ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัก (ไม้พุ่ม)"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ล ย้อนกลับไปรุ่นของ Harley Hartwell ด้วยสจห.: ละเมิด |
||
บรรทัด 30: | บรรทัด 30: | ||
== ประเพณีและความเชื่อ == |
== ประเพณีและความเชื่อ == |
||
ใน[[ประเทศไทย]]นิยมนำดอกรักมาร้อยเป็น[[มาลัย]]ร่วมกับดอก[[มะลิ]] [[ดาวเรือง]] [[จำปา]] หรือ[[กุหลาบ]] ใช้ในงานมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับ[[ความรัก]] เพราะดอกรักสื่อความหมายถึงความรัก เช่น งานหมั้น และงานแต่งงาน โดยใช้ในขันหมากหมั้น ขันหมากแต่ง จัดพานรองรับน้ำสังข์ ร้อยเป็นมาลัยบ่าวสาว และโปรยบนที่นอนในพิธีปูที่นอน ส่วนชาว[[ฮาวาย]]ถือว่ามาลัยดอกรักที่ทำเป็นสร้อยคอ (lei) คือสัญลักษณ์ของความเป็น[[กษัตริย์]] |
ใน[[ประเทศไทย]]นิยมนำดอกรักมาร้อยเป็น[[มาลัย]]ร่วมกับดอก[[มะลิ]] [[ดาวเรือง]] [[จำปา]] หรือ[[กุหลาบ]] ใช้ในงานมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับ[[ความรัก]] เพราะดอกรักสื่อความหมายถึงความรัก เช่น งานหมั้น และงานแต่งงาน โดยใช้ในขันหมากหมั้น ขันหมากแต่ง จัดพานรองรับน้ำสังข์ ร้อยเป็นมาลัยบ่าวสาว และโปรยบนที่นอนในพิธีปูที่นอน ส่วนชาว[[ฮาวาย]]ถือว่ามาลัยดอกรักที่ทำเป็นสร้อยคอ (lei) คือสัญลักษณ์ของความเป็น[[กษัตริย์]] |
||
== ดอกรักกับภาษาไทย == |
|||
“เห็นดงรักริมคลอง ทั้งสองฟาก ยิ่งรักมากมัวจิตพิศวง...” |
|||
ข้อความข้างบนนี้คัดมาจากนิราศพระแท่นดงรัง ซึ่งเชื่อกันว่าแต่งโดยเสมียนมี (หมื่นพรหมสมพักสร) ในสมัยรัชกาลที่ 3 กว่าร้อยปีมาแล้ว |
|||
จากข้อความเพียง 2 บรรทัดนี้ บอกเล่าถึงสภาพชนบทสองฟากคลองในสมัยโน้น ซึ่งรกร้างว่างเปล่า มีต้นรักขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมาก ยิ่งทำให้ความรักเพิ่มมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าชื่อของต้นรักมีผลต่อความรู้สึกของกวี และคนไทยทั่วไปให้นึกถึงความรักเสมอ แม้เวลาจะผ่านไปนับร้อยปีแล้ว แต่ความรู้สึกของคนไทยที่ต่อต้นรักก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ยังคงนึกถึงความรักเหมือนเดิม เห็นได้ชัดเจนจากพวงมาลัยที่คล้องให้บ่าวสาวในวันแต่งงานจำเป็นต้องมีดอกรักเป็นส่วนสำคัญเสมอ |
|||
คนไทยมองต้นรักคู่กับความรักมานานเป็นร้อยๆ ปี จนทำให้มีน้อยคนจะทราบว่าต้นรักไม่ใช่ต้นไม้ดั้งเดิมของไทย และชื่อเดิมของต้นรักนั้นมีความหมายตรงกันข้าม คือ แปลว่า ไม่รัก ดังนั้นฐานะของต้นรักในท้องถิ่นดังกล่าวจึงแตกต่างจากต้นรักในประเทศไทยมาก นี่แสดงให้เห็ฯความสำคัญของชื่อได้อย่างชัดเจน |
|||
รัก : นักเดินทางผู้ประสบความสำเร็จ |
|||
รักเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Calotropis gigantean R. Br. อยู่ในวงศ์ Asclepiadaceae พุ่มรักมีกิ่งก้านสาขาแผ่ออกไปทางด้านข้างพอๆ กับส่วนสูง เมื่อโตเต็มที่สูงราว 3 เมตร ลำต้นอ่อนปกคลุมด้วยขนสีขาวละเอียด |
|||
ใบมีขนาดใหญ่รูปมนรีสีเขียวปนเทา มีขนละเอียดปกคลุม เมื่อกระทบแสงจะสะท้อนเป็นเสีเหลืองนวล ใบกว้างราว 10-13 เซนติเมตร ยาวราว 20-25 เซนติเมตร |
|||
ดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งหรือ โคนก้านใบใกล้ส่วนยอด ดอกมีสีขาวหรือม่วง (หรือขาวอมม่วงก็มี) มีกลีบดอก 5 กลีบ ตรงกลางดอกมีส่วนหนึ่งยื่นขึ้นมารูปร่างคล้ายมงกุฎ มี 5 แฉก ส่วนนี้นิยมแยกเอามาใช้ร้อยพวงมาลัย |
|||
ผลของรักมีรูปร่างกลมยาว เมื่อยังอ่อนเปลือกสีเขียว เมื่อแก่จัดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้วแตกออก เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ภายในมากมายจะปลิวไปตามลมได้ไกลๆ เพราะมีปุยติดอยู่กับเมล็ด |
|||
รักเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะสภาพดินไม่สมบูรณ์และความแห้งแล้งจึงมักพบรักขึ้นเองตามธรรมชาติได้ทั่วไปในพื้นที่ซึ่งปล่อยให้รกร้างและบริเวณข้างถนนและลำคลอง |
|||
เชื่อกันว่ารักมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิม อยู่ที่อินเดีย บางทีอาจรวมพื้นที่บางส่วนของจีน ทิเบต และอิหร่านด้วย ซึ่งเป็นเขตร้อนที่ค่อนข้างแห้งแล้ว ดินเลว รักทีพบในเมืองไทยคงมาจากอินเดีย เพราะคนไทยเรียกชื่อต้นรักคล้ายกับอินเดียมาก คือในอินเดีย เรียกว่า อรัก (อะรัก แปลว่าไม่รัก) คนไทยคงฟังไม่ถนัดจึงเรียกว่า รัก ทำให้ความหมายกลายเป็นตรงข้าม แต่เป็นความหมายที่ดี รักในเมืองไทยจึงอยู่ในฐานะพิเศษ เป็นที่รักและใกล้ชิดคนไทยในพิธีกรรมต่างๆ มากที่สุดชนิดหนึ่ง ถือเป็นไม้มงคลที่คนไทยแทบทุกคนเคยเกี่ยวข้องด้วย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม |
|||
จากต้นไม้ซึ่งไม่มีใครรักในถิ่นกำเนิดดั้งเดิม (อินเดีย) กลายมาเป็น ต้นไม้แห่งความรัก ที่คนไทยใช้แทนความรักอย่างเป็นทางการ นับว่าต้นรักเป็นนักเดินทางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาพืชจากต่างแดนที่เดินทางมาสู่ประเทศไทย |
|||
ชื่อที่ใช้เยกต้นรักในประเทศไทยคือ รัก รักดอก ภาคกลาง) รักขาว รักซ้อน รักเขา (เพชรบูรณ์) ปอเถื่อน ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Giant Indian Milkweed. Crown Flower จะเห็นว่าภาษาอังกฤษเรียกตามลักษณะดอกที่คล้ายมงกุฎ หรือลักษณะที่มีน้ำยาสีขาวเหมือนน้ำนมตามส่วนต่างๆ ของลำต้น และยังบอกอีกว่าเป็นวัชพืชและมาจากอินเดีย |
|||
สำหรับหมอพื้นบ้านชาวไทย เรียกต้นรักที่มีดอกสีม่วงต้นธุดงค์ |
|||
