โบสถ์คาทอลิกนักบุญฟิลิปและยากอบ หัวไผ่
โบสถ์คาทอลิกนักบุญฟิลิปและยากอบ หัวไผ่ | |
---|---|
Saints Philip and James Catholic Church | |
ที่ตั้ง | ตำบลโคกขี้หนอน อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี |
ประเทศ | ไทย |
นิกาย | โรมันคาทอลิก |
เว็บไซต์ | pj-huaphai |
ประวัติ | |
ผู้ก่อตั้ง | บาทหลวงมาธือแรง ฟรังซัว มารี เกโก |
เสกเมื่อ | พ.ศ. 2423 |
สถาปัตยกรรม | |
สถาปนิก | บาทหลวงเอวเยน บุญชู ระงับพิศม์ |
รูปแบบสถาปัตย์ | ไทยประยุกต์[1] |
ปีสร้าง | พ.ศ. 2423 (หลังแรก) พ.ศ. 2471 (หลังที่ 2) พ.ศ. 2508 (หลังที่ 3) |
การปกครอง | |
มุขมณฑล | เขตมิสซังจันทบุรี |
โบสถ์คาทอลิกนักบุญฟิลิปและยากอบ หัวไผ่ เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ภายใต้การดูแลของเขตมิสซังจันทบุรี ตั้งอยู่เลขที่ 70 บ้านหัวไผ่ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี มีที่ดินในปกครองประมาณ 13,000 ไร่ โบสถ์หลังแรกบาทหลวงมาธือแรง ฟรังซัว มารี เกโก มิชชันนารีชาวฝรั่งเศส สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2423 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ส่วนโบสถ์หลังปัจจุบันเป็นโบสถ์หลังที่สาม โดยบาทหลวงเอวเยน บุญชู ระงับพิศม์ออกแบบและสร้าง ลักษณะเด่นคือสถาปัตยกรรมเป็นทรงไทย และมีชีบอรีอุมคลุมพระแท่นไว้แห่งเดียวในไทย ปัจจุบันตัวโบสถ์หลังนี้อยู่ในระหว่างการรื้อถอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 เพื่อดำเนินการสร้างโบสถ์หลังใหม่
ประวัติ
[แก้]โบสถ์หลังที่ 1
[แก้]โบสถ์หลังแรกนั้นเริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2422 โดยบาทหลวงมาธือแรง ฟรังซัว มารี เกโก บาทหลวงเกโกได้อพยพชาวบ้าน และทาสมาทำการสำรวจหาพื้นที่ใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ารกร้างว่างเปล่าประมาณ 15,000 ไร่[2] (ปัจจุบัน 13,000 ไร่) ไม่มีคนอาศัย มีแต่พวกสัตว์ร้าย บาทหลวงเกโกได้ซื้อปืนแก๊ป ปืนคาบหิน มากกว่า 30 กระบอกและปืนตั้งอีก 3 กระบอกสำหรับไล่ช้าง และสัตว์ร้ายต่าง ๆ ท่านปลูกบ้านไว้หลายหลัง และโบสถ์ชั่วคราวอีกหลังหนึ่งตรงใจกลางของพื้นที่ (ต่อมาให้ชื่อว่าโบสถ์นักบุญฟิลิปและยากอบ)[3][4]
โดยแรกเริ่มโบสถ์หลังแรกมีลักษณะเป็นบ้านไม้สองชั้น หลังคาทรงปั้นหยา มีดอกบัวประดับอยู่บนหลังคา 6 ดอก ผนังเป็นไม้ไผ่ฉาบปูน ชั้นล่างไว้เก็บวัวเก็บควาย ด้านหน้ามีบันไดขึ้นลงเรียกว่า บันได้ดิน ดำเนินการก่อสร้างโดย หมอมาก ซึ่งเป็นทาสที่บาทหลวงเกโกได้ไถ่มา หมอมากท่านนี้มีความสามารถในการทำไม้ ในการสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ[5] และรอบ ๆ ตัววัดเป็นป่าพงไพรทั้งสิ้น มีแต่สัตว์ป่าอาศัยอยู่เช่น เสือ ช้าง ควายป่า หมูป่า กวาง ละมั่ง จระเข้ และงูพิษต่าง ๆ คุณพ่อต้องให้ลูกบ้านพกปืนกระบอก เพื่อไว้ไล่ช้างเป็นโขลง ๆ มีการสร้างโรงเรียนโดยการให้ใช้ภาษาละตินในการสอน วัดหัวไผ่หลังแรกใช้งานมาทั้งสิ้น 49 ปี และได้ถูกรื้อถอนและสร้างโบสถ์หลังที่ 2 ขึ้นในสมัยของบาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่าง (ต่อมาได้รับการอภิเษกให้เป็นมุขนายกท่านแรกของมิสซังจันทบุรี)[6][7] ปัจจุบันพื้นที่บริเวณโบสถ์หลังที่หนึ่งนี้ได้ทำการถมดินสูงและสร้างถ้ำแม่พระประจักษ์ที่ลูร์ดไว้แทน ในสมัยของบาทหลวงเอวเยนบุญชู ระงับพิศม์ ขณะสร้างโบสถ์หลังที่สาม[8]
โบสถ์หลังที่ 2
[แก้]บาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่างมารับหน้าที่เป็นอธิการโบสถ์แทนบาทหลวงอเล็กซิส บาทหลวงยาโกเบ แจง เห็นว่าสภาพโบสถ์หลังที่บาทหลวงเกโกสร้างไว้นั้นชำรุดแล้ว จึงได้ส่งคำร้องขออนุญาตสร้างโบสถ์หลังใหม่กับพระคุณเจ้าเรอเน แปร์รอส และก็ได้รับการอนุมัติในเวลาต่อมา บาทหลวงยาโกเบ แจง จึงเริ่มลงมือในการสร้างโบสถ์หลังใหม่ขึ้น โดยลักษณะของโบสถ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวประมาณ 8-10 ห้อง มีเสาร่วมในการรับโครงสร้างหลังคา จั่วมีขนาดใหญ่เนื่องจากอาคารมีขนาดกว้างมาก และมีเสาริมผนังที่ยึดผนังอาคารการวางตัวอาคารวางในแกนนอนยาวในทางทิศตะวันออก ภายในแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส่วนโถงทางเข้าด้านหน้า และส่วนร่วมชุมนุมประกอบพิธีกรรม ทั้งสองส่วนถูกแบ่งด้วยระดับพื้นเตี้ย ๆ ด้านหน้าบริเวณศักดิ์สิทธิ์ประกอบไปด้วยแท่นบูชา ที่นั่งประธาน ตู้เก็บศีลมหาสนิท โดยที่มีรูปนักบุญอยู่เหนือพระแท่นบูชา และในส่วนของที่ชุมนุมประกอบไปด้วยที่นั่งของสัตบุรุษ ซึ่งแยกฝั่งซ้ายเป็นส่วนของผู้หญิง และฝั่งขวาเป็นส่วนของผู้ชาย มีการเจาะช่องเปิดด้านข้างของอาคาร มีประตูทางเข้าด้านหน้า 3 ประตู[9]
และโบสถ์หลังที่สองหลังนี้เอง เคยเป็นที่อภิเษกบาทหลวงยาโกเบ แจง เกิดสว่าง เป็นมุขนายกไทยคนแรก โดยพระคุณเจ้าเรอเน แปรรอสเป็นผู้อภิเษกให้ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488[10] และหลังจากได้รับการอภิเษกแล้วพระคุณเจ้ายาโกเบ แจง ยังได้ใช้โบสถ์หัวไผ่เป็นสำนักมิสซังแห่งแรกอีกด้วย (ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปทำการที่อำเภอศรีราชาแทนในสมัยของ พระคุณเจ้า ฟรังซิส เซเวียร์ สงวน สุวรรณศรี) ปัจจุบันโบสถ์หลังที่ 2 นี้ได้แปรสภาพเป็นอาคารสงบ ในสมัยของบาทหลวงเอวเยน บุญชู ระงับพิศม์จนถึงปัจจุบัน
