แบบเรือประจัญบาน เอ-150
ชั้นเรือโดยสรุป | |
---|---|
ชื่อ: | แบบ เอ-150 |
ผู้ใช้งาน: | กองทัพเรือจักรวรรดิญี่ปุ่น |
ชั้นก่อนหน้า: | ชั้นยามาโตะ |
แผนที่จะสร้าง: | 2 |
สร้างเสร็จ: | 0 |
ยกเลิก: | 2 |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือประจัญบาน |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | ประมาณ 70,000 ตัน[A 1][1] |
ความยาว: | ประมาณ 263.0 เมตร (863 ฟุต) |
ความกว้าง: | ประมาณ 38.9 เมตร (128 ฟุต) |
ระบบขับเคลื่อน: | ไม่ทราบ |
ยุทโธปกรณ์: |
6 × 510 มม. (20.1 นิ้ว)/45 (2×3)[2] 100 มม. (3.9 นิ้ว)/65 จำนวนมาก[3] |
เกราะ: |
เกราะข้างประมาณ 460 มม. (18 นิ้ว) เกราะส่วนที่เหลือไม่มีข้อมูลเพียงพอ[4][5] |
แบบเรือประจัญบาน เอ-150 (Design A-150) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เรือประจัญบานชั้นซูปเปอร์ยามาโตะ (Super Yamato class)[A 2] เป็นแบบเรือชั้นเรือประจัญบานของจักรวรรดิญี่ปุ่น โดยเริ่มออกแบบเมื่อ ค.ศ. 1938–39 และเกือบเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1941 แต่อย่างไรก็ดี ด้วยความต้องการเรือรบประเภทอื่นที่สูงกว่า ทำให้งานทั้งหมดของแบบ เอ-150 ต้องหยุดลง ไม่มีแม้กระทั่งการวางกระดูกงู ผู้แต่ง วิลเลียม เอช. การ์ซคี (William H. Garzke) และ โรเบิร์ต โอ. ดับบลิน (Robert O. Dulin) ยืนยันว่าเรือนี้เป็น "เรือประจัญบานที่ทรงอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์"[3] ด้วยเพราะหมู่ปืนหลักมีขนาดใหญ่โตถึง 510 มม. (20 นิ้ว) และอาวุธปืนขนาดรองลงมาอีกจำนวนมาก
การออกแบบ
[แก้]พื้นหลัง
[แก้]เริ่มแรกแบบเรือประจัญบาน เอ-150 มีแผนที่จะติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 510 มม. (20.1 นิ้ว) 8-9 กระบอก โดยติดตั้ง 3 หรือ 4 กระบอกต่อป้อม จากความสำเร็จในการสร้างปืนใหญ่ขนาด 480 มม. (18.9 นิ้ว) ใน ค.ศ. 1920-1921 ทำให้ญี่ปุ่นมั่นใจว่าปืนใหญ่ขนาด 510 มม. (20.1 นิ้ว) สามารถสร้างขึ้นได้ นอกจากนี้ เรือต้องมีความเร็วสูงสุดที่ 30 นอต (35 ไมล์/ชม.; 56 กม./ชม.) เพื่อให้เรือในชั้นเร็วกว่าเรือประจัญบานชั้นนอร์ทแคโรไลนาของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ได้มีการตัดทอนรายละเอียดของเรือลงเมื่อการทดสอบระวางขับน้ำเต็มที่ของเรือมีค่าถึง 90,000 ตัน ซึ่งเรือขนาดนี้ "ใหญ่โตเกินไปและแพงเกินไป"[3]
รายละเอียด
[แก้]การศึกษาออกแบบเริ่มต้นหลังการออกแบบทางวิศวกรรมของเรือชั้นยามาโตะเสร็จสิ้นลง (1938–39) โดยมุ่งความสนใจไปที่ระวางขับน้ำของเรือต้องมีขนาดใกล้เคียงกับเรือยามาโตะ[6] เนื่องจากญี่ปุ่นคาดว่าสหรัฐนั้นทราบรายละเอียดที่แท้จริงของเรือชั้นนั้นแล้ว (กล่าวคืออาวุธหลักมีขนาด 460 มม. (18.1 นิ้ว)) การใช้ปืนขนาด 510 มม. นั้นเป็นการคงไว้ซึ่งนโยบายเรือแต่ละลำต้องเหนือกว่าเรือสหรัฐที่ขนาดใกล้เคียงกันของญี่ปุ่น เอ-150 เป็นการโต้กลับการตอบโต้ของสหรัฐที่มีต่อเรือชั้นยามาโตะ[3]
