กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467
ข้อมูลทั่วไป
ผู้ตราพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันตรา10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467
วันประกาศ10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467
วันเริ่มใช้11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467
การแก้ไขเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 20-21)
ภาพรวม
สืบราชบัลลังก์ของประเทศไทย

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 เป็นกฎหมายกำหนดลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ไทย ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จักรี เรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ก่อนสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 เป็นที่ถกเถียงกันโดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 ถึงพุทธศตวรรษที่ 24 ในปี 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ได้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์เพื่อให้เรื่องผู้สืบราชบัลลังก์มีความชัดเจน ซึ่งประกาศและมีผลใช้บังคับในเดือนพฤศจิกายน ปี 2467 ส่วนหนึ่งเป็นความพยายามที่จะขจัดความคลุมเครือเกี่ยวกับการสืบราชบัลลังก์และเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งก่อนหน้านี้อย่างเป็นระบบ ในปี 2475 หลังจากที่สยามยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลายเป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ได้มีการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อาศัยกฎมณเฑียรบาลฉบับนี้ในการบัญญัติหมวดว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ไม่ได้กล่าวถึงการสืบราชสันตติวงศ์ คำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยกเว้นหมวดที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์และการสืบราชสันตติวงศ์

ปูมหลัง

กฎมณเฑียรบาลฉบับเดิมซึ่งประกาศใช้ตั้งแต่ปี 1903[1] ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ปฐมกษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาซึ่งเกี่ยวข้องกับการสืบราชสันตติวงศ์ไม่มีระบบที่ชัดเจนในการกำหนดผู้สืบราชสันตติวงศ์เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคต โดยทั่วไปแล้ว กษัตริย์องค์ใหม่จะเป็นพระราชโอรสของอดีตกษัตริย์ซึ่งประสูติจากพระมเหสีหรือพระสนม หรือหนึ่งในพระเชษฐา/พระอนุชาของพระองค์[2] กฎหมายยังกำหนดให้บุคคลที่ไม่ใช่พระราชโอรสหรือพระเชษฐา/พระอนุชาของอดีตกษัตริย์สามารถขึ้นครองราชย์ได้[3]

อย่างไรก็ตาม กฎมณเฑียรบาลไม่ได้รับประกันการสืบทอดที่ราบรื่นเสมอไป อย่างน้อยหนึ่งในสามของการสืบราชสันตติวงศ์ของกรุงศรีอยุธยาจบลงด้วยการนองเลือด เนื่องจากเกิดการแย่งชิงอำนาจบ่อยครั้งระหว่างสมาชิกราชวงศ์และขุนนางซึ่งขัดขวางความปรารถนาสุดท้ายของกษัตริย์ที่เพิ่งจากไป

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แห่งสยามพระองค์ใหม่โดยสิทธิของผู้ชนะ หลังจากที่พระองค์พิชิตกองทัพพม่าในยุทธการที่ค่ายโพธิ์สามต้นเมื่อปี 2310 อย่างไรก็ตาม พระองค์สนับสนุนคณะสงฆ์เพื่อรักษาความชอบธรรมในการครองราชย์ แต่ในที่สุด พระองค์ก็ถูกโค่นราชบัลลังก์ด้วยการรัฐประหารในปี 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเดินทัพไปยังกัมพูชาเพื่อปราบปรามการก่อจลาจลและยกสมาชิกราชวงศ์เขมรผู้สนับสนุนสยามขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกัมพูชา เมื่อทราบถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงเต็มทีแล้ว พระองค์จึงได้ยกทัพกลับมาจากกัมพูชาและโค่นล้มสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และก่อตั้งราชวงศ์จักรีขึ้นในปี 2325 โดยสถาปนาพระองค์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต่อมาพระองค์สถาปนาสมเด็จพระสังฆราชโดยสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) จากวัดระฆังโฆสิตาราม กลับคืนสู่ตำแหน่ง หลังถูกปลดในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาภายหลังพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชรับสั่งให้ราชบัณฑิตรวบรวมและปรับปรุงกฎหมายในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่สูญหายและกระจัดกระจายภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายใหม่[4] กฎมณเฑียรบาลเป็นส่วนหนึ่งของประมวลกฎหมายใหม่ที่เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงตรัสไว้ว่า เพราะกฎหมายเก่ามักคลาดเคลื่อนและนำไปสู่ความอยุติธรรม

การส่งต่อราชบัลลังก์ในราชวงศ์จักรีซึ่งปฏิบัติตามกฎหมายตราสามดวงแทบไม่มีการนองเลือดเลย ส่วนหนึ่งคือการยึดถือแนวความคิดที่ว่าผู้สืบราชสันตติวงศ์ควรเป็นบุคคลที่ฉลาดและมีความสามารถมากที่สุด ทำให้การสืบราชบัลลังก์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นไปอย่างราบรื่นไม่มีการนองเลือด

