มันไซ
มันไซ (ญี่ปุ่น: 漫才; โรมาจิ: Manzai) เป็นการแสดงตลกในวัฒนธรรมญี่ปุ่น[1] ซึ่งสามารถเปรียบได้เหมือนการแสดงสแตนด์อัพคอมเมดี[2]
โดยทั่วไปแล้ว มันไซจะประกอบไปด้วยผู้แสดงสองคน (ญี่ปุ่น: 漫才師; โรมาจิ: Manzaishi) ได้แก่ คนขัดจังหวะ (ญี่ปุ่น: 突っ込み; โรมาจิ: Tsukkomi; ทับศัพท์: สึกโกมิ; สอดเข้า, ขัดจังหวะ) และ คนใสซื่อ (ญี่ปุ่น: ボケ; โรมาจิ: Boke; ทับศัพท์: โบเกะ (มาจากคำว่า 呆ける ซึ่งหมายถึงเติบโตอย่างไร้เดียงสา)) รับและส่งมุกตลก (เปรียบเสมือนการชง-ตบ) ด้วยความเร็ว ส่วนใหญ่จะเป็นมุกตลกที่เล่าถึงสถานการณ์การที่ต่างคนต่างเข้าใจผิด พูดไร้สาระ หรือคำพูดสองแง่สองง่าม[3]
ในปัจจุบัน มันไซจะถูกเล่นในแถบโอซากะและผู้แสดงมันไซจะใช้สำเนียงคันไซในระหว่างการทำการแสดง
ในปี ค.ศ. 1933 โยชิโมโตะ โคเกียว บริษัทความบันเทิงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในโอซากะ ได้เริ่มมีการนำเสนอการแสดงมันไซในแบบโอซากะและการเขียนคำว่า 'มันไซ' โดยใช้อักษรคันจิ "漫 (man)" และ "才 (zai)" (เป็นหนึ่งในวิธีเขียนหลายแบบของ 'มันไซ' ในภาษาญี่ปุ่น (ดู § ชื่อเรียก ด้านล่าง) แก่ผู้ชมชาวโตเกียวได้รู้จัก ในปี 2015 นวนิยายมันไซของมาโตโยชิ นาโอกิ สปาร์ค (ญี่ปุ่น: 火花; โรมาจิ: Hibana) ได้รับรางวัลวรรณกรรมอากูตางาวะ[4] และถูกดัดแปลงเป็นละครชุด ฮิบานะ: สปาร์ค บนเน็ตฟลิกซ์ในปี 2016[5] นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง เด็กอาซากุสะ ที่เล่าเรื่องราวของนักแสดงมันไซ ทาเกชิ คิตาโนะ ได้เผยแพร่บนเน็ตฟลิกซ์ในปี 2021 ด้วยเช่นกัน[3][6]
ประวัติ
[แก้]พบหลักฐานการแสดงมันไซเป็นครั้งแรกในเทศกาลตรุษญี่ปุ่นช่วงยุคเฮอัง[7] ผู้แสดงมันไซสองคนที่ตอบโต้กันด้วยคำพูดที่มาจากเหล่าเทพ โดยผู้แสดงคนหนึ่งมีท่าที่หรือแสดงปฏิกิริยาตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายหนึ่ง รูปแบบนี้ยังคงมีให้เห็นอยู่จวบจนถึงปัจจุบันในบทบาทของคนใสซื่อ (โบเกะ) และ คนขัดจังหวะ (สึกโกมิ)
ต่อมาในยุคเอโดะ การให้ความสำคัญกับอารมณ์ขันได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภูมิภาคต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นได้ออกแบบวิธีการแสดงมันไซที่แตกต่างกันไป เช่น โอวาริ มันไซ (ญี่ปุ่น: 尾張万歳; โรมาจิ: Owari Manzai) มิกาวะ มันไซ (ญี่ปุ่น: 三河万歳; โรมาจิ: Mikawa Manzai) และ ยาโมโตะ มันไซ (ญี่ปุ่น: 大和万歳) การมาถึงของยุคเมจิ ทำให้เกิด โอซากะ มันไซ (ญี่ปุ่น: 大阪万才; โรมาจิ: Ōsaka Manzai) ที่ได้เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าในเชิงความนิยมเมื่อเทียบกับมันไซในยุคก่อน ๆ ซึ่งถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น รากูโกะ ยังคงเป็นที่นิยมเสียมากกว่า[ต้องการอ้างอิง]
หลังสิ้นสุดยุคไทโช ในปี 1912 บริษัทโยชิโมโตะ โคเกียว ที่ก่อตั้งในช่วงต้น ๆ ของยุคได้คิดค้นมันไซที่ไม่มีการแสดงในเชิงเฉลิมฉลองเหมือนมันไซสมัยก่อน โดยมันไซรูปแบบใหม่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและความนิยมก็ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมถึงโตเกียวด้วยเช่นกัน และประกอบกับคลื่นเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ มันไซยังถูกแสดงบนเวทีโรงละคร วิทยุ โทรทัศน์ และวิดีโอเกม[8][9][10][11][12]
ชื่อเรียก
[แก้]คันจิสำหรับคำว่า 'มันไซ' สามารถเขียนได้หลายแบบ โดยดั่งเดิมแล้วเขียนแล้วมีความหมายว่า "หมื่นปี" (ญี่ปุ่น: 萬歳; โรมาจิ: Banzai; ทับศัพท์: บันไซ) ที่ใช้คันจิ 萬 (man) แทนที่จะใช้คันจิอีกตัวที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน 万 และคันจิที่ง่ายกว่า 才 แทนที่ 歳 (สามารถเขียนเพื่อสื่อความหมาย 'ความสามารถ') การมาถึงของ โอซากะ มันไซ ทำให้มีการเปลี่ยนคันจิตัวแรกเป็น 漫 ที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน[13]
โบเกะ และ สึกโกมิ
