การปิดล้อม (ยุทธวิธีควบคุมฝูงชน)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตำรวจปราบจลาจลปิดล้อมผู้ประท้วงที่ค่ายเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงการประชุมสุดยอดกลุ่ม 20 ที่ลอนดอนปี พ.ศ. 2552
ตำรวจปิดล้อมผู้ประท้วงในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงต่อต้านข้อจำกัดของไวรัสโคโรนา

การปิดล้อม[1] (อังกฤษ: kettling หรือนิยมใช้ containment หรือ corralling)[2] เป็นยุทธวิธีของตำรวจในการควบคุมฝูงชนขนาดใหญ่ในระหว่างการเดินขบวนหรือการประท้วง โดยใช้รูปขบวนขนาดใหญ่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปิดล้อมฝูงชนให้อยู่ในพื้นที่จำกัด ผู้ประท้วงอาจจะออกไปในทิศทางที่ตรวจำควบคุมพื้นที่ ออกจากวงล้อมในทิศทางที่ไม่ได้ถูกปิดล้อมไว้ หรือถูกล้อมกรอบไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีออกไปและถูกจับกุม

กลยุทธ์ดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทำให้เกิดการจับกุมแบบเหมารวมทั้งผู้ประท้วงเองและคนยืนดูเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2555[3] ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (European Court of Human Rights) ได้ตัดสินว่ายุทธวิธีการปิดล้อมเป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมาย หลังจากมีการท้าทายทางกฎหมาย[4]

ยุทธวิธี[แก้]

คำว่า kettle แปลตรงตัวว่า กาต้มน้ำ เป็นการใช้งานเชิงเปรียบเทียบเหมือนกับการปิดล้อมกักกันผู้ประท้วงกับการกักความร้อนและไอน้ำภายในกาต้มน้ำในที่พักอาศัยทั่วไป การใช้งานในภาษาอังกฤษสมัยใหม่อาจจะมาจากคำว่า "Kessel" ในภาษาเยอรมัน ซึ่งแปลตรงตัวว่าหม้อต้ม หรือ กาต้มน้ำ ในภาษาเยอรมัน หมายความถึงกองทัพที่ถูกปิดล้อมและกำลังจะถูกทำลายโดยกองกำลังที่เหนือกว่า[5] หม้อต้มถูกคาดว่าจะ "เดือด" ตามกิจกรรมการต่อสู้ กองกำลังของศัตรูขนาดใหญ่ยังคงสามารถต่อต้านความ "ร้อน" ได้อย่างดีในช่วงเริ่มต้นของการปิดล้อม ซึ่งจะต้องถูกจำกัดเอาไว้ แต่ไม่ได้เกิดจากการปะทะโดยตรง

เพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อความถึงการเผชิญหน้าทางทหาร บางครั้งการปิดล้อมจึงถูกอธิบายว่าเป็นการ "ล้อมคอก" (corralling) ซึ่งเป็นยุทธวิธีที่ใช้การล้อมรอบปศุสัตว์ แม้ว่ากลุ่มขนาดใหญ่จะควบคุมได้ยาก แต่ก็สามารถทำได้ด้วยการรวมกําลังของตำรวจ กลยุทธ์ดังกล่าวจะป้องกันไม่ให้ฝูงชนกลุ่มใหญ่แยกออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ที่จะต้องไปไล่จับกุมทีละคน ทำให้ตำรวจต้องแยกออกเป็นหลายกลุ่ม[6]