ต้นรักที่เป็นพืชดั้งเดิมมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยนั้น เป็นต้นไม้ใหญ่ อยู่ในวงศ์เดียวกับมะม่วง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melanorrhoea usitata Wall. ชื่อเรียกในภาษาไทยคือ รักหลวง และรักใหญ่ ในลำต้นมียางสีดำ ใช้ประโยชน์ในการลงพื้นหรือทาสิ่งต่างๆ เรียกว่าลงรัก เช่น รองพื้นแล้วปิดด้วยทองคำเปลว เรียกว่าลงรักปิดทอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังใช้ทำงานฝีมือที่เรียกว่า เครื่องเขิน และทาผ้า หรือเครื่องจักสานกันน้ำซึมได้ด้วย |
|||
รักในชีวิตคนไทย |
|||
หมอพื้นบ้านไทยใช้ส่วนต่างๆ ของรักเป็นสมุนไพรรักษาโรคหลายชนิด เช่น |
|||
ใบ แก้ริดสีดวงทวาร แก้คุดทะราด |
|||
ยาง แก้ริดสีดวงในลำไส้ ขับพยาธิไส้เดือน |
|||
ดอก แก้กลาก เกลื้อน |
|||
ผล แก้รังแค |
|||
ในทางไสยศาสตร์นิยมใช้รากต้นรักที่มีดอกซ้อนสีขาวมาแกะเป็นรูปพระปิดตา (พระควัมปติ หรือภควัม) เป็นรูปนางกวัก หรือรูปเด็กขนาดเล็กนำมารวมกับรูปเด็กที่แกะจากรากมะยม รวมเรียกว่า รักยม แล้วแช่ในขวดเล็กๆ ที่ใส่น้ำมันจันทน์ นับเป็นของขลังที่ชายไทยในชนบทภาคกลางสมัยก่อนนิยมพกติดตัวเวลาออกจากบ้าน |
|||
สำหรับใบของรักนั้น ก็นำมาใช้ทำเสน่ห์ให้คนรักได้ โดยใช้ใบต้นรักซ้อนสีขาวเช่นเดียวกัน |
|||
ในงานแต่งงานของคนไทยภาคกลาง นอกจากใช้ดอกรักร้อยเป็นพวงมาลัยสวมให้เจ้าบ่าว เจ้าสาวแล้วยังใช้ใบรักรองก้นขันใส่สินสอดและขันใส่เงินทุนที่ให้แก่คู่สมรสอีกด้วย |
|||
ดอกรักนับเป็นสินค้าเกษตรที่คนไทยต้องการตลอดปี เพราะใช้ในการร้อยพวงมาลัยเกษตรกรบางแห่งปลูกต้นรักเอาไว้เก็บดอกมาร้อยพวงมาลัยขายเอง ซึ่งมักพบว่าปลูกคู่ไปกับมะลิลา เพราะใช้ประกอบเป็นพวงมาลัยที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุดและมักปลูกต้นจำปีด้วย เพราะนอกจากจะเป็นดอกไม้ยอดนิยมสำหรับนักร้อยพวงมาลัยแล้ว ทั้งรักมะลิลาและจำปี ยังให้ดอกได้ตลอดปีอีกด้วย |
|||
== อ้างอิง == |
|||
{{รายการอ้างอิง}}http://www.doctor.or.th/node/3524.html |
|||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
บรรทัด 69: | บรรทัด 36: | ||
* http://202.143.137.109/0538/amazing%20village44.htm |
* http://202.143.137.109/0538/amazing%20village44.htm |
||
* http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK23/chapter7/t23-7-l5.htm |
* http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK23/chapter7/t23-7-l5.htm |
||
* http://www.doctor.or.th/node/3524.html |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
||
{{commonscat|Calotropis gigantea}} |
{{commonscat|Calotropis gigantea}} |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:34, 1 ตุลาคม 2552
ต้นรัก | |
---|---|
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Plantae |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Angiosperms |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Eudicots |
