ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ซีคมุนท์ ฟร็อยท์"
บรรทัด 47: | บรรทัด 47: | ||
=== ฝัน === |
=== ฝัน === |
||
{{บทความหลัก|ฝัน}} |
{{บทความหลัก|ฝัน}} |
||
* |
|||
ฟรอยด์เชื่อว่า หน้าที่ของฝันคือ การรักษาการหลับโดยแสดงภาพความปรารถนาที่สมหวัง ซึ่งหาไม่แล้วจะปลุกผู้ฝัน<ref>Rycroft, Charles. ''A Critical Dictionary of Psychoanalysis''. London: Penguin Books, 1995, p.41</ref> |
|||
=== พัฒนาการความต้องการทางเพศ === |
|||
{{บทความหลัก|พัฒนาการความต้องการทางเพศ}} |
|||
ฟรอยด์เชื่อว่า libido หรือความต้องการทางเพศนี้พัฒนาขึ้นในปัจเจกบุคคลโดยการเปลี่ยนแปลงวัตถุ กระบวนการซึ่งประมวลโดยมโนทัศน์[[การเปลี่ยนให้เป็นที่ยอมรับ]] (sublimation) เขาแย้งว่า มนุษย์เกิดมา "วิตถารหลายรูปแบบ" หมายความว่า วัตถุใด ๆ ก็เป็นแหล่งความพึงพอใจได้ เขายังแย้งต่อไปว่า เมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้น พวกเขาจะติดข้องในวัตถุต่าง ๆ ผ่านขั้นพัฒนาการของเขา ได้แก่ [[ขั้นปาก]] ยกตัวอย่างเช่น ความพึงพอใจของทารกในการเลี้ยงดู [[ขั้นทวารหนัก]] ยกตัวอย่างเช่น ความพึงพอใจของเด็กเล็กในการถ่ายที่กระโถนของตน แล้วมาสู่[[ขั้นอวัยวะเพศ]] ในขั้นอวัยวะเพศนี้ ฟรอยด์ยืนยันว่า ทารกชายจะติดข้องต่อมารดาของตนเป็นวัตถุทางเพศ (รู้จักในชื่อ [[ปมเอดิเพิส]]) ระยะซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการขู่ว่าจะตอน (castration) ซึ่งส่งผลให้เกิด ''ปมการตอน'' อันเป็นแผลที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตวัยเยาว์ของเขา<ref>Freud, S. ''An Outline of Psychoanalysis'' (1940), ''Standard Edition 23'', pp. 189–192.</ref> ในงานเขียนภายหลังของเขา ฟรอยด์ได้ตั้งสมมุติฐานถึงสถานการณ์ที่เทียบเท่ากับปมเอดิปุสในทารกหญิง โดยเป็นการติดข้องทางเพศอยู่กับบิดาของตน<ref>Freud S. ''An Outline of Psychoanalysis'', pp. 193–194.</ref> เรียกว่า "[[ปมอิเล็กตรา]]" ในบริบทนี้ แม้ว่าฟรอยด์จะมิได้เสนอคำดังกล่าวเองก็ตาม พัฒนาการความต้องการทางเพศ[[ขั้นแฝง]]อยู่ก่อนพัฒนาการความต้องการทางเพศ[[ขั้นสนใจเพศตรงข้าม]] เด็กต้องการได้รับความพึงพอใจในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละขั้นเพื่อที่จะก้าวสู่ขั้นพัฒนาการต่อไปอย่างง่ายดาย แต่การได้รับความพึงพอใจน้อยหรือมากเกินไปอาจนำไปสู่การติดข้องในขั้นนั้น และอาจก่อให้เกิดพฤติกรรมถดถอยกลับไปยังขั้นนั้นในชีวิตภายหลังได้<ref name="Hothersall, D 2004. p. 290">Hothersall, D. 2004. "History of Psychology", 4th ed., Mcgraw-Hill:NY p. 290</ref> |
|||
=== อิด อัตตาและอภิอัตตา === |
|||
{{บทความหลัก|อิด อัตตาและอภิอัตตา}} |
|||
"ไอดี" (ID: ย่อมาจาก Identity) เป็นส่วนของจิตใจที่ไร้สำนึก หุนหันพลันแล่นและเหมือนเด็กซึ่งปฏิบัติการบน "หลักความพึงพอใจ" และเป็นแหล่งที่มาของแรงกระตุ้นและแรงขับพื้นฐาน อิดแสวงความต้องการและความพึงพอใจทันที<ref name="Hothersall, D 2004. p. 290"/> ส่วนอภิอัตตา (superego) เป็นองค์ประกอบทางศีลธรรมของจิตใจ ซึ่งพิจารณาว่า ไม่มีกรณีแวดล้อมพิเศษใดที่สิ่งที่ถูกต้องทางศีลธรรมอาจไม่ถูกต้องต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น อัตตา (ego) ที่ปฏิบัติการอย่างเป็นเหตุเป็นผล พยายามรักษาสมดุลระหว่างการแสวงความพึงพอใจของอิดและการเน้นศีลธรรมของอภิอัตตาซึ่งปฏิบัติไม่ได้จริง