ทัวทารา
ทัวทารา ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: สมัยไมโอซีน – ปัจจุบัน,[1] 19–0Ma | |
---|---|
![]() | |
ทัวทาราเพศผู้ (Sphenodon punctatus) | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Reptilia |
อันดับ: | Rhynchocephalia |
วงศ์: | Sphenodontidae |
สกุล: | Sphenodon Gray, 1831 |
ชนิดต้นแบบ | |
Hatteria punctata Gray, 1842 | |
สปีชีส์ | |
| |
![]() | |
พื่นที่อาศัยสีแดงเข้ม: (นิวซีแลนด์) | |
ชื่อพ้อง | |
|
ทัวทารา (อังกฤษ: tuatara) เป็นสัตว์เลื้อยคลานดึกดำบรรพ์ที่สืบเชื้อสายมาจากสัตว์เลื้อยคลานโบราณยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อกว่า 220 ล้านปีก่อน จัดเป็นสัตว์หายาก และอายุยืน สามารถปรับสภาพตัวเองจนอยู่รอดมาได้ถึงทุกวันนี้ คาดการณ์ว่าปัจจุบันมีจำนวนประชากรเหลืออยู่ในธรรมชาติราว 50,000 ตัว
ทัวทารา จัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในสกุล Sphenodon พบเฉพาะบนเกาะเหนือ ของนิวซีแลนด์เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น มีทั้งหมด 3 ชนิด (สูญพันธุ์ไปแล้ว 1 ชนิด)[2] ในอันดับ Rhynchocephalia ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 200 ล้านปีก่อน ขนาดลำตัวของทัวทาราเล็กกว่าบรรพบุรุษมาก โดยมีความยาวจากหัวถึงหางแค่ 32 นิ้วเท่านั้น ตรงแนวสันหลังจะมีรอยหยักขึ้นมาแบบเดียวกับไดโนเสาร์ เป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวได้ถึง 200 ปี และเคลื่อนไหวช้าเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคำว่า "ทัวทารา" เป็นภาษาเมารี หมายถึง "รอยหยักตรงแนวสันหลัง"
เชื่อว่า บรรพบุรุษของทัวทาราเดินทางมาสู่นิวซีแลนด์จากออสเตรเลียด้วยการเกาะกับของขยะลอยน้ำมากลางทะเลพร้อม ๆ กับการกำเนิดขึ้นมาของผืนดินนิวซีแลนด์เมื่อกว่า 60 ล้านปีก่อน[3]
ทัวทารา มีความแตกต่างจากกิ้งก่า ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน พอสมควร โดยลักษณะที่สำคัญ คือ ไม่มีช่องเปิดของหูชั้นนอก และไม่มีอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศผู้ ใช้การผสมพันธุ์โดยให้ช่องเปิดใต้ท้องติดกัน และปล่อยน้ำเชื้อผ่านเข้าไป[4] บนกลางหัวของทัวทารามีแผ่นหนังที่คล้ายกับดวงตา ที่ทำหน้าที่เหมือนกับดวงที่สาม เรียกว่า "ตาผนังหุ้ม" สามารถตรวจจับแสงและแรงสั่นสะเทือน รวมทั้งทำหน้าที่เหมือนกับตาของสัตว์ประเภทอื่น ๆ ได้ [3]
ทัวทารา ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซุ่มโจมตีได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า จึงกินแมลงต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นดิน ด้วยการซุ่มนิ่ง ๆ รวมทั้งลูกไม้บางชนิดที่อยู่บนต้น และยังกินแม้แต่ลูกทัวทาราที่เพิ่งฟักจากไข่ใหม่ ๆ ด้วย[3]
ทัวทารา เติบโตเต็มที่เมื่ออายุได้ 70 ปี และเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 20 ปี ซึ่งในปี ค.ศ. 2009 ที่สวนสัตว์ในประเทศอังกฤษ ทัวทาราเพศผู้ตัวหนึ่งอายุ 111 ปี ที่ถูกเลี้ยงในนั้นได้ผสมพันธุ์กับทัวทาราเพศเมีย และได้ไข่และฟักออกเป็นตัวทั้งหมด 11 ตัวด้วยกัน[5] ทัวทาราเมื่อวางไข่เสร็จแล้ว จะไม่กลับมาดูแลหรือฟักไข่ แต่จะปล่อยให้ฟักเองโดยธรรมชาติ ไข่ของทัวทารามีลักษณะเปลือกหยุ่นคล้ายแผ่นหนัง และเมื่อฟักออกมาเป็นตัวแล้ว ทัวทาราขนาดเล็กซึ่งมีความยาวเพียง 3 นิ้ว จะรีบออกมาจากโพรงทันที มิเช่นนั้นจะตกเป็นเหยื่อของทัวทาราตัวโตกว่าได้[3]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Sphenodon". The Paleobiology Database. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-06-20. สืบค้นเมื่อ 7 June 2014.
- ↑ "Sphenodon". ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 New Zealand ดินแดนแห่งนก, "Mutant Planet" ทางแอนิมอลแพลนเน็ต. สารคดีทางทรูวิชั่นส์: เสาร์ที่ 22 ธันวาคม 2555
- ↑ Mark Carwardine, The Guinness Book of Animal Records (1995) ISBN 0-85112-658-8
- ↑ เฮนรี่"เฒ่า111ปีเพิ่งได้ลูก!
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่อเกี่ยวกับ: Sphenodon punctatus |
![]() |
วิกิสปีชีส์มีข้อมูลภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ Sphenodon |
- B. Blanchard; และคณะ (2000). "Tuatara captive management plan and husbandry manual" (PDF). Department of Conservation, Wellington, New Zealand. สืบค้นเมื่อ 26 November 2007.
- "Digimorph – Sphenodon punctatus (tuatara) – 3D visualisations from X-ray CT scans". สืบค้นเมื่อ 8 May 2006.
- "ARKive – images and movies of the Brothers Island tuatara (Sphenodon guntheri)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-26. สืบค้นเมื่อ 3 June 2007.
- "Evolution of a third eye in some animals? MadSci Network". สืบค้นเมื่อ 9 August 2007.
- Schwab, IR; O'Connor, GR (2005). "The lonely eye". The British journal of ophthalmology. 89 (3): 256. doi:10.1136/bjo.2004.059105. PMC 1772576. PMID 15751188. สืบค้นเมื่อ 11 October 2006.
- Tuatara เก็บถาวร 2008-10-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน in Te Ara – the Encyclopedia of New Zealand
- Specimens of Tuatara in the collection of the Museum of New Zealand Te Papa Tongarewa
- "Tuatara reptile slices food with 'steak-knife teeth'" BBC Nature. Retrieved 8 January 2014.