พุทธศาสนิกชนเชื้อสายยิว
พุทธศาสนิกชนเชื้อสายยิว หรือเรียกโดยย่อว่า จูบู (JewBu)[1] ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างจากการตีพิมพ์หนังสือ The Jew in the Lotus (พ.ศ. 2537) ของรอเจอร์ คาเมเนตซ์ (Rodger Kamenetz)[2] ใช้กล่าวถึงบุคคลที่มีเชื้อสายยิวแต่ปฏิบัติตนแบบชาวพุทธในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิแบบธยาน หรือการสวดมนต์ บ้างก็นับถือทั้งสองศาสนา บ้างก็ถือตัวเป็นชาวยิวที่นับถือศาสนาพุทธ จนเกิดการผสมผสานความเชื่อและประเพณีเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง[3][4][5] พวกเขาต้องธำรงความเป็นยิวและพุทธในฐานะชนกลุ่มน้อยท่ามกลางสังคมที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคริสต์ศาสนิกชน[3]
ประวัติ
[แก้]ช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ชาวยิวในประเทศเยอรมนีหันไปนับถือศาสนาพุทธ พุทธศาสนิกชนในเยอรมนีราวหนึ่งในสามเป็นชาวยิว แต่ไม่นานหลังจากนั้น ชาวยิวในเยอรมนีถูกสังหารหรืออพยพออกนอกประเทศ ทำให้ชาวยิวที่นับถือศาสนาพุทธไม่เป็นที่พูดถึงนัก[5] หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โลกตะวันตกให้ความสนใจศาสนาพุทธมากขึ้น โดยเฉพาะนิกายเซน ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960–70 เป็นต้นมา เกิดปรากฏการณ์ชาวยิวในสหรัฐจำนวนไม่น้อยหันไปศึกษาและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ ด้วยมองว่าสอดคล้องกับจิตวิญญาณและวิถีชีวิตสมัยใหม่ในยุคเสรีนิยม สามารถขจัดความเครียดในชีวิตประจำวันได้[4] ชาลส์ สเตราส์ (Charles Strauss) ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชนขณะบรรยายในการประชุมศาสนาโลกเมื่อ ค.ศ. 1893 หลังจากนั้นสเตราส์ผันตัวเป็นนักเขียนและเป็นผู้นำอธิบายศาสนาพุทธในโลกตะวันตก[6] ชาวยิวหลายคนกลายเป็นครูสอนสอนวิปัสสนาที่มีชื่อเสียง รวมทั้งก่อตั้งสมาคมและศูนย์วิปัสสนา โดยใช้ครูสอนวิปัสสนาจากไทยเป็นหลัก[7][8][9] หลังจากนั้นจึงมีการปฏิบัติตามอย่างนิกายนิจิเร็ง[10]
จากการศึกษาของเจมส์ โคลแมน (James Coleman) นักสังคมวิทยา พบว่าศูนย์ศาสนาพุทธเจ็ดแห่งในอเมริกาเหนือมีสมาชิกเป็นยิวร้อยละ 16.7 ส่วนรอเจอร์ คาเมนิตซ์ ผู้แต่งหนังสือ The Jew in the Lotus ประมาณการว่าพุทธศาสนิกชนเชื้อสายตะวันตกในสหรัฐ จำนวนร้อยละ 30 เป็นชาวยิว หรือคิดเป็นร้อยละ 2–3 ของชาวยิวทั้งหมดในสหรัฐ[3]
การปฏิบัติ
[แก้]ตามบัญญัติสิบประการและกฎหมายคลาสสิกของชาวยิว (הֲלָכָה) ห้ามชาวยิวสักการะพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระเจ้าแห่งอิสราเอล โดยเฉพาะการโค้งคำนับ การถวายเครื่องหอม การสังเวย และการเสพสุรา[11] ทำนองเดียวกัน พวกเขาถูกห้ามมิให้เข้าร่วมหรือรับใช้ศาสนาอื่น มิเช่นนั้นจะถูกนับว่าตกศาสนา เป็นผู้ละทิ้งความเชื่อ หรือพวกบูชารูปเคารพ แต่ชาวยิวมองว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระเป็นเจ้า และการปฏิบัติตนตามพิธีกรรมของพุทธทั้งการจุดธูป การกราบ และการคำนับพระพุทธรูปในมุมมองของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะสายเถรวาท) ถือว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการแสดงความเคารพ ความกตัญญู ต่อความสำเร็จและคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือการตรัสรู้และสอนธรรมะให้ผู้คนรอดพ้นจากบ่วงทุกข์และบรรลุนิพพาน
ความเชื่อร่วมกัน
