เซ็มเบ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซ็มเบ

เซ็มเบ (煎餅) คือ ข้าวเกรียบแบบหนึ่ง ที่มีหลายรูปทรง ขนาด และรสชาติ โดยปกติแล้วจะเป็นรสเค็ม(ส่วนใหญ่​รสเค็มจะเป็นรสชาติของโชยุ)​แต่รสหวานก็มีให้เห็น ส่วนใหญ่แล้วเซ็มเบจะรับประทานคู่กับชาเขียว เป็นขนมและจัดให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้าน  

ลักษณะ[แก้]

ปกติแล้วเซ็มเบจะทำโดยการอบ หรือย่างถ่านแบบดั้งเดิม ระหว่างปรุงอาจมีการทาเซ็มเบด้วยซอสปรุงรส ซึ่งส่วนมากทำจากซอสถั่วเหลืองและมิริง จากนั้นอาจห่อด้วยสาหร่ายและปรุงด้วยเกลือ

ในประเทศจีน เซ็มเบ อ่านว่า เจียนปิ่ง (jiānbǐng) (煎餅) โดยมีหลายแบบเช่น ซานตงเจียนปิ่ง และเทียนจินเจียนปิ่ง อย่างไรก็ตาม เหล่านี้ถือว่าเป็นอาหารคนละอย่างกัน ในประเทศจีน เจียนปิ่งนั้นมีลักษณะคล้ายแพนเค้ก ใกล้เคียงกับโอโกโนมิยากิ ในขณะที่ของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความแข็ง และเป็นขนมไม่ใช่อาหารหลัก อย่างไรก็ตาม ขนมปังกรอบซึ่งคล้ายกับเซ็มเบญี่ปุ่นมีในประเทศจีนในปัจจุบัน ชื่อสมัยใหม่คือ 仙贝 (พินอิน: xianbei) ซึ่งออกเสียงคล้ายกับเซ็มเบ

เซ็มเบหวาน (甘味煎餅) มาถึงประเทศญี่ปุ่นในช่วงราชวงศ์ถัง บันทึกการใช้ครั้งแรกอยู่ใน ค.ศ. 737 และยังมีความคล้ายกับรูปแบบของราชวงศ์ถัง โดยแรกเริ่มนั้นแพร่หลายแถบคันไซ ซึ่งรวมไปถึง เซ็มเบ "กระเบื้องหลังคา" แบบดั้งเดิม เครื่องปรุงที่ใช้ได้แก่มันฝรั่งและแป้งข้าวสาลี หรือข้าวเหนียว และยังคล้ายกับเค้กคัสเตลลา (มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเซ็มเบในปัจจุบัน)

เซ็มเบแบบโบราณแบบนี้ยังหาได้ เช่นที่ อิกะ เมอิบุตสึ คาตายากิ (Iga meibutsu katayaki) ในเมืองอิกะ 

สิ่งที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าเซ็มเบในปัจจุบันนั้นเริ่มได้รับความนิยมในยุคเอโดะโดยร้าน Sōkajuku ที่ทำให้เซ็มเบรสซอสถั่วเหลืองเป็นที่นิยมทั่วประเทศญี่ปุ่น 

เซ็มเบแบบโบราณมีหลากหลายรูปแบบ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม เซ็มเบหวาน (มีมากกว่า 15 แบบ) ขนมข้าวเซ็มเบ (米菓煎餅) และอื่น ๆ ซึ่งรวมไปถึงเซ็มเบปลา (魚せんべい) เซ็มเบดอกบัว (蓮根煎餅) และเซ็มเบกระดูก (骨せんべい)

เซ็มเบยุคใหม่นั้นมีความสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก และอาจมีรสกิมจิ วาซาบิ แกงกะหรี่ ไปจนถึงช็อกโกแลต

เซ็มเบคันไซ ส่วนมากใช้ข้าวเหนียว มีการปรุงแต่งเพียงเล็กน้อยและมีเนื้อที่ละเอียดอ่อน (saku saku) เซ็มเบคันโต โดยดั้งเดิมมาจากอูรูจิไม (uruchimai) ข้าวที่ไม่เหนียว รวมไปถึงมีความกรอบ (kari kari) และรสชาติที่กลมกล่อม

ข้าวเกรียบญี่ปุ่นแบบบาง (薄焼きせんべい อูซูยากิ เซ็มเบ) ได้รับความนิยมในประเทศออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ[1]

อ้างอิง[แก้]

  1. "HISTORY". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-04-09. สืบค้นเมื่อ March 7, 2013.