จากนั้นวงล้อมจะปิดล้อมอยู่หลายชั่วโมง ระหว่างนั้นอาจจะมีการลดขนาดของวงลง ขึ้นอยู่กับผู้ประท้วงว่าจะถูกขัดขวางให้ออกจากวงล้อม หรือได้รับอนุญาตให้ออกไปจากวงในจำนวนที่สามารถควบคุมได้ผ่านทางช่องทางที่กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมผู้ประท้วงจนกว่าผู้ประท้วงจะยอมยุติการเข้าร่วมการประท้วงและเดินทางกลับบ้าน เมื่อการปิดล้อมถึงขั้นนี้ การปิดล้อมจึงจะยุติลง[7] ปีเตอร์ วัดดิงตัน นักสังคมวิทยาและอดีตเจ้าหน้าตำรวจที่ช่วยพัฒนาทฤษฎีเบื้องหลังยุทธวิธีการปิดล้อม ได้เขียนว่า: "ผมยังคงเชื่อมั่นว่าการล้อมกรอบจะช่วยทำให้การพื้นฟูความสงบเรียบร้อยโดยใช้ความเบื่อหน่ายเป็นอาวุธหลักที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จ แทนที่จะใช้ความกลัวกับประชาชนด้วยการวิ่งเข้าใส่ของตำรวจพร้อมกับกระบอง"[8]

การล้อมกรอบถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นยุทธวิธีที่ใช้อย่างไม่เลือกหน้า นำไปสู่การจับกุมพลเมืองทั่วไปที่ปฏิบัติตามกฎหมายและผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย[9] ในบางกรณี มีรายงานว่าผู้ประท้วงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงอาหาร น้ำ และห้องน้ำเป็นเวลานาน[3] และมีการวิจารณ์เพิ่มเติมว่าบางครั้งมีการใช้ยุทธวิธีในการปลุกปั่นจนเกิดความไม่เป็นระเบียบเพื่อเบี่ยงประเด็นออกจากวัตถุประสงค์หลักของผู้ชุมนุมที่ต้องการอภิปรายในที่สาธารณะ (public debate)[10] ในบางประเทศ ยุทธวิธีดังกล่าวนำไปสู่ความท้าทายทางกฎหมายที่เกิดมาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในอังกฤษ ศาลได้ตัดสินว่าอนุญาตให้ใช้ยุทธวิธีล้อมกรอบได้หากใช้งานโดยสุจริต ตามสัดส่วน และบังคับใช้โดยไม่เกินความจำเป็นอันสมควร[7]

แบ่งตามประเทศ[แก้]

แคนาดา[แก้]

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ผู้คนจำนวน 200 คน ประกอบไปด้วย ผู้ประท้วง, คนยืนดูที่ไม่เกี่ยวข้อง และนักข่าว ถูกปิดล้อมที่สี่แยกถนนควีนและสปาดิน่า อเวนิว เมืองโตรอนโต ระหว่างการประท้วงในการประชุมสุดยอดกลุ่ม 20 นอกจากนี้ ยังมีผู้คนอีกหลายร้อยคนถูกปิดล้อมบริเวณด้านนอกโรงแรมโนโวเทล บนเอสพลานาดและถูกจับกุม[11] ในปีต่อมา กรมตำรวจโตรอนโตได้ออกมาปฏิญาณว่าจะไม่ใช่ยุทธวิธีการปิดล้อมอีก[12] ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2558 เดวิด 'มาร์ค' เฟนตัน ผู้กำกับการตำรวจถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาจับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2 ข้อหา และประพฤติตัวไม่น่าเชื่อถืออีก 1 ข้อหา ถือเป็นความผิดทางวินัยภายใต้บัญญัติบริการตำรวจออนแทรีโอสำหรับการสั่งการปิดล้อมในปี พ.ศ. 2553[13] อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาที่ตัดสินใจลงโทษเฟนตันก็ได้ออกมาระบุเช่นกันว่า "การผิดล้อมหรือล้อมกรอบไม่ถือว่าผิดกฎหมาย"[14]

การปิดล้อมในระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่ม 20 ในโตรอนโต (พ.ศ. 2553)

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554 ผู้ประท้วงประมาณ 250–300 คนในเมืองนอนทรีออลถูกปิดล้อมที่แซงขเดอนีทางตอนเหนือของมง์รอยัลระหว่างการเดินขบวนต่อต้านความรุนแรงของตำรวจประจำปี ตำรวจใช้ระเบิดสตัน, อุปกรณ์ปราบจลาจล และม้าเพื่อปิดล้อมฝูงชน[15]

