ข้ามไปเนื้อหา

เจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 123

พิกัด: 36°0′5″N 138°41′38″E / 36.00139°N 138.69389°E / 36.00139; 138.69389
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 123
ภาพถ่ายเครื่องบินที่เกิดอุบัติเหตุนี้ ถูกถ่ายไว้ประมาณ 6 นาทีก่อนเครื่องจะตก สังเกตได้ชัดว่าแพนหางดิ่งของเครื่องฉีกขาดหายไปเกือบหมด
สรุปอุบัติเหตุ
วันที่12 สิงหาคม 1985; 39 ปีก่อน (1985-08-12)
สรุปโครงสร้างเสียหายขณะบิน การระเบิดสูญเสียความดันกลางอากาศ ระบบควบคุมเครื่องบินล้มเหลว และการซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ผิดพลาด
จุดเกิดเหตุภูเขาทากามางาฮาระ จังหวัดกุมมะ ประเทศญี่ปุ่น
36°0′5″N 138°41′38″E / 36.00139°N 138.69389°E / 36.00139; 138.69389
อากาศยานลำที่เกิดเหตุ
ประเภทอากาศยานBoeing 747SR-46
ดําเนินการโดยเจแปนแอร์ไลน์
หมายเลขเที่ยวบิน IATAJL123
หมายเลขเที่ยวบิน ICAOJAL123
รหัสเรียกJAPAN AIR 123
ทะเบียนJA8119
ต้นทางท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (ฮาเนดะ)
ปลายทางท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ (อิตามิ)
จำนวนคน524
ผู้โดยสาร509
ลูกเรือ15
เสียชีวิต520
บาดเจ็บ4
รอดชีวิต4

เจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ 123 เป็นเที่ยวบินภายในประเทศของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ใช้เครื่องบินรุ่นโบอิง 747-146SR ทะเบียนอากาศยาน JA8119 เส้นทางจากท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียวสู่ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ (อิตามิ)

ภายหลังขึ้นบินได้เพียง 12 นาที จึงเกิดการระเบิดขึ้นบริเวณท้ายเครื่องทำให้แพนหางดิ่งฉีกขาดเสียการควบคุมเครื่อง อีก 32 นาทีต่อมา จึงประสบอุบัติเหตุตกบริเวณหุบเขาอตสึตากะ ใกล้กับภูเขาทากามางาฮาระ ในจังหวัดกุมมะ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1985 มีผู้โดยสารเสียชีวิต 505 คน ลูกเรือ 15 คน รวมผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 520 คน และมีผู้รอดชีวิต 4 คน ซึ่งหนึ่งในผู้เสียชีวิตในครั้งนี้คือ คีว ซากาโมโตะ นักร้องชื่อดังเจ้าของเพลงสุกี้ยากี้[1]

นับเป็นเหตุการณ์อุบัติเหตุทางการบินที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตในอากาศยานลำเดียวที่มากที่สุดในโลก และเป็นอุบัติเหตุทางการบินที่มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากภัยพิบัติท่าอากาศยานเตเนริเฟ[2]

คนญี่ปุ่นเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่คนญี่ปุ่นทำร้ายคนญี่ปุ่นจนถึงแก่ชีวิตมากที่สุดรองจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2

อากาศยาน

[แก้]
JA8119 อากาศยานลำเกิดเหตุ เมื่อปี ค.ศ. 1984

อากาศยานที่เกิดเหตุรุ่นโบอิง 747-100SR ทะเบียนหมายเลข JA8119 (หมายเลขซีเรียล 20783 หมายเลขสายการผลิต 230) ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1974 ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุมีชั่วโมงการบินที่ 25,030 ชั่วโมง และ 18,835 รอบบิน (รอบการขึ้นบินและลงจอด)[3]

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ขณะปฎิบัติการบิน เที่ยวบิน 115 ในเส้นทางเดียวกัน ได้เกิดอุบัติเหตุกระแทกพื้นอย่างแรงระหว่างการลงจอดด้วยการใช้เครื่องมือที่รันเวย์ 32L ที่ท่าอากาศยานอิตามิ นักบินจึงทำการดึงเครื่องขึ้นมากเกินไป ส่งผลให้เกิดการกระแทกอย่างรุนแรงที่ส่วนหางของเครื่องบินในครั้งที่สองของการแตะพื้น แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิตในบรรดาผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 394 คน แต่มีผู้บาดเจ็บ 25 คน โดยเป็นบาดเจ็บเล็กน้อย 23 คน และบาดเจ็บสาหัส 2 คน การกระแทกที่ส่วนหางทำให้แผงกั้นแรงดันด้านหลังเกิดรอยร้าว ความเสียหายนี้ได้รับการซ่อมแซมโดยช่างเทคนิคของบริษัทโบอิง และเครื่องบินได้กลับมาทำการบินอีกครั้ง ณ ขณะเกิดเหตุเครื่องบินลำนี้มีชั่วโมงบินรวม 8,830 ชั่วโมงแล้ว