[แก้]ในประวัติศาสตร์ ศาสนายูดาห์มีการรับความเชื่อจากศาสนาอื่นที่ไม่ขัดกับพระคัมภีร์โทราห์มาปรับใช้ แต่ยังคงอัตลักษณ์ในการปฏิเสธการนับถือเทพเจ้าหลายพระองค์ และปฏิเสธการบูชารูปเคารพ[12] ผู้เชี่ยวชาญบางคนอ้างว่า พระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์และสาวกเคยนับถือศาสนาพุทธ โดยมีการผสมผสานความเชื่อแบบยิวเข้ากับศาสนาพุทธ คือ อหิงสา พรหมจรรย์ การเปรียบเทียบ การคบค้ากับพวกนอกรีต แต่ยังเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียวในคติยิว[13]
การกลับชาติมาเกิด
[แก้]สำนักคิดของศาสนายูดาห์ร่วมสมัยบางสำนักเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดบนโลกมนุษย์ นอกจากจะปรากฏในพระคัมภีร์แล้ว ยังปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าพื้นบ้านอีกด้วย[14] ชาวยิวนิกายฮาซิดที่เชื่อในคำสอนจากคับบาลาห์ เชื่อว่า วิญญาณของชายิวสามารถกลับชาติมาเกิดใหม่ได้บนโลก หากชีวิตก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำตามเงื่อนไขในการเข้าสู่สรวงสวรรค์ได้สำเร็จ[15][16][17] นอกจากนี้บางสำนักคิดของยูดาห์เชื่อว่า การที่บุคคลต่างศาสนาเปลี่ยนไปนับถือศาสนายูดาห์ ก็เพราะชาติที่แล้วเขาเคยเป็นชาวยิวมาก่อน ดวงวิญญาณดังกล่าวอาจ "ล่องลอยไปยังชาติต่าง ๆ" หลายชั่วชีวิต จนกว่าจะหวนกลับไปนับถือศาสนายูดาห์ และบางคนพบว่าตนเองเกิดในครอบครัวที่มีบรรพชนเป็นชาวยิวที่สาบสูญ[18]
การทำสมาธิ
[แก้]หนุ่มสาวชาวอิสราเอลจำนวนมากสนใจการทำสมาธิแบบพุทธเพื่อบรรเทาความรุนแรงหรือความขัดแย้งที่พบในชีวิตประจำวัน รวมทั้งชาวยิวในหน้าประวัติศาสตร์ก็ถูกกดขี่ข่มเหงมาช้านาน[19] ชาวยิวนิกายออร์ทอดอกซ์เริ่มทำสมาธิมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เพื่อสื่อสารกับพระเป็นเจ้า แต่ทุกวันนี้ชาวยิวปฏิรูปปรับการสมาธิด้วยความเชื่ออย่างเป็นเหตุเป็นผลขึ้น[20] ลูกหลานของชาวยิวผู้รอดชีวิตจากการพันธุฆาตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เปิดรับคำสอนจากศาสนาพุทธเรื่องธรรมชาติของความทุกข์ และหนทางแห่งการดับทุกข์ เพื่อปลอบประโลมจิตใจ[21] นอกจากนี้ศาสนาพุทธก็ไม่ปฏิเสธการมีอยู่หรือยอมรับการมีตัวตนของพระเป็นเจ้า ชาวยิวจึงน้อมรับคำสอนนี้ได้แม้จะยังเคารพพระคัมภีร์โทราห์อยู่[22]
กรรม
[แก้]ชาวยิวบางคนมีความเชื่อที่เรียกว่า middah k’neged middah ซึ่งใกล้เคียงกับ กรรม ตามความเชื่อในศาสนาพุทธ[23] กล่าวคือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว[24] เมื่อสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนที่ทำความดี ชาวยิวและชาวพุทธมองว่าเป็นการทดสอบศรัทธาสอดคล้องกัน[25] แต่มีมุมมองที่ต่างกันตรงที่ชาวพุทธจะมองว่าเป็นเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ขณะที่ชาวยิวจะมองว่าเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า[26]
เบญจศีล
[แก้]ทั้งศาสนายูดาห์และศาสนาพุทธ ต่างมีคำสอนให้เว้นจากการฆ่า การล่วงประเวณี การลักขโมย และการพูดปด ซึ่งเป็นสี่ในห้าของเบญจศีลหรือศีลห้าที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติ สอดคล้องกับบัญญัติข้อที่หก เจ็ด แปด และเก้า และสอดคล้องกับกฎของโนอาห์ข้อที่สาม สี่ ห้า และเจ็ด[27] แต่ทว่าศีลข้อที่ 5 ให้เว้นจากการดื่มสุราเมรัยสิ่งมึนเมา สอดคล้องกับพระคัมภีร์ทานัค เรื่องความมึนเมาของโนอาห์ ส่วนในสุภาษิตได้ตักเตือนว่า แอลกอฮอล์ในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความฉิบหาย ความยากจน และบาปที่เกิดจากการขาดความยับยั้งชั่งใจ[28] กระนั้นแอลกอฮอล์บางชนิด อย่างเช่น ไวน์ ยังถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนายูดาห์ และชุมชนยิวบางแห่งสนับสนุนการดื่มสุราในช่วงวันเทศกาลสำคัญ
