit Books. ISBN 0-671-55471-9.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help) - Sacks, Oliver (2007-10-22). Musicophilia: Tales of Music and the Brain. Alfred A. Knopf. ISBN 978-1-4000-4081-0.
{{cite book}}
:|ref=harv
ไม่ถูกต้อง (help), 158 pp. - Sacks, Oliver, "The Man who mistook his wife for a hat", Books (official site).
- Sacks, Oliver, The Open Mind, Archive.