ผู้โดยสาร

[แก้]
สัญชาติ ผู้โดยสาร ลูกเรือ รอดชีวิต รวม
ญี่ปุ่น 487 15 4 502
จีน 1 0 0 1
เยอรมนีตะวันตก 2 0 0 2
บริติชฮ่องกง 4 0 0 4
อินเดีย 3 0 0 3
อิตาลี 2 0 0 2
เกาหลีใต้ 3 0 0 3
สหราชอาณาจักร 1 0 0 1
สหรัฐอเมริกา 6 0 0 6
รวม (9 สัญชาติ) 509 15 4 524

เที่ยวบินนี้เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดโอบ้งในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนญี่ปุ่นจำนวนมากเดินทางกลับบ้านเกิดหรือท่องเที่ยวพักผ่อน มีชาวต่างชาติทั้งหมด 22[4] คนอยู่บนเที่ยวบินนี้ รวมถึงชาวฮ่องกง 4 คน ชาวอิตาลีและชาวอเมริกันประเทศละ 2 คน และชาวเยอรมนีตะวันตกกับสหราชอาณาจักรประเทศละ 1 คน บางคน[5]

ผู้รอดชีวิตทั้งสี่คน ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมด นั่งอยู่ด้านซ้ายและบริเวณกลางของที่นั่งแถวที่ 54–60 ในส่วนท้ายของเครื่องบิน ได้แก่ ยูมิ โอชิอาอิ ซึ่งเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ฮิโรโกะ และมิกิโกะ โยชิซากิ แม่และลูกสาววัย 8 ขวบ และเคโกะ คาวาคามิ เด็กหญิงวัย 12 ปี ที่สูญเสียพ่อแม่และพี่สาวในอุบัติเหตุครั้งนี้

ในบรรดาผู้เสียชีวิตมีนักร้องและนักแสดงชาวญี่ปุ่นชื่อ คิว ซากาโมโตะ และนายธนาคาร อาคิฮิสะ ยูกาวะ ซึ่งเป็นบิดาของนักไวโอลินและนักประพันธ์เพลง ไดอาน่า ยูกาวะ[6][7]

รายละเอียดเหตุการณ์

[แก้]
เส้นทางการบินของ JAL123

เที่ยวบินที่ 123 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติโตเกียว (ฮาเนดะ) ที่รันเวย์ 16L[8] เวลา 18.12 น. เพื่อเดินทางสู่ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ (อิตามิ) หลังจากทะยานขึ้นฟ้าไปได้ 12 นาที[9] ที่ความสูง 24,000 ฟุต (7,300 เมตร) บริเวณเหนืออ่าวซางามิ ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นบริเวณบริเวณด้านท้ายลำตัวเครื่อง ทำให้ระบบไฮดรอลิกในการควบคุมเครื่องมีปัญหา การระเบิดที่บริเวณดังกล่าวคือบริเวณแผงกั้นปรับความดันอากาศท้าย (Rear Pressure Bulkhead) ฉีกขาด ทำให้เครื่องสูญเสียความดันอย่างรุนแรง นอกจากนี้จากแรงระเบิดทำให้แพนหางดิ่งฉีกขาดหลุดลอยไป[10]ทำให้ไม่สามารถควบคุมเครื่องเลี้ยวซ้ายขวาได้ ซึ่งมีผู้สามารถบันทึกภาพแพนหางเครื่องที่ฉีกขาดไว้ได้จากพื้นดิน

กัปตันจึงตัดสินใจบังคับเครื่องกลับสู่ชายฝั่ง และพยายามวิทยุขอความช่วยเหลือไปที่หอบังคับการบินโตเกียวเพื่อขออนุญาตนำเครื่องกลับไปร่อนลงฉุกเฉินที่โตเกียว และขอความช่วยเหลือไปที่ฐานทัพอากาศอเมริกาที่โยโกตะซึ่งอยู่ใกล้เส้นทางการบินมากที่สุด

ภาพวาดเครื่องบิน JL123 ก่อนที่จะสูญเสียแพนหางดิ่ง

เนื่องจากต้องรีบนำเครื่องกลับไปที่โตเกียวให้ได้อย่างเร็วที่สุด กัปตันพยายามตีวงเลี้ยวกับไปที่โตเกียวหลายครั้ง แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก จนในที่สุดเครื่องก็เสียการทรงตัว เพดานการบินลดลง กัปตันพยายามเชิดหัวขึ้นและกางแฟลปแต่ไม่เป็นผล จนกระทั่งเครื่องบินกระแทกกับภูเขาบริเวณหุบเขาอตสึตากะ