ไม่ได้จัดลำดับ: | Asterids |
อันดับ: | Gentianales |
วงศ์: | Apocynaceae |
วงศ์ย่อย: | Asclepiadoideae |
สกุล: | Calotropis |
สปีชีส์: | C. gigantea |
ชื่อทวินาม | |
Calotropis gigantea (L.) W.T.Aiton |
รัก (ชื่อวิทยาศาสตร์: Calotropis gigantea (Linn.) R.Br.ex Ait.) เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กในวงศ์ Apocynaceae วงศ์ย่อย Asclepiadoideae สูง 1.5–3 เมตร ทุกส่วนมียางขาวเหมือนน้ำนม ตามกิ่งมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม รูปรีแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนเว้า กว้าง 6–8 เซนติเมตร ยาว 10–14 เซนติเมตร เนื้อใบหนา ใต้ใบมีขนนุ่ม ก้านสั้น ดอกสีขาวหรือสีม่วง ออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2–3 เซนติเมตร มีรยางค์เป็นคล้ายมงกุฎ 5 สัน มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ผลเป็นฝักคู่ กว้าง 3–4 เซนติเมตร ยาว 6–8 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกได้เมล็ดแบนสีน้ำตาลจำนวนมาก มีขนสีขาวเป็นกระจุกอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง
รักเป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย ศรีลังกา อินเดีย และจีน ดอกของพืชชนิดนี้เรียกว่า ดอกรัก
การขยายพันธุ์
ปกติแล้วต้นรักมักขึ้นอยู่ตามที่รกร้าง ไม่ค่อยมีการเพาะปลูกกัน แต่สำหรับอุตสาหกรรมในครัวเรือนอาจจะต้องปลูกไว้ใช้ รักขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด หรือการปักชำ ระยะเวลาเติบโตจนออกดอกประมาณ 8 เดือน ใส่ปุ๋ย 16-16-16 เดือนละ 1 ครั้ง
สรรพคุณ
- ดอก รักษาอาการไอ หอบหืด และหวัด ช่วยให้เจริญอาหาร
- เปลือกและราก ใช้รักษาโรคบิด ขับเหงื่อ ขับเสมหะ ขับน้ำเหลืองเสีย และทำให้อาเจียน
- ยาง ถ้าถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง แต่ก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย สามารถอาการปวดฟัน ปวดหู ขับพยาธิ รักษากลากเกลื้อน และใช้เป็นยาขับเลือด
ประเพณีและความเชื่อ
ในประเทศไทยนิยมนำดอกรักมาร้อยเป็นมาลัยร่วมกับดอกมะลิ ดาวเรือง จำปา หรือกุหลาบ ใช้ในงานมงคลที่เกี่ยวเนื่องกับความรัก เพราะดอกรักสื่อความหมายถึงความรัก เช่น งานหมั้น และงานแต่งงาน โดยใช้ในขันหมากหมั้น ขันหมากแต่ง จัดพานรองรับน้ำสังข์ ร้อยเป็นมาลัยบ่าวสาว และโปรยบนที่นอนในพิธีปูที่นอน ส่วนชาวฮาวายถือว่ามาลัยดอกรักที่ทำเป็นสร้อยคอ (lei) คือสัญลักษณ์ของความเป็นกษัตริย์
อ้างอิง
- http://cholja.tripod.com/html/herb_gig.html
- http://www.samutprakan.net/5800/WebarcheepNew/archeep8.html
- http://202.143.137.109/0538/amazing%20village44.htm
- http://kanchanapisek.or.th/kp6/BOOK23/chapter7/t23-7-l5.htm