อัตตาเป็นส่วนของจิตใจที่โดยปกติสะท้อนโดยตรงในการแสดงออกของบุคคลมากที่สุด เมื่อรับภาระหนักเกินไปหรือถูกคุกคามจากหน้าที่ของอัตตา มันจะใช้กลไกป้องกันตนเอง ซึ่งรวมถึงการปฏิเสธ การกดเก็บและการย้ายที่ มโนทัศน์นี้โดยปกติแสดงภาพโดย "แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง"<ref>{{cite web|last=Heffner|first=Christopher|title=Freud's Structural and Topographical Models of Personality|url=http://allpsych.com/psychology101/ego.html|work=Psychology 101|accessdate=5 September 2011}}</ref> แบบจำลองนี้แสดงบทบาทของอิด อัตตาและอภิอัตตาตามความคิดเกี่ยวกับ ภาวะรู้สำนึกและไม่รู้สำนึก |
|||
ฟรอยด์เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างอัตตากับอิดว่าเหมือนสารถีกับม้า โดยม้าเป็นพลังงานและแรงขับ ส่วนสารถีคอยชี้นำ<ref name="Hothersall, D 2004. p. 290"/> |
|||
== อ้างอิง == |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
== บรรณานุกรม == |
|||
* Ford, Donald H. & Urban, Hugh B. ''Systems of Psychotherapy: A Comparative Study''. John Wiley & Sons, Inc, 1965. |
|||
* Kovel, Joel. ''A Complete Guide to Therapy: From Psychoanalysis to Behaviour Modification''. Penguin Books, 1991 (first published 1976). |
|||
* Mitchell, Juliet. ''Psychoanalysis and Feminism: A Radical Reassessment of Freudian Psychoanalysis''. Penguin Books, 2000. |
|||
* Sadock, Benjamin J. and Sadock, Virginia A. ''Kaplan and Sadock's Synopsis of Psychiatry''. 10th ed. Lippincott Williams & Wilkins, 2007. |
|||
* Webster, Richard. ''Why Freud Was Wrong: Sin, Science and Psychoanalysis.'' HarperCollins, 1995. |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:14, 20 ธันวาคม 2559
ซิกมันด์ ฟรอยด์ | |
---|---|
Sigmund Freud, by Max Halberstadt, 1914 | |
เกิด | Sigismund Schlomo Freud 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 Freiberg, โมราเวีย ออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก) |
เสียชีวิต | 23 กันยายน ค.ศ. 1939 ลอนดอน ประเทศอังกฤษ สหราชอาณาจักร | (83 ปี)
สัญชาติ | ออสเตรีย |
ศิษย์เก่า | มหาวิทยาลัยเวียนนา |
มีชื่อเสียงจาก | จิตวิเคราะห์ |
รางวัล | รางวัลเกอเธ วุฒิบัณฑิตราชสมาคมแห่งลอนดอน |
อาชีพทางวิทยาศาสตร์ | |
สาขา | ประสาทวิทยา ปรัชญา จิตเวชศาสตร์ จิตวิทยา (สำนักคิดจิตวิเคราะห์) จิตบำบัด วรรณกรรม |
สถาบันที่ทำงาน | มหาวิทยาลัยเวียนนา |
มีอิทธิพลต่อ | John Bowlby Viktor Frankl Anna Freud Ernest Jones คาร์ล ยุง Melanie Klein Jacques Lacan Fritz Perls Otto Rank Wilhelm Reich |
ได้รับอิทธิพลจาก | Arthur Schopenhauer Friedrich Nietzsche Jean-Martin Charcot Josef Breuer |
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (เยอรมัน: Sigmund Freud, IPA: [ˈziːkmʊnt ˈfrɔʏ̯t]; 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 — 23 กันยายน ค.ศ. 1939) เป็นประสาทแพทย์ชาวออสเตรีย ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะบิดาแห่งจิตวิเคราะห์