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ตำรวจในมอลทรีออลได้เคลื่อนกำลังเข้าจับกุมผู้ประท้วงที่เป็นนักศึกษาด้วยวิธีการปิดล้อมและจับกุมผู้ประท้วงจำนวน 518 ราย ถือว่าเป็นจำนวนมากที่สุดในคืนเดียวนับตั้งแต่การประท้วงของนักศึกษาที่เริ่มต้นเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน[16]

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556 ในการเดินขบวนต่อต้านความรุนแรงของตำรวจประจำปี ตำรวจปิดล้อมผู้ประท้วงบนถนนสเต-แคทเธอรีนในมอนทรีออล หลังจากการเดินขบวนถูกประกาศว่าผิดกฎหมายเนื่องจากไม่ได้ยื่นแผนการเดินก่อนการประท้วง หลังจากพยายามสลายตัวกลุ่มผู้ประท้วงเกือบสองชั่วโมง ตำรวจได้ปิดล้อมและจับกุมทุกคนที่ติดอยู่ในการปิดล้อม หลังจากนั้นช่วงเย็นตำรวจได้ระบุว่ามีการจับกุมประมาณ 250 ราย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บ 2 นาย และผู้ประท้วง 1 รายที่ไม่สบาย[17]

เดนมาร์ก[แก้]

ผู้ชุมนุมด้วยความสงบจำนวนประมาณ 250–1000 รายระหว่างการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2552 ณ โคเปนเฮเกนถูกตำรวจปิดล้อม โฆษกตำรวจระบุว่าการกักตัวผู้ชุมนุมมีความจำเป็นเพื่อป้องกันความวุ่นวาย[18]

ฟินแลนด์[แก้]

การเดินขบวนของกลุ่มอนาธิปไตยฟินแลนด์สแมชอาเซมถูกขัดขวางโดยตำรววจปราบจลาจล 200 นาย และตำรวจอีกหลายร้อยคนและบุคลากรหน่วยยามชายแดนฟินแลนด์ได้ปิดล้อมผู้คนที่เดินขบวนประมาณ 300–500 รายรวมถึงคนยืนดูที่ไม่รู้เรื่องด้วยบริเวณหน้าเคียสมาในตัวเมืองเฮลซิงกิเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ชั่วโมงในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549

ฝรั่งเศส[แก้]

บนสะพานกิโยติแยร์ในลียงเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ผู้ประท้วงหลายร้อยคนถูกปิดล้อมเป็นเวลาหลายชั่วโมง ในวันรุงขึ้นที่จตุรัสเพลสเบลล์กูร์ ประชาชนและผู้ประท้วงปกป้องเงินบำนาญสาธารณะประมาณ 500 คนถูกปิดล้อมเป็นเวลา 6 ชั่วโมงโดยไม่มีทั้งอาหารและน้ำโดยตำรวจและทหาร พวกเขาถูกขัดควางไม่ให้เดินขบวน โดยมีการใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูง[19]

เยอรมนี[แก้]

ตัวอย่างแรกของการปิดล้อมเกิดขึ้นโดยตำรวจเยอรมันในปี พ.ศ. 2529 ระหว่างการเดินขบวนของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านนิวเคลียร์ที่ไฮลิเกนไกสท์เฟลด์ ฮัมบูร์ก เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ตำรวจฮัมบูร์กได้ปิดล้อมผู้คนประมาณ 800 คนไว้ในการปิดล้อม (kettle) เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง[20] ยุทธวิธีการปิดล้อมของเยอรมันแยกความแตกต่างระหว่างการปิดล้อมแบบตรึงอยู่กับที่ (Polizeikessel) และการปิดล้อมแบบเคลื่อนที่ ซึ่งผู้ประท้วงจะถูกิดล้อมโดยวงล้อมของตำรวจขณะเคลื่อนที่เดินขบวน (Wanderkessel) วงล้อมประเภทนี้ยังถูกใช้เป็นประจำในสหราชอาณาจักร ก่อนที่จะมีการปรับปรุงยุทธวิธีดังกล่าวให้ดีขึ้นและใช้งานกับกลุ่มผู้ประท้วงกลุ่มเอ็น 30 และเรียกมันว่าการปิดล้อม (kettle)