โบสถ์หลังที่ 3
[แก้]บาทหลวงเอวเยนบุญชู ระงับพิษม์มาเป็นอธิการโบสถ์ ได้ทำการสร้างโบสถ์หลังที่ 3 ขึ้นแทนหลังเดิมที่ชำรุดจากการใช้งานและสงคราม โบสถ์หลังที่ 3 เป็นโบสถ์ทรงไทยยาว 36 วา หรือ 72 เมตร (ตามการตรึงพระเยซูที่กางเขนเมื่ออายุ 36 ปี) ความกว้าง 11 วา หรือ 22 เมตร สูง 2 ชั้น ลักษณะเป็นทรงไทยด้านหน้าของวัดประกอบด้วยยอดสุดมีกางเขน แทนช่อฟ้า ใบระกา และหางหงษ์ มีจั่วหลังคาทรงสูง และมีแปรองรับจันทัน คานรองรับด้วยคันทวยหรือท้าวแขนที่ชายคา มีประตูทางเข้าด้านหน้า 3 ประตู ด้านข้างด้านละ 1 ประตู ทั้งหมดมีทรงเปนจั่วแหลม และมีบัวหัวเสาทุกประตู ผนังก่อซีเมนต์ ด้านในประกอบไปด้วยชีบอรีอุมที่คลุมเหนือพระแท่นไว้ ซึ่งชีบอรีอุมนี้มีลักษณะเป็นทรงไทยมีช่อฟ้าเป็นกางเขน ใบระกา และหางหงษ์สวยงาม ตรงกลางของชีบอรีอุมได้ห้อยกางเขนประธานของวัดไว้ ซึ่งปัจจุบันได้นำไปติดไว้ที่ผนังแทน ผนังด้านหลังของพระแท่นบูชาวาดเป็นรูปกลุ่มลายพุ่มข้าวบิณฑ์ เสารองรับน้ำหนักของวัดจะประดับด้วยบัวหัวเสารูปกาบไผ่ และใบหอก และมีกรอบลายนูนต่ำลายลูกฟักลายประจำยาม จะต่อลายกันด้วยลายก้ามปูลายประจำยามบนผนังชั้นลอยของวัดทั้งหลัง และฝ้าเพดานของวัดมีลายดาวเพดาน หรือกลุ่มดาวกระจาย ทั่วทั้งเพดานวัด และหน้าต่างประกอบไปด้วยกระจกสีสวยงาม[11] มีแท่นตู้ศีลศักดิ์สิทธิ์และแท่นนั้นก็มีลักษณะมีชีบอรีอุมคุลมไว้เช่นกันแต่มีขนาดย่อมกว่า โดยมีบาทหลวงเอวเยน บุญชู เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการสร้างด้วยตนเอง มูลค่า 1,700,000 บาท ลงมือสร้างครั้งแรกเมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 วางศิลาฤกษ์เมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 เปิดเสกเมื่อ 11 พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2508 รวมระยะเวลาการสร้างทั้งหมด 5 ปี[12] โบสถ์หลังที่ 3 เคยเป็นที่อภิเษกพระคุณเจ้าเทียนชัย สมานจิต เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2514[13]
โบสถ์หัวไผ่หลังปัจจุบันนี้มีลักษณะพิเศษคือมีชีบอรีอุมครอบพระแท่นไว้ เนื่องจากโบสถ์คาทอลิกในประเทศไทยไม่มีโบสถ์หลังไหนมีชีบอรีอุมครอบพระแท่นเช่นหลังนี้มาก่อนและในตอนนี้ โบสถ์หลังนี้อยู่ในการบูรณะ เนื่องจากฝ้าเพดานเริ่มผุและพังทลายลงมา คานปูนด้านล่างของโบสถ์เริ่มกร่อนแตกร้าว เนื้อปูนเสื่อมสภาพ มากกว่า 70 เปอร์เซนต์ หลังจากทีมสำรวจของโบสถ์ได้ทำการสำรวจแล้ว บาทหลวงยอห์น บัปติส วีเชียร ฉันทพิริยะกุลซึ่งเป็นอธิการโบสถ์ในขณะนั้นมีความว่า เห็นสมควรที่จะต้องดำเนินการการรื้อถอนตัวโบสถ์หลังปัจจุบัน และดำเนินการสร้างโบสถ์หลังหลังใหม่ต่อไป[14]