รวมระยะเวลานับตั้งแต่การระเบิดจนเครื่องตกทั้งสิ้น 32 นาที ผู้โดยสารบนเครื่องต่างมีเวลาในการบันทึกข้อความสั่งเสียถึงครอบครัว[11] ซึ่งหน่วยกู้ภัยมาพบเห็นภายหลัง ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ภายในศูนย์ยกระดับความปลอดภัยของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ ท่าอากาศยานโตเกียว (ฮาเนดะ)

เหตุการณ์ภายหลังเครื่องบินตกถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องจากทางการประเทศญี่ปุ่นปฏิเสธความช่วยเหลือจากสหรัฐซึ่งมีฐานทัพอากาศในบริเวณนั้น ซึ่งได้ติดต่อเข้ามาว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ การตัดสินใจนั้นทำให้มีคนตายเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นความหยิ่งยโสที่ไม่จำเป็น

การปฏิบัติการกู้ภัยที่ล่าช้า

[แก้]

ในปี 1995 นักนำร่องของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพอากาศโยโกตะ ได้เผยแพร่รายงานโดยระบุว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้ติดตามสัญญาณขอความช่วยเหลือและเตรียมดำเนินการค้นหาและช่วยเหลือ แต่การปฏิบัติการนั้นถูกยกเลิกตามคำขอของทางการญี่ปุ่น ลูกเรือของเครื่องบิน ซี-130 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เป็นกลุ่มแรกที่พบจุดตกของเครื่องบินภายใน 20 นาทีหลังการชน ขณะนั้นยังเป็นช่วงกลางวัน และได้รายงานตำแหน่งไปยังหน่วยงานญี่ปุ่นและฐานทัพอากาศโยโกตะ ซึ่งได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปปฏิบัติภารกิจ[12]

บทความในหนังสือพิมพ์ Pacific Stars and Stripes จากปี 1985 ระบุว่าบุคลากรที่ฐานทัพโยโกตะเตรียมพร้อมช่วยเหลือในการปฏิบัติการกู้ภัย แต่ไม่เคยได้รับการเรียกตัวจากรัฐบาลญี่ปุ่น[13]

ต่อมาเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น (JSDF) ได้พบซากเครื่องบินหลังจากพลบค่ำ แต่เนื่องจากทัศนวิสัยที่ไม่ดีและภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้ไม่สามารถลงจอดในที่เกิดเหตุได้ นักบินรายงานจากทางอากาศว่าไม่พบสัญญาณของผู้รอดชีวิต จากรายงานนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่บนพื้นดินไม่ได้เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุในคืนที่เครื่องบินตก แต่ถูกส่งไปพักค้างคืนที่หมู่บ้านชั่วคราว ซึ่งมีการตั้งเต็นท์และสร้างทางขึ้นลงเฮลิคอปเตอร์ พร้อมทำการเตรียมการอื่น ๆ ห่างจากจุดเกิดเหตุ 63 กิโลเมตร (39 ไมล์) ทีมกู้ภัยเริ่มเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุในเช้าวันถัดมา

ทีมแพทย์พบว่ามีร่างผู้เสียชีวิตบางรายที่มีบาดแผลซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาอาจรอดชีวิตจากการตกเครื่องบิน แต่เสียชีวิตจากอาการช็อก การเผชิญกับสภาพอากาศในภูเขาตลอดคืน หรือบาดแผลที่หากได้รับการดูแลเร็วกว่านี้คงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แพทย์คนหนึ่งกล่าวว่า "หากมีการค้นพบเร็วกว่านี้ 10 ชั่วโมง เราอาจพบผู้รอดชีวิตมากกว่านี้"[14]

สาเหตุ

[แก้]
ภาพการซ่อมแซมที่ถูกวิธีและผิดวิธี

จากรายงานของคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุทางอากาศของญี่ปุ่น ได้สรุปสาเหตุไว้ดังนี้

  1. อากาศยานลำดังกล่าวเคยประสบอุบัติเหตุขณะร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโอซากะ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ. 1978 บริเวณท้ายลำกระแทกกับพื้นรันเวย์ทำให้บริเวณแผงกั้นปรับความดันอากาศท้ายเครื่องได้รับความเสียหาย
  2. การซ่อมแซมบริเวณแผงกั้นปรับความดันอากาศท้ายเครื่อง ไม่เป็นไปตามขั้นตอนและมาตรฐานของผู้ผลิต[15]
  3. เมื่อแผงกั้นปรับความดันอากาศระเบิดออก ทำให้ระบบไฮดรอลิกควบคุมเครื่องทั้งสี่ระบบไม่สามารถทำงาน อีกทั้งแรงระเบิดทำให้แพนหางดิ่งท้ายเครื่องฉีกขาด ทำให้ไม่สามารถบังคับเครื่องได้

ผลของอุบัติเหตุ

[แก้]

ภายหลังอุบัติเหตุภาพลักษณ์ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ตกต่ำลงอย่างมาก ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย จำนวนผู้โดยสารในเส้นทางภายในประเทศลดลงถึงหนึ่งในสาม หนึ่งเดือนต่อมาการเดินทางทางอากาศภายในประเทศลดลงถึง 25% ผู้โดยสารต่างย้ายไปใช้บริการของสายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ซึ่งเชื่อว่ามีความปลอดภัยมากกว่า[16]

สายการบินต้องชำระค่าเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตถึง 780 ล้านเยน ประธานสายการบินยาซูโมโตะ ทากางิประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ อีกทั้งผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงได้กระทำการอัตวินิบาตกรรมเพื่อชดใช้ความผิดเช่นเดียวกัน[17]

ยกเลิกหมายเลขเที่ยวบิน 123 สำหรับเส้นทางบินจากฮาเนดะไปอิตามิ โดยเปลี่ยนเป็นเที่ยวบิน 121 และเที่ยวบิน 127 ในวันที่ 1 กันยายน 1985 แม้ว่าเครื่องบิน โบอิง 747 จะยังคงถูกใช้ในเส้นทางเดิมโดยใช้หมายเลขเที่ยวบินใหม่ในช่วงหลายปีหลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุ แต่ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เครื่องบินเหล่านี้ก็ถูกแทนที่ด้วย โบอิง 767 หรือ โบอิง 777

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Harold Jackson (13 สิงหาคม 1985). "524 killed in worst single air disaster". เดอะการ์เดียน.
  2. "100 worst aviation disasters". PlaneCrashInfo.com.
  3. "ASN Aircraft accident Boeing 747SR-46 JA8119 Ueno". Aviation Safety Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กันยายน 2011. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2009.
  4. "524 killed in worst single air disaster เก็บถาวร มกราคม 6, 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน." The Guardian.
  5. Haberman, Clyde (August 13, 1985). "Jetliner Crashes with 524 Aboard in Central Japan". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 23, 2020. สืบค้นเมื่อ June 2, 2017.
  6. "Kin of JAL123 victims pray ahead of 35th anniversary of deadly 747 crash next month". The Japan Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2020-07-25. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-02-19.
  7. Ward, David (March 8, 2002). "Air crash payout after 17 years". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 9, 2020. สืบค้นเมื่อ June 18, 2022.
  8. Magnuson, Ed (21 มิถุนายน 2005). "Last Minutes of JAL 123, (1 of 7)". นิตยสารไทม์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 25 ตุลาคม 2007.
  9. Magnuson, Ed (21 มิถุนายน 2005). "Last Minutes of JAL 123, (2 of 7)". นิตยสารไทม์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 พฤษภาคม 2013.
  10. Chris Kilroy. "Special Report: Japan Airlines Flight 123". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 มกราคม 2013. สืบค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2012.
  11. Jill Smolowe; Jerry Hanafin; Steven Holmes (2 กันยายน 1985). "Disasters, Never a Year So Bad". TIME. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 พฤษภาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 15 มิถุนายน 2009.
  12. Antonucci, Michael (August 27, 1995). "1985 air crash rescue botched, ex-airman says". Pacific Stars and Stripes. Tokyo. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 2, 2020. สืบค้นเมื่อ January 1, 2020 – โดยทาง NewspapersArchive.com.
  13. Jimbo, Tetsuo; Drake, Hal (August 14, 1985). "Military on standby to help in JAL crash". Pacific Stars and Stripes. p. 1.
  14. "Last Minutes of JAL 123", Time, p.5. Retrieved October 25, 2007.
  15. "Fig_5. The Aspect of Aft Bulkhead Repair". Crash of Japan Airlines B-747 at Mt. Osutaka. JST Failure Knowledge Database.
  16. Andrew Horvat (28 กุมภาพันธ์ 1986). "United's Welcome in Japan Less Than Warm". ลอสแอนเจลิสไทม์.
  17. Macarthur Job (1996). Air Disaster. Vol. 2. Aerospace Publications. pp. 136–153. ISBN 1-875671-19-6.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ภาพจากแหล่งข้อมูลภายนอก
image icon รูปภาพของ JA8119 ที่ Airliners.net

รายงานการสืบสวนอุบัติเหตุ

[แก้]

เจแปนแอร์ไลน์

[แก้]

สื่ออื่น ๆ

[แก้]