การปิดล้อมถูกท้าทายในศาลเยอรมันหลายครั้ง โดยการปิดล้อมที่ฮัมบูร์กในปี พ.ศ. 2529 ถูกตัดสินว่าผิดกฎหมายโดยศาลปกครองฮัมบูร์ก ในขณะที่ศาลแขวงได้ตัดสินว่าตำรวจเยอรมันมีความผิดในฐานลิดรอนเสรีภาพส่วนบุคคลโดยมิชอบ

หลังจากการประท้วงต่อต้านนิวเคลียร์ในปี พ.ศ. 2545 ในเมืองฮิตแซคเกอร์ รัฐนีเดอร์ซัคเซิน ผู้ประท้วงคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องต่อศาลเนื่องจากเธอถูกปฏิเสธการเข้าห้องน้ำระหว่างการถูกควบคุมตัวอยู่ในการปิดล้อมของตำรวจ ศาลแขวงพบว่าเธอถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมและตำรวจได้ปฏิบัติอย่างผิดกฎหมาย[21]

อิสราเอล[แก้]

ระหว่างการประท้วงการสังหารผู้ประท้วงตามแนวรั้วฉนวนกาซา ตำรวจอิสราเอลในเยรูซาเลมและไฮฟาในยุทธวิธีการปิดล้อม (kettling) สองครั้ง[22] และเกิดการจับกุมหลายสิบคนระหว่างการปิดล้อมหลายชั่วโมง ในบรรดาผู้ถูกปิดล้อมนั้นมีสมาชิกรัฐสภาอิสราเอลจากจอนท์ลิลท์

สเปน[แก้]

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 อคัมปาดา โซลเรียกรร้องให้มีการประท้วงแบบกาเซโรลาโซเนื่องจากสเปนมีค่าความเสี่ยงเกินกว่า 500 คะแนนในวันนั้น ผู้ประท้วงกำลังเดินผ่านถนนอัลคาลาในมาดริด ตำรวจได้ปิดล้อมพวกเขาเป็นเวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง หลังจากที่ผู้ประท้วงได้ประกาศขอกำลังสนับสนุนบนอินเตอร์เน็ต ทำให้มีผู้คนมานั่งล้อมรอบบริเวณที่ปิดล้อมนั้นนอกวงปิดล้อมของตำรวจประมาณ 500 คนจนว่าตำรวจจะยกเลิกการปิดล้อมดังกล่าว จนในที่สุดตำรวจยอมเปิดวงปิดล้อมและปล่อยให้ผู้ประท้วงเดินขบวนต่อไปยังเมืองปูเอร์ตา เดล โซล[23] ระหว่างการประท้วงโดยสงบนั้นในแคว้นคาตาโลเนีย หลังจากการจับกุมประธานาธิบดีการ์เลส ปุจเดมองต์โดยทางการเยอรมันเมื่อปี พ.ศ. 2561 ตำรวจได้ใช้วิธีการปิดล้อม (kettling) เป็นยุทธวิธีในการทำให้ผู้ประท้วงยุติการชุมนุม[24]

สหราชอาณาจักร[แก้]

ความท้าทางทางกฎหมาย[แก้]

หลังจากการใช้การปิดล้อม (kettling) ระหว่างการประท้วงในวันแรงงานเมื่อปี พ.ศ. 2544 ผู้ถูกจับกุมสองรายในเหตุการณ์นั้นที่อ็อกซ์ฟอร์ดเซอร์คัสได้ฟ้องร้องต่อตำรวจนครบาลฐานกักขังโดยมิชอบ และกล่าวหาว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญาสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป และระบุเพิ่มเติมว่าพวกเขาถูกควบคุมตัวโดนไม่ได้รับอาหาร น้ำ หรือห้องน้ำ[25] ทั้งคู่แพ้คดีในศาลเมื่อปี พ.ศ. 2548[26] และแพ้ในการอุธรณ์ในปี พ.ศ. 2550[27] เมื่อศาลอุธรณ์ยืนตามศาลสูง