พระโพธิสัตว์
[แก้]ในศาสนาพุทธ เชื่อว่าพระโพธิสัตว์คือ ผู้รู้แจ้งคือที่เลือนขึ้นสู่สรวงสวรรค์เพื่อช่วยให้ผู้อื่นตรัสรู้ ชาวยิวเชื่อว่าผู้เผยพระวจนะที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับพระโพธิสัตว์ของชาวพุทธ เพราะช่วยเหลือชาวอิสราเอลจากการกดขี่ข่มเหงหลังเสียชีวิตไปแล้ว ความเชื่อโยงระหว่างผู้เปยพระวจนะกับพระโพธิสัตว์นี้ เป็นที่สนใจยิ่งสำหรับชาวยิวเมสสิยาห์ที่นับถือพระเยซูในฐานะผู้เผยพระวจนะ แต่ปฏิเสธพระองค์ในฐานะพระบุตรพระเจ้าในศาสนาคริสต์ โดยได้รับอิทธิพลจากความเชื่อว่า ยอห์นผู้ให้บัพติศมา คือเอลียาห์ที่กลับชาติมาเกิด[29] นักวิชาการไบเบิลบางท่านเชื่อว่า พระเยซูทรงกลับชาติมาเกิดหลายครั้ง โดยชาติปางก่อน พระองค์เกิดเป็นพระเจ้าเมลคิซาเดก (מַלְכִּי־צֶדֶק) กษัตริย์ยุคก่อนอิสราเอล[30] และเชื่อว่าเกิดเป็นพระอมิตาภพุทธะ พระสงฆ์ในเอเชีย[31][32][33]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Frankel, Ellen (January 24, 2013). "5 Reasons Jews Gravitate Toward Buddhism". HuffPost. สืบค้นเมื่อ August 19, 2019.
- ↑ Shupac, Jodie (August 23, 2017). "The Jubu in the Lotus: Why do so many Jews become Buddhist?". Canadian Jewish News. สืบค้นเมื่อ August 19, 2019.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 Sigalow, Emily (December 10, 2019). "American JewBu: Jews, Buddhists, and Religious Change". The Revealer. สืบค้นเมื่อ January 11, 2021.
- ↑ 4.0 4.1 Altshuler, Glen C. (February 27, 2020). "What is an American JewBu?". The Jerusalem Post. สืบค้นเมื่อ January 11, 2021.
- ↑ 5.0 5.1 Drescher, Frank (2012). "Jewish Converts to Buddhism and the Phenomenon of "Jewish Buddhists" ("JuBus") in the United States, Germany and Israel". Grin. สืบค้นเมื่อ January 11, 2021.
- ↑ The Jew in the Lotus: Jewish Identity in Buddhist India] Retrieved on June 5, 2007
- ↑ Joseph Goldstein
- ↑ Silvia Boorstein
- ↑ Teachers at Spirit Rock
- ↑ Books by Taro Gold
- ↑ Exodus 20:4-6
- ↑ Is Buddhism kosher
- ↑ Was Jesus Buddhist?
- ↑ Yonasson Gershom (1999), Jewish Tales of Reincarnation. Northvale, NJ: Jason Aronson. ISBN 0765760835
- ↑ Essential Judaism: A Complete Guide to Beliefs, Customs & Rituals, By George Robinson, Simon and Schuster 2008, page 193
- ↑ "Mind in the Balance: Meditation in Science, Buddhism, and Christianity", p. 104, by B. Alan Wallace
- ↑ "Between Worlds: Dybbuks, Exorcists, and Early Modern Judaism", p. 190, by J. H. Chajes
- ↑ Jewish Tales of Reincarnation, By Yonasson Gershom, Yonasson Gershom, Jason Aronson, Incorporated, 31 Jan 2000
- ↑ CJ News
- ↑ Jewish meditation
- ↑ Huff Post
- ↑ Jewish learning
- ↑ Sefaria
- ↑ "Jewish karma". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-27. สืบค้นเมื่อ 2022-10-23.
- ↑ Tablet Mag
- ↑ Divine providence
- ↑ SMP resources
- ↑ Proverbs 23:20
- ↑ Biblical reincarnation
- ↑ Christ's past lives
- ↑ Jesus as a Bodhisattva
- ↑ The nonwestern Jesus
- ↑ Brill journals