โบสถ์น้อย
[แก้]บาทหลวงเอวเยนได้ให้ความสำคัญและส่งเสริมความศรัทธาต่อแม่พระ โดยให้ชนแต่ละกลุ่มของตนหาที่เหมาะสมที่จะสร้างโรงสวดขึ้นที่เรียกว่า โบสถ์น้อยประจำหมู่บ้าน เพื่อให้ชนกลุ่มนั้น ๆ ได้ร่วมสวดภาวนา และมีการฉลองโบสถ์น้อยปีละครั้ง โดยสัตบุรุษร่วมกันตั้งชื่อโบสถ์น้อย ดังนี้ [15]
- โบสถ์น้อยแม่พระประจักษ์ที่ลูร์ด เนินวัด
ใช้พื้นที่ของโบสถ์หลังแรกที่บาทหลวงเกโกสร้างขึ้น นำมาถมดินจนสูงแล้วสร้างถ้ำแม่พระประจักษ์ที่ลูร์ดจำลอง มีเนื้อที่ 639 ไร่เศษ
- โบสถ์น้อยแม่พระที่พึ่งแห่งปวงชน เนินท่าข้าม
ตั้งอยู่บนถนน 315 ตัดกับถนนเส้น 3127 ห่างจากตัวโบสถ์ไปทางทิศตะวันออก เนื้อที่ 3,430 ไร่เศษ
- โบสถ์น้อยแม่พระนิจจานุเคราะห์ เนินคู้-กระพังบอน
ตั้งอยู่ซอยโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโคกขี้หนอน (สถานีอานามัย บ้านหัวไผ่) ห่างจากตัวโบสถ์ทางทิศใต้ เนื้อที่ 2,379 ไร่เศษ
- โบสถ์น้อยแม่พระมหาชัย เนินกลม
ตั้งอยู่บนถนน 3127 ห่างจากตัวโบสถ์ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เนื้อที่ 2,995 ไร่เศษ
- โบสถ์น้อยแม่พระฟาติมา เนินชวดล่าง
ตั้งอยู่บริเวณโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองตีนนก ห่างจากตัวโบสถ์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 105 ไร่เศษ[16] [17]
ลำดับอธิการโบสถ์
[แก้]ลำดับที่ | รายนาม | ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. | สิ้นสุดตำแหน่ง พ.ศ. |
1 | บาทหลวงมาธือแรง ฟรังซัว มารี เกโก | 2423 | 2439 |
2 | บาทหลวงจิลล์ กียู | 2439 | 2448 |
3 | ฯพณฯ เรอเน แปรรอส | 2448 | 2450 |
4 | บาทหลวงจิลล์ กียู | 2450 | 2460 |
5 | บาทเหลวงเอวเยน เล็ตเชอร์ | 2460 | 2462 |
6 | บาทหลวงเปร์รูดองต์ | 2462 | 2464 |
7 | บาทหลวงอาแล็กซิศ | 2464 | 2472 |
8 | ฯพณฯ ยาโกเบ แจง เกิดสว่าง | 2472 | 2482 |
9 | บาทหลวงยออากิม เทพวันท์ | 2482 | 2483 |
10 | ฯพณฯ ยาโกเบ แจง เกิดสว่าง | 2483 | 2487 |
11 | บาทหลวงร็อค สนิท วรศิลป์ | 2487 | 2498 |
12 | บาทหลวงเอวเยน บุญชู ระงับพิศม์ | 2498 | 2509 |
13 | บาทหลวงเปโตร สุเทพ นามวงศ์ | 2509 | 2515 |
14 | บาทหลวงยอแซฟ เศียร โชติพงษ์ | 2515 | 2518 |
15 | บาทหลวงเปาโล เมธี วรรณชัยวงศ์ | 2518 | 2523 |
16 | บาทหลวงเปโตร แสวง สามิภักดิ์ | 2523 | 2526 |
17 | บาทหลวงเปโตร สมัคร เจ็งสืบสันต์ | 2526 | 2533 |
18 | บาทหลวงยอแซฟ เฉลิม กิจมงคล | 2533 | 2539 |
19 | บาทหลวงลูกา บรรจง พานุพันธ์ | 2539 | 2543 |
20 | บาทหลวงยอห์น บัปติส เพิ่มศักดิ์ เสรีรักษ์ | 2543 | 2548 |