ในปี พ.ศ. 2552 ออสติน กับ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล[28] เป็นคำตัดสินของสภาขุนนาง ได้ตัดสินว่าศาลสูงมีสิทธิ์ที่จะคำนึงถึง "วัตถุประสงค์" ของการลิดรอนเสรีภาพก่อนที่จะตัดสินตามกฎหมายสิทธิมนุษยชน[29]

แม้ในกรณีของสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งอนุสัญญาไม่อนุญาตให้มีการบังคับใช้หรือข้อจำกัดใด ๆ ก็ตาม สำหรับแนวทางปฏิบัติที่คำนึงถึงสถานการณ์ทั้งหมดอย่างเต็มที่

— บารอนโฮปแห่งเครกเฮด, อ้างถึงใน เดอะการ์เดียน[30]

โจทย์จากการประท้วงในปี พ.ศ. 2544 พร้อมด้วยประชาชนที่ไม่ได้ร่วมประท้วงอีกสามรายซึ่งถูกปิดล้อม (kettled) โดยตำรวจ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป โดยการอ้างว่าการปิดล้อมเป็นการละเมิดมาตรา 5 ของอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัย ในขณะที่สภาขุนนางระบุว่า "ยอมรับว่าเธอเป็นผู้ประท้วงที่ชอบด้วยกฎหมายและสันติ ซึ่งถูกควบคุมตัวไว้ไม่ให้ไปรับลูกของเธอ" ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2555 ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้ตัดสินว่าการปิดล้อม (kettling) เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย และตำรวจนครบาลมีสิทธิ์ที่จะควบคุมตัวบุคคลกลุ่มต่าง ๆ เป็น "วิธีการที่ก้าวก่ายน้อยที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการปกป้องประชาชนจากความรุนแรง"[4] ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ศาลได้ตัดสินว่า:

มาตรา 5 ไม่จำเป็นต้องตีความในลักษณะที่ทำให้ตำรวจไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและปกป้องประชาชนได้

— ประธานองค์คณะใหญ่ของผู้พิพากษา, ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป, คำพิพากษา มีนาคม 2555[4]

สหรัฐ[แก้]

ขบวนการต่อต้านโลกาภิวัตน์, วอชิงตัน ดี.ซี., 2545[แก้]

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงต่อต้านโลกาภิวัฒน์ที่กำลังดำเนินการอยู่และการเดินขบวนก่อต้านการรุกรานอิรักที่กำลังจะเริ่มขึ้น ผู้ประท้วงและประชาชนทั่วไปที่ยืนดูเหตุการณ์ถูกปิดล้อม (kettled) ในเพอร์ชิ่งพาร์คและถูกจับกุมโดยตำรวจดีซี[31]

การประท้วงในกรณีจอร์จ ฟลอยด์และบรีออนนา เทย์เลอร์, 2563[แก้]

ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พ.ศ. 2563 หลายเมืองในสหรัฐเผชิญกับการประท้วง การจลาจล และการปล้นสะดมหลังจากเหตุการณ์การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์โดยตำรวนใจเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินิโซตา ตำรวจตอบโต้อย่างรุนแรงต่อทั้งการจลาจลและผู้ประท้วงที่ไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งในกรณีหลังขัดต่อการคุ้มครองสิทธิตามการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งแรก

การปิดล้อม (kettling) ถูกใช้โดยกว้างขวางโดยกรมตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประท้วงกระจายไปตามถนนเส้นต่าง ๆ ในเมือง ต่อมาผู้ประท้วงถูกจับกุมในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิวตามกฎหมาย[32] เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563 กรมตำรวจนิวยอร์กได้จับกุมผู้ประท้วงกว่า 5,000 รายบนสะพานแมนฮัตตันเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ประท้วงสลายตัวไปในอีกฝั่งของสะพาน[33][34][32]

ในวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ตำรวจได้ปิดล้อมผู้ประท้วงจำนวน 60 รายเข้าไปในบ้านบนถนนสวอนน์ และพยายามเอาพวกออกมา โดยผู้ประท้วงสามารถออกมาได้ในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเคอร์ฟิวยุติลง[35]

กรมตำรวจชาร์ลอตต์-เมคเลนเบิร์ก (CMPD) ในเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา ได้ปิดล้อมโดยฝูงชนระหว่างการเดินขบวนอย่างสงบ บริเวณหัวขบวน เจ้าหน้าที่ได้ยิงแก๊สน้ำตา และระเบิดแฟลช โดยตำรวจปราบจลาจลขนาบกันจากด้านท้ายขบวน ในตำแหน่งที่ผู้ประท้วงโดนบีบโดยโครงสร้างในด้านที่เหลือ ตำรวจถูกกล่าวหาว่ายิงแก๊สน้ำตา กระสุนพริกไทย และกระสุนยางอย่างไม่เลือกหน้า ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาถึงการใช้ยุทธวิธีปิดล้อมดังกล่าว แต่การสื่อสารทางวิทยุที่ถูกบันทึกไว้ระบุว่ามีการดำเนินการตามแผนการจับกุมและการปฏิบัติการที่ประสานกัน และเจ้าหน้าที่ได้เฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน[36][37]

นอกจากนี้ยังมีการใช้งานในดัลลัส บนสะพานมาร์กาเร็ต ฮันท์ ฮิลล์ ซึ่งผู้ประท้วงถูกใช้แก๊สน้ำตาและจับกุมด้วยซิปรัด การปิดล้อมและจับกุมจำนวนมากยังถูกนำมาใช้งานที่ฟิลาเดลเฟีย ฮูสตัน แอตแลนตา ชิคาโก ลอสแองเจลิส ซีแอตเทิล พอร์ตแลนด์ออริกอน และดิมอยน์[36]

การปิดล้อม (kettling) ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในเมืองลุยส์วิลล์ระหว่างการประท้วงในกรณีของบรีออนนา เทย์เลอร์ รวมถึงการล้อมโบสถ์ที่ให้ที่หลบหนีผู้ประท้วงในช่วงไม่กี่วันหลังจากการตัดสินของคณะลูกขุนใหญ่ในเดือนกันยายน และจับกุมผู้คนจำนวนมากที่พยายามจะหนีออกไป[38]

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ผู้ประท้วงจำนวน 646 รายในเมืองมินนีแอโพลิสถูกปิดล้อม (kettled) บนทางหลวงและถูกจับกุมขณะประท้วงต่อต้านคำขู่ของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะท้าทายการเลือกตั้งสหรัฐ และความอยุติธรรมในสังคม[39]

บรูคลินเซ็นเตอร์ มินนิโซตา: การประท้วงกรณีดอนเท ไรท์, 2564[แก้]