บิดามารดาของฟรอยด์ยากจน แต่ได้ส่งเสียให้ฟรอยด์ได้รับการศึกษา เขาสนใจกฎหมายเมื่อครั้งเป็นนักเรียน แต่เปลี่ยนไปศึกษาแพทยศาสตร์แทน โดยรับผิดชอบการวิจัยโรคสมองพิการ ภาวะเสียการสื่อความ และจุลประสาทกายวิภาคศาสตร์ เขาเดินหน้าเพื่อพัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับจิตไร้สำนึกและกลไกของการกดเก็บ และตั้งสาขาจิตบำบัดด้วยวาจา โดยตั้งจิตวิเคราะห์ ซึ่งเป็นวิธีการทางคลินิกเพื่อรักษาจิตพยาธิวิทยาผ่านบทสนทนาและระหว่างผู้รับการรักษากับนักจิตวิเคราะห์[1] แม้จิตวิเคราะห์จะใช้เป็นการปฏิบัติเพื่อการรักษาลดลง[2] แต่ก็ได้บันดาลใจแก่การพัฒนาจิตบำบัดอื่นอีกหลายรูปแบบ ซึ่งบางรูปแบบแตกออกจากแนวคิดและวิธีการดั้งเดิมของฟรอยด์
ฟรอยด์ตั้งสมมุติฐานการมีอยู่ของ libido (พลังงานซึ่งให้กับกระบวนการและโครงสร้างทางจิต) พัฒนาเทคนิคเพื่อการรักษา เช่น การใช้ความสัมพันธ์เสรี (ซึ่งผู้เข้ารับการรักษารายงานความคิดของตนโดยไม่มีการสงวน และต้องไม่พยายามเพ่งความสนใจขณะทำเช่นนั้น) ค้นพบการถ่ายโยงความรู้สึก (กระบวนการที่ผู้รับการรักษาย้ายที่ความรู้สึกของตนจากประสบการณ์ภาพในอดีตของชีวิตไปยังนักจิตวิเคราะห์) และตั้งบทบาทศูนย์กลางของมันในกระบวนการวิเคราะห์ และเสนอว่า ฝันช่วยรักษาการหลับ โดยเป็นเครื่องหมายของความปรารถนาที่สมหวัง ที่หาไม่แล้วจะปลุกผู้ฝัน เขายังเป็นนักเขียนบทความที่มีผลงานมากมาย โดยใช้จิตวิเคราะห์ตีความและวิจารณ์วัฒนธรรม
จิตวิเคราะห์ยังทรงอิทธิพลอยู่ในทางจิตเวชศาสตร์[3] และต่อมนุษยศาสตร์โดยรวม แม้ผู้วิจารณ์บางคนจะมองว่าเป็นวิทยาศาสตร์ลวงโลก[4]และกีดกันทางเพศ[5] การศึกษาเมื่อ ค.ศ. 2008 เสนอว่า จิตวิเคราะห์ถูกลดความสำคัญในสาขาจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย[6] แม้ว่าทฤษฎีของฟรอยด์จะมีเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์อยู่ก็ตาม แต่ผลงานของเขาได้รับการตีแผ่ในความคิดเชิงปัญญาและวัฒนธรรมสมัยนิยม
ความคิด
จิตไร้สำนึก
มโนทัศน์จิตไร้สำนึกเป็นศูนย์กลางการบรรยายจิตของฟรอยด์ ฟรอยด์เชื่อว่า กวีและนักคิดผิวขาวรู้ถึงการมีอยู่ของจิตไร้สำนึกมานานแล้ว เขามั่นใจว่า จิตไร้สำนึกได้รับการรับรองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ในสาขาจิตวิทยา อย่างไรก็ดี มโนทัศน์ดังกล่าวปรากฏขึ้นอย่างไม่เป็นทางการในงานเขียนของฟรอยด์ ครั้งแรกถูกเสนอมาเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์การกดเก็บ เพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นต่อความคิดซึ่งถูกกดเก็บ ฟรอยด์ระบุชัดเจนว่า มโนทัศน์จิตไร้สำนึกอาศัยทฤษฎีการกดเก็บ เขาตั้งสมมุติฐานวัฏจักรที่ความคิดถูกกดเก็บ แต่ยังคงอยู่ในจิต โดยนำออกจากความรู้สึกตัวแต่ยังเกิดผลอยู่ แล้วกลับมาปรากฏในความรู้สึกตัวอีกครั้งภายใต้กรณีแวดล้อมบางประการ สมมุติฐานดังกล่าวอาศัยการสืบค้นผู้รับการรักษา traumatic hysteria ซึ่งเปิดเผยผู้รับการรักษาที่พฤติกรรมของผู้ป่วยไม่สามารถอธิบายได้โดยไม่อ้างอิงถึงความคิดที่พวกเขาไม่มีสติ ข้อเท็จจริงนี้ ประกอบกับการสังเกตว่า พฤติกรรมเช่นนั้น มนุษย์อาจชักนำให้เกิดได้โดยการสะกดจิต ซึ่งความคิดจะถูกใส่เข้าไปในจิตของบุคคล แนะนัยว่า แนวคิดเกิดผลอยู่ในผู้รับการรักษาดั้งเดิม แม้ว่าผู้รับการทดลองจะไม่ทราบถึงความคิดนั้นก็ตาม
ฝัน
แหล่งข้อมูลอื่น
- ↑ Ford & Urban 1965, p. 109
- ↑ Kovel 1991, p. 96.
- ↑ Michels, undated
Sadock and Sadock 2007, p. 190: "Certain basic tenets of Freud's thinking have remained central to psychiatric and psychotherapeutic practice." - ↑ Webster 1995, p. 12.
- ↑ Mitchell 2000, pp. xxix, 303–356.
- ↑ Cohen, 25 November 2007.