แม้แบบพื้นฐานเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1941[6] แต่เอกสารที่เกี่ยวข้องกลับมีชะตากรรมคล้ายกับเอกสารของเรือชั้นยามาโตะ[7][8] นั้นคือเอกสารส่วนมากและแบบทางวิศวกรรมทั้งหมดถูกทำลายเมื่อสิ้นสุดสงคราม ทำให้ไม่สามารถทราบรายละเอียดทั้งหมดของเรือได้[3] เท่าที่ทราบเรือมีอำนาจการยิงเหนือเรือชั้นยามาโตะ ด้วยหมู่ปืนหลักขนาด 510 มม. (20.1 นิ้ว) 6 กระบอก ติดตั้งในป้อมปืน 3 ป้อม ป้อมละ 2 กระบอก และปืนรองขนาดลำกล้อง 100 มม. (3.9 นิ้ว)/65 จำนวนมาก[6] ระวางขับน้ำใกล้เคียงกับเรือชั้นยามาโตะคือประมาณ 60,000–70,000 ตัน[6] เกราะด้านข้างกราบเรืออาจหนาถึง 460 มม. (18 นิ้ว)[5] ซึ่งเป็นขนาดหนาเกินกว่าที่โรงงานเหล็กกล้าในญี่ปุ่นจะสามารถผลิตได้ มีการใช้ "แผ่นเกราะขนาบข้างเรือคู่ (double strake)" แทน ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพดีกว่าแบบแผ่นเดี่ยว[6]
อาวุธยุทธภัณฑ์
[แก้]แม้ว่าไม่สามารถระบุรายละเอียดของอาวุธขนาดเล็กในแบบได้ แต่หมู่ปืนหลักในแบบเป็นปืนใหญ่ขนาดลำกล้อง 510 มม. (20.1 นิ้ว)/45 6 กระบอก ติดตั้งสองกระบอกต่อป้อม ปืนเหล่านี้เป็นปืนขนาดใหญ่ที่สุดที่ติดตั้งในเรือหลวง ใหญ่กว่าปืนขนาด 460 มม. (18.1 นิ้ว) ที่ติดตั้งบนเรือชั้นยามาโตะมาก[9] ในปี ค.ศ. 1941 ปืนใหญ่ 510 มม. หนึ่งหรืออาจจะสองกระบอกเริ่มการผลิตขึ้นที่อู่ทหารเรือคูเระ และรายละเอียดของป้อมปืนได้ถูกร่างขึ้น ป้อมปืนมีน้ำหนัก 2,780 เมตริกตัน เปลี่ยนแนวยิงได้ 2° ต่อวินาที มีแนวยิงทางราบทางกราบซ้ายหรือขวา 120° ปืนมีอัตราการยิงสูงสุด 1 ถึง 1.5 นัดต่อนาที มีมุมเงย -5° ถึง 45° มีอัตราการยกเงย 10° ต่อวินาที ปืนใหญ่หนัก 227 เมตริกตัน ยาว 23.56 ม. (928 นิ้ว) ปากกระบอกยาว 22.84 ม. (899 นิ้ว) กระสุนเจาะเกราะจะมีน้ำหนักระหว่าง 1,900-2,000 กก. (4,190-4,409 ปอนด์) ในขณะที่กระสุนระเบิดแรงสูงจะมีน้ำหนัก 1,858 กิโลกรัม (4,100 ปอนด์)[2]
หมู่ปืนรองที่มีจำนวนมากเป็นปืน 100 มม. (3.9 นิ้ว)/65 แม้ว่าจะไม่ใช้แบบสรุปสุดท้าย ปืนชนิดนี้เป็นปืนต่อต้านอากาศยานที่ดีที่สุดที่ผลิตโดยญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง[10] โดยรวมแล้ว เป็นอาวุธที่ดีมากเมื่อเทียบกับอาวุธร่วมสมัยอื่นๆ ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่ทำให้ปืนชนิดนี้ประสบความสำเร็จคือ "ความเร็วปากกระบอกปืนสูงและมีอัตราการยิงที่รวดเร็ว" เป็นผลให้มีรอบการบำรุงที่สั้น นั่นคือ 350–400 นัดต่อรอบ ในการต่อต้านอากาศยาน เพดานยิงที่มุมเงย 90° คือ 13,000 ม. (43,000 ฟุต) มีระยะหวังผลคือ 11,000 ม. (36,000 ฟุต) ปืนมีอัตราการยิง 15–21 นัดต่อนาที[10]
ใน Battleships: Axis and Neutral Battleships in World War II (เรือประจัญบาน: เรือประจัญบานอักษะและฝ่ายเป็นกลางในสงครามโลกครั้งที่ 2) ผู้แต่ง วิลเลียม เอช. การ์ซคี (William H. Garzke) และ โรเบิร์ต โอ. ดับบลิน (Robert O. Dulin) ยืนยันว่าแบบเรือ เอ-150 เป็น "เรือประจัญบานที่ทรงอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์"[3] เพราะหมู่ปืนหลักขนาดยักษ์และหมู่ปืนรองที่เป็นปืนสองประสงค์[3]
การสร้าง
[แก้]ด้วยสงครามบนเส้นขอบฟ้าในต้นปี ค.ศ. 1941 แม้ว่าแบบ เอ-150 จะเสร็จสมบูรณ์ แต่แบบทางวิศวกรรมทั้งหมดก็ได้หันเหไปจากเรือประจัญบานไปสู่ "เรือบรรทุกอากาศยาน เรือลาดตระเวน และเรือขนาดเล็ก"[3] ตามความต้องการในขณะนั้น ถึงแม้ว่าเรือแบบ เอ-150 จะไม่ได้สร้าง แต่มีแผนที่จะสร้างเรือตามแบบ 2 ลำ โดยได้กำหนดชื่อชั่วคราวเป็นเรือรบหมายเลข 798 และเรือรบหมายเลข 799 โดยวางแผนจะเริ่มสร้างใน ค.ศ. 1942 เรือรบหมายเลข 798 จะต่อในอู่เดียวกับชินาโนะ ขณะที่เรือรบหมายเลข 799 จะสร้างในคูเระในอู่เดียวกับยามาโตะ หลังจากเรือรบหมายเลข 111 ซึ่งเป็นเรือชั้นยามาโตะลำที่ 4 ปล่อยลงน้ำ เรือทั้งสองมีแผนจะวางกระดูกงูในปลายปี ค.ศ. 1941 หรือไม่ก็ต้นปี ค.ศ. 1942 ปล่อยลงน้ำใน ค.ศ. 1944/45 และสร้างเสร็จสิ้นใน ค.ศ. 1946/47 อย่างไรก็ตาม รูปแบบสงครามหลังยุทธนาวีมิดเวย์ได้เปลี่ยนไป มีความต้องการเรืออื่นๆ มากกว่าเรือประจัญบาน[6]
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ "ตัน" ในบทความนี้ไม่ใช่เมตริกตัน แต่เป็น Long ton ที่มีขนาดเท่ากับ 2,240 ปอนด์ (1,016 กก.)
- ↑ ถึงแม้บางคนจะเรียกว่า "ชั้นซูปเปอร์ยามาโตะ" แต่แบบ เอ-150 ก็ได้รับการออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด มีแต่เพียงส่วนน้อยที่ได้มาจากแบบทางวิศวกรรมของเรือชั้นยามาโตะ ดูเพิ่ม: Garzke and Dulin, p. 85
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Breyer (1973), p. 330
- ↑ 2.0 2.1 DiGiulian, Tony (9 October 2006). "51 cm/45 (20.1") "A" Type 98 (?)". Navweaps. สืบค้นเมื่อ 5 November 2009.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 Garzke and Dulin (1985), p. 85
- ↑ Garzke and Dulin (1985), p. 86
- ↑ 5.0 5.1 Gardiner and Chesneau (1980), p. 178
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 Garzke and Dulin (1985), pp. 85–86
- ↑ Muir (1990), p. 485
- ↑ Skulski (1989), p. 8
- ↑ Garzke and Dulin (1985), pp. 85 and 88
- ↑ 10.0 10.1 DiGiulian, Tony (9 October 2006). "10 cm/65 (3.9") Type 98". Navweaps. สืบค้นเมื่อ 5 November 2009.
บรรณานุกรม
[แก้]- Breyer, Siegfried (1973). Battleships and battle cruisers, 1905–1970. Garden City, New York: Doubleday. OCLC 702840.
- Garzke, William H.; Dulin, Robert O. (1985). Battleships: Axis and Neutral Battleships in World War II. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 0-87021-101-3. OCLC 12613723.
- Gardiner, Robert; Chesneau, Robert, บ.ก. (1980). Conway's All the World's Fighting Ships, 1922–1946. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 0-87021-913-8. OCLC 18121784.
- Muir, Micheal (1990). "Rearming in a Vacuum: United States Navy Intelligence and the Japanese Capital Ship Threat, 1936–1945". The Journal of Military History. Society for Military History. 54 (4): 485. ISSN 1543-7795. JSTOR 1986067. OCLC 37032245.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|month=
ถูกละเว้น (help) - Skulski, Janusz (1989). The Battleship Yamato. Annapolis, Maryland: Naval Institute Press. ISBN 0-87021-019-X. OCLC 19299680.