การเสริมสร้างกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเสริมสร้างกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นแนวโน้มที่สังเกตได้ชัด แม้ไม่จำเป็นที่ว่าจะต้องมีเจตจำนงทางการเมืองในการพัฒนาประสิทธิภาพกองทัพเสมอไป ปรากฏการณ์ดังกล่าวมีผู้อธิบายว่ามาจากหลายปัจจัย รวมทั้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ การพึ่งพาตัวเองที่เพิ่มขึ้นหลังสหรัฐลดอิทธิพลในภูมิภาค ความตึงเครียดทั้งในประเทศและรหว่างประเทศ ตลอดจนความจำเป็นต้องเปลี่ยนยุทโธปกรณ์ที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอาณานิคมให้ทันสมัย แต่ยังมีปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องทางทหารรวมอยู่ด้วย เช่น เพื่อเสริมสร้างเกียรติภูมิของชาติ และการทุจริตทางการเมือง เป็นต้น
ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทุกประเทศปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยตั้งแต่ปี 2518 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดของสงครามเวียดนาม และดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะช้าลงบ้างหลังวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ในช่วงนี้ จำนวนกำลังพล รถถัง ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ (APC) ฮาวอิตเซอร์พิสัยกลาง เรือติดขีปนาวุธ เฮลิคอปเตอร์รบ และเครื่องบินรบเพิ่มจำนวนขึ้นและได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สถานการณ์ยังไม่เข้ากับบทนิยามของการแข่งขันในทางอาวุธ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีงบประมาณด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นในรูปตัวเงิน และเป็นภูมิภาคที่มีรายจ่ายดังกล่าวเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี รายจ่ายดังกล่าวเมื่อคิดเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีประเทศนั้น ๆ แล้วส่วนใหญ่ยังคงที่ นักวิเคราะห์บางคนอ้างกรณีพิพาททะเลจีนใต้เป็นแรงจูงใจของการสะสมกำลังทหารในคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่บางคนแย้งว่า รายจ่ายทางทหารของประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อหัวยังคงที่ และยุทโธปกรณ์ของหลายประเทศเปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการทดแทนยุทโธปกรณ์เก่าที่ปลดระวาง
สถิติ[แก้]
ธง | ประเทศ | กำลังพลประจำการ | กำลังพลสำรอง | กำลังพลกึ่งทหาร | รวม | รวม (ต่อ 1,000 ประชากร) |
ประจำการ (ต่อ 1,000 ประชากร) |
---|---|---|---|---|---|---|---|
บรูไน[1] | 7,201 | 700 | 500 | 8,401 | 18.6 | 16 | |
กัมพูชา[2] | 124,300 | 0 | 67,000 | 191,300 | 11.6 | 7.6 | |
อินโดนีเซีย[3] | 395,500 | 400,000 | 280,000 | 1,075,500 | 4.1 | 1.5 | |
ลาว[4] | 29,100 | 0 | 100,000 | 129,100 | 17.8 | 4 | |
มาเลเซีย[5][a] | 113,000 | 51,600 | 267,200 | 431,800 | 13.6 | 3.6 | |
พม่า[6] | 406,000 | 0 | 107,000 | 513,000 | 9.2 | 7.3 | |
ฟิลิปปินส์[7] | 142,350 | 131,000 | 61,100 | 334,450 | 3.2 | 1.3 | |
สิงคโปร์[8] | 72,500 | 312,500 | 8,400 | 393,400 | 65.6 | 12.1 | |
ไทย[9] | 360,850 | 200,000 | 138,700 | 699,550 | 10.2 | 5.3 | |
ติมอร์-เลสเต[10] | 2,280 | 0 | 0 | 2,280 | 1.7 | 1.7 | |
เวียดนาม[11] | 482,000 | 0 | 5,040,000 | 5,522,000 | 56.9 | 5 |
ประเทศ | ||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
บรูไน | 0 |
.573 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 4 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | [13] |
กัมพูชา | 0 |
.446 | 200 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 5 | 14 | 0 | 0 | [14] |
อินโดนีเซีย | 7 |
.09 | 378 | 0 | 5 | 0 | 0 | 11 | 18 | 0 | 5 | 97 | 45 | 0 | 0 | [15] |
ลาว | 0 |
.024 | 25 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 12 | 0 | 0 | [16] |
มาเลเซีย | 5 |
.03 | 48 | 0 | 0 | 0 | 0 | 10 | 4 | 0 | 2 | 67 | 32 | 0 | 0 | [17] |
พม่า | 2 |
.43 | 185 | 0 | 0 | 0 | 0 | 4 | 2 | 0 | 1 | 155 | 27 | TC | 0 | [18] |
ฟิลิปปินส์ | 2 |
.09 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 22 | 27 | 0 | 0 | [19] |
สิงคโปร์ | 10 |
.0 | 96 | 0 | 4 | 0 | 0 | 6 | 6 | 0 | 6 | 126 | 25 | 0 | 0 | [20] |
ไทย | 5 |
.69 | 288 | 1 | 1 | 0 | 0 | 10 | 7 | 0 | 0 | 143 | 47 | 0 | 0 | [21] |
ติมอร์-เลสเต | 0 |
.072 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | [22] |
เวียดนาม | 6 |
.2 | 1800 | 0 | 0 | 0 | 0 | 2 | 6 | 0 | 6 | 97 | 47 | 0 | 0 | [23] |
ภาพรวมของภูมิภาค[แก้]
แนวโน้มการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สังเกตได้ ได้แก่ การยกระดับเทคโนโลยี เช่น การซื้อกระสุนนำวิถี และการลงทุนในด้านการบังคับบัญชา การควบคุม การสื่อสารและการประมวลผลคอมพิวเตอร์ ตลอดจนระบบข่าวกรอง สอดแนม ลาดตระเวน (C4ISR) เครื่องบินรบหลายบทบาท เครื่องบินลาดตระเวนสมุทร ขีปนาวุธสมัยใหม่ (รวมทั้งขีปนาวุธต่อสู้เรือ ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพ้นวิสัยการมองเห็น ขีปนาวุธอากาศสู่พื้น ขีปนาวุธพื้นสู่พื้นทางยุทธวิธี) ระบบปืนใหญ่สมัยใมห่ เรือดำน้ำและเรือรบที่มีเครื่องมือิเล็กโทรนิกส์ใหม่และขีปนาวุธต่อสู้เรือ เช่น ขีปนาวุธสกั๊ด เครื่องบินขับไล่เจ็ตแบบล่าสุด มิก 29, เอฟ16, เอฟ18 และซู27 ระบบ MRLS และเรือฟิรเกตสมัยใหม่ที่มีขีปนาวุธฮาร์พูนและเอ็กโซเซ็ตได้แพร่หลายมากขึ้น อย่างไรก็ดี ไม่น่ามีชาติใดในภูมิภาคที่สามารถรับแนวคิดการปฏฺัวัติในกิจการทหาร (Revolution in military affairs, RMA) ได้ เนื่องจากทรัพยากรทางทหาร เทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญจำนวนจำกัด เกือบทุกประเทศพัฒนาขีดความสามารถตามแบบ ส่วนชาติที่เป็นกลุ่มเกาะพัฒนาการวางกำลังพลอย่างรวดเร็ว (rapid deployment) กองทัพเรือส่วนใหญ่พยายามชดเชยจุดอ่อนในมาตรการรับมือทุ่นระเบิด การสอดแนมสมุทร การลาดตระเวนนอกชายฝั่งและขีดความสามารถต่อสู้เรือดำน้ำ แนวโน้มสำคัญอีกอย่างหนึ่งได้แก่การซื้อเครื่องบินขับไล่ขั้นสูง โดยสิงคโปร์เป็นชาติแรกที่ใช้เครือ่งบินขับไล่เจ็ตรุ่นที่ 4[24]: 24–8
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีรายจ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดในโลกระหว่างปี 2552 ถึง 2561[25]: ix ระหว่างปี 2552 ถึง 2561 รายจ่ายในภูมิภาคเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จาก 30,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 41,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดมูลค่าดอลลาร์สหรัฐปี 2560) สัดส่วนการนำเข้าอาวุธของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เทียบกับโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.8 ในช่วงปี 2542–50 เป็นร้อยละ 8.1 ในช่วง 2542–61[25]: 10 อำนาจทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นและความก้าวร้าวในทะเลจีนใต้มักอ้างว่าเป็นแรงจูงใจของการเพิ่มงบประมาณทางทหารในช่วงนี้ โดยพบว่าประเทศที่เป็นภาคีความขัดแย้งนี้มีงบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นมากที่สุด ทั้งนี้แม้สัดส่วนรายจ่ายทางทหารเมื่อเทียบกับจีดีพีของแต่ละประเทศยังค่อนข้างคงที่ และไม่เข้าบทนิยามของการแข่งขันในทางอาวุธ แต่รูปแบบกิริยา-ปฏิกิริยา และความเชื่อมั่นที่ต่ำในบรรดาประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งไม่มีกลไกระงับข้อพิพาทในภูมิภาค หมายความว่า มีความเสี่ยงความเข้าใจผิดต่อกันในอนาคต[25]: ix–x
ในเอกสารนโยบายกลาโหมอย่างเป็นทางการมักอ้างการก่อการร้าย กบฏติดอาวุธ โจรสลัด ผู้ลักลอบนำเข้าและอาชญากรรมมีการจัดตั้ง รวมทั้งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและการบรรเทาสาธารณภัยเป็นเหตุผลของการจัดซื้ออาวุธ อย่างไรก็ดี การจัดซื้ออากาศยานเติมเชื้อเพลิง เครื่องบินรบ เครื่องบินการต่อสู้เรือดำน้ำ ขีปนาวุธอากาศสู่พื้น ระบบการป้องกันภัยทางอากาศ ระบบการป้องกันชายฝั่ง เรือดำน้ำ และเรือรบผิวน้ำ เช่นเดียวกับเรือขึ้นฝั่งโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก เป็นหลักฐานว่าชาติต่าง ๆ มองภัยคุกคามจากต่างชาติมากกว่า ยุทโธปกรณ์ทั้งหลายมีลักษณะสามารถเข้าปะทะกับภัยคุกคามต่างประเทศไกลจากประเทศแม่ และประเทศเพื่อนบ้านอาจมองว่า "ก้าวร้าว"[25]: 7–8
นอกจากนี้ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการสะสมกำลังทหารยังมีปัจจัยที่ไม่มีเหตุผลด้วย ดังเช่นในประเทศที่กองทัพมีอิทธิพลสูงในการเมือง รายจ่ายทางทหารของเมียนมาร์ลดลงหลังการปฏิรูปการเมืองในปี 2558 แต่ของไทยกลับตรงกันข้ามหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557[25]: 8–9
ประเทศ | %เปลี่ยนแปลง | จำนวนปีที่รายจ่ายเพิ่ม และลด | ||
---|---|---|---|---|
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | 33.1 | 7, 3 | ||
บรูไน | -7.9 | 2, 8 | ||
กัมพูชา | 190.6 | 10, 0 | ||
อินโดนีเซีย | 99.5 | 7, 3 | ||
ลาว | N/A | 4, 1 (ข้อมูลไม่สมบูรณ์) | ||
มาเลเซีย | -18.5 | 4, 6 | ||
พม่า | N/A | 3, 3 (ข้อมูลไม่สมบูรณ์) | ||
ฟิลิปปินส์ | 50.3 | 6, 4 | ||
สิงคโปร์ | 14.3 | 6, 4 | ||
ไทย | 15.6 | 8, 2 | ||
ติมอร์-เลสเต | -63.4 | 3, 7 | ||
เวียดนาม | 75.5 | 8, 2 |
แบ่งตามประเทศ[แก้]
บรูไน[แก้]
ประเทศบรูไนมีสัดส่วนรายจ่ายทางทหารเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีสูงกว่าชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ แต่ความผันผวนของราคาน้ำมันทำให้บางปีต้องปรับลดรายจ่ายลง ส่วนใหญ่นำเข้าเรือและอาวุธทางทะเล[25]: 20
กัมพูชา[แก้]
ระหว่างปี 2552 ถึง 2561 ประเทศกัมพูชาเพิ่มรายจ่ายทางทหารทุกปี คิดเป็นเฉลี่ยร้อยละ 2.1 ของจีดีพีในปี 2558–61 ปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับไทยในปี 2551 และ 2554 เป็นแรงจูงใจสำหรับการพัฒนากองทัพ ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลทางการเมืองของกองทัพที่เพิ่มขึ้นหลังปี 2560 อาจมีส่วนด้วย ยุทโธปกรณ์ของกองทัพไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักในช่วงนี้ เพราะเป็นการทดแทนอาวุธเก่าที่ปลดประจำการเท่านั้น ในปี 2561 ประเทศได้หันไปถืออาวุธทางบกมากขึ้น แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต[25]: 21–3
อินโดนีเซีย[แก้]
ประเทศอินโดนีเซียมองว่าประเทศจำเป็นต้องพัฒนากองทัพให้ทันสมัยหลังคอมมิวนิสต์ชนะสงครามเวียดนาม และความสามารถสู้รบที่เลวในการบุกครองติมอร์ตะวันออกในปี 2519 หลังการประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะในคริสต์ทศวรรษ 1980 กระบวนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยมุ่งเน้นการพัฒนาความมั่นคงทางทะเลโดยการพัฒนาขีดความสามารถกองทัพเรือ กองทัพอากาศและการวางกำลังอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาจากลักษณะภูมิประเทศที่เป็นกลุ่มเกาะขนาดใหญ่ มีเส้นทางเดินเรือและทางน้ำกว้างใหญ่ ในช่วงแรกสัดส่วนรายจ่ายด้านกลาโหมยังค่อนข้างต่ำ โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 1.5 ของจีดีพี ซึ่งต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งแสดงถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจและความเสื่อมของสถานภาพของกองทัพในยุคหลังซูฮาร์โต ความพยายามในช่วงหลังเน้นเหล่านาวิกโยธินและกองทัพเรือ โดยมีการสร้างฐานทัพเรือขนาดใหญ่ใน Teluk Rate[24]: 15–8
ประเทศเพิ่มรายจ่ายอยา่งมากในปี 2552–56 โดยมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 109 อยา่งไรก็ดี สัดส่วนรายจ่ายทางทหารต่ตอจีดีพีลดลงเพื่อพยายามแก้ไขปัญหาขาดดุลงบประมาณ ลำดับความสำคัญเป็นไปเพื่อทดแทนระบบอาวุธเก่า ส่วนใหญ่เป็นการซื้ออากาศยานและเรือรบใหม่ และเป้าหมายนโยบายกลาโหมหนึ่งของประเทศคือการขยายการผลิตอาวุธในประเท โดยมีข้อตกลงผลิตภัณฑ์แบบได้รับอนุญาตและการถ่ายโอนเทคโนโลยีบางส่วน[25]: 23–5 แผนการระยะยาวมีแผนซื้อเครื่องบินรบใหม่ถึง 230 เครื่อง เรือฟริเกตหลายสิบลำ และเรือดำน้ำมากถึง 12 ลำภายในปี 2573 แต่คงเป็นไปได้ยากเมื่อดูจากอัตรารายจ่ายปัจจุบัน[25]: 26–7
ในปี 2559 ประเทศอินโดนีเซียมีกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีอันดับสูงกว่าออสเตรเลียในการจัดอันดับโกลบอลไฟเออร์พาวเวอร์ (Global Firepower) ยุทโธปกรณ์มีอาวุธทันสมัยจากประเทศตะวันตกและรัสเซีย รวมทั้งเครื่องบินเจ็ตรัสเซีย ซุคฮอย-27/30, เอฟ-16 ของสหรัฐ, เรือดำน้ำชนิด 209 ของเยอรมัน, รถถังรบหลักเลพเพิร์ด 22 อาร์ไอของเยอรมัน, และยานลำเลียงพลหุ้นเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกบีทีอาร์-4เอ็มของยูเครน[26]
ลาว[แก้]
ข้อมูลรายจ่ายทางทหารของลาวเป็นความลับ แต่ยังถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับสองในภูมิภาค รายจ่ายดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปี 2560 และ 2561 โดยการสั่งซื้อเครื่องบินและรถถังใหม่เมื่อถูกคุกคามจากกัมพูชา[26]: 27–8
มาเลเซีย[แก้]
กองทัพมาเลเซียมีประสบการณ์ในการปราบปรามการก่อกบฏและการสงครามป่าจากการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์นานหลายทศวรรษ กองทัพมองเห็นจุดอ่อนจากนแวชายฝั่งที่ยาวและทรัพยากรนอกชายฝั่งอย่างน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ตลอดจนสถานการณ์ในภูมิภาค ประเทศจึงเริ่มโครงการสะสมทางทหาร PERISTA ในปี 2522 นอกจากพักไปช่วงหนึ่งหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 กระบวนการดำเนินต่อและแสดงเจตจำนงในการพัฒนาขีดความสามารถรอบด้านและตอบโต้การสะสมกำลังของสิงคโปร์ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางทะเลและขีดความสามารถในการแสดงอำนาจ (power projection)[24]: 8–12
มาเลเซียจัดสรรงบประมาณกองทัพตามภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในช่วงปีหลัง กองทัพยังมุ่งเน้นการสะสมกองทัพเรือ และตีพิมพ์แผนระยะยาวในการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพอากาศ[25]: 28–32
เมียนมาร์[แก้]
กองทัพเมียนมาร์ถูกละเลยจนหลังรัฐประหารปี 2531 คณะรัฐประหารดำเนินโครงการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยซึ่งมุ่งปิดจุดอ่อนเรื่องอาวุธล้าสมัยและเพิ่มกำลังพล อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นการเพิ่มจำนวนไม่ใช่การพัฒนาคุณภาพ แม้กองทัพได้กำราบการก่อการกำเริบของชาติพันธุ์ได้มากแล้ว กองทัพยังถือว่าอ่อนแอเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพให้ความสำคัญกับการซื้อระบบอาวุธราคาถูก แต่การลงทุนในอุตสาหกรรมอาวุธท้องถิ่นทำให้สามารถผลิตอาวุธเบา พาหนะหุ้มเกราะเบา ทุ่นระเบิดบก ปืนครกและเครื่องกระสุนได้ ในสมัยหลังกองทัพให้ความสนใจภายนอกกับขีดความสามารถทางทหารที่เพิ่มขึ้นของไทยและอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นในประเทศ[24]: 18–9
ข้อมูลรายจ่ายของพม่าไม่สมบูรณ์เช่นเดียวกับลาว และคาดว่าลดลงหลังรัฐบาลพลเรือนตั้งแต่ปี 2558 ถึงแม้ประเทศตะวันตกไม่ค่อยบังคับการคว่ำบาตรอาวุธมากเท่าเก่าแล้ว ปัญหาความมั่นคงหลักของประเทศยังเป็นความขัดแย้งชาติพันธุ์ที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ความขัดแย้งทางทะเลกับประเทศบังกลาเทศทำให้รายจ่ายกองทัพเรือเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังแสดงความสนใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมอาวุธภายในและการถ่ายโอนเทคโนโลยี[25]: 31–2
ฟิลิปปินส์[แก้]
ประเทศฟิลิปปินส์หมกมุ่นอยู่กับการก่อการกำเริบในประเทศและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายภายใน และเมื่อมีพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐและมีฐานทัพเรือและอากาศของสหรัฐในประเทศทำให้ไม่มีความกดดันเรื่องการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย แต่หลังจากความช่วยเหลือของสหรัฐลดลงและมีความขัดแย้งในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ทำให้มีการผ่านกฎหมายปรับรุงกองทัพให้ทันสมัยในปี 2538 แต่โครงการจริงเริ่มต้นในปี 2542 หลังวิกฤตเศรษฐกิจ[24]: 23–4
รายจ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.3 ระหว่างปี 2552 และ 2561 ในจำนวนจริง แต่ภาระต่อเศรษฐกิจยังประมาณเท่าเดิม การเพิ่มขึ้นดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่กำลังพล ลำดับความสำคัญของประธานาธิบดีโรดรีโก ดูแตร์เตได้แก่การรักษาดินแดน เนื่องจากข้อวิจารณ์นโยบายดูแตร์เต ทำให้ประเทศตะวันตกบางประเทศปฏิเสธส่งออกอาวุธให้แก่ประเทศ ทำให้รัฐบาลหันความสนใจไปทำ้อตกลงกับรัสเซีย จีนและอิสราเอล ยุทโธปกรณ์ของประเทศถือว่าล้าสมัยมากเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค และรัฐบัญญัติปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยฉบับทบทวนปี 2556 วางโครงการพยายามปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยภายในปี 2570 ร้อยละ 87 ของการนำเข้าอาวุธเป็นอากาศยานหรือเรือ[25]: 32–5
สิงคโปร์[แก้]
สิงคโปร์พัฒนากองทัพอย่างต่อเนื่อง ไม่ถูกหยุดด้วยวิกฤตปี 2540 ผู้นำถือว่ากองทัพมีความจำเป็นต้องใช้เพื่อสกัดกั้น เมื่อพิจารณาสถานะของประเทศที่เป็นนครรัฐในภูมิภาคที่ผันผวน ประเทศรับแนวคิด RMA และเสริมเทคโนโลยีทหาร สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีกองทัพเข้มแข็งที่สุดในภูมิภาคในปี 2547 และมีเจตจำนงทางการเมืองในการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการนำเข้าพาหนะใหม่เข้าสู่กองทัพทุกเหล่าทัพแล้ว กองทัพยังริเริ่มนำพาหนะต่อสู้ทหารราบที่สร้างึข้นเองในประเทศเข้าประจำการด้วย[24]: 5–8
ระหว่างช่วงปี 2552 ถึง 2561 ประเทศจัดสรรงบประมาณร้อยละ 1 ของจีดีพีให้แก่กองทัพมาโดยตลอด เป็นประเทศผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และจัดเป็นหนึ่งในสี่ในดัชนีประเทศที่มีความเป็นทหารมากที่สุดจัดโดยศูนย์การอนุรักษ์ระหว่างประเทศบอนน์ตั้งแต่ปี 2550 ประเทศมีอุตสาหกรรมอาวุธที่พัฒนาสูง และสามารถผลิตพาหนะหุ้มเกราะ ปืนใหญ่และเรือได้เอง และยังส่งออกยุทโธปกรณ์บางส่วนด้วย กองทัพอากาศสิงคโปร์มีความสามารถปฏิบัตการทางไกลสูงสุด สิงคโปร์เป็นผู้เข้าร่วมโครงการพัฒนาเอฟ-35 ของสหรัฐตั้งแต่ปี 2546[25]: 37–8
ไทย[แก้]
ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือทางทหารอย่างมากจากสหรัฐในช่วงสงครามเวียดนาม แต่หลังคอมมิวนิสต์ชนะในปี 2518 และสหรัฐถอนฐานทัพออกจากประเทศได้เพิ่มความพยายามปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย ปัจจัยในประเทศยังมีบทบาทได้ คือ ประเทศเผชิญกับการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ และความแตกแยกทั้งในและระหว่างเหล่าทัพต่าง ๆ ที่แย่งชิงงบประมาณกัน นับแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 ประเทศมุ่งเน้นการพัฒนากองทัพเรือเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือหลวงจักรีนฤเบศร บ่งชี้ถึงความทะเยอทะยานในการพัฒนาขีดความสามารถน้ำลึก (blue-water) แม้ว่าเกียรติภูมิจะเป็นปัจจัยส่งเสริม กำลังมีความพยายามปฏิรูปกองทัพ ซึ่งเหล่าทัพต่าง ๆ พยายามปรับลดขนาดและปรับปรุงการฝึกให้ดีขึ้น กองทัพดูให้ความสำคัญกับการซื้อปืนใหญ่ พาหนะต่อสู้ทหารราบ รถถัง เรือดำน้ำ เครื่องบินขับไล่และเรือฟริเกต ประเทศมักเลือกซื้อระบบอาวุธมือสองหรืออัปเกรตยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่แล้วเดิมซึ่งเป็นตัวเลือกที่ถูกกว่า ความพยายามส่วนหนึ่งเป็นเพราะกังวลว่าอาจตามมาเลเซียไม่ทัน[24]: 12–5
การฉ้อราษฎร์บังหลวงของกองทัพมีบันทึกไว้มากในประเทศไทย มีรายงานคิดค่านายหน้าเฉลี่ยร้อยละ 15–20 ในการขายอาวุธ[24]: 34 ปัจจัยการเมืองภายในยังมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณ เช่น ในคราวรัฐบาลพลเรือนได้เพิ่มงบประมาณให้กองทัพเรือเพื่อตอบแทนที่ไม่ได้เข้าร่วมคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ[24]: 33
ระหว่างปี 2552 ถึง 2561 รายจ่ายทางทหารของไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 16 ในรูปตัวเงิน แต่สัดส่วนต่อจีดีพีลดลง อย่างไรก็ดี หลังรัฐประหารปี 2557 รายจ่ายทางทหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีซึ่งผูกพันทุกรัฐบาลต่อจากนี้ ประเทศตะวันตกไม่ค่อยเต็มใจส่งออกอาวุธสู่ประเทศไทยหลังรัฐประหาร ทำให้หันไปตอบรับข้อตกลงจากประเทศจีน แม้ว่าประเทศตะวันตกยังไม่คว่ำบาตรอาวุธอย่างเป็นทากงาร การลงทุนใหญ่สุดในอาวุธหลักตั้งแต่ปี 2553 ได้แก่ การซื้อเรือดำน้ำเอส-26ที จากประเทศจีนสามลำตามกำหนด รัฐมนตรีกลาโหมหลายคนมักอ้างว่าประเทศเพื่อนบ้านต่างมีเรือดำน้ำกันหมดเป็นสาเหตุว่าประเทศไทยสมควรมีเรือดำน้ำของตนเองบ้าง[25]: 8 ทั้งนี้ ปริมาณยุทโธปกรณ์ของไทยเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงนี้ เนื่องจากอาวุธเก่า ๆ ถูกปลดประจำการ[25]: 39–41 อย่างไรก็ดี ยุทโธปกรณ์สมัยใหม่มีเอฟ-16 และอากาศยานหลายบทบาทเจเอเอส 39 กริพเพน รถถังรบหลักที-84 อ็อบล็อต-เอ็ม เรือฟริเกตขีปนาวุธชั้นน็อกซ์และชนิด 025ที และชนิด 053เอชที[26]
ติมอร์-เลสเต[แก้]
ติมอร์-เลสเตจัดงบประมาณกองทัพไว้ต่ำกว่าร้อยละ 1 ของจีดีพี และลดลงมากในปี 2561 การส่งมอบอาวุธใหญ่เท่าที่ทราบได้แก่เรือลาดตระเวนจากจีนและเกาหลีใต้ในปี 2553–54[25]: 41–2
เวียดนาม[แก้]
หลังสงครามเวียดนามยุติใหม่ ๆ ประเทศเวียดนามเพิ่มขีดความสามารถหลังยึดยุทโธปกรณ์สหรัฐที่ทิ้งไว้ได้เป็นอันมาก อย่างไรก็ดี เมื่อสหภาพโซเวียตซึ่งสนับสนุนยุทโธปกรณ์และเครื่องกระสุนให้แก่ประเทศช้านานได้ตัดการสนับสนุน และภาวะไม่รู้ผลแพ้ชนะในสงครามกลางเมืองกัมพูชา ทำให้รัฐบาลตัดสินใจเลิกระดมพล และหันเหจากการวางกำลังส่วนหน้า ในคริสต์ทศวรรษ 1990 ประเทศไม่ได้มีกระบวนการปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัยมากเท่ากับสิงคโปร์ มาเลเซีย ไทยและเมียนมาร์[24]: 19–22
ตัวเลขรายจ่ายทางทหารเป็นความลับของชาติ แต่ประมาณการพบว่ารายจ่ายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็นเพิ่มร้อยละ 75 ในรูปตัวเงินระหว่างปี 2552 ถึง 2561 อย่างไรก็ดี มีรายงานว่ามีรายจ่ายนอกงบประมาณด้วย เวียดนามมีความร่วมมือทางทหารกับอินเดียและซื้ออาวุธจำนวนมาก ประเทศเวียดนามมีความกรำศึกมาก และจัดเป็นกองทัพที่มีความเข้มแข็งอันดับต้น ๆ ของโลก การป้องกันภัยทางอากาศของเวียดนามถือว่ามีชื่อเสียง[26] ออสเตรเลียและญี่ปุ่นกำลังฝึกกำลังพลให้แก่เวียดนาม อุตสาหกรรมอาวุธท้องถิ่นได้รับการสนับสุนนจากต่างประทเศ และสามารถผลิตเรือรบที่ต่างชาติออกแบบได้ ภัยคุกคามจากจีนเป็นความสนใจหลักของความพยายามปรับปรุงกองทัพ เวียดนามได้ขยายและปรับปรุงกองทัพเรือ ซึ่งได้เปลี่ยนกองทัพเรือใหม่เกือบทั้งหมด เรือดำน้ำและเรือฟริเกตใหม่ทำให้กองทัพเรือมีขีดความสามารถในทะเลลึก[25]: 42–5
ดูเพิ่ม[แก้]
เชิงอรรถ[แก้]
- ↑ The paramilitary forces of Malaysia includes 240,000 reservists from the People's Volunteer Corps.
- ↑ Fixed-wing aircraft with combat capability
- ↑ Includes helicopters that have some attacking capabilities i.e. 'multi-role helicopters'
อ้างอิง[แก้]
- ↑ IISS 2019, p. 253
- ↑ IISS 2019, pp. 254
- ↑ IISS 2019, pp. 272
- ↑ IISS 2019, pp. 287
- ↑ IISS 2019, pp. 288
- ↑ IISS 2019, pp. 292
- ↑ IISS 2019, pp. 300
- ↑ IISS 2019, pp. 303
- ↑ IISS 2019, pp. 310
- ↑ IISS 2019, p. 313
- ↑ IISS 2019, pp. 314
- ↑ "Nuclear Weapons: Who Has What at a Glance". Arms Control Association. July 2019. สืบค้นเมื่อ 23 February 2020.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 234–235.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 235–237.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 253–257.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 267–268.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 268–271.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 272–274.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 280–282.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 282–285.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 290–293.
- ↑ Complex crises call for adaptable and durable capabilities (2015), pp. 5–8.
- ↑ Chapter Six: Asia (2015), pp. 293–296.
- ↑ 24.00 24.01 24.02 24.03 24.04 24.05 24.06 24.07 24.08 24.09 Tan, Andrew (January 2004). "Force Modernisation Trends in Southeast Asia" (PDF). RSIS Working Papers (59). สืบค้นเมื่อ 2020-08-25.
- ↑ 25.00 25.01 25.02 25.03 25.04 25.05 25.06 25.07 25.08 25.09 25.10 25.11 25.12 25.13 25.14 25.15 25.16 25.17 Wezeman, Siemon T. (December 2019). ARMS FLOWS TO SOUTH EAST ASIA (PDF). Stockholm International Peace Reserach Institute. สืบค้นเมื่อ 26 August 2020.
- ↑ 26.0 26.1 26.2 26.3 "Which Military Ranks Southeast Asia's Strongest? | Seasia.co". Good News from Southeast Asia (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 26 August 2020.
บรรณานุกรม[แก้]
- "Complex crises call for adaptable and durable capabilities". The Military Balance. Routledge. 115 (1): 5–8. 2015-02-10. doi:10.1080/04597222.2015.996334. ISSN 0459-7222.
- International Institute for Strategic Studies (15 February 2019). The Military Balance 2019. London: Routledge. ISBN 9781857439885.
- "Chapter Six: Asia". The Military Balance. Routledge. 115 (1): 207–302. 2015-02-10. doi:10.1080/04597222.2015.996361. ISSN 0459-7222.