ผู้ใช้:Chaiyawats/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

องค์การระหว่างประเทศ (อังกฤษ: international organisation) หมายถึง องค์การที่ประเทศหรือรัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไปรวมกัน จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือและพัฒนากิจกรรมต่างๆเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมของรัฐสมาชิกและมวลมนุษยชาติ[1]

องค์การระหว่างประเทศเริ่มแรกเกิดจากความร่วมมือของประมุขของประเทศในยุโรปหลังสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลง เกิดการประชุมคองเกรสแห่งเวียนนา  (congress of   vienna 1815)  องค์การระหว่างประเทศเกิดขึ้นครั้งแรก ต่อมาเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่  1  ได้ก่อตั้งองค์การสันนบาติชาติขึ้นจัดเป็นองค์การระหว่างประเทศทำงานเฉพาะด้านเป็นส่วนใหญ่ องค์การระหว่างประเทศ ทางด้านสังคมมีบทบาทในการวางมาตรฐานการปฏิบัติของรัฐ วางระเบียบกฎเกณฑในการติดต่อระหว่างประเทศและการให้บริการ ส่วนองค์การระหว่างประเทศทางเศรษฐกิจ ดูแลใหความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหา องค์การระหว่างประเทศทางการเมือง ทำหน้าที่รักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างนานาชาติ[2]

องค์การระหว่างประเทศประเทศเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อประกอบด้วย 4 ประการ ดังนี้[3][แก้]

1.โลกจะต้องประกอบด้วยรัฐจำนวนหนึ่ง และรัฐเหล่านี้ต้องเป็นหน่วยทางการเมืองที่มีอิสระและมีความเสมอภาค

2.ต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ

3.รัฐเหล่านี้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งในผลประโยชน์ของรัฐ

4.รัฐตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือที่เป็นองค์กรเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

2.หน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ[4][แก้]

1.การเป็นที่ประชุมปรึกษาหารือระหว่างรัฐ โดยองค์การระหว่างประเทศรับหน้าที่หลักเป็นที่ประชุมระหว่างรัฐในหัวข้อต่างๆที่มีปัญหาร่วมกัน หรือต้องการมติร่วมกัน และนอกจากนี้องค์การระหว่างประเทศบางองค์การจัดให้มีการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างรัฐด้วย

2.การเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ต่างๆ องค์การระหว่างประเทศบางองค์การเป็นการวางกฎเกณฑ์หรือมติร่วมกัน เช่น องค์การอนามัยโลก วางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพระหว่างประเทศ

3.การทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร องค์การระหว่างประเทศหลายบางองค์การ ทำหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร เช่น ธนาคารโลก จัดสรรเงินทุนกู้ยืมหรือช่วยเหลือให้กับรัฐต่างๆที่จำเป็นต้องใช้

4.การเพิ่มสมรรถนะทางทหาร บางองค์กรก่อตั้งมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะทางทหารของกลุ่มประเทศสมาชิก เช่น นาโต้

5.การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ เช่น สหประชาชาติ

6.การส่งเสริมความร่วมมือเฉพาะด้านในด้านต่างๆ เช่น ด้านการค้า ด้านเทคโนโลยี

3. บทบาทขององค์การระหว่างประเทศ[แก้]

1. บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านสังคม

มีหน้าที่และบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาทางสังคม วัฒนธรรมและมนุษยธรรม อันเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเพื่อก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและดำรงชีวิตอย่างมีความสุขของมวลมนุษยชาติ บทบาทที่สำคัญ มีดังนี้ วางมาตรฐานการปฏิบัติของรัฐในเรื่องเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐ เช่น สิทธิมนุษยชน แรงงาน

1.1 วางระเบียบกฎเกณฑ์ในการติดต่อระหว่างประเทศขึ้น เพื่อให้สามารถติดต่อกันอย่างสะดวก ราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น สหภาพไปรษณียสากล

1.2 การให้บริการด้านต่าง ๆ เช่น การให้ข่าวสาร การบรรเทาทุกข์ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ การให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัย และพิทักษ์สิ่งแวดล้อม

2. บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ

มีบทบาทมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมโลก ส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและให้ปฏิบัติตามกติกา โดยมีบทบาทที่สำคัญดังนี้

2.1 เป็นตัวกลางทางการเงิน ตลอดจนอำนวยความสะดวกด้านการเงิน

2.2 ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศที่กำลังพัฒนานำไปลงทุนพัฒนาประเทศ มีกองทุนเงินตราต่างประเทศให้สมาชิกกู้ยืมเพื่อแก้ไขปัญหา