[แก้]โบเกะ และ สึกโกมิ ถือว่าเป็นลักษณะเด่นที่สำคัญของมันไซ ซึ่งสามารถเปรียบเสมือนได้กับการชง-ตบของการแสดงตลกในประเทศไทย คนใสซื่อ (ญี่ปุ่น: ボケ; โรมาจิ: Boke; ทับศัพท์: โบเกะ) มาจากคำกริยา โบเกรุ (ญี่ปุ่น: 惚ける/呆ける; โรมาจิ: Bokeru) ที่มีความหมายว่า "เติบโตอย่างไร้เดียงสา" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตีความที่ผิดพลาดและการลืมสิ่งที่พึ่งพูดออกไปในระยะเวลาอันรวดเร็วของผู้ที่รับบทเป็นโบเกะ และคำว่า สึกโกมิ (ญี่ปุ่น: 突っ込み; โรมาจิ: Tsukkomi) หมายถึงผู้แสดงมันไซที่มีหน้าที่ขัดจังหวะ พูดแทรก หรือแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องของโบเกะ โดยทั่วไปแล้วสึกโกมิจะตำหนิติเตียนโบเกะ และตีศีรษะด้วยพัดลมกระดาษพับที่เรียก ฮาริเซ็ง (ญี่ปุ่น: 張り扇; โรมาจิ: Harisen)[14] นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงมันไซอื่น ๆ เช่น กลองเล็กที่มักจะถือและใช้โดยโบเกะ ไม้ไผ่ญี่ปุ่น หรือร่มกระดาษ เป็นต้น[ต้องการอ้างอิง] อุปกรณ์ประกอบการแสดงเหล่านี้จะใช้ในการแสดงมันไซที่ไม่มีความจริงจังเท่านั้น เนื่องจากการแสดงมันไซแบบดั้งเดิมหรือการแข่งขันจะบังคับไม่ให้มีการใช้อุปกรณ์ประกอบการแสดง อีกทั้งยังทำให้การแสดงตลกนี้เป็นเหมือนกับ คนโตะ (การแสดงตลกที่ให้ความสำคัญกับอุปกรณ์และฉากประกอบการแสดง) มากกว่าการแสดงมันไซ[15]
การแสดงมันไซที่มีชื่อเสียง
[แก้]- ดาวน์ทาวน์
- ทาเกชิ คิตาโนะ ผู้กำกับภาพยนตร์ พิธีรายการโทรทัศน์ และอดีตนักแสดงมันไซของ "ทู บีทส์"
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Blair, Gavin (2016). "What's Manzai?". Highlighting Japan June 2017. Public Relations Office of the Government of Japan. สืบค้นเมื่อ November 4, 2019.
- ↑ Blair, Gavin (2016). "What's Manzai?". Highlighting Japan June 2017. Public Relations Office of the Government of Japan. สืบค้นเมื่อ November 4, 2019.
- ↑ 3.0 3.1 Schley, Matt (2021-12-09). "Asakusa Kid is Full of Easter Eggs About Japanese Culture". Netflix Tudum (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Kyodo, Jiji (July 17, 2015). "Comedian Matayoshi's literary win offers hope for sagging publishing industry". Japan Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 27, 2015.
- ↑ "HIBANA (SPARK), BY NAOKI MATAYOSHI, WILL BE A NETFLIX JAPAN ORIGINAL SERIES". Netflix Media Center. 2016-09-19. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-06-19. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "大泉洋、"幻の浅草芸人"を体現 『浅草キッド』場面写真解禁(クランクイン!)". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). 2021-11-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-11. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
- ↑ "日本のお笑いである「漫才(manzai)」を知ろう│KARUTA - 楽しく日本を学ぼう". KARUTA - 楽しく日本を学ぼう (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ Hiragana lesson through Japanese culture – manzai
- ↑ Manzai (Double-act comedy)
- ↑ Manzai (Double-act comedy)
- ↑ Corkill, Edan, "Yoshimoto Kogyo play reveals manzai's U.S. roots", เจแปนไทมส์, 25 May 2012, p. 13
- ↑ Ashcraft, Brian, "Ni no Kuni’s Funny Bone Has Quite the History", Kotaku, 5 October 2011
- ↑ "笑いを演じ、幸せをお迎えする郷土芸能". ちょうどいいまち 知多 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ WWWJDIC เก็บถาวร 3 มกราคม 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "お笑いライブで見る「漫才」と「コント」の違いとは? | 【公式】東京俳優・映画&放送専門学校 | 俳優・映画・映像のプロが作った学校". 【公式】東京俳優・映画&放送専門学校 (ภาษาญี่ปุ่น). 2018-07-20. สืบค้นเมื่อ 2021-12-12.
{{cite web}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Commodified Comedians and Mediatized Manzai: Osakan Comic Duos and Their Audience" โดย Xavier Benjamin Bensky. การศึกษาค้นคว้าผลกระทบทางวัฒนธรรมของมันไซ