ในช่วงต้นเดือนจนถึงกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 การประท้วงเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมดอนเท ไรท์ เกิดขึ้นหลายคืนติดต่อกันนอกกรมตำรวจบรูคลินเซ็นเตอร์ ในคืนวันที่ 16 เมษายน ตำรวจได้ประกาศว่าการรวมตัวกันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และใช้งานระเบิดแฟลชและระเบิดควัน นอกจากนี้ยังมีการใช้อาวุธเคมี เช่น แก๊สน้ำตา และ/หรือสเปรย์พริกไทยเพื่อควบคุมผู้ประท้วง[40][41] หลังจากนั้นไม่นาน เมืองได้ประกาศใช้เคอร์ฟิวเวลา 23.00 น. เมื่อเวลา 22.40 น. ซึ่งผู้ประท้วงจำนวนมากถูกผิดล้อมระหว่างพยายามออกจากพื้นที่ชุมนุม โดยมีผู้ประท้วง 136 รายจากหลายร้อยคนถูกจับกุมโดยตำรวจ[42][40]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. CCPR/C/GC/37 กติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (PDF). คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) และ CCPR Center. 2563.
  2. Davenport, Justin (3 April 2009). "Police defend 'corralling' thousands of protesters for eight hours in City". Evening Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 September 2012. สืบค้นเมื่อ 2009-04-20.
  3. 3.0 3.1 Joyce, Julian (16 April 2009). "Police 'kettle' tactic feels the heat". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2009. สืบค้นเมื่อ 18 April 2009.
  4. 4.0 4.1 4.2 "European court says 'kettling' tactics in 2001 lawful". BBC News. 15 March 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 March 2012. สืบค้นเมื่อ 15 March 2012.
  5. Joyce, Julian (9 December 2010). "Police 'kettle' tactic feels the heat". BBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2018. สืบค้นเมื่อ 20 June 2018.
  6. Campbell, Duncan (3 April 2009). "Did the handling of the G20 protests reveal the future of policing?". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 September 2013. สืบค้นเมื่อ 6 April 2009.
  7. 7.0 7.1 Joyce, Julian. "Police 'kettle' tactic feels the heat". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-06. สืบค้นเมื่อ 2018-06-20.
  8. Waddington, Peter (21 April 2009). "At boiling point: Policing and crowd control expert, Professor Peter Waddington, assesses the controversial 'kettling' technique employed at the G20 conference". Birmingham Post. p. 21.
  9. Laville, Sandra; Campbell, Duncan (3 April 2009). "Baton charges and kettling". London: Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 September 2013. สืบค้นเมื่อ 6 April 2009.
  10. Hudson, Alastair (20 January 2011). "Defeated by violence and silence". London: TSL Education. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2012. สืบค้นเมื่อ 2 February 2011.
  11. Poisson, Jayme (4 Nov 2020). "Victorian MP fined for attending anti-lockdown rally says people should be allowed to protest". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2020. สืบค้นเมื่อ 6 November 2020.
  12. Poisson, Jaume (22 June 2011). "Exclusive: Toronto police swear off G20 kettling tactic". The Toronto Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 August 2011. สืบค้นเมื่อ 15 August 2011.
  13. Gillis, Wendy (August 25, 2015). "G20 commander apologizes after being convicted of misconduct". Toronto Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 20, 2015. สืบค้นเมื่อ November 19, 2015.
  14. Cara McKenna (August 25, 2015). "More than five years later, senior officer found guilty over mass arrests, 'kettling' at 2010 G20 protests". National Post. The Canadian Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 6, 2021. สืบค้นเมื่อ December 23, 2017.
  15. Poisson, Dario Ayala (15 March 2011). "Video: The annual Montreal demonstration against police brutality". The Montreal Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-21. สืบค้นเมื่อ 16 March 2011.
  16. "Police kettle Montreal student protesters, arresting 518". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-25. สืบค้นเมื่อ 2012-05-24.
  17. Curtis, Christopher (March 15, 2013). "Cops jump on anti-brutality march early". Montreal Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 20, 2013.
  18. Rawlinson, Kevin; Ferguson, Ben (12 December 2009). "Anti-corporate demonstrators arrested". The Independent. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 December 2009. สืบค้นเมื่อ 13 December 2009.
  19. "Témoignages sur la prison à ciel ouvert" (ภาษาฝรั่งเศส). rebellyon.info. 2010-10-22. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-04. สืบค้นเมื่อ 2011-01-31.