2.3 วิจัยและวางแผน เพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสังคมโลก และให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้เหมาะสม

2.4แนะนำการแก้ไขปัญหาเงินตรา วางระเบียบเกี่ยวกับการกำหนดมูลค่าของเงินตรา

2.5ให้ความช่วยเหลือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งจัดฝึก อบรม

3. บทบาทขององค์การระหว่างประเทศทางด้านการเมือง

เป็นบทบาทที่มุ่งเพื่อรักษาสันติภาพและประสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เกิดความมั่นคง โดยมีบทบาทที่สำคัญดังนี้

3.1 ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและรักษาความมั่นคงร่วมกัน โดยไม่ใช้กำลังและให้ความสำคัญกับกองกำลังรักษาสันติภาพ ทำหน้าที่รักษาสันติภาพในบริเวณพื้นที่ที่มีข้อพิพาท

3.2 ยุติกรณีพิพาทด้วยสันติวิธี โดยวิธีทางการทูต การไกล่เกลี่ย การเจรจา และการประนีประนอม

3.3 สนับสนุนให้ดินแดนอาณานิคมได้รับเอกราช ปกครองตนเองด้วยหลักการกำหนดโดยตนเอง

3.4 สนับสนุนการลดกำลังอาวุธ และการควบคุมอาวุธ การห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน

องค์การระห­ว่างประเทศจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ[แก้]

1. องค์การระหว่างประเทศระดับสากล (Universal Level)[แก้]

จะมีสมาชิกจำนวนมากมาจากส่วนต่างๆของโลกและมีขอบเขตและขอบข่ายการปฏิบัติงานกว้างขวาง องค์การระดับสากลยังแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ

1.1 องค์การที่มีวัตถุประสงค์กว้าง หมายถึงองค์การที่ทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน เช่นองค์การสหประชาชาติ (United Nation หรือ UN) สันนิบาติชาติ

1.2 องค์การที่มีวัตถุประสงค์แคบ เป็นองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่งเป็นสำคัญ เช่นองค์การที่ทำหน้าที่ด้านเศรษฐกิจ เช่น องค์การการค้าโลก (WTO) องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) สถาบันเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา (IBRD)

2. องค์การระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค (Regional Level)[แก้]

จะเป็นองค์การระหว่างประเทศที่สมาชิกจะมาจากส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นสำคัญ แต่อาจจะมีสมาชิกมาจากนอกภูมิภาคได้ เช่น ซีโต้(SEATO)จะเป็นองค์การในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีสหรัฐ ฝรั่งเศส และอังกฤษเป็นสมาชิกด้วย

2.1 องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization) สมาชิกก็จะมาจากหลายภูมิภาคซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือทางการทหารและความมั่นคงของประเทศสังคมนิยม และใช้องค์การนี้เข้าไปแทรกแซงประเทศสังคมนิยมที่ตีตัวออกห่าง

2.2 องค์การระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์กว้าง เช่น องค์การเอกภาพอัฟริกา (OAU) องค์การนานารัฐอเมริกัน (OAS) สันนิบาติอาหรับ (League of Arab-LA) องค์การเหล่านี้จะทำหน้าที่ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง เพราะองค์การเหล่านี้จัดตั้งขึ้นมาในภูมิภาคที่ตกเป็นอาณานิคมยาวนานเมื่อได้เอกราชจึงพยายามจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศเข้ามาช่วยเหลือกัน

ทฤษฎีบูรณาการ (Integration Theory)[3][แก้]

บูรณาการ หมายถึงการให้รัฐทั้งหลายมร่วมมือกันเพื่อแสวงหาความมั่นคง สันติภาพและความร่วมมือในด้านต่างๆ

ทฤษฎีบูรณาการ ประกอบด้วย 4 แนวทาง คือ[5]

1.แนวทางสหพันธรัฐนิยม (Federalism)เป็นการรวมตัวทางการเมืองในเชิงนิตินัยของรัฐตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไปโดยยินยอมมอบอำนาจบางส่วนให้หน่วยงานกลางหรือรัฐบาลกลาง เช่น อำนาจในการป้องกันประเทศ อำนาจในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

2.แนวทางพหุนิยม (Pluralism)การมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการติดต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ใกล้ชิดกันจนเกิดความรู้สึกเป็นมิตรจนถึงระดับที่ต่างก็เห็นประโยชน์ร่วมกัน

