ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นกชาปีไหน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 24: | บรรทัด 24: | ||
'''นกชาปีไหน''' หรือ '''นกกะดง'''<ref>{{cite web|url=http://dict.longdo.com/index.php?lang=en&search=%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99|title= ชาปีไหน|work=[[พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542]]}}</ref> ({{lang-en|Nicobar pigeon, Nicobar dove}}; {{ชื่อวิทยาศาสตร์|Caloenas nicobarica}}) เป็น[[นก|นก]][[สปีชีส์|ชนิด]]หนึ่ง จัดอยู่ใน[[วงศ์นกพิราบและนกเขา]] (Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล ''Caloenas'' ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว<ref>Steadman, David William (2006). ''Extinction and Biogeography of Tropical Pacific Birds''. University of Chicago Press. ISBN 0-226-77142-3.</ref> โดยมีความใกล้ชิดกับ[[นกโดโด]]ที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย |
'''นกชาปีไหน''' หรือ '''นกกะดง'''<ref>{{cite web|url=http://dict.longdo.com/index.php?lang=en&search=%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99|title= ชาปีไหน|work=[[พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542]]}}</ref> ({{lang-en|Nicobar pigeon, Nicobar dove}}; {{ชื่อวิทยาศาสตร์|Caloenas nicobarica}}) เป็น[[นก|นก]][[สปีชีส์|ชนิด]]หนึ่ง จัดอยู่ใน[[วงศ์นกพิราบและนกเขา]] (Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล ''Caloenas'' ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว<ref>Steadman, David William (2006). ''Extinction and Biogeography of Tropical Pacific Birds''. University of Chicago Press. ISBN 0-226-77142-3.</ref> โดยมีความใกล้ชิดกับ[[นกโดโด]]ที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย |
||
นกชาปีไหน มีขนาดลำตัวเท่า ๆ กับ[[ไก่แจ้]] มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-41 |
นกชาปีไหน มีขนาดลำตัวเท่า ๆ กับ[[ไก่แจ้]] มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-41 เซนติเมตร มีลำตัวขนาดใหญ่ แต่มีหัวขนาดเล็กและมีเนื้อนูนเป็นตุ่มบริเวณจมูก ขนตามลำตัวเป็น[[สีเขียว]]เหลือบ[[สีเทา|เทา]] ขนหาง[[สีขาว]] แต่จะมีขนบริเวณคอห้อยยาวออกมาเหมือนสร้อยคอ ซึ่งขนนี้จะยาวขึ้นเมื่อนกมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีขาขนาดใหญ่แข็งแรง เพราะเป็นนกที่ชอบเดินหากินตามพื้น สีของมันน่าจะมีไว้เพื่อดึงดูดตัวเมีย |
||
นกชาปีไหน แม้จะเป็นนกที่หากินบนพื้นดินเป็นหลัก แต่ก็เป็นนกที่สามารถบินได้ มีรายงานว่าสามารถบินข้ามไปมาระหว่าง[[เกาะ]]ต่าง ๆ ได้ เป็นนกที่หากตกใจจะบินหรือกระโดดขึ้นบน[[ต้นไม้]] และไม่ค่อยส่งเสียงร้องนัก นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 [[ชนิดย่อย]] (ดูในตาราง)<ref>{{ITIS|id=177272|taxon=''Caloenas nicobarica}}</ref> |
นกชาปีไหน แม้จะเป็นนกที่หากินบนพื้นดินเป็นหลัก แต่ก็เป็นนกที่สามารถบินได้ มีรายงานว่าสามารถบินข้ามไปมาระหว่าง[[เกาะ]]ต่าง ๆ ได้ เป็นนกที่หากตกใจจะบินหรือกระโดดขึ้นบน[[ต้นไม้]] และไม่ค่อยส่งเสียงร้องนัก นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 [[ชนิดย่อย]] (ดูในตาราง)<ref>{{ITIS|id=177272|taxon=''Caloenas nicobarica}}</ref> |