  20. "Hamburg Heiligengeistfeld 8. Juni 1986" [Police terror against anti-nuclear activists – 800 people kettled in one day] (ภาษาเยอรมัน). Nadir. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-10-07. สืบค้นเมื่อ 2009-04-19. Polizeiterror gegen AKW-Gegner/innen – 800 Menschen einen Tag eingekesselt
  21. "Gericht: Klo-Verbot ist menschenunwürdig" [Court: Toilet ban is inhumane]. castor.de (ภาษาเยอรมัน). Elbe-Jeetzel-Zeitung. 2004-10-23. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-08. สืบค้นเมื่อ 2009-04-19. Castor-Ankunft 2002: Frau musste Notdurft im Polizeikessel verrichten – Urteil: Polizei handelte rechtswidrig [Castor protest 2002: woman had to answer call of nature in police cordon – Judgement: Police acted unlawfully]
  22. "הטקטיקה החדשה של המשטרה נגד המפגינים למען עזה". שיחה מקומית (ภาษาฮิบรู). 2018-05-21. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-10. สืบค้นเมื่อ 2020-10-01.
  23. Pérez-Lanzac, Carmen (16 May 2012). "La cacerolada del 15-M, atrapada una hora entre antidisturbios en Alcalá Parliament Square (in Spanish)". El País. elpais.es. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 May 2012. สืบค้นเมื่อ 16 May 2012.
  24. "Tens of thousands protest in Barcelona against Puigdemont detention". 25 March 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-28. สืบค้นเมื่อ 2018-03-27.
  25. "Police sued over May Day protest". BBC News. 2002-04-28. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2004-05-09. สืบค้นเมื่อ 2009-04-16.
  26. "Pair lose protest damages claim". BBC News. 2005-03-23. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-03-06. สืบค้นเมื่อ 2009-04-16.
  27. "Pair lose May Day protest claim". BBC News. 2007-10-15. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-17. สืบค้นเมื่อ 2009-04-16.
  28. แม่แบบ:Cite BAILII
  29. "Judgments – Austin (FC) (Appellant) & another v Commissioner of Police of the Metropolis (Respondent)". House of Lords Appellate Committee. 2009-01-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-11. สืบค้นเมื่อ 2009-04-16.
  30. Christian, Louise (2 April 2009). "G20: Questions need to be asked about 'kettling'". The Guardian. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-11. สืบค้นเมื่อ 13 April 2009.
  31. "PCJF and U.S. Gov't reach $2.2 million settlement over 2002 mass arrests, includes landmark reforms in U.S. Park Police practices". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-02. สืบค้นเมื่อ 2015-05-18.
  32. 32.0 32.1 Watkins, Ali (5 June 2020). "'Kettling' of Peaceful Protesters Shows Aggressive Shift by N.Y. Police". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 June 2020. สืบค้นเมื่อ 6 June 2020.
  33. Groundwater, Colin (5 June 2020). "'Kettling' Is Supposed to Defuse Protests—Instead, It Does the Opposite". GQ (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-07. สืบค้นเมื่อ 2020-06-06.
  34. Falconer, Rebecca (3 June 2020). "AOC slams NYPD over reports of police kettling in protesters on Manhattan Bridge". Axios (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-06-05. สืบค้นเมื่อ 2020-06-06.
  35. Beaujon, Andrew (2 June 2020). "DC Police Again Turn to 'Kettling', a Controversial Crowd Control Technique". Washingtonian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 June 2020. สืบค้นเมื่อ 6 June 2020.
  36. 36.0 36.1 Speri, Alice (June 2, 2021). "Ambushed by the Cops: When Police Deliberately Trap Peaceful Protesters". The Intercept.
  37. "Charlotte Kettling Analysis". June 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-06-04.
  38. "Louisville church opens doors to protesters for second day". WHAS11 (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 26 September 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-30. สืบค้นเมื่อ 2020-12-05.
  39. "646 people arrested for marching onto I-94 in Minneapolis". Associated Press. 21 April 2021.
  40. 40.0 40.1 Adwan, Noor. "Opinion: I was one of the 136 arrested on April 16 in Brooklyn Center. This is my story". The Minnesota Daily. สืบค้นเมื่อ 2021-05-01.
  41. "Brooklyn Center renters blame police for chaos at Daunte Wright protests". Sahan Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2021-04-14. สืบค้นเมื่อ 2021-05-01.
  42. "Law enforcement: 136 people arrested Friday in connection with Brooklyn Center unrest". KSTP (ภาษาอังกฤษ). 2021-04-16. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-01.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]