ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลำตัด"
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ล ย้อนการแก้ไขที่อาจเป็นการทดลอง หรือก่อกวนด้วยบอต ไม่ควรย้อน? แจ้งที่นี่ |
||
บรรทัด 7: | บรรทัด 7: | ||
[[หมวดหมู่:ศิลปะการแสดงไทย]] |
[[หมวดหมู่:ศิลปะการแสดงไทย]] |
||
{{โครงวัฒนธรรม}} |
{{โครงวัฒนธรรม}} |
||
การสนับสนุนภูมิปัญญาท้องถิ่นสาขาศิลปะการแสดงพื้นบ้าน |
|||
การสนับสนุนและเผยแพร่ศิลปะการแสดงลำตัด |
|||
สังคมใดสังคมหนึ่งจะตั้งมั่นและดำรงอยู่ได้อย่างถาวรนั้น จำเป็นจะต้องประกอบด้วยโครงสร้างของสังคมที่มั่นคงแข็งแรงไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางการเมือง การปกครอง สังคม ระบบการศึกษา เศรษฐกิจ และศิลปวัฒนธรรมซึ่งเป็นกลไกทางสังคม อันหมายถึงศิลปวัฒนธรรมที่ดำเนินอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมในระดับท้องถิ่น ที่ยังคงความเป็นแบบดั้งเดิม ในครั้งนี้ จึงเป็นแนวทางหนึ่งของการอนุรักษ์ และสืบสานความเป็นศิลปวัฒนธรรม ที่จะชี้ให้เห็นการดำรงอยู่ในบริบททางสังคมวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ ด้วยสภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแส ศิลปะทุกแขนงย่อมได้รับผลกระทบ การจะให้คงความเป็นลักษณะเดิมอยู่ตลอดเวลา จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ กล่าวคือ ศิลปะพื้นบ้านทั้งมวลย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามค่านิยม และอิทธิพลจากวัฒนธรรมภายนอก ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือนหาย การขาดความต่อเนื่อง และการผิดเพี้ยนจากของเดิม เพราะฉะนั้นการสืบสานและการอนุรักษ์จึงจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้ |
|||
กรุงเทพฯ 24 ธ.ค.- นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยการมีส่วนร่วมของผู้นำ เยาวชนจากกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการปกป้องคุ้มครองและถ่าย ทอดมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 28 ธันวาคม ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์คและจังหวัดราชบุรี โดยมีผู้นำเยาวชนที่ได้รับเลือกจากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติของแต่ละประเทศ (ยูเนสโก) ได้แก่ เวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย ฟิลิบปินส์ มาเลเซีย ติมอร์เลสเต และไทย รวมจำนวน 33 คน เข้าร่วมประชุม |
|||
โดยนายวีระ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ วธ.โดยสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากยูเนสโก เพื่อให้ผู้นำเยาวชนในกลุ่มสมาชิกได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ ตลอดจนเกิดความตระหนักในความหลากหลายของมรดกวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้และสร้าง เครือข่ายระหว่างกัน ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ อาทิ นิทาน การแสดงพื้นบ้านฯลฯ ซึ่ง สวช.ได้อนุรักษ์ด้วยการขึ้นทะเบียนไว้ และในอนาคตจะผลักดันให้มีการขึ้นทะเบียนในกรอบของยูเนสโก้ด้วย |
|||
ขณะนี้ สาขาที่เป็นห่วง คือ การแสดงพื้นบ้าน เช่น ลำตัด ลิเก หมอลำ เนื่องจากเป็นมรดกที่อยู่ในท้องถิ่น และกระแสความนิยมต่างประเทศมาแรง ทำให้ความนิยมของไทยลดลง สวช.จึงจัดทำหนังสือนามสงเคราะห์ ระบุรายละเอียดคณะการแสดง ทั้งชื่อคณะ ราคาและเบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เป็นข้อมูลสำหรับผู้ว่าจ้าง เพื่อร่วมกันอนุรักษ์มรดกเหล่านี้ไว้ ตลอดจนการปลูกฝังในกลุ่มเยาวชนให้ร่วมกันตระหนักและอนุรักษ์ .-สำนักข่าวไทย |
