อานามสยามยุทธ พ.ศ. 2376
อานัมสยามยุทธ พ.ศ. 2376 | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ อานามสยามยุทธ | |||||||||
![]() | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
![]() ![]() |
![]() ![]() อาณาจักรเชียงขวาง | ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() เจ้าสานเมืองพวน |
อานามสยามยุทธ พ.ศ. 2376 เป็นช่วงแรกของสงครามอานามสยามยุทธ เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ระหว่างพระราชอาณาจักรสยาม และเวียดนาม ในประเด็นเรื่องสิทธิและอำนาจการปกครองเหนืออาณาจักรกัมพูชา ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354 ทำให้สยามอาณาจักรรัตนโกสินทร์สูญเสียอำนาจและอิทธิพลในกัมพูชา และกัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนามราชวงศ์เหงียน สยามยังคอยหาโอกาสที่จะกอบกู้อำนาจและอิทธิพลในกัมพูชาอยู่โดยตลอด ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทั้งสยามและเวียดนามต่างเป็นสองขั้วมหาอำนาจในภูมิภาค ซึ่งรัฐที่เล็กกว่ามีอำนาจและอิทธิพลน้อยกว่าจำต้องศิโรราบเป็นประเทศราชของหนึ่งในสองขั้วอำนาจนี้
กบฏของเลวันโคยที่เมืองไซ่ง่อน และกบฏของนงวันเวินในเวียดนามภาคเหนือ ในพ.ศ. 2376 ทำให้เสถียรภาพของราชวงศ์เหงียนไม่มั่นคง เปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยสามารถส่งกำลังทหารเข้าทวงสิทธิ์และอำนาจเหนือกัมพูชาอีกครั้ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงส่งกองทัพไทย ทัพทางบกนำโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) จำนวน 40,000 คน[1] เข้าโจมตีกัมพูชา และทัพเรือนำโดยเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) จำนวน 10,000 คน[1] เข้าโจมตีเมืองห่าเตียน ในเดือนอ้าย (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2376 เป้าหมายของฝ่ายไทยในครั้งนี้ คือสถาปนาให้เจ้าชายกัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทย คือ นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ขึ้นมามีอำนาจในกัมพูชา เพื่อให้สยามไทยกลับมามีอำนาจเหนือกัมพูชาอีกครั้ง และยังมีเป้าหมายเพื่ออาศัยโอกาสที่เมืองไซ่ง่อนเป็นกบฏต่อพระเจ้าเวียดนามเมืองเว้ เข้ายึดเมืองไซ่ง่อนเป็นของสยาม ฝ่ายญวนเวียดนามไม่ได้ทันตั้งตัว ไม่ทันเตรียมรับศึกจากฝ่ายไทย เนื่องจากในขณะนั้น ฝ่ายเวียดนามราชวงศ์เหงียนกำลังปราบกบฏของเลวันโคยอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน พระเจ้าเวียดนามมินมาง จำต้องอาศัยแบ่งทัพที่ไปปราบกบฏไซ่ง่อน ออกมารับศึกไทย
เจ้าพระยาบดินทรเดชาเคลื่อนทัพผ่านกัมพูชาและไปบรรจบกับทัพของเจ้าพระยาพระคลังที่เมืองโจดก[1] จากนั้นจึงล่องลงไปตามแม่น้ำป่าสัก เพื่อเข้าโจมตีเมืองไซ่ง่อน ทัพฝ่ายไทยจำต้องข้ามจากแม่น้ำป่าสัก ไปยังแม่น้ำโขง ที่คลองวามนาว หรือที่ฝ่ายเวียดนามเรียกว่าคลองถ่วนกั๋ง (Thuận Cảng)[2] เป็นทางแคบ ฝ่ายญวนได้แบ่งทัพออกมาจากเมืองไซ่ง่อน นำโดยเหงียนซวน (Nguyễn Xuân)[2] และเจืองมิญสาง (Trương Minh Giảng)[2] ยกออกมาสามารถเอาชนะทัพสยามได้ในยุทธนาวีที่คลองวามนาว ในเดือนสาม (มกราคม) พ.ศ. 2376[1] (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377) ทัพฝ่ายไทยจำต้องถอยกลับ ทัพฝ่ายเวียดนาม นำโดยเหงียนซวน และเจืองมิญสาง รุกไล่ติดตามเข้ามาถึงกัมพูชา ในเวลานั้นชาวกัมพูชาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับฝ่ายไทยแบบกองโจร ทำให้ฝ่ายไทยได้รับความสูญเสียมากขึ้นอีก จนสุดท้าย ในเดือนห้า (เมษายน) พ.ศ. 2377 ทัพฝ่ายไทยสยามได้ล่าถอยออกจากกัมพูชาทั้งหมด โดยที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาถอยไปที่เมืองพระตะบอง และเจ้าพระยาพระคลังถอยไปที่เมืองจันทบุรี[1]
ชัยชนะของฝ่ายญวนเวียดนามเหนือฝ่ายไทยในสงครามครั้งนี้ ทำให้เวียดนามราชวงศ์เหงียนสามารถปราบกบฏเลวันโคยได้สำเร็จ และสามารถขยายอำนาจในกัมพูชาขึ้นไปอีก โดยที่ฝ่ายเวียดนามได้ผนวกเอากัมพูชาเข้ามาปกครองโดยตรง ตั้งเมืองกัมพูชาเป็นมณฑลเจิ้นเตย (Trấn Tây) ในพ.ศ. 2378 ซึ่งเวียดนามมีนโยบายกลืนอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ทำลายวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวเขมรกัมพูชา และพยายามที่จะเปลี่ยนชาวกัมพูชาและเมืองกัมพูชา ให้เข้ามาสู่วัฒนธรรมและประเพณีเดียวกันกับญวนเวียดนาม สุดท้ายชาวกัมพูชาทั้งหลายไม่พอใจการปกครองของเวียดนาม จึงลุกฮือเป็นกบฏขึ้นต่อเวียดนามโดยทั่วไปในพ.ศ. 2383 เปิดโอกาสให้ฝ่ายไทยสามารถส่งกองทัพเข้ารุกรานกัมพูชาได้อีกครั้งหนึ่ง ในพ.ศ. 2383
ภูมิหลัง
[แก้]ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา สยาม และเวียดนาม
[แก้]สยามในสมัยกรุงศรีอยุธยาส่งทัพเข้าโจมตีรุกรานกัมพูชายุคหลังพระนครหลายครั้ง ในช่วงที่สยามทรงอำนาจกัมพูชาอยู่ภายใต้อิทธิพลของสยาม ในช่วงที่สยามเสื่อมอำนาจกัมพูชาสามารถแยกตนเป็นอิสระ ต่อมาญวนเวียดนามภาคใต้ตระกูลเหงียน แผ่ขยายอิทธิพลเข้าปกครองดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งดั้งเดิมเป็นอาณาเขตของกัมพูชา ในกระบวนการที่เรียกว่านามเที้ยน (Nam tiến) ทำให้ญวนตระกูลเหงียนเริ่มเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในกัมพูชา มาเป็นคู่แข่งของไทยการแผ่ขยายอิทธิพลเหนือกัมพูชา การแย่งชิงอำนาจระหว่างเชื้อพระวงศ์กัมพูชาทำให้ความขัดแย้งทวีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเจ้ากัมพูชาแต่ละฝ่ายนั้น ต่างขอการสนับสนุนจากไทยหรือตระกูลเหงียนในการขึ้นสู่อำนาจในกัมพูชา ในพ.ศ. 2314 สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จกรีฑาทัพเข้าโจมตีกัมพูชา (สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314) เพื่ออภิเษกให้พระรามราชานักองค์โนน เจ้าชายกัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทย ให้ขึ้นเป็นเจ้ากัมพูชา โปรดฯให้พระยายมราช (ทองด้วง)[3] เป็นแม่ทัพเข้าโจมตีกัมพูชา เป็นเหตุให้สมเด็จพระนารายณ์ราชานักองค์ตน กษัตริย์กัมพูชาที่ฝักใฝ่ญวน เสด็จหลบหนีไปยังเวียดนามภาคใต้ แต่ทว่าฝ่ายไทยไม่ประสบความสำเร็จในการยึดครองกัมพูชาอย่างถาวร เจ้าญวนใต้เหงียนฟุกถ่วน (Nguyễn Phúc Thuần) ส่งทัพญวนเข้ามายกให้นักองค์ตนกลับคืนสู่ราชสมบัติกัมพูชาดังเดิมในพ.ศ. 2315
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในเวียดนามเกิดกบฏเตยเซิน (Tây Sơn) ต่อต้านการปกครองของตระกูลเหงียน ทำให้ตระกูลเหงียนเสื่อมอำนาจลง พระนารายณ์ราชานักองค์ตน จึงยินยอมสละราชสมบัติให้แก่นักองค์โนน ในพ.ศ. 2318 เพื่อสลายความขัดแย้ง นักองค์โนนขึ้นเป็นสมเด็จพระรามราชาฯเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทย ส่วนนักองค์ตนนั้นลดยศลงเป็นพระมหาอุปโยราช[4] นักองค์ตนถึงแก่พิราลัยในพ.ศ. 2320 ต่อมาในพ.ศ. 2322 เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) อัครเสนาบดีกัมพูชา เป็นกบฏขึ้นต่อพระรามราชานักองค์โนน นำไปสู่การที่นักองค์โนนถูกสำเร็จโทษประหารชีวิต และเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ยกให้โอรสของนักองค์ตน คือ นักองค์เอง มีพระชันษาเพียงเจ็ดปี ขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์กัมพูชา ด้วยการสนับสนุนของเหงียนฟุกอั๊ญ (Nguyễn Phúc Ánh) หรือ องเชืองสือ เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนที่ไซ่ง่อน และต่อมาในพ.ศ. 2324 สมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชโองการให้ทัพไทยนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเข้าโจมตีกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสถาปนาพระโอรสคือเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ขึ้นเป็นเจ้ากัมพูชา แต่เกิดเหตุการณ์จลาจลที่กรุงธนบุรี ในพ.ศ. 2325 ขึ้นเสียก่อน ทำให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจำต้องเจรจากับแม่ทัพญวน[2][5] เพื่อกลับไปควบคุมสถานการณ์ที่กรุงธนบุรี

ในพ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้พระยายมราช (แบน) ขุนนางกัมพูชาซึ่งฝักใฝ่ไทย ยกทัพไปสังหารเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ที่เมืองอุดงบันทายเพชร ราชธานีกัมพูชาได้สำเร็จ แต่กัมพูชาตกเข้าสู่ภาวะจลาจล พระยายมราช (แบน) จึงจำต้องนำนักองค์เองยุวกษัตริย์กัมพูชามาประทับอยู่ที่กรุงเทพ ปีต่อมาพ.ศ. 2326 เหงียนฟุกอั๊ญหรือองเชียงสือพ่ายแพ้ต่อเตยเซินหลบหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่กรุงเทพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงแต่งตั้งให้พระยายมราช (แบน) เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์เป็นผู้สำเร็จราชการในกัมพูชาแทนนักองค์เอง เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ยกออกไปตั้งที่เมืองพระตะบอง ในพ.ศ. 2327 โปรดฯให้เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ยกทัพไทยออกไปโจมตีเมืองไซ่ง่อนคืนราชสมบัติให้แก่องเชียงสือ แต่พ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายเตยเซิน (สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2327) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ใช้เวลาเจ็ดปีในการต่อสู้กับศัตรูคือเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) ซึ่งฝ่ายเวียดนามเต็ยเซินในการสนับสนุนอยู่ จนในพ.ศ. 2330[4] จึงสามารถจับกุมเจ้าฟ้าทะละหะ (แทน) เข้าปกครองกัมพูชาในฐานะผู้สำเร็จราชการที่ฝ่ายกรุงเทพได้ตั้งขึ้น ประกอบกับในเวลาเดียวกันองเชียงสือสามารถยึดเมืองไซ่ง่อนและเวียดนามภาคใต้ ตั้งตนขึ้นเป็น"เจ้าอนัมก๊ก"ได้สำเร็จ เจ้าอนัมก๊กองเชียงสือส่งถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทอง[6] กัมพูชาจึงเข้ามาอยู๋ในอิทธิพลของไทย
ในพ.ศ. 2337 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯพระราชทานให้นักองค์เองยุวกษัตริย์กัมพูชาที่เจริญชันษาแล้ว ออกไปครองกรุงกัมพูชา และโปรดฯให้แยกเมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราฐ แยกขาดออกมาจากกัมพูชา[6] ให้อยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองคนแรก ขึ้นแก่กรุงเทพโดยตรง ไม่ขึ้นกับกัมพูชา สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีฯ (นักองค์เอง) ถึงแก่พิราลัยในพ.ศ. 2340 พระโอรสสี่องค์ของนักองค์เอง ได้แก่ นักองค์จัน นักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ล้วนแต่ยังพระเยาว์ทั้งสิ้น ในพ.ศ. 2345 เจ้าอนัมก๊กองเชียงสือสามารถปราบเตยเซินลงได้อย่างราบคาบ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นพระเจ้าเวียดนามยาล็อง สถาปนาราชวงศ์เหงียนขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงอภิเษกให้นักองค์จัน โอรสองค์โตของนักองค์เอง เป็นสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีออกไปครองกรุงกัมพูชา[4][6] ในพ.ศ. 2349 แต่ทว่าพระอุไทยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชาพระองค์ใหม่ มีความขัดแย้งกับทางกรุงเทพฯ[6][7] เอาใจออกห่างไปพึ่งพิงพระเจ้าเวียดนามยาล็อง เพื่อใช้อิทธิพลของญวนเวียดนามมาคานอำนาจกับกรุงเทพ
ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354
[แก้]เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต ในพ.ศ. 2352 สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชา แข็งเมืองเป็นปฏิปักษ์ต่อทางกรุงเทพ ไม่เดินทางเข้ามาร่วมพระราชพิธีที่กรุงเทพ ส่งให้อนุชาสององค์ได้แก่ นักองค์สงวน และนักองค์อิ่ม เป็นผู้แทนเข้ามา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงตั้งให้นักองค์สงวนเป็นที่พระมหาอุปโยราชแห่งกัมพูชา และนักองค์อิ่มเป็นที่พระมหาอุปราชแห่งกัมพูชา[4][8] นับแต่นั้นนักองค์สงวนจึงฝักใฝ่ไทยและมีความแข็งกร้าวต่อนักองค์จันซึ่งฝักใฝ่ญวน ราชสำนักกัมพูชาเกิดการแบ่งฝ่ายออกเป็นฝ่ายที่ฝักใฝ่ไทยและฝ่ายที่ฝักใฝ่เวียดนาม เมื่อนักองค์จันลงอาญาประหารชีวิตพระยาจักรี (แบน) และพระยากลาโหม (เมือง) ขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทย ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างกรุงเทพและกัมพูชา ฝ่ายไทยส่งกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองพระตะบอง นักองค์จันจึงขอความช่วยเหลือจากฝ่ายเวียดนาม พระเจ้ายาล็องส่งเหงียนวันเญิน (Nguyễn Văn Nhơn, 阮文仁) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน ให้ยกทัพญวนขึ้นมาที่เมืองละแวกเพื่อคุ้มครองนักองค์จัน แต่ผ่านไปสี่เดือนทัพไทยยังไม่เข้าโจมตีกัมพูชา เหงียนวันเญินจึงยกทัพกลับไซ่ง่อน
ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2354 นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2355 นักองค์สงวนอนุชาของนักองค์จัน ได้กบฏขึ้นต่อนักองค์จัน ตั้งอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพไทยจำนวน 5,000 คน[4] เข้าสู่กัมพูชาเพื่อระงับเหตุ[8]ระหว่างนักองค์จันและนักองค์สงวน เจ้าพระยายมราช (น้อย) ให้ทัพไทยแห่นักองค์สงวนไปยังเมืองอุดงบันทายเพชร ราชธานีของกัมพูชา นักองค์จันส่งทัพกัมพูชาออกมาสู้รบกับไทยที่กำปงฉนังแต่พ่ายแพ้ ทำให้สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาเสด็จหลบหนีออกจากเมืองอุดง ไปประทับที่เมืองไซ่ง่อนอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเวียดนาม แต่อนุชาอีกสององค์ของนักองค์จันคือ นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ย้ายมาเข้ากับฝ่ายไทย เจ้าพระยายมราชและทัพไทยเข้าประจำอยู่ที่เมืองอุดง ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทางกรุงเทพได้แต่งทูตออกไปหาพระเจ้าเวียดนามยาล็อง อธิบายให้พระเจ้าเวียดนามว่าฝ่ายไทยมีความจำเป็นที่ต้องส่งทัพเข้าไปในกัมพูชาเพื่อระงับเหตุ[8] แต่พระเจ้ายาล็องเห็นว่าฝ่ายไทยไม่ควรยกทัพเข้าโจมตีกัมพูชาเช่นนี้[7] ฝ่ายเจ้าพระยายมราช (น้อย) อยู่ที่เมืองอุดงหมดสิ้นเสบียง จึงให้เผาทำลายเมืองอุดง[8] ซึ่งเป็นราชธานีของกัมพูชามาเป็นเวลาร่วมกว่าสองศตวรรษ แล้วเจ้าพระยายมราชจึงนำทัพไทยถอยกลับไป รวมทั้งนำเจ้าชายกัมพูชานักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง ไปประทับอยู่ที่วังเจ้าเขมรในกรุงเทพ
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2356 พระเจ้าเวียดนามยาล็อง ให้"องต๋ากุน"เลวันเสวียด (Lê Văn Duyệt, 黎文悅) เจ้าเมืองไซ่ง่อน ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นต๋งเจิ๊น (Tổng trấn, 總鎮) หรือผู้สำเร็จราชการในเวียดนามภาคใต้ ให้ยกทัพญวน 13,000 คน แสดงแสนยานุภาพทางทหารของเวียดนาม ยกทัพแห่นำนักองค์จันให้กลับคืนสู่กัมพูชาดังเดิม เมื่อนักองค์จันกลับคืนสู่กัมพูชาแล้ว พบว่าเมืองอุดงถูกทัพไทยเผาทำลายลงสิ้น องต๋ากุนเลวันเสวียตจึงสร้างเมืองใหม่ให้แก่นักองค์จันที่พนมเปญ เรียกว่า เมืองบันทายแก้ว นักองค์จันประสงค์จะอยู่ที่พนมเปญ เนื่องจากพนมเปญเป็นที่ราบลุ่มติดแม่น้ำ หากทัพไทยเข้ามาโจมตีอีก ทัพเรือเวียดนามจะยกมาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที[8] ในพ.ศ. 2357 พระเจ้ายาล็องแต่งตั้งให้เหงียนวันถว่าย (Nguyễn Văn Thoại, 阮文瑞) เป็นองเบาฮอ (bảo hộ) หรือข้าหลวงญวนผู้สำเร็จราชการในกัมพูชา ในเหตุการณ์ความขัดแย้งเรื่องราชสมบัติกัมพูชา ในพ.ศ. 2355 นี้ ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนาม หลีเลี่ยงการปะทะทางทหาร เนื่องจากพระเจ้ายาล็องยังรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์ไทย ที่ได้เคยช่วยเหลือเมื่อครั้งลี้ภัยอยู่ที่กรุงเทพ และสำหรับฝ่ายไทยไม่สามารถทำสงครามเต็มรูปแบบกับเวียดนามได้ เนื่องจากยังมีภัยคุกคามจากพม่าจากทิศตะวันตก[8] อย่างไรก็ตาม เวียดนามราชวงศ์เหงียนกำลังแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพล ขึ้นมาเป็นศัตรูทางภูมิรัฐศาสตร์กับไทยในภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหตุการณ์ในครั้งนี้ จบลงที่ฝ่ายเวียดนามสนับสนุนให้นักองค์จันกลับมาครองกัมพูชาดังเดิม และฝ่ายไทยสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในกัมพูชาให้แก่ญวนเวียดนาม[7]
กัมพูชาภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม
[แก้]องต๋ากุนเลวันเสวียตให้สร้างศาลญวนขึ้นที่จะโรยจังวา ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับเมืองพนมเปญ เพื่อบูชาเซ่นไหว้เหงียนหิวกั๋ญ (Nguyễn Hữu Cảnh,[2] 阮有鏡) แม่ทัพญวนที่ได้เคยพิชิตกัมพูชา (พงศาวดารกัมพูชาและไทยรระบุว่า เพื่อบูชาพระเจ้ายาล็อง) เมื่อพ.ศ. 2243 พระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา พร้อมทั้งขุนนางพระยาเขมร แต่งกายด้วยชุดญวนเวียดนาม ขึ้นเซ่นไหว้บูชาที่ศาลจะโรยจังวา เดือนละสองครั้ง ถึงแม้ว่านักองค์จันยังส่งถวายเครื่องบรรณาการไปที่กรุงเทพอยู่บ้าง แต่ในทางปฏิบัตินั้นกัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม ในพ.ศ. 2358 องเบาฮอเหงียนวันถว่ายข้าหลวงญวนในกัมพูชาเสนอให้นักองค์จันแต่งทัพเขมรออกไปโจมตีเมืองพระตะบอง เพื่อทวงเมืองพระตะบองคืนจากไทย แต่ฝ่ายญวนจะไม่ส่งทัพออกไปเอง เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกับไทย ถ้าฝ่ายกัมพูชายกทัพออกไป จะถือว่าเป็นความขัดแย้งภายใน[7] พระอุไทยราชานักองค์จันจึงส่งทัพกัมพูชานำโดยสมเด็จเจ้าพระยา (ติ) ยกเข้าไปยังเมืองพระตะบอง ในพ.ศ. 2358 อ้างว่าต้องการเก็บมูลค้างคาวและน้ำนมศิลาเป็นส่วยให้แก่พระเจ้ากัมพูชา[8] ฝ่ายไทยเมืองพระตะบองห้ามปราบขัดขวางไม่ให้ฝ่ายกัมพูชายกเข้ามา สมเด็จเจ้าพระยา (ติ) จึงยกทัพกัมพูชาเข้าโจมตีเมืองพระตะบอง แต่พระยาอภัยภูเบศร์ (รศ) เจ้าเมืองพระตะบอง สามารถป้องกันเมืองพระตะบองไว้ได้ ตีทัพกัมพูชาแตกพ่ายไป เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการทูต ระหว่างไทยและเวียดนามอีกครั้ง ฝ่ายไทยกล่าวโทษว่าองเบาฮอยุยงให้นักองค์จันส่งทัพมาตีเมืองพระตะบอง ฝ่ายเมืองเว้ชี้แจงว่าไม่ทราบเรื่อง องเบาฮอเป็นผู้ต้นคิดแต่ผู้เดียว ฝ่ายเวียดนามจึงต้องจับกุมตัวสมเด็จเจ้าพระยา (ติ) เป็นแพะรับบาป ให้นักองค์จันนำตัวไปลงโทษ[4]

ในพ.ศ. 2362 พระเจ้าเวียดนามยาล็องให้ขุดคลองเชื่อมระหว่างเมืองโจดกและเมืองห่าเตียน โดยที่องเบาฮอเหงียนวันถว่ายเป็นแม่กอง ชาวกัมพูชาถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานขุดคลองได้รับความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้ายาล็องสิ้นพระชนม์ ในต้นปีพ.ศ. 2363 พระโอรสขึ้นครองราชสมบัติต่อมา เป็นพระเจ้าเวียดนามมินมาง ในปีเดียวกันนั้น เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 พระภิกษุกัมพูชาชื่อแก้ว[4] ตั้งตนเป็นนักศิลป์ (Neak Sel)[7] หรือผู้วิเศษ ปลุกระดมให้ชาวกัมพูชาลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจการกดขี่ของญวนเวียดนาม ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองบาพนม พระอุไทยราชานักองค์จันส่งทัพนำโดยเจ้าฟ้าทะละหะ (ตวนผอ เป็นชนชาติจาม) และสมเด็จเจ้าพระยา (ติ) ออกไปปราบกบฏของภิกษุแก้วที่เมืองบาพนม แต่ฝ่ายภิกษุแก้วได้รับชัยชนะตีทัพของนักองค์จันแตกพ่าย เดือดร้อนถึงองต๋ากุนเลวันเสวียต ต้องส่งแม่ทัพญวนเหงียนวันจี๊ (Nguyễn Văn Trí) ยกทัพญวนเข้ามาปราบกบฏและสังหารภิกษุแก้วได้สำเร็จ พรรคพวกกบฏให้การซัดทอดว่า ทั้งเจ้าฟ้าทะละหะ (ตวนผอ) และสมเด็จเจ้าพระยา (ติ) ต่างให้การสนับสนุนแก่ภิกษุแก้ว ในการต่อต้านเวียดนาม ทั้งเจ้าฟ้าทะละหะและสมเด็จเจ้าพระยาจึงถูกประหารชีวิต หลังจากนั้น การขุดคลองจึงดำเนินการต่อ เลวันเสวียตเกณฑ์ชาวเวียดนามภาคใต้จำนวน 39,000 คน นักองค์จันเกณฑ์ชาวเขมร 16,000 คน[2] ขุดคลองทั้งวันทั้งคืนเป็นเวลาสี่ปี จนแล้วเสร็จในพ.ศ. 2367 พระเจ้ามินมานให้ชื่อว่าคลองหวิญเต๊ (Vĩnh Tế พงศาวดารไทยเรียกว่า คลองขุด)

นักองค์สงวนถึงแก่อนิจกรรมที่กรุงเทพ ในพ.ศ. 2360 เหลือนักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง เป็นเจ้านายเขมรที่ฝักใฝ่ไทย ประทับอยู่ที่วังเจ้าเขมร ฝ่ายกรุงเทพเมื่อได้ทราบข่าวว่าฝ่ายญวนเวียดนามขุดคลองจากเมืองโจดกถึงเมืองห่าเตียนลงสู่อ่าวไทย เห็นว่าคลองขุดนี้จะทำให้ฝ่ายญวนยกทัพจากเวียดนามภาคใต้ ยกลัดเข้ามาสู่อ่าวไทยได้อย่างรวดเร็ว[8] พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดฯให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่กอง สร้างป้อมผีเสื้อสมุทรขึ้นที่เกาะกลางน้ำที่สมุทรปราการ ในพ.ศ. 2365 เพื่อเตรียมการป้องกันหากญวนเวียดนามยกทัพเรือเข้าโจมตีกรุงเทพทางอ่าวไทย[8]
ถึงแม้ว่านักองค์จันกษัตริย์กัมพูชานั้นฝักใฝ่ญวน และกัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม แต่ภายในราชสำนักกัมพูชา ยังมีกลุ่มขุนนางซึ่งฝักใฝ่ไทยอยู่[7] นำโดยนักนางเทพ นักพระสนมของนักองค์จัน นักนางเทพเป็นธิดาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองคนแรก นักนางเทพประสูติเจ้าหญิงนักองค์แบน ในพ.ศ. 2352 เป็นธิดาองค์โตของนักองค์จัน และยังมีพระองค์แก้ว (มา) ขุนนางกัมพูชา เป็นพี่ชายของนักนางเทพ ทั้งนักนางเทพ และพระองค์แก้ว (มา) ทั้งสองคนนี้ต่างเป็นบุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน ในพ.ศ. 2372 พระอุไทยราชานักองค์จัน มีพระบัณฑูรให้พระองค์แก้ว (มา) นำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายที่กรุงเทพ นักนางเทพได้สอดจดหมายลับ ให้พระองค์แก้วฝากถึงพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง ศรีเพ็ญ)[1] ให้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานให้ทางกรุงเทพจัดทัพออกไปโจมตีกัมพูชา เพื่อให้นักองค์จันกลับมาอยู่ข้างฝ่ายไทยครั้งหนึ่ง แต่ในขณะนั้น ฝ่ายไทยเพิ่งเสร็จสิ้นสงครามเจ้าอนุวงศ์ จึงยังไม่จัดทัพเข้าโจมตีกัมพูชาในทันที ต่อมาไม่นานฝ่ายญวนสืบทราบว่า พระองค์แก้ว (มา) เป็นขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทย ลักลอบมีหนังสือลับติดต่อกับกรุงเทพ พระเจ้ามินมางจึงมีราชโองการให้จับกุมตัวพระองค์แก้ว (มา) ไปสอบสวนที่เมืองเว้ ในพ.ศ. 2373 พระองค์แก้วจึงจำต้องหลบหนีมาที่เมืองพระตะบอง และในพ.ศ. 2375 พระยาสังขโลก (เกาะ) เจ้าเมืองโพธิสัตว์ ขุนนางกัมพูชาที่ฝักใฝ่ไทยอีกคนหนึ่ง เป็นกบฏต่อนักองค์จัน กวาดต้อนพาชาวเมืองโพธิสัตว์ไปเข้ากับกรุงเทพ[9]
กบฏของเลซวีเลือง เลวันโคย และนงวันเวิน
[แก้]เหงียนวันถว่าย องเบาฮอข้าหลวงญวนผู้สำเร็จราชการในกัมพูชา ถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2372 อีกสามปีต่อมา"องต๋ากุน"เลวันเสวียตถึงแก่กรรมในพ.ศ. 2375 เลวันเสวียตดำรงตำแหน่งเป็นต๋งเจิ๊น หรือผู้สำเร็จราชการในเวียดนามภาคใต้ พระเจ้ามินมางทรงมีนโยบายรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง เลวันเสวียตเป็นศัตรูทางการเมืองของพระเจ้ามินมาง เมื่อเลวันเสวียตเสียชีวิตแล้ว พระเจ้ามินมางจึงใช้โอกาสนี้ยกเลิกตำแหน่งต๋งเจิ๊นหรือผู้สำเร็จราชการ ปฏิรูปการปกครอง และส่งขุนนางชุดใหม่เข้าปกครองเวียดนามใต้ ได้แก่ เหงียน วัน เกว๊ (Nguyễn Văn Quế) เป็นต๋งด๊ก (Tổng đốc, 總督) ประจำจังหวัดซาดิ่ญและเบียนฮหว่า เป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน และ บัค ซวน เหงวียน (Bạch Xuân Nguyên) เป็นผู้ช่วย บัคซวนเหงวียนถวายรายงานต่อพระเจ้ามินมางว่า เลวันเสวียตผู้ล่วงลับไปแล้วซ่องสุมกำลังพลและอาวุธเตรียมก่อการกบฏ พระเจ้ามินมางจึงลงอาญาให้ประหารชีวิตและจำคุกขุนนางเดิมของเลวันเสวียตในเวียดนามใต้จำนวนมาก
ในกลางปีพ.ศ. 2376 มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นกบฏขึ้นที่จังหวัดเหงะอาน ยกให้เลซวีเลือง (Lê Duy Lương)[5] เป็นเชื้อสายราชวงศ์เล ยกขึ้นเป็นเจ้า ต่อต้านพระเจ้ามินมาง ทำให้ "องภอเบโคย" หรือเลวันโคย (Lê Văn Khôi, 黎文𠐤) บุตรบุญธรรมของเลวันเสวียต เดิมชื่อเบ๊โคย (Bế Khôi) เมื่อเห็นว่ามีกบฏขึ้นที่เหงะอาน จึงก่อการกบฏขึ้นในด้วยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2376 ยึดเมืองไซ่ง่อนเป็นฐานที่มั่น เลวันโคยนำกำลังเข้าสังหารเหงียนวันเกว๊เจ้าเมืองไซ่ง่อน รวมทั้งบัคซวนเหงวียนขุนนางของพระเจ้ามินมางก็ถูกสังหารด้วย นำไปสู่กบฎของเลวันโคย ซึ่งมีชาวเวียดนามใต้เข้าร่วมจำนวนมากโดยเฉพาะชาวคริสเตียน เลวันโคยหมายจะยกเอาโอรสองค์หนึ่งของเจ้าชายเหงียน ฟุก กั๋ญ ซึ่งเป็นคริสเตียน ให้ขึ้นเป็นพระเจ้าเวียดนามแทน

กบฎของเลวันโคยลุกลามอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชาวเวียดนามใต้ ซึ่งส่วนใหญ่มีความนิยมในตัวเลวันเสวียต ได้เข้าร่วมกับกบฎจำนวนมาก เมื่อยึดเมืองไซ่ง่อนได้แล้ว เลวันโคยส่งทัพเข้ายึดเมืองด่งนาย เมืองสมิถ่อ เมืองล่องโห้ เมืองโจดก เมืองห่าเตียน ยึดเมืองสำคัญในเวียดนามภาคใต้ได้ทั้งหมด ในขณะนั้น เล ได่ เกือง (Lê Đại Cương, 黎大綱) ดำรงตำแหน่งเป็นจงตกผู้ว่าฯจังหวัดอันซางและห่าเตียน (Tổng đốc An Giang – Hà Tiên) เป็นเจ้าเมืองโจดกอยู่ รวมทั้งดำรงตำแหน่งเป็นเบาฮอ (Bảo hộ) หรือผู้สำเร็จราชการของเวียดนามในกัมพูชาด้วย เลได่เกืองเจ้าเมืองโจดกนำทัพเข้าปราบกบฏเลวันโคยแต่พ่ายแพ้และจำต้องหลบหนีมายังกัมพูชา ในพงศาวดารกัมพูชา เรียกเลได่เกืองว่า "องพด" หนีมาที่เมียดจรูก (โจดก) นักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา ให้พระยาศรีนครธรรมราช (รศ) เข้าช่วยเหลือเลได่เกืองหาที่ซ่อนตัวให้[9]
เลวันโคยนั้น เดิมเป็นชาวจังหวัดกาวบั่ง ทางตอนเหนือสุดของเวียดนามติดพรมแดนกับจีน เมื่อเกิดกบฏเลวันโคยที่ไซ่ง่อน นงวันเวิน (Nông Văn Vân) เป็นชาวไต และเป็นพี่ชายของภรรยาของเลวันโคย[5] ก่อกบฏขึ้นต่อพระเจ้ามินมางที่จังหวัดกาวบั่งในเวียดนามภาคเหนือ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2376 ปีเดียวกัน ทำให้ในปีพ.ศ. 2376 นั้น พระเจ้ามินมางต้องเผชิญกับการกบฏถึงสามแห่งด้วยกัน ได้แก่ กบฏของเลซวีเลืองที่เหงะอาน กบฏของเลวันโคยที่ไซง่อน และกบฏของนงวันเวินที่เวียดนามภาคเหนือ
พระเจ้ามินมางทรงแต่งตั้งให้แม่ทัพชุดใหม่ นำโดย ต๊ง เฟื้อก เลือง (Tống Phước Lương, 宋福樑) เป็นต๋าเตื้องกวน (Tả tướng quân) หรือ "องเตียนกุน"แม่ทัพใหญ่ ยกทัพจากเมืองเว้ลงมาปราบกบฎเลวันโคย พร้อมทั้งแม่ทัพอีกจำนวนหนึ่งรวมทั้งเหงียน ซวน (Nguyễn Xuân, 阮春) และ เจือง มิญ สาง (Trương Minh Giảng, 張明講) ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2376 ทัพใหม่ฝ่ายพระเจ้ามินมางสามารถยึดเมืองโจดก เมืองห่าเตียน เมืองล่องโห้ และเมืองสมิถ่อ คืนมาจากฝ่ายกบฎได้สำเร็จ ฝ่ายกบฎเลวันโคยถอยเข้าตั้งมั่นอยู่แต่ในเมืองไซ่ง่อนเท่านั้น ฝ่ายเลวันโคยพยายามที่จะส่งตัวแทนมาขอความช่วยเหลือจากสยามแต่ถูกฝ่ายเหงียนจับกุมได้ก่อน ราชสำนักเหงียนค้นพบว่าเลวันโคยได้เขียนจดหมายเพื่อถวายแด่กษัตริย์สยามขอพระราชทานกองทัพช่วยเหลือแต่ไม่สำเร็จถูกจับได้เสียก่อน[10]
ทางฝ่ายกรุงเทพสืบข่าวจากพ่อค้าจีนที่ได้เดินทางไปยังเวียดนาม ได้ทราบข่าวว่าเวียดนามเกิดกบฏทั้งเหนือและใต้ ดังตราสั่งหัวเมือง เรื่องตั้งพระเจ้ายาธรรมา (สมบุญ) เป็นแม่ทัพ;
องเกียนอานบุตรเจ้าเวียดนามคนเก่ามีหนังสือลงมาเถิงองพองายซึ่งอยู่ ณ เมืองไซ่ง่อน ให้ชักชวนพวกองตากุญคนเก่าคิดเป็นการกบฏขึ้น ข้างเมืองตังเกี๋ยนั้นองเกียนอานก็ได้นัดหมายให้พวกเมืองตังเกี๋ยคิดกบฏต่อเจ้าเวียดนาม ให้พร้อมกันกับเมืองไซ่ง่อน ครั้นองพองายรู้หนังสือแล้ว จึงชักชวนจีนบงบางเป็นจีนผู้ใหญ่อยู่ในเมืองไซ่ง่อน ไปถอดเอาขุนนางขององตากุญคนเก่า ซึ่งเจ้าเวียดนามให้จำไว้ กับคนโทษในคุกเมืองไซ่ง่อนออกได้สิ้น คิดพร้อมใจกันจับองตากุญเจ้าเมืองไซ่ง่อนคนใหม่กับขุนนางผู้ใหญ่ฆ่าเสีย แล้วเกลี้ยกล่อมได้ญวนเข้าเพศฝรั่ง ญวนตังเกี๋ยกับพวกจีนเข้าด้วยเป็นอันมาก องพองายกับพวกกบฏตั้งกันเป็นองเหากุญ องหวีกุญ องเตียนกุญ องเสียนหอง แบ่งกันคุมกองทัพยกลงมาตีเมืองล่องโห้ เมืองสมิถ่อ เมืองโจดก เมืองพุทไธมาศ ตีได้สิ้นแล้ว กวาดเอาเสบียงอาหารเครื่องสาตราวุธปืนใหญ่ปืนน้อย ขึ้นไปไว้ในเมืองไซ่ง่อนสิ้น
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ลดอำนาจของญวนซึ่งคอยให้การสนับสนุนแก่กบฏที่ต่อต้านสยามหลายครั้ง "ครั้งองค์จันทร์เขมรเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ อนุเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ แล้วกลับแต่งขุนนางพาอนุมาตั้งบ้านตั้งเมืองอย่างเก่า ทำเหมือนเมืองเขมรเหมือนกัน มีแต่คิดเกียจกันเขตต์แดนฝ่ายไทย ข่มขี่ยกตัวขึ้นเป็นดึกวองเด่"[1] และยังทรงไม่พอพระทัยธรรมเนียมการทูตญวน เมื่อจักรพรรดิญวนส่งทูตมาถวายพระราชสาสน์ที่กรุงเทพฯโปรดฯจะให้มีพระราชสาส์นโต้ตอบกลับไปแต่ทูตญวนไม่รับทุกครั้ง แจ้งว่าให้ฝ่ายกรุงเทพฯต้องแต่งคณะทูตไปมอบราชสาส์นให้ที่เมืองเว้เอง
เมืองญวนเกิดการกบฎขึ้นทั้งสองฝ่าย พวกกบฎก็มีกำลังมาก จะรบพุ่งกัน เห็นการจะยืดยาวไปอยู่ และเมืองเขมรหัวเมืองลาวฝ่ายแดนกรุงเทพฯ ญวนมาครอบงำเกียดกันเอาไว้แต่ครั้งกรุงยังเป็นศึกติดพันอยู่กับพะม่า และครั้งเวียงจันท์เป็นกบฎ กับครอบครัวเมืองเวียงจันท์ ครัวหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออก ไปตกค้างอยู่ตามหัวเมืองเหล่านั้นก็มาก ทรงพระราชดำริจะให้กองทัพไปตีคืนเอาบ้านเมืองครอบครัวมา คงเป็นไพร่พลข้าขอบขันธเสมากรุงเทพฯ ตามเดิมเหมือนแต่ก่อน แต่เห็นการยังเป็นทีทำไม่ จะหนักแรงทแกล้วทหารรี้พล จึงโปรดให้งดรอมา บัดนี้การได้ท่วงที จะไปตีคืนเอาบ้านเมืองครอบครัวของเรามา เห็นได้โดยง่ายไม่สู้ลำบากหนักแรง ทั้งเทศกาลนี้ก็เป็นฤดูแล้งอยู่แล้ว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพใหญ่กรุงเทพฯ ทั้งทัพบกทัพเรือออกไปให้พร้อมกัน
การเตรียมการ
[แก้]การเตรียมการของสยาม
[แก้]พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้าตีเมืองเวียดนามดังนี้;
- เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) พร้อมทั้งนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง ยกทัพทางบกจำนวน 40,000 ไปเมืองไซ่ง่อน มีขุนนางกัมพูชาได้แก่พระองค์แก้ว (มา) และพระยาสังขโลก (เกาะ) ติดตามไปด้วย[9] และยังมีพระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง เข้าร่วมทัพนี้ด้วย
- เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ที่สมุหกลาโหม ยกทัพเรือจำนวน 10,000 นายไปทางทะเลเพื่อโจมตีเมืองบันทายมาศหรือห่าเตียน
- พระมหาเทพ (ป้อม) และพระราชวรินทร์ (ขำ) ยกทัพไปทางลาวภาคกลางเพื่อโจมตีเวียดนามภาคกลางทางเมืองล่าน้ำหรือจังหวัดเหงะอานซึ่งอยู่ติดกับลาว
- เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) เกณฑ์ทัพจากหัวเมืองเหนือ พิชัย สวรรคโลก พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย และแพร่ ให้ได้ 4,000 คน ยกทัพไปเมืองหลวงพระบาง เพื่อรวมกับทัพลาวเข้าโจมตีเมืองหัวพันห้าทั้งหกซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม
ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และทัพของพระมหาเทพ (ป้อม) พระราชวรินทร์ (ขำ) ทั้งสามทัพยกออกจากกรุงเทพฯพร้อมกันในวันเสาร์ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้ายปี พ.ศ. 2376[1] (23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2376)
สงคราม พ.ศ. 2376
[แก้]สยามโจมตียึดกัมพูชา
[แก้]เมื่อพระยาสังคโลก (เกาะ) เจ้าเมืองโพธิสัตว์ เป็นกบฏต่อสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จัน ในพ.ศ. 2375 แล้วกวาดต้อนชาวกัมพูชาเมืองโพธิสัตว์ ไปเข้าไปกับฝ่ายไทยที่เมืองพระตะบองนั้น นักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาจึงให้พระยาจักรี (หลง) นำทัพกัมพูชาจำนวน 2,000 คน ไปตั้งที่เมืองโพธิสัตว์ เพื่อคอยตั้งรับทัพฝ่ายกรุงเทพฯที่อาจยกมา แต่สุดท้ายทัพฝ่ายสยามกรุงเทพฯยังไม่ยกมา นักองค์จันจึงให้พระยาจักรีหลงถอยกลับมาในเดือนห้า (มีนาคม) พ.ศ. 2376 แล้วนักองค์จันจึงแต่งตั้งเจ้าเมืองโพธิสัตว์คนใหม่ คือ พระยาสังคโลก (คง)[9] และนักองค์จันยังให้เลได่เกือง เจ้าเมืองโจดกซึ่งได้ลี้ภัยมาอยู่ที่กัมพูชา ไปทูลแก่พระเจ้ามินมางว่า พระยาสังคโลกเกาะหนีไปเข้ากับฝ่ายไทย เกรงว่าฝ่ายไทยจะยกทัพมาอย่างแน่นอน ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้ามินมาง[2] ให้ช่วยคุ้มครอง แต่ฝ่ายเวียดนามขณะนั้นยังมุ่งเน้นการปราบกบฏเลวันโคย จึงยังไม่ได้ยกทัพมาช่วยนักองค์จัน
ในเดือนอ้าย (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2376 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพไทยจำนวน 40,000 คน เข้าสู่กัมพูชาทางเมืองพระตะบอง โดยมีนักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง เจ้าชายกัมพูชาทั้งสองพระองค์ รวมทั้งขุนนางกัมพูชาที่อยู่ฝ่ายสยาม ได้แก่ พระองค์แก้ว (มา) ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (แบน) และพระยาสังคโลก (เกาะ) อดีตเจ้าเมืองโพธิสัตว์ ที่ได้หลบหนีไปเข้ากับฝ่ายไทย ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยกเข้าไปทางเมืองโพธิสัตว์ พระยาสังคโลก (คง) เจ้าเมืองโพธิสัตว์คนใหม่ จึงมีใบบอกไปยังสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จัน ที่เมืองบันทายแก้วพนมเปญ นักองค์จันให้สมเด็จเจ้าพระยา (สวด) ซึ่งได้เลื่อนขึ้นเป็นที่เจ้าฟ้าทะละหะ (สวด) แล้วนั้น นำทัพออกไปสู้ทัพสยาม แต่เจ้าฟ้าทะละหะ (สวด) กลับทูลว่าสมควรให้พระยาจักรี (หลง) เป็นผู้นำทัพออกไปมากกว่า นักองค์จันจึงมีพระบัณฑูรให้พระยาจักรีหลงเป็นผู้ยกทัพกัมพูชาออกไปต้านทัพสยาม[9]
พระยาจักรี (หลง) ประสบปัญหาเกณฑ์ทัพได้ไม่ทันการได้กำลังมาเพียง 300 คน ทัพบกของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพเข้ามาทางเมืองโพธิสัตว์จนถึงเมืองลาดปะเอีย เดินทัพผ่านอาณาจักรเขมรได้โดยสะดวกและปราศจากการต่อต้าน ทัพสยามและกัมพูชาได้สู้รบกันในการรบที่กำปงจาม ทัพฝ่ายกัมพูชาของพระยาจักรี (หลง) นั้นมีกำลังน้อยกว่ามาก ทัพหน้าฝ่ายสยามของเจ้าพระยาบดินทรเดชามีกำลังถึง 5,000 คน พระยาจักรี (หลง) จึงแตกพ่ายหนีไปที่บาพนม[12]
ฝ่ายนักองค์จันกษัตริย์เขมรเมื่อทราบว่าทัพของพระยาจักรี (หลง) พ่ายแพ้แตกพ่าย จึงตัดสินพระทัยนำเชื้อพระวงศ์และขุนนางเสด็จหลบหนีเมื่อวันแรมหกค่ำ เดือนยี่ (31 ธันวาคม) พ.ศ. 2376[9] ตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังเมืองไซ่ง่อนดังเช่นเมื่อความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2355 ประมาณยี่สิบปี่ก่อนหน้านี้ ที่นักองค์จันได้เคยเสด็จหนีจากทัพสยามไปเมืองไซ่ง่อน แต่ในขณะนั้นเมืองไซ่ง่อนกำลังเกิดเหตุการณ์กบฎเลวันโคย นักองค์จันจึงประทับอยู่ที่เมืองล็องโห่ (Long Hồ) ในเวียดนามภาคใต้
เมื่อทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาพิชิตและเข้าตั้งที่เมืองบันทายแก้วพนมเปญ ราชธานีของนักองค์จันได้แล้ว จึงแบ่งกำลังไว้มอบหมายให้พระศรีไชยเชษฐ์พระมหาอุปราชนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และพระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) เจ้าเมืองพระตะบอง ตั้งอยู่ที่เมืองบันทายแก้วพนมเปญ คอยเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชา จากนั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชา จึงยกไปทางเมืองบาพนม พร้อมกับพระองค์แก้ว (มา) และพระยาสังคโลก (เกาะ)[9]
สยามยึดเมืองบันทายมาศและโจดก
[แก้]ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2376 ฝ่ายญวนเวียดนาม พระเจ้ามินมาง ได้ทราบข่าวทัพสยามยกเข้ารุกรานกัมพูชาและเมืองห่าเตียน พระเจ้ามินมางและราชสำนักราชวงศ์เหงียน รวมทั้งขุนนางแม่ทัพที่เมืองไซ่ง่อน ที่กำลังปราบกบฏเลวันโคยอยู่นั้น มีความตื่นตกใจอย่างมาก การรุกรานของสยามครั้งนี้เป็นเหตุไม่คาดฝัน พระเจ้ามินมางมีพระราชโองการให้เก็บเรื่องที่ฝ่ายไทยเข้ารุกรานไว้เป็นความลับ เกรงว่าราษฎรเวียดนามจะพากันแตกตื่น[2]
ในพ.ศ. 2375 พระเจ้ามินมางปฏิรูปการปกครอง ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองเดิมในเวียดนาม แล้วตั้งผู้ว่าราชการเรียกว่า ต๋งด๊ก (Tổng đốc, 總督) หรือ "จงตก" ให้ไปปกครองควบสองจังหวัด ทำให้การปกครองของตระกูลหมักที่เมืองห่าเตียนสิ้นสุดลง หลังจากนั้นตระกูลหมักไม่ได้ปกครองเมืองห่าเตียนอีกต่อไป และกรมการเมืองห่าเตียนถูกควบรวมเข้ากับเมืองโจดก ในพ.ศ. 2376 พระเจ้ามินมางทรงแต่งตั้งให้ เลได่เกือง (Lê Đại Cương)[2] เข้ามาเป็นต๋งด๊กแห่งอานซางและห่าเตียน (Tổng đốc An Hà) เป็นเจ้าเมืองโจดกและห่าเตียน รวมทั้งควบตำแหน่งเบาฮอกัมพูชาด้วย แต่ต่อมาเลได่เกืองพ่ายแพ้ให้แก่กบฏเลวันโคย หลบหนีไปกัมพูชา เหลือเพียงองตนผู้เมืองห่าเตียน ชื่อว่า จิ่ญดั่ง (Trịnh Đàng) คอยอยู่รักษาเมือง ซึ่งจิ่ญดั่ง ถวายรายงานพระเจ้ามินมางว่า ทัพเรือฝ่ายสยามยกมามีเรือหนึ่งร้อยลำ[2]
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2376 ทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) จำนวน 10,000 คน ยกมาถึงเมืองเปียมบันทายมาศ หรือเมืองห่าเตียน โงวันลวนเจ้าเมืองห่าเตียน ตั้งป้อมเมืองห่าเตียนต่อสู้กับทัพของพระเจ้าพระคลัง แต่ทัพฝ่ายไทยนั้นมีกำลังมากกว่า ประกอบกับในขณะนั้น ฝ่ายเวียดนามไม่ทันได้ตั้งตัว กำลังปราบกบฏเลวันโคยอยู่ ทางแม่ทัