ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ภาษาวิบัติ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Saerin (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการแก้ไขที่ 3435469 สร้างโดย 110.77.251.236 (พูดคุย)
KMlover137 (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 21: บรรทัด 21:
:* เทอ (เธอ)
:* เทอ (เธอ)
:* ชั้ล , ช้าน (ฉัน)
:* ชั้ล , ช้าน (ฉัน)
:* ค้ะ , คร๊ , คร้ะ , ค่า (ค่ะ)
:* คร้าบ , คับ , คัฟ , คร๊าฟ (ครับ)


; การลดรูปคำ : เป็นรูปแบบของคำที่ลดรูปให้สั้นลง มีใช้ใน[[ภาษาพูด]]
; การลดรูปคำ : เป็นรูปแบบของคำที่ลดรูปให้สั้นลง มีใช้ใน[[ภาษาพูด]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:34, 18 กันยายน 2554

ภาษาวิบัติ หรือ ภาษาอุบัติ เป็นคำเรียกของการใช้ภาษาไทยที่เปลี่ยนแปลงไป และไม่ตรงกับกับหลักภาษาในด้านการสะกดคำ คำว่า 'ภาษาวิบัติ' ใช้เรียกรวมถึงการเขียนที่สะกดผิดบ่อย รวมถึงการใช้คำศัพท์ใหม่หรือคำศัพท์ที่สะกดแปลกไปจากเดิม คำว่า "วิบัติ" มาจากภาษาบาลี หมายถึง พินาศฉิบหาย หรือความเคลื่อนทำให้เสียหาย

ในประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้เด็กไทย ไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร[1] ในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบ โดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตอบสนองวัฒนธรรมย่อย เช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลง[2]

ทั้งนี้ การเปิดใช้พจนานุกรมเพื่อค้นหาคำที่ควรใช้ให้ถูกต้องอาจเป็นทางเลือกที่ดี ทางบัณฑิตยสถานได้กำหนดคำที่ใช้อย่างเป็นทางการหรืออยู่ในรูปแบบมาตรฐาน หากใช้ผิดอาจกลายเป็นคำวิบัติได้ ซึ่งคำวิบัติไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของภาษาแต่อย่างใด เป็นเพียงการใช้ภาษาให้แตกต่างจากปกติในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจใช้จากรุ่นสู่รุ่นไปจนกว่าคำวิบัตินั้นจะหายไปจากสังคมนั้นๆ[ต้องการอ้างอิง]

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนว่า ภาษาวิบัติเป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ชอบ แม้ภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยน[3] การให้เหตุผลว่าภาษาไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นภาษาของชาติที่มีความศักดิ์สิทธิ์ นิธิเห็นว่าเป็นเหตุผลแบบไสยศาสตร์ ไม่ค่อยน่าฟัง[3] นิธิยังเห็นว่า ปัญหาของภาษาไทยในปัจจุบันคือ การใช้ภาษาไม่มีประสิทธิภาพ เช่น ไวยากรณ์ การใช้ศัพท์หรือการเรียบเรียง เป็นต้น และการไม่ศึกษาภาษาที่เปลี่ยนแปลงไปนี้เองที่จะเป็นเหตุให้เกิด "ภาษาวิบัติ"[3]

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ช่วงที่มีผู้สร้างภาพยนตร์ไปตั้งเป็นชื่อ หอแต๋วแตกแหวกชิมิ กาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตประเภทวรรณศิลป์ สาขาวิชาภาษาไทย ระบุ คำว่า "ชิมิ" หากเป็นการใช้ภายในกลุ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นการล้อกันเล่นซึ่งเป็นปกติของภาษา และจะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่การนำไม่ใช้เชิงสาธารณะดังที่ไปตั้งเป็นชื่อภาพยนตร์ ถือว่าไม่เหมาะสมนัก[4] เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน กล่าวว่า สถานการณ์ภาษาไทยในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นวิกฤต และวัยรุ่นใช้ภาษาแช็ตเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต และสื่อสารภายในวัยรุ่นเท่านั้น ยังไม่พบนำมาใช้ในการเขียนหรือการทำงานแต่อย่างใด[5]

ลักษณะและตัวอย่าง

สะกดผิดได้ง่าย
เป็นรูปแบบของคำที่มีการสะกดผิด ซึ่งเกิดจากคำที่มีการผันอักษรและเสียงไม่ตรงกับรูปวรรณยุกต์
  • สนุ๊กเกอร์ (สนุกเกอร์)
  • โน้ต (โน้ต)
คำที่สะกดผิดเพื่อให้แปลกตา
  • นู๋ (หนู)
  • ชะมะ,ชิมิ (ใช่ไหม)
  • ว้าววว (ว้าว)
  • ป่าว (เปล่า)
  • เทอ (เธอ)
  • ชั้ล , ช้าน (ฉัน)
  • ค้ะ , คร๊ , คร้ะ , ค่า (ค่ะ)
  • คร้าบ , คับ , คัฟ , คร๊าฟ (ครับ)
การลดรูปคำ
เป็นรูปแบบของคำที่ลดรูปให้สั้นลง มีใช้ในภาษาพูด
  • มหาลัย หรือ มหา'ลัย (มหาวิทยาลัย)
  • วิดวะ (วิศวกรรม)
คำที่สะกดผิดเพื่อให้ตรงกับเสียงอ่าน
  • ใช่ไหม → ใช่มั้ย
คำที่สะกดผิดเพื่อแสดงอารมณ์
  • ไม่ → ม่าย
  • ใช่ → ช่าย
  • ใคร → คัย
  • อะไร → อาราย
  • เป็นอะไร → เปงราย
  • ทำไม → ทามมาย
คำที่สะกดผิดเพื่อลดความหยาบของคำ
หรืออาจใช้หลีกเลี่ยงการกรองคำหยาบของซอฟต์แวร์
  • กู → กรู
  • มึง → มรึง เมิง
  • ไอ้สัตว์ → ไอ้สาด
  • โคตร → โคโตะ
  • พ่องจาย → พ่อมึงตาย
คำเลียนเสียงเพื่อเพิ่มอรรธรถในการคุย
โดยส่วนใหญ่จะเพิ่ม ร., ส., (อาจมี ์ ติดมาด้วย) หรือ พิมพ์ตัวอักษรใดๆ ในคำนั้นเป็นจำนวนมากเพื่อเน้นคำนั้นให้เด่นอีกด้วย
  • ว้าย → แอร๊ยย, อร๊ายยย
  • กรี้ด → กี๊สส
  • โฮก → โฮกกก...!!
  • โอ้ → โอ้วส์
  • มัน → มันส์

ดูเพิ่ม

อ้างอิง