||
พบกระจายพันธุ์เฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณ[[ทะเลอันดามัน]]และ |
พบกระจายพันธุ์เฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณ[[ทะเลอันดามัน]]และอินโด-แปซิฟิก เช่น [[หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์|หมู่เกาะนิโคบาร์]], [[หมู่เกาะอันดามัน]], [[หมู่เกาะโซโลมอน]]และ[[ปาเลา]] ใน[[ประเทศไทย]]จัดเป็นนกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง โดยจะอาศัยอยู่ใน[[ป่าดิบ]]หรือ[[ป่าชายหาด]]ของ[[หมู่เกาะสิมิลัน]], [[หมู่เกาะสุรินทร์]] หรือ[[หมู่เกาะอ่างทอง]] รวมถึง[[อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี]] เท่านั้น<ref>{{cite web|url=http://www.thairath.co.th/content/558161|title= ตัวเดียวในกระบี่! 'นกชาปีไหน' โผล่โชว์ตัวเกาะห้อง หลังเคยพบ 3 ปีก่อน|work=[[ไทยรัฐ]]}}</ref> |
||
เป็นนกที่ถูกจัดให้เป็น[[สัตว์ป่าคุ้มครอง]]ตาม |
เป็นนกที่ถูกจัดให้เป็น[[สัตว์ป่าคุ้มครอง]]ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักรราช 2535 แต่ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยทางการของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 พบว่านกชาปีไหนสามารถวางไข่ได้ตลอดทั้งปี โดยสร้างรังแบบหยาบ ๆ รูปร่างคล้าย[[จาน]] โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้แห้งวางไข่ ครั้งละเพียง 1 ฟอง มีขนาด 31.64x45.0 [[มิลลิเมตร]] [[น้ำหนัก]] 25.05 [[กรัม]] พ่อและแม่นกช่วยกันฟักไข่ มีระยะฟัก 25-29 วัน แม่นกสามารถจะวางไข่ชุดใหม่ต่อไปได้หลังจากลูกนกมีอายุได้ประมาณ 40 วัน ลูกนกออกจากไข่ไม่มีขนปกคลุมตัว จัดอยู่ในพวกอัลติเชียล (นกที่บินไม่ได้) พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงดูลูกนกจนมีอายุได้ 34-36 วัน ลูกนกจึงจะทิ้งรังและกินอาหารเองได้ ขนชุดแรกขึ้นปกคลุมตัวสมบูรณ์หมด เมื่อลูกนกมีอายุได้ 3 เดือน และเมื่อมีอายุ 7 เดือน มีการผลัดขนปีกชุดแรก และมีขนชุดใหม่งอกขึ้นมาแทนที่<ref>[http://web3.dnp.go.th/wildlifenew/researchPublishDetails.aspx?prjId=51 การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์นกชาปีไหน]</ref> <ref>{{cite web|url=http://past.talaythai.com/Bird/0012.php|title= นกชาปีไหน|work=ทะเลไทย}}</ref> <ref>{{cite web|url=http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=58064|title= นกชาปีไหน|work=มายเฟิร์สเบรน}}</ref> |
||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:06, 29 พฤศจิกายน 2561
นกชาปีไหน | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Aves |
อันดับ: | Columbiformes |
วงศ์: | Columbidae |
สกุล: | Caloenas |
สปีชีส์: | C. nicobarica |
ชื่อทวินาม | |
Caloenas nicobarica (Linnaeus, 1758) | |
ชนิดย่อย | |
|
นกชาปีไหน หรือ นกกะดง[2] (อังกฤษ: Nicobar pigeon, Nicobar dove; ชื่อวิทยาศาสตร์: Caloenas nicobarica) เป็นนกชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในวงศ์นกพิราบและนกเขา (Columbidae) นับเป็นนกเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ในสกุล Caloenas ในขณะที่ชนิดอื่น ๆ สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว[3] โดยมีความใกล้ชิดกับนกโดโดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย
นกชาปีไหน มีขนาดลำตัวเท่า ๆ กับไก่แจ้ มีขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 40-41 เซนติเมตร มีลำตัวขนาดใหญ่ แต่มีหัวขนาดเล็กและมีเนื้อนูนเป็นตุ่มบริเวณจมูก ขนตามลำตัวเป็นสีเขียวเหลือบเทา ขนหางสีขาว แต่จะมีขนบริเวณคอห้อยยาวออกมาเหมือนสร้อยคอ ซึ่งขนนี้จะยาวขึ้นเมื่อนกมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีขาขนาดใหญ่แข็งแรง เพราะเป็นนกที่ชอบเดินหากินตามพื้น สีของมันน่าจะมีไว้เพื่อดึงดูดตัวเมีย
นกชาปีไหน แม้จะเป็นนกที่หากินบนพื้นดินเป็นหลัก แต่ก็เป็นนกที่สามารถบินได้ มีรายงานว่าสามารถบินข้ามไปมาระหว่างเกาะต่าง ๆ ได้ เป็นนกที่หากตกใจจะบินหรือกระโดดขึ้นบนต้นไม้ และไม่ค่อยส่งเสียงร้องนัก นานครั้งจึงจะได้ยินเสียงร้องทีหนึ่ง แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย (ดูในตาราง)[4]
พบกระจายพันธุ์เฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ บริเวณทะเลอันดามันและอินโด-แปซิฟิก เช่น หมู่เกาะนิโคบาร์, หมู่เกาะอันดามัน, หมู่เกาะโซโลมอนและปาเลา ในประเทศไทยจัดเป็นนกที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง โดยจะอาศัยอยู่ในป่าดิบหรือป่าชายหาดของหมู่เกาะสิมิลัน, หมู่เกาะสุรินทร์ หรือหมู่เกาะอ่างทอง รวมถึงอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เท่านั้น[5]
เป็นนกที่ถูกจัดให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักรราช 2535 แต่ปัจจุบันมีการเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วโดยทางการของไทย เมื่อปี พ.ศ. 2538 พบว่านกชาปีไหนสามารถวางไข่ได้ตลอดทั้งปี โดยสร้างรังแบบหยาบ ๆ รูปร่างคล้ายจาน โดยใช้กิ่งไม้และใบไม้แห้งวางไข่ ครั้งละเพียง 1 ฟอง มีขนาด 31.64x45.0 มิลลิเมตร น้ำหนัก 25.05 กรัม พ่อและแม่นกช่วยกันฟักไข่ มีระยะฟัก 25-29 วัน แม่นกสามารถจะวางไข่ชุดใหม่ต่อไปได้หลังจากลูกนกมีอายุได้ประมาณ 40 วัน ลูกนกออกจากไข่ไม่มีขนปกคลุมตัว จัดอยู่ในพวกอัลติเชียล (นกที่บินไม่ได้) พ่อและแม่นกช่วยกันเลี้ยงดูลูกนกจนมีอายุได้ 34-36 วัน ลูกนกจึงจะทิ้งรังและกินอาหารเองได้ ขนชุดแรกขึ้นปกคลุมตัวสมบูรณ์หมด เมื่อลูกนกมีอายุได้ 3 เดือน และเมื่อมีอายุ 7 เดือน มีการผลัดขนปีกชุดแรก และมีขนชุดใหม่งอกขึ้นมาแทนที่[6] [7] [8]
อ้างอิง
- ↑ BirdLife International (2012). "Caloenas nicobarica". IUCN Red List of Threatened Species. Version 2013.2. สืบค้นเมื่อ 26 November 2013.
- ↑ "ชาปีไหน". พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542.
- ↑ Steadman, David William (2006). Extinction and Biogeography of Tropical Pacific Birds. University of Chicago Press. ISBN 0-226-77142-3.
- ↑ "Caloenas nicobarica". ระบบข้อมูลการจำแนกพันธุ์แบบบูรณาการ.
- ↑ "ตัวเดียวในกระบี่! 'นกชาปีไหน' โผล่โชว์ตัวเกาะห้อง หลังเคยพบ 3 ปีก่อน". ไทยรัฐ.
- ↑ การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์นกชาปีไหน
- ↑ "นกชาปีไหน". ทะเลไทย.
- ↑ "นกชาปีไหน". มายเฟิร์สเบรน.
แหล่งข้อมูลอื่น
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Caloenas nicobarica ที่วิกิสปีชีส์