การแก้กฎมณเฑียรบาล

ความจากหมวดที่ 7 ว่าด้วยการแก้กฎมณเฑียรบาลได้บัญญัติไว้ว่า

มาตรา 19 พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ไว้ให้เป็นราชนิติธรรมอันมั่นคง เพื่อดำรงพระบรมราชจักรีวงศ์ไว้ชั่วกาลนาน และได้ทรงใช้พระวิจารณญาณโดยสุขุม ประชุมทั้งโบราณราชประเพณีแห่งกรุงสยามตามที่ได้เคยมีปรากฏมาในโบราณราชประวัติทั้งประเพณีตามที่โลกนิยมในสมัยนี้เข้าไว้พร้อมแล้วฉะนั้นหากว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใดในอนาคตสมัยทรงพระราชดำริจะแก้ไขหรือเพิกถอนข้อหนึ่งข้อใดแห่งกฎมณเฑียรบาลนี้ก็ให้ทรงคำนึงถึงพระอุปการะคุณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ผู้ทรงตรากฎมณเฑียรบาลนี้ขึ้นไว้แล้วและทรงปฏิบัติตามข้อความในมาตรา 20 แห่งกฎมณเฑียรบาลนี้เถิด

มาตรา 20 ถ้าแม้เมื่อใดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องแก้ไขหรือเพิกถอนข้อความใด ๆ แม้แต่ส่วนน้อยหนึ่งในกฎมณเฑียรบาลนี้ไซร้ท่านว่าให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนัดประชุมองคมนตรีสภา ให้มีองคมนตรีมาในที่ประชุมนั้นไม่น้อยกว่า 2 ส่วนใน 3 แห่งจำนวนองคมนตรีทั้งหมด แล้วและพระราชทานข้อความอันมีพระราชประสงค์จะให้แก้ไขหรือเพิกถอนนั้นให้สภาปรึกษากันและถวายความเห็นด้วยความจงรักภักดีซื่อสัตย์สุจริต ถ้าและองคมนตรีมีจำนวนถึง 2 ส่วนใน 3 แห่งผู้ที่มาประชุมนั้นลงความเห็นว่าควรแก้ไขหรือเพิกถอนตามพระราช ประสงค์ได้แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงค่อยมีพระบรมราชโองการให้แก้ไขหรือเพิกถอน แต่ถ้าแม้ว่าองคมนตรีที่มาประชุมนั้นมีผู้เห็นควรให้แก้ไขหรือเพิกถอนเป็นจำนวนไม่ถึง 2 ใน 3 แล้วไซร้ก็ขอให้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระขันติระงับพระราชดำริที่จะทรงแก้ไขหรือเพิกถอนนั้นไว้เถิด


หมายเหตุและแหล่งที่มา
เครื่องหมาย แหล่งที่มาของรายการหรือหมายเหตุเกี่ยวกับข้อยกเว้นการสืบราชสันตติวงศ์
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467
1. ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง และเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้ว หากมิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ ตาม"รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560" หมวด 2 พระมหากษัตริย์ มาตรา 21

2. การเสนอพระนามพระราชธิดาต่อราชบัลลังก์ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 แล้ว ดังนั้นจึงนับพระราชธิดาของพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นต้นมา ในการสืบราชสันตติวงศ์ ตามรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวด้วย

หมายเหตุ

  1. Wales, H. G. Quaritch (14 April 2005) [1931]. "Pt. III, Ch. VI, 1. Succession". Siamese state ceremonies. London: Bernard Quaritch. p. 67. สืบค้นเมื่อ 25 April 2012. The Succession to the Throne of Siam is, in theory, regulated by the law of A.D. 1360....
  2. Voraporn Pupongpunt (2005) "Phap Luk Sataban Kasat Nai Kot Monthien Ban" (The Image of the Monarchical Institution Through Palace Law), Bangkok: Thailand Research Fund p. 211.
  3. This could occur, for instance, when the god Indra provided such person with "the quintet of royal objects", or when someone sought out came from a rich Brahman family or possessed high abilities in warfare, Voraporn, p. 212.
  4. Lingat, R. (1950). "Evolution of the Conception of Law in Burma and Siam" (PDF). Journal of the Siam Society. Siam Heritage Trust. JSS Vol. 38.1c (digital): 20–22. สืบค้นเมื่อ 17 March 2013. The technical process by which this combination was effected is well known to us thanks to a text preserved in the Siamese Code of 1805 and called The Law in 36 articles. ... [T]he Siamese appear to have been early provided with a real code of laws, a fact which they may be proud of. ... [A] king, at least theoretically, could not legislate by himself. He was bound to feign a restoration of the original text in order to introduce in the body of laws changes necessitated by variations of social as well as moral ideals.

อ้างอิง

  • Aryan, Gothan (15 – 16 September 2004), Thai Monarchy, International Institute for Democracy and Electoral Assistance, Retrieved on 5 July 2006, presented in Kathmandu, Nepal
  • Grossman, Nicholas (EDT) and Faulder, Dominic (2011) King Bhumibol Adulyadej : A Life's Work: Thailand's Monarchy in Perspective. Editions Didier Millet (Succession: p. 325–333).
  • The Constitution of the Kingdom of Thailand (1997), Section 20

ดูเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น