3.แนวทางภารกิจนิยม (Functionalism) เดวิด มิทรานี (David mitrany) ผู้ริเริ่มแนวทางภารกิจนิยมได้เสนอแนวคิด ที่มีชื่อว่า The Walking peace System คือการรวมตัวทำภาระกิจที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองทำให้รัฐทำงานด้วยกันได้ดีขึ้น หากประสบผลสำเร็จก็จะทำให้แต่ละชาติร่วมมือกันใกล้ชิดยิ่งขึ้น

4.แนวทางภารกิจนิยมใหม่ (์Neo Functionalism) แนวทางภารกิจนิยมใหม่ไม่เชื่อว่าการรวมตัวทำภารกิจที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองจะทำให้รัฐทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ในทางตรงข้ามกันกลับเชื่อว่าการจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศ และมีการปฏิบัติภารกิจระหว่างประเทศร่วมกันจะก่อให้เกิดบูรณาการที่แท้จริงซึ่งก็คือเกิดอำอาจเหนือรัฐ

บูรณาการทางเศรษฐกิจ[แก้]

การร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจับันได้นำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจ (Economic Integration)ในภูมิภาคต่างๆ บูรณาการหรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อเจรจาผสมผสานความคิดและนโยบายต่างๆ Bela Balassa ได้เสนอขั้นตอนของบูรณาการทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งออก 5 ขั้นตอนดังนี้

1.เขตการค้าเสรี(Free Trade Area) การบูรณาการทางเศรษฐกิจขั้นตอนแรกโดยสมาชิกทำการตกลงกันในการขจัดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น การไม่เก็บหรือลดภาษี

2.สหภาพศุลกากร(Customs Union)การบูรณาการทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยการรวมตัวกันขจัดอุปสรรคการค้าโดยไม่มีการเก็บภาษี ไม่มีการจำจัดโควต้าสินค้า

3.ตลาดร่วม (Common Market)การบูรณาการทางเศรษฐกิจที่นอกจากจะขจัดอุปสรรคทางการค้า และมีนโยบายการค้าที่เหมือนกันแล้ว ตลาดร่วมยังสนับสนุนให้สินค้าและปัจจัยการผลิตอื่นๆได้แก่ เงินทุน แรงงาน บริการ สามารถเคลื่อนย้ายระหว่างกันได้อย่างเสรี ในกลุ่มประเทศสมาชิก

4.สหภาพเศรษฐกิจ (Economic Union)การบูรณาการทางเศรษฐกิจเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางเศรษฐกิจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มีการผสานนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างประเทศสมาชิก เช่น สหภาพยุโรป

5.สหภาพทางเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ หรือ สหภาพเหนือชาติ (Total Ecomomic Union or Supranational Union)การบูรณาการทางเศรษฐกิจขั้นสูงสุดที่ครอบคลุมตั้งแต่การขจัดอุปสรรคทางการค้า ดำเนินนโยบายที่เหมือนกันภายในกลุ่ม มีการตกลงอัตราภาษีต่อประเทศนอกกลุ่มร่วมกัน มีความเสรีทางสินค้า มีนโยบายเศรษฐกิจอันเดียวกัน ประเทศสมาชิกยอมสละอำนาจอธิปไตยของตนให้สภาพเหนือชาติมาเป็นผู้กำหนดนโยบายแทน[6]

องค์กรหลักระหว่างประเทศในเครือสหประชาชาติ[แก้]

ทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้[แก้]

ทวีปยุโรป[แก้]

รวม 21 องค์กร ได้แก่

ทวีปแอฟริกา[แก้]

รวม 3 องค์กรคือ

ทวีปเอเชีย[แก้]

รวม 4 องค์กรคือ

  1. สมพงศ์ ชูมาก, 2533, องค์การระหว่างประเทศ, หน้า 151
  2. คมสัน ณ รังษี, องค์การระหว่างประเทศ, 2554 เข้าถึงได้จากhttps://krukomsun.wordpress.com/2011/08/22/%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/
  3. 3.0 3.1 จุฑาทิพ คล้ายทับทิม, 2553, หลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, หน้า 148
  4. สมพงศ์ ชูมาก, 2533, องค์การระหว่างประเทศ, หน้า 156
  5. John T.Rourke and Mark A.Boyer,International Politics on the Work Stage,(New York : McGraw-Hill,2006),p.162.
  6. สมพงศ์ ชูมาก, 2544, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน, หน้า 151