21 | บาทหลวงดอมินิก วีระชน นพคุณทอง | 2548 | 2549 |
22 | บาทหลวงยอแซฟ ปรีชา สกุลอ่อน | 2549 | 2553 |
23 | บาทหลวงซีมอน เศกสม กิจมงคล | 2553 | 2558 |
24 | บาทหลวงยอห์น บัปติส วิเชียร ฉันทพิริยะกุล | 2558 | 2563 |
25 | บาทหลวงเปาโล ทรงวุฒิ ประทีปสุขจิต[18] | 2563 | ปัจจุบัน |
อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, p. 117
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, p. 15
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, pp. 44–45
- ↑ นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท.หน้า97
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, pp. 115
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, pp. 114
- ↑ นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท.หน้า48-49
- ↑ หอจดหมายเหต. "คุณพ่อ มาทือแรง ฟรังซัว (มารี) เกโก" (PDF).[ลิงก์เสีย]
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, p. 118
- ↑ "Diocese of Chanthaburi". GCatholic.
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, pp. 140–142
- ↑ นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท.หน้า 56
- ↑ นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท.หน้า 150
- ↑ "เข้าเงียบประจำปี 2020 พระสงฆ์สังฆมณฑลจันทบุรี". สังฆมณฑลจันทบุรี.
- ↑ นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท.หน้า56
- ↑ จันทร, แก้วบูชา & เรืองชีวิน 2560, p. 54
- ↑ เศกสม, กิจมงคล (2015). ฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ วัดนักบุญฟิลิปและยากอบ หัวไผ่ ปีที่ 135 (1880-2015). ชลบุรี, ประเทศไทย.หน้า27
- ↑ "ประกาศสังฆมณฑลจันทบุรี เรื่องการแต่งตั้งพระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ" (PDF). สังฆมณฑลจันทบุรี.
- บรรณานุกรม
- นิคม, โยธารักษ์ (1990). 1880-1990 ศตสมโภช ชุมชนแห่งความเชื่อ 110 ปี หิรัญสมโภช โบสถ์หลังปัจจุบัน. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย: ม.ป.ท. หน้า 48-65, 87-96
- เศกสม, กิจมงคล (2015). ฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ วัดนักบุญฟิลิปและยากอบ หัวไผ่ ปีที่ 135 (1880-2015). ชลบุรี, ประเทศไทย. หน้า 25-32
- อุษา จันทร; มนัส แก้วบูชา; ภูวษา เรืองชีวิน (2560). ภูมิทัศน์วัฒนธรรมชุมชนคาทอลิก วัดนักบุญฟิลิป-ยากอบ (หัวไผ่) อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี (วิทยานิพนธ์ ศศ.ม.). ชลบุรี, ประเทศไทย: คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. หน้า 115-117, 118-123, 143-146