สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833
หนังสือสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ ระหว่างกรุงสยามแลสหรัฐ | |
---|---|
ประเภท | สนธิสัญญา |
วันร่าง | 20 มีนาคม ค.ศ.1833 |
วันลงนาม | 14 เมษายน ค.ศ.1836 |
ที่ลงนาม | เมืองหลวงแห่งศรีอยุธยา (มักเรียกว่ากรุงเทพ) |
วันมีผล | 24 มิถุนายน ค.ศ.1837 |
วันหมดอายุ | 21 กันยายน 1921 |
ผู้เจรจา | เจ้าพระยา-พระคลัง, รัฐมนตรีของรัฐ เอดมันด์ โรเบิตส์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ |
ภาคี | สยาม สหรัฐ |
ภาษา | ภาษาไทย, อังกฤษ โปรตุเกส และจีน |
ข้อความทั้งหมด | |
Treaty of Amity and Commerce between Siam and the United States, 1833 ที่ วิกิซอร์ซ |
สนธิสัญญาไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ. 1833 หรือเรียกว่า สนธิสัญญาโรเบิร์ต เป็นสนธิสัญญาฉบับแรกที่กรุงรัตนโกสินทร์ลงนามกับสหรัฐ และเป็นฉบับแรกที่ประเทศในทวีปเอเชียลงนามกับสหรัฐ[1] มีการลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376
เบื้องหลัง
[แก้]ในการเจรจาทำสนธิสัญญา แอนดรูว์ แจ็คสัน ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ ได้ส่งเอ็ดมันด์ โรเบิร์ตส์มายังกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นทูตอเมริกันคนแรก[1] บนเรือรบอเมริกันพีค็อก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2376 ระหว่างที่โรเบิร์ตส์เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้เองที่กรุงรัตนโกสินทร์และสหรัฐสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2376[2]
ในการเจรจาทางการทูตระหว่างทั้งสองฝ่าย ได้มีการแลกเปลี่ยนบรรณาการระหว่างรัฐต่อรัฐ เนื่องจากเรือที่นำบรรณาการจากประธานาธิบดีสหรัฐไม่ทันกำหนด โรเบิร์ตส์จึงได้ถวายสินค้าจากเมืองจีนไปก่อน ส่วนของที่โรเบิร์ตส์ได้รับพระราชทานแทนประธานาธิบดีสหรัฐนั้น โรเบิร์ตส์ได้บันทึกว่า
"เมื่อวาน และวันนี้ได้รับสิ่งของพระราชทาน ผ่านเจ้าพระยาคลัง ดังนี้ งาช้าง น้ำตาล น้ำตาลปึก พริกไทย กระวาน รงทอง ไม้กฤษณา ไม้ฝาง และคราม"[1]
ในการเตรียมการต้อนรับทูตต่างประเทศ มีบันทึกว่าเป็นหน้าที่ของกรมท่า กรมพระตำรวจ กรมพระคลังวิเศษ กรมพระคลังในซ้าย กรมรักษาพระองค์ กรมกลาโหม กรมพระนครบาล กรมนา กรมพระคลัง กรมมหาดไทย และกรมวัง[3]
เนื้อหา
[แก้]เนื้อหาของหนังสือสัญญาไมตรีและข้อตกลงด้านการค้าส่วนใหญ่เหมือนกับสนธิสัญญาเบอร์นีที่อังกฤษได้ทำไว้ก่อนหน้า แต่สหรัฐได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าอังกฤษ โดยที่ "นานไปเบื้องน่าฝรั่งชาติใด ภาษาใดนอกจากชาติโปรตุเกศ จะขอเข้ามาตั้งกงสุล ณ กรุงเทพฯ ถ้ากรุงเทพฯ โปรดให้จัดตั้ง ชาติอเมริกันจะตั้งกุงสุลตามฝรั่งชาติซึ่งโปรดนั้น"[4]
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถเก็บค่าธรรมเนียมบรรทุกสินค้าเข้ามาขายในอัตราวาละ 1,700 บาท หรือเรือเปล่า วาละ 1,500 บาท โดยเป็นการเก็บครั้งเดียว ไม่มีการเก็บภาษีอากรอย่างอื่นอีก แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังเกิดประโยชน์แก่สหรัฐน้อย จึงได้มีการส่งทูตเข้ามาขอแก้ไข[5]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 1.2 ห้องนิทรรศการ 1 เครื่องราชบรรณาการแก่สหรัฐในแง่ประวัติศาสตร์ ก. สนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ ค.ศ.1833 เก็บถาวร 2015-12-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Smithsonian Institution. สืบค้นเมื่อ 17-12-2553.
- ↑ 175 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สหรัฐ เก็บถาวร 2010-01-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. สืบค้น 17-12-2553.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ (2541). ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๔๕๓ ด้านเศรษฐกิจ. ไทยวัฒนาพานิช. ISBN 9740841244. หน้า 158-159.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ (2541). ประวัติศาสตร์ไทยสมัย พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๔๕๓ ด้านเศรษฐกิจ. ไทยวัฒนาพานิช. ISBN 9740841244. หน้า 159.
- ↑ ดนัย ไชยโยธา. (2546). ประวัติศาสตร์ไทย: ยุคกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์. สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์. ISBN 974-276-111-6. หน้า 88.