|||
เนื่องจากลักษณะเฉพาะของการละเล่นลำตัด เป็นการรวมเอาเพลงพื้นบ้านหลายชนิดเข้าด้วยกัน การศึกษา รวบรวม และบันทึก “ทำนองเพลง” เพลงลำตัดและบทเพลงพื้นบ้านที่ปรากฏอยู่ในการละเล่น |
|||
ลำตัด จึงจะเป็นการอนุรักษ์ทำนองเพลงทั้งหลายที่เป็นองค์ประกอบในการละเล่นดังกล่าวนั้นให้คงอยู่เป็นแบบฉบับดั้งเดิม ซึ่งจะเป็นแนวทางในการสืบสานที่ถูกต้องและต่อเนื่องตามแบบแผน อีกทั้งจะเป็นการสร้างจิตสำนึกให้คนในสังคมได้เล็งเห็นถึงความมีคุณค่าของเพลงที่ควรแก่การสืบทอดและการพัฒนาบนพื้นฐานของความเป็นศิลปะพื้นบ้านที่แท้จริง เพื่อเป็นพลังสำคัญสำหรับความอยู่รอดของสังคมวัฒนธรรมของชาติไทยเราสืบไป จึงเรียกได้ว่า เพลงลำตัดเป็นเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองชนิดหนึ่งของไทย ซึ่ง นิยมร้องกันในเขตภาคกลาง ทั้งนี้ มีต้นตอมาจาก “ลิเกบันตน” ของชาวมลายู ในต้นรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยลิเกบันตนดังกล่าว มีรูปแบบของการการแสดงแยกออกเป็น 2 สาขา สาขาหนึ่ง เรียกว่า “ ฮันดาเลาะ” และ “ลากูเยา” และลิเกบันตนลากูเยา มีลักษณะของการแสดงว่ากลอนสดแก้กัน โดยมีลูกคู่คอยรับ เมื่อต้นบทร้องจบ ต่อมาเมื่อมีการดัดแปลงกลายเป็นภาษาไทยทั้งหมด จึงเรียกกันว่า “ ลิเกลำตัด” ในระยะแรก และเรียกสั้น ๆ ในเวลาต่อมาว่า “ลำตัด” ซึ่งมีลักษณะของเพลง และทำนองเพลงที่นำมาให้ลูกคู่รับ โดยมากก็มักตัดมาจากเพลงร้องหรือเพลงดนตรีอีกชั้นหนึ่ง โดยเลือกเอาแต่ตอนที่เหมาะสมแก่การร้องนี้มาเท่านั้น ลำตัดเป็นการตั้งชื่อที่เหมาะสม เรียบง่าย มีความหมายรู้ ได้ดีมาก กล่าวคือ ตามความหมายเดิม “ลำ” แปลว่า เพลง เมื่อนำมารวมกับคำว่า “ตัด” หมายถึง การนำเอาเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ อีกหลายชนิดมา ตัดรวมเข้าเป็นบทเพลง เพื่อการแสดงลำตัด เช่น ตัดเอา เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงพวงมาลัยและเพลงอีแซว เป็นต้น เข้ามาเป็นการละเล่นที่เรียกว่าลำตัด |
|||
เพลงลำตัด มีระดับเสียงที่เคลื่อนที่เป็นทำนอง ปรากฏในบันตนและลำร้อง กล่าวคือ |
|||
1. บันตน พบว่ามีหลากหลายทำนองอาทิเช่น ทำนองแขกมลายู ทำนองแขกอินเดีย ทำนองเพลงไทยเดิมทำนองเพลงพื้นเมืองทำนองเพลงไทยสากลหรือลูกทุ่งตามสมัยนิยม |
|||
2.ลำร้องแบ่งตามโครงสร้างได้เป็น2ตอนคือ |
|||
2.1 สร้อยเพลง พบว่าทำนองของสร้อยเพลง ที่ยังคงใช้ร้องในการแสดงลำตัดทั่ว ๆ ไปจำแนก ได้เป็นทำนองกระพือ ทำนองกลาง ทำนองแขก ทำนองจักรรุน ทำนองมอญ ทำนองลาวหลงและทำนองโศก ทำนองที่ปรากฏเป็นที่นิยมร้องมากที่สุดตามลำดับได้แก่ ทำนองกลาง ทำนองจักรรุนและทำนองโศก ส่วนทำนองที่สูญหายไปด้วยสาเหตุที่ไม่ได้มีการสืบทอด เรียกว่าทำนองโบราณ สร้อยเพลงยังแบ่งส่วน การร้องออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนนำ ซึ่งเป็นส่วนที่ร้องนำโดยผู้เป็นต้นบทและส่วนลูกคู่ คือส่วนที่ผู้เป็นลูกคู่ร้องรับในบทกลอนเดียวกับส่วนนำ |
|||
2.2 บทร้อง พบว่า มีลักษณะการเคลื่อนที่ของระดับเสียงจัดแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การ เคลื่อนที่ของระดับเสียงไม่เป็นทำนอง มีลักษณะคล้ายบทพูดกึ่งร้อง โดยในขณะร้องไม่มีการประกอบจังหวะและการเคลื่อนที่ของระดับเสียงเป็นทำนอง ปรากฏรวมอยู่ในบทพูดกึ่งร้องได้แก่ทำนองโขยก ทำนองบทร้องในสร้อยเพลงทำนองลาวหลง และทำนองบทร้องของลำลอย โดยมีการประกอบจังหวะในขณะขับร้องด้วย ส่วนเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ ที่ปรากฏอยู่ในการแสดงลำตัดทั่วไปได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าวเพลงขอทาน เพลงฉ่อย เพลงเรือ เพลงพวงมาลัย และเพลงอีแซว โดยเพลงที่นิยมใช้ร้องมากที่สุดตามลำดับ คือเพลงฉ่อย,เพลงอีแซวและเพลงเกี่ยวข้าว |
|||
การบันทึกทำนองเพลงในลำตัดเป็นระบบโน้ตสากล บันทึกได้ในอัตราจังหวะ 24 ในทำนองเพลงพื้นบ้าน ภายใต้หลักเสียงโมด และอัตราจังหวะ 44 ในทำนองเพลงไทยสากลภายใต้ระบบบันใดเสียง ข้อค้นพบอื่น ๆ พบว่า การร้องเพลงในลำตัด ผู้เป็นต้นบทจะเป็นผู้ตั้งหลักเสียงในการร้อง ซึ่งการร้องรับของลูกคู่ ควรร้องในหลักเสียงเดียวกัน แต่หากร้องในหลักเสียงที่ต่างออกไปก็จะไม่ถือเป็นข้อผิดพลาด เพราะเนื้อหาและสำนวนกลอนที่ร้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า |
|||
ประเภทเพลง |
|||
การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง ตอน เพลงฉ่อย |
|||
ประวัติความเป็นมาของเพลงฉ่อย |
|||
เพลงฉ่อยเป็นเพลงพื้นบ้าน บทกลอนที่ใช้ร้องเป็นแบบเดียวกับเพลงเรือวิธีเล่นจะรวดเร็วกว่าเพลงเรือ นิยมแสดงในจังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี สารานุกรมบบัณฑิตยสถาน |
|||
เล่มที่ 9 ได้กล่าวถึง ฉะหน้าโรง (ฉ่อย) ไว้ดังนี้ |
|||
“ฉะหน้าโรง (ฉ่อย) เป็นการร้องเพลงฉ่อยหรือเพลงทรงเครื่องในตอนเบิกโรง การแสดงเพลงฉ่อย หรือเพลงทรงเครื่อง โดยประเพณีแล้วจะต้องเริ่มต้นด้วยการไหว้ครู คือทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะออกมาร้องไหว้คุณพระรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ ตลอดจนคุณบิดร มารดาเสียก่อน เมื่อจบแล้วปี่พาทย์ก็จะบรรเลงเพลงสาธุการ ครั้นเพลงสาธุการจบลงแล้วพ่อเพลง(หัวหน้าฝ่ายชาย) ก็จะเริ่มร้องเป็นการประเดิมเบิกโรง บางคณะก็จะร้องว่า |
|||
พอจนส่งลงวา ปี่พาทย์รับสาธุการ |
|||
ฆ้องระนาดฉาดฉาน ชาวประชามามุง |
|||
กลองก็ตีปี่ก็ต๊อย พวกเพลงก็ทอยกันมุง..ไป |
|||
ในตอนนี้ซึ่งเรียกว่า “ฉะหน้าโรง” การว่าเพลงกันในตอนนี้ผู้ชายจะร้องเชิญชวนจนฝ่ายหญิงออกมาร่วมร้องด้วย แล้วก็เกี้ยวพาราสีและว่าเหน็บแนมกันเจ็บ ๆ แสบ ๆ ถ้อยคำระหว่างชายหญิงที่ร้องว่ากันในตอนนี้ ในสมัยโบราณจะเต็มไปด้วยคำหยาบโลน อย่างดีก็เป็นสองแง่สองง่ามโดยตลอด เรียกการร้องตอนนี้ว่า “ประ” เห็นจะย่อมาจาก “ประคารม” การร้องเพลงฉะหน้าโรงนี้เป็นตอนที่ผู้ชมชอบฟังกันมาก เพราะจะได้เห็นความสามารถของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงใช้ปฏิภาณปัญญาร้องแก้กันได้อย่างถึงอกถึงใจ ถ้าผู้ร้องแก้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไม่ตกก็เป็นที่อับอายกัน ครั้นว่า “ประ” ในตอนฉะหน้าโรงนี้จนหมดกระบวนแล้ว ในสมัยโบราณมักจะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับเพลงหนัง เพลงที่ร้องนี้ คือ เพลงพม่าห้าท่อน 2 ชั้น เฉพาะท่อนต้นท่อนเดียวและยังทำให้เพลงได้ชื่อว่า “เพลงพม่าฉ่อย” ไปด้วย เมื่อเพลงพม่าฉ่อยนี้จบแล้ว ถ้าเป็นการเล่นเพลงฉ่อยก็จะร้องกันต่อไปตามแนวที่จะว่ากันอาจเป็นแนวการลักหาพาหนี หรือไต่ถามความรู้เป็นปัญหาธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆแต่ไม่ว่าจะร้องด้วยเรื่องอะไร ฝ่ายชายก็มักจะตอบวกเข้าเป็นเชิงสองแง่สองง่ามหยาบโลนอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นการแสดงเพลงทรงเครื่อง พอจบเพลงพม่าฉ่อยแล้ว ปี่พาทย์ก็จะบรรเลงวาหรือเพลงเสมอ ตัวแสดงออกมาเริ่มแสดงเป็นเรื่องราวต่อไป การแสดงเพลงทรงเครื่องนั้นแสดงเหมือนละครหรือลิเก ผู้แสดงแต่งเครื่องปักดิ้นเลื่อนแพรวพราวอย่างเดียวกัน แต่สมัยนั้นผู้แสดงต้องร้องเองและเพลงที่ร้องดำเนินเรื่องหรือพรรณนาใด ๆ ต้องใช้ทำนองเพลงฉ่อยทั้งสิ้น จะมีร้องส่งปี่พาทย์รับบ้างก็เพียงเล็กน้อย ส่วนเพลงหน้าพาทย์เชิด เสมอ โอด ฯลฯ มิใช่เช่นเดียวกับละครลิเก อาจารย์สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ได้กล่าวถึง “เพลงฉ่อย” ในวรรณคดี และวรรณกรรมปัจจุบันไว้ตอนหนึ่งว่า |
|||
การเล่นเพลงฉ่อย จะมีการปรบมือให้จังหวะ เนื้อเพลงนั้นคล้ายกับ เพลงพวงมาลัยและเพลงนี้ก็จะต้องจบลงด้วยสระไอทุกคำกลอนเช่นกัน แต่เมื่อจะถึงบทเกี้ยว ลักษณะเพลงจะคล้ายเพลงเรือลูกคู่นอกจากจะคอยปรบมือให้จังหวะแล้ว ก็จะต้องรับตอนจบว่า |
|||
“ชา เอ๋ ฉา ชา หน่อย แม่ เอย” |
|||
สำหรับแม่เพลงก่อนจะขึ้นบทใหม่ทุกครั้งต้องขึ้นว่า |
|||
“โอง โงง โง โฮะ ละ โอ่ โง๋ง โง๋ย” ในบทหนึ่งจะว่ายาวสักเท่าไรก็ได้ |
|||
วิธีเล่นเพลงฉ่อย |
|||
ผู้แสดง แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง มีพ่อเพลงและแม่เพลง เริ่มด้วยการไหว้ครู ใช้กลอนเพลงอย่างโคราช การร้องจะมีต้นเสียงและลูกคู่ร้องรับ ดนตรีใช้การตบมือเป็นจังหวะ |
|||
การเล่นเพลงฉ่อยนั้นได้แยกแยะวิธีการเล่นออกไปอีกหลายอย่างโดยคิดผูกเป็นเรื่องสมมติขึ้นเพี่อหาทางใช้วาทศิลป์ได้แปลก ๆ เช่น ชุดสู่ขอเป็นต้น |
|||
ชุดสู่ขอ จะต้องมีพ่อเพลงและแม่เพลงหลายคน อย่างน้อยก็ฝ่ายละ 3 คือ พ่อแม่ ของทั้งสองฝ่ายและตัวหนุ่มสาว แสดงถึงการไปว่ากล่าวสู่ขอตามประเพณี ซึ่งต่างก็จะใช้คารมโต้เถียงงอนกันไปเรื่อย และมักสิ้นสุดลงด้วยความไม่สำเร็จ อันเป็นต้นเหตุให้เกิดการลักหาพาหนี |
|||
การแต่งกาย |
|||
ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบนตามแต่ถนัด ใส่เสื้อรัดรูปมีสีสันสะดุดตา ทัดดอกไม้ ฝ่ายผู้ชายนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมสีต่าง ๆ |
|||
โอกาสที่แสดง |
|||
มักนิยมเล่นในงานเทศกาล หรืองานรื่นเริงของหมู่บ้าน ในวงการมหรสพต่าง ๆเช่น งานปีใหม่ ทอดกฐิน นำมาเป็นรายการแสดงก็มี |
|||
ตัวอย่างบทไหว้ครูชาย |
|||
ชา ฉ่า ชะชา เอิงเอยเอ่อเอิงเอ๊ย |
|||
มือของลูกสิบนิ้ว ยกขึ้นหว่างคิ้วถวาย |
|||
ต่างธูปเทียนทอง ทั้งเส้นผมบนหัว |
|||
ขอให้เป็นดอกบัว ก่ายกอง...เอย...ไหว้ |
|||
อีกทั้งเส้นผมบนหัว (ซ้ำ) ขอให้เป็นดอกบัวก่ายกอง(ซ้ำ)เอยไหว้...เอ่ชา |
|||
ลูกจะไหว้พระพุทธที่ล้ำ ทั้งพระธรรมที่เลิศ |
|||
ทั้งพระสงฆ์องค์ประเสริฐ ขออย่าไปติดที่รู้ |
|||
ถ้าแม้นลูกติดกลอนต้น ขอให้ครูช่วยด้นกระทู้ไป |
|||
ถ้าแม้นลูกติดกลอนตัน(ซ้ำ) ขอให้ครูช่วยด้นกระทู้(ซ้ำ) เอชา |
|||
รับเหมือนอย่างสองบทต้น ยกไหว้ครูเสร็จสรรพ หันมาคำนับกลอนว่า |
|||
ไหว้คุณบิดรมารดาท่านได้อุตส่าห์ถนอมกล่อมเกลี้ยงประโลมเลี้ยงลูกมา |
|||
ทั้งน้ำขุ่นท่านมิให้อาบ ขมิ้นหยาบมิให้ทา |
|||
ยกลูกบรรจงลงเปล ร้องโอละเห่-ละชา ไกว (รับ) |
|||
แม่อุตส่าห์นอนไกว จนหลังไหล่ถลอก |
|||
หน้าแม่ดำช้ำชอก มิได้ว่าลูกชั่ว |
|||
จะยกคุณแม่เจ้า วางไว้บนเกล้าของตัว...ไหว้ (รับ) |
|||
ตัวอย่างบทสู่ขอ |
|||
เราเป็นเถ้าแก่ จะต้องไปแหย่ข้างแม่ยาย |
|||
เราจะเข้าตามตรอกออกทางประตู ให้พ่อแม่เอ็งรู้ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ |
|||
พี่จะเตรียมทั้งขนมตั้งขนมกวย พี่ก็จัดแจงใส่ถ้วยออกไป |
|||
เตรียมขนมต้มไปเซ่นผี ให้น้องสักสี่ห้าใบ |
|||
พี่จัดทองหมั้นขันขันหมาก โตเท่าสากเจ๊กไท้ |
|||
ตัวอย่างบทลักหาพาหนี |
|||
พี่จะไปสู่ขอพี่ก็ท้อก็แท้ ทั้งพ่อทั้งแม่ของพี่ก็ตาย |
|||
รักกันให้ไปด้วยกัน ให้ไปกะฉันไม่เป็นไร |
|||
ที่เขารักกันหนาพากันหนี เขามั่งเขามีก็ถมไป |
|||
ถึงขึ้นหอลงโรง ถ้ากุศลไม่ส่งมันก็ฉิบหาย (เอชา) |
|||
ตัวอย่างชุดตีหมากผัว |
|||
แหมพิศโฉมประโลมพักตร์ แม่เมียน้อยน่ารักเสียนี่กระไร |
|||
เนื้อก็เหลืองไม่ต้องเปลืองขมิ้น สวยไปตั้งแต่ตีนตลอดไหล่ |
|||
อะไร ๆ แม่คนนี้ดีไปทุกสิ่ง เสียแต่เป็นหญิงตูดไวตูดไว (เอชา) |
|||
เขาว่าเมียเขาไม่ดี อยู่เอก็เปล่ากาย |
|||
เมียเขามีจริง แล้วเขาก็ว่าทิ้งกันไป |
|||
กินแล้วก็นอนร้องละครไปวันยังค่ำ งานการน่ะทำไปเสียเมื่อไร |
|||
ดีแต่ประแป้งแต่งตัว เอาแม่ผัวไปนินทาซุกหัวกระได |
|||
ผัวเขาเลยขายส่งไปเสียที่โรงตรอก ไม่รู้เมียหลวงลอยดอกมาเมื่อไร(เอชา) |
|||
เพลงฉ่อย การแสดงเพลงฉ่อยหรือเพลงทรงเครื่อง โดยประเพณีแล้ว จะเริ่มด้วยการไหว้ครู ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง จะออกมาร้องไหว้คุณพระศรีรัตนตรัย คุณครูบาอาจารย์ คุณ บิดามารดา เสียก่อน เมื่อจบแล้วปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงสาธุการจบแล้ว พ่อเพลงก็จะร้องเป็นการเบิกโรง เรียกว่า ฉะหน้าโรง ผู้ชายจะร้องเชิญชวนจนฝ่ายหญิงออกมาร่วมร้องด้วย แล้วก็เกี่ยวพาราสีและว่าเหน็บแนมกันเจ็บ ๆ แสบ ๆ ในสมัยโบราณจะเต็มไปด้วยคำหยาบโลน หรือมีความหมายสองแง่สองง่าม การร้องตอนนี้เรียกว่า ประ น่าจะย่อมาจากคำว่าประคารม เป็นตอนที่ผู้ชมชอบฟังกันมาก เพราะจะได้เห็นความสามารถของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงใช้ปฎิภาณร้องแก้กันได้ถึงอก ถึงใจ ถ้าแก้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ก็เป็นที่อับอายกัน เมื่อประในตอนฉะหน้านี้หมดกระบวนแล้ว ในสมัยโบราณมักจะร้องส่งให้ปี่พาทย์รับเพลงหนัง เพลงที่ร้องนี้คือ เพลงพม่าห้าท่อนสองชั้นเฉพาะท่อนเดียว และยังทำให้เพลงได้ชื่อว่า เพลงพม่าฉ่อย ไปด้วย |
|||
การเล่นเพลงฉ่อย จะมีการปรบมือให้จังหวะ เนื้อเพลงคล้ายเพลงพวงมาลัย เพลงจะต้องจบลงด้วยเสียงสระโอทุกคำกลอน เช่นกัน แต่เมื่อถึงบทเกี้ยวเพลงจะคล้ายเพลงเรือ สำหรับลูกคู่ นอกจากจะปรบมือให้จังหวะแล้วก็จะต้องร้องรับตอนจบว่า "ชา เอ๋ ฉา ชา หน่อย แม่ เอย" สำหรับแม่เพลงฉ่อยจะขึ้นบทใหม่ทุกครั้งต้องขึ้นว่า "โอง โวง โว โชะ ละ โอ่ โง๋ง โง๋ย " |
|||
เพลงอีแซว มีความเป็นมาที่ยาวนาน มากกว่า ๑๐๐ ปี โดยในช่วงแรกๆ นั้นมีลักษณะเป็นเพลงปฏิพากย์ ( เพลงโต้ตอบ ) ที่ หนุ่มสาวใช้ร้องยั่วเย้า เกี้ยวพาราสีกันอย่างง่ายๆ สั้นๆ กระทั่งเมื่อ ๖๐ - ๗๐ ปีที่ผ่านมาจึงได้พัฒนาเป็นเพลงปฏิพากย์ยาวคือมีเนื้อเพลงที่ใช้ร้องในแต่ละ ครั้งยาวมากขึ้น พร้อมกับมีการดัดแปลงทำนองและลักษณะการร้องรับของลูกคู่ด้วยความนิยมในเพลง อีแซวทำให้สามารถ แสดงได้เกือบทุกสถานที่และทุกโอกาสเพียงแต่ จะไม่มีการแสดงในงานแต่งงาน |
|||
วงอีแซวจะไม่มีข้อกำหนดเรื่อง จำนวนผู้แสดง แต่ในวงหนึ่งๆ จะมีการจัดสรรตำแหน่งหน้าที่ ของผู้แสดงประกอบด้วย พ่อเพลง ( ผู้ร้องนำฝ่ายชาย ) แม่เพลง ( ผู้ร้องนำฝ่ายหญิง ) คอต้น ( ผู้ร้องเพลงโต้ตอบคนแรก ) คอสอง , คอสาม ( ผู้ร้องคนที่สองและ สาม ) และ ลูกคู่ ( จำนวนไม่จำกัด มีหน้าที่ร้องรับ ร้องซ้ำความ ร้องสอดแทรกขัดจังหวะ เพื่อความสนุกสนาน ) เพลงอีแซวมีจ ะดำเนินการแสดงโดยมีเนื้อหาเรียงลำดับ เริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู บทเกริ่น บทประ และจบท้ายด้วยบทจาก หรือบทลา |
|||
ตัวอย่างเพลงที่ใช้ในการเล่นลำตัด |
|||
(สร้อย) วาววับ ฉันรักสาลิกา (ซ้ำ) ส่งเสียงเจรจา อยู่ในคาคบไพร |
|||
น้องนางแหมช่างโสภี (ชะ ชะ) น้องนางแหมช่างโสภี |
|||
ใส่เสื้อแพรสี จั๊กกระจี้หัวใจ |
|||
(สร้อย) นัตตา มะรมบิดตา มะรมบิดตา (ชะ) มะรมบิดตอย (ซ้ำ |
|||
ช่อมะกอก ดอกลั่นทม (ซ้ำ) มาพบคนปากคม มันช่างสมใจคอย |
|||
(สร้อย) สาลิกา โผมา ทางไหนแน่ สาลิกา โผมา ทางไหนแน่ |
|||
สองตาคอยแล (ซ้ำ) แล้แล ไม่งามงอน |
|||
(สร้อย) คนเรา เกิดมา วาสนา ไม่แน่นอน (ซ้ำ) |
|||
พลัดพราก จากถิ่น เอ๊ย.. พลัดพราก จากถิ่นไปหากินแรมรอน |
|||
(สร้อย) ฮุยเล ฮุยเล ฮุ้ยเล เล ฮุ้ยลา (ซ้ำ) |
|||
ถึงวัน สัญญา (ซ้ำ) รำมะนา เกรียวกราว |
|||
(สร้อย) เล๊ เล๊ เล เล เหล่ หาลิเก มาเฮ่สำเภา (ซ้ำ) |
|||
น้องเอ๊ย น้องนาง (ซ้ำ) ว่างไหมว่าง มานั่งจับเงา |
|||
(สร้อย) สาลิกา โผมาทางไหนแน่ สาลิกา โผมาทางไหนแน่ |
|||
สองตา คอยแล (ซ้ำ) แล้แล ขอแค่ชายตา |
|||
นี่เป็น วัฒนธรรม เล่นกันตาม สำนวน |
|||
มีตอนใด ไม่สมควร อย่าเพิ่งด่วน หนีหน้า |
|||
ในนามของ นักเพลง ร้องบรรเลง ด้วยคารม |
|||
ขอให้เกียรติ ท่านผู้ชม ที่ยังนิยม เสน่หา |
|||
ให้โอกาส เพลงพื้นบ้าน นำผลงาน ของท้องถิ่น |
|||
เหมือนเปิดกรุ ที่ฝังดิน นำทรัพย์สิน ที่มีค่า |
|||
ของปู่ย่า ตายาย ที่เหลือให้ ลูกหลาน |
|||
เป็นมรดก พื้นบ้าน มายาวนาน หนักหนา |
|||
วันนี้ลูกได้ นำผลงาน เพลงพื้นบ้าน ภาคกลาง |
|||
แสดงไว้เป็น ตัวอย่าง เพื่อเบิกทาง คราวหน้า |
|||
ลำตัด ลิเก เพลงเรือ กำลังจะ เหลือน้อย |
|||
เพลงอีแซว เพลงฉ่อย ผู้คนไม่ค่อย ศรัทธา |
|||
เพลงเต้นกำ รำเคียว น่าหวาดเสียว ว่าจะสูญ |
|||
เพลงขอทาน ยังขาดทุน แทบไม่เหลือ คุณค่า |
|||
ถ้าหากแบ่ง ใจได้ ขอปันใจ ให้มาบ้าง |
|||
ถึงแม้จะเป็น เส้นทาง ที่รกร้าง ก็จะฝ่า |
|||
จะขอสืบสาน ตำนานเพลง ที่เคยบรรเลง ในท้องถิ่น |
|||
เพื่อเอกลักษณ์ ของแผ่นดิน ไปจนสิ้น ชีวา |
|||
(สร้อย) สาลิกา โผมา ทางไหนแน่ สาลิกา โผมา ทางไหนแน่ |
|||
สองตา คอยแล (ซ้ำ) แล้แล ขอแค่ชายตา |
|||
(สร้อย) ลมเย็น ลมเย็นพัดกล้า นกสาลิกาบิมาไวๆ |
|||
(เนื้อร้อง) พวกเรานักเรียน พากเพียรก้าวหน้า |
|||
เล่าเรียนวิชา ไม่น้อยหน้าผู้ใด |
|||
หวังจะช่วยชาติ สืบศาสนา |
|||
ให้เชิดชื่อลือชา แกล้วกล้าเกรียงไกร (รับ) |
|||
การแต่งกาย |
|||
ฝ่ายชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม หรือคอพวงมาลัย สีของเสื้ออาจเป็นสีพื้นหรือลายดอก มีผ้าขาวม้าผูกเอว หรือ ใช้สำหรับพาดไหล่ |
|||
ฝ่ายหญิง นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อตามความเหมาะสมของอายุและวัย ห่มสไบ ส่วนเครื่องประดับนั้น มักมีตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่จะเป็นของส่วนตัว ในปัจจุบัน เสื้อของผู้แสดงฝ่ายหญิง มักออกแบบให้ทันสมัย เป็นผ้าลูกไม้บ้าง ผ้าที่มีความมันและแวววาวบ้าง ตัดเย็บอย่างสวยงาม เพื่อเป็นการตึงดูดใจของผู้ชม |
|||
ตัวอย่างเครื่องแต่งกาย |
|||
เครื่องดนตรี |
|||
กลองรำมะนา ฉิ่ง |
|||
ฉาบ (ฉาบเล็ก,ฉาบใหญ่) กรับ |
|||
โอกาสที่แสดง |
|||
มักนิยมเล่นในงานมหรสพต่าง ๆ แต่เมื่อมีคนนิยมหรือแพร่หลายออกไปจึงเกิดมีการประชันแข่งขันกันขึ้นแทนที่ จะว่าแก้กันในหมู่วงเดียว เดิมทีเดียวใช้ผู้แสดงเป็นชายล้วน ๆ ไม่มีหญิงปนเลยต่อมาในระยะหลังได้มีวิวัฒนาการมีชายหญิงแสดงร่วมกัน |
|||
ศิลปินแห่งชาติที่ควรรู้จัก |
|||
นายหวังดี นิมา หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนาม หวังเต๊ะ เกิดเมื่อเดือนมีนาคม2468 ปัจจุบันพักอาศัย ที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี หวังเต๊ะ เป็นศิลปินผู้มีความสามารถ เป็นเลิศ ด้านศิลปะเพลงพื้นบ้าน มีความชำนาญเป็นพิเศษในการแสดงลำตัด โดยตั้งชื่อคณะว่า “ ลำตัดหวังเต๊ะ” รับงานแสดงเป็นอาชีพมาจนถึงปัจจุบันกว่า 40 ปี จนชื่อหวังเต๊ะแทบจะกลายเป็น สัญลักษณ์ของลำตัด กล่าว ได้ว่า หวังเต๊ะ เป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ให้ยืนยงอยู่ได้อย่างน่าภาคภูมิใจยิ่ง |
|||
หวังเต๊ะ เป็นศิลปินที่มีความสามารถรอบตัวมีความเป็นเลิศทั้งด้านปฏิภาณและความคิดใน การแสดงเพลงพื้นบ้านสามารถ ด้นกลอนสดและแต่งคำร้องได้อย่างคมคายเหมาะสมกับลีลาและ สถานการณ์สร้างความบันเทิงเริงรมย์แก่ผุ้ฟังผมชอมตลอดเวลายากจะหาใครเทียบ ได้ ทั้งในอดีตและปัจจุบันหวังเต๊ะได้แสดงให้มหาชนประจักษ์ถึงอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาและการแสดง ได้อย่างเชี่ยวชาญสมกับสุนทรียลักษณ ์ของภาษาไทยที่มีมาแต่โบราณกาล |
|||
นอกจากนั้นหวังเต๊ะยังเป็นศิลปินผู้มี คุณธรรมได้ใช้ศิลปะการแสดงเป็นสัมมาชีพอย่างซื่อสัตย์ตลอดมา ทั้งได้ถ่ายทอดศิลปะวิชาให้แก้ทั้งบุคคลในคณะและสถาบันต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ นับได้ว่า หวังเต๊ะ เป็นศิลปิน ที่ได้บำเพ็ญประโยชน์ ทั้งด้านสร้างสรรค์และอนุรักษ์ศิลปะ อันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมไทยมาตลอด ระยะเวลายาวนาน จนได้รับการเชิดชูเกียรติเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง( เพลงพื้นบ้าน)ประจำปี |
|||
นางประยูร ยมเยี่ยม |
|||
ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ลำตัด) พุทธศักราช |
|||
แม่ประยูร มีชื่อและนามสกุลจริงว่า นางประยูร ยมเยี่ยม เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พุทธศักราช 2476 ที่จังหวัดนนทบุรีปัจจุบันอายุ68ปีท่านมีนิสัยรักการอ่านมาตั้งแต่เด็ก สามารถอ่านบทร้อยกรองได้อย่างไพเราะทั้งยังมีความทรงจำดีเยี่ยมเมื่ออายุได้ ราว 13-14ปี คุณตาของท่านซึ่งมองเห็นแววว่าท่านน่าจะเป็นนักแสดงที่ดีได้จึงสนับสนุนให้ เอาดีทางด้านการแสดงโดยการไหว้วานคนรู้จักที่ชื่อนายแดงให้ ช่วยหาครูสอนเพลงพื้นบ้านให้ นายแดงจึงได้พาแม่ประยูรไปเรียนกับครูบาง ที่ตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งครูบางก็ได้สอนการเล่นลำตัดให้จนแม่ประยูรเล่นได้ดี และเริ่มออกแสดงลำตัดเป็นครั้งแรกเมื่อราวปี 2491 ขณะที่มีอายุได้ 15 ปี ครั้นอายุประมาณ 18 ปี แม่ประยูรก็ได้สมัครเข้าเล่นลำตัดกับคณะแม่จำรูญซึ่งเป็นลำตัดที่มี ชื่อเสียงมากในสมัยนั้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งแม่จำรูญก็ได้ช่วยถ่ายทอดเพลงพื้นบ้านและลำตัดให้แม่ประยูรอย่างเต็มที่ ทำให้เกิดความชำนาญและมีประสบการณ์ยิ่งขึ้น สามารถด้นกลอนสด และแต่งคำร้องได้อย่างเฉียบแหลมคมคาย และได้มีโอกาสออกแสดงเป็นประจำ จนเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป |
|||
ในช่วงที่ร่วมคณะลำตัดกับแม่จำรูญนั้นแม่ประยูรก็ได้พบกับ“หวังเต๊ะ”และได้ ร่วมประชันลำตัดกันอย่างสม่ำเสมอจน กลายเป็นคู่ประชันลำตัดยอดนิยมสูงสุดจากนั้นก็ได้แต่งงานอยู่กินกันจนมีบุตร ด้วยกัน 2 คนก่อนที่จะหย่าขาดจากกันแต่ก็ยังคงแสดงลำตัดร่วมกัน ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากลำตัดแล้ว แม่ประยูรยังมีความสามารถในการแสดงเพลงพื้นบ้านอีกหลายประเภท ได้แก่ เพลงเกี่ยวข้าว เพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเรือ และเพลงขอทาน เป็นต้น |
|||
นางสาวแก้วเจ้าจอม จันทร์รัศมีหรือน้องก้อย ประธานชมรมทูบีนัมเบอร์วันชุมชนร่วมใจพัฒนา เขตลาดกระบังเล่าให้ฟังว่าชมรมทูบีนัมเบอร์วัน ชุมชนร่วมใจพัฒนา เขตลาดกระบัง ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 28 ธันวาคม 2549 ปัจจุบันมีสมาชิก 151 คนและกำลังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากทางชมรมไม่ได้จำกัดถ้าเด็กคนไหนสนใจในกิจกรรมของชมรมก็สามารถสมัคร เข้ามาเป็นสมาชิกได้และจะได้รับการฝึกฝนร่วมกับคณะโดยทันที ส่วนเด็กที่เสียงดีมีแววลุงประสิทธิ์ก็จะฝึกให้ร้องลำตัดเพราะในคณะลำตัดจะ มีคนร้องเป็นเพียง 4-5 คน เท่านั้น ประกอบกับตอนนี้ทางชมรมคิดที่จะทำลำตัดเด็กขึ้นมาด้วย เพื่อจะได้สืบทอดจากรุ่นพี่ที่กำลังจะโตไปสู่วัยผู้ใหญ่ โดยมีแผนที่จะเริ่มฝึกให้เด็กที่อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ได้รับการฝึกฝนทั้งร้องแลรับรวมทั้งให้ออกงานร่วมกับรุ่นพีด้วย เพื่อให้ตัวเด็กได้เห็นความสำคัญในตัวเองและได้รับการปลูกฝังเด็กให้มีใจรัก ในลำตัดของไทยเราด้วย และขอฝากถึงเยาวชนไทยในบ้านเราด้วยว่า "ลำตัดเป็นศิลปวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้เพราะจะเป็นตัวที่สะท้อน ความเป็นคนไทยของบ้านเราได้อย่างดีเยี่ยม หากใครมีใจชื่นชอบและสนใจในกิจกรรมเหล่านี้ก็ควรที่จะเรียนรู้และฝึกฝนและ ไม่ต้องอายที่จะแสดงออกในทางที่ถูกที่ดี" ภายในชมรมได้มี กิจกรรมการละเล่นลำตัดพื้นบ้าน เพื่อสืบสานประเพณีของไทยเรา โดยได้รับความอนุเคราะห์จากลงประสิทธิ์ ฮีมวิเศษ คนในชุมชนเป็นผู้เฝกสอนให้ร้องลำตัด สอนเล่นกลองยาวอังกะลุง รำมะนา และอื่นๆ |
|||
"ลำตัด" นับเป็นศิลปวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยและเป็นกิจกรรมที่ได้ช่วยปลูกฝังจิตสำนึก ในความเป็นคนดีให้กับเยาวชนทูบีนัมเบอร์วันชุมชนร่วมใจพัฒนา เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้เยาวชนห่างไกลจากยา เสพติด เป็นกิจกรรมที่ช่วยเติมเต็มทักษะชีวิตและพัฒนาศักยภาพของเยาวชนผู้เป็น สมาชิก จนสามารถพัฒนาเป็นอาชีพเสริมเพื่อหารายได้ ช่วยให้ชีวิตของเยาวชนมีความมั่นคงมากขึ้นและเป็นกำลังใจสำคัญของสมาชิกช่วย ให้มีพลังในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีงามและพร้อมที่จะสืบทอดกิจกรรมนี้ให้ เด็กและเยาวชนในที่อื่นๆ ได้นำไปใช้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป... |
|||
ลำตัด จึงถือเป็นศิลปวัฒนธรรมของไทยอีกแขนงหนึ่ง หากเยาวชนไทยไร้ความชื่นชอบที่จะสืบทอดและสานต่อเพราะอาจจะเห็นว่าการร้อง ลำตัดเป็นเรื่องที่ยากจะฝึกฝน จนกลายเป็นช่องว่างให้เยาวชน รับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาและอาจทำให้การร้องลำตัดต้องเลือนหายไปจาก สังคมไทยในไม่ช้า... |
|||
ในปัจจุบันศิลปะการแสดงลำตัดแทบจะหาดูได้ยากและไม่มีคนมาเรียนรู้และสืบทอดการแสดงลำตัดเท่าที่ควรเราจึงอยากจัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังได้หันกับมาสนใจและให้ความสำคัญอีกครั้ง |
|||
ด้วยแนวคิดดังกล่าวที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปะการแสดงลำตัด ผู้รับผิดชอบโครงการจึงได้สนใจที่จะศึกษาศิลปะการแสดงพื้นบ้านลำตัดและจัดทำโครงการสนับสนุนและเผยแพร่ลำตัดครั้งนี้ขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งการรักษาศิลปวัฒนธรรมด้านเพลงพื้นบ้านให้คงอยู่เป็นเอกลักษณ์ของชาติและท้องถิ่นของไทยสืบไป |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:59, 2 มกราคม 2554
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
ลำตัด เป็นการแสดงที่มาจากการแสดงลิเกบันตนของมลายู ลำตัดจะมีลักษณะตัด และเฉือนกันด้วยเพลง (ลำ) การว่าลำตัดจึงเป็นการว่าเพลงรับฝีปากของฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงโดยตรง มีทั้งบทเกี้ยวพาราสี ต่อว่า เสียดสี แทรกลูกขัด ลูกหยอด ให้ได้ตลกเฮฮากัน สำนวนกลอนมีนัยยะออกเป็นสองแง่สองง่าม เครื่องดนตรีที่ใช้ คือ กลองรำมะนา ฉิ่ง วิธีแสดงจะมีต้นเสียงร้องก่อน โดยส่งสร้อยให้ลุกคู่ร้องรับ แล้วจึงด้นกลอนเดินความ เมื่อลงลูกคู่ก็จะรับด้วยสร้อยเดิมพร้อมกับตีรำมะนา และฉิ่งเข้าจังหวะการร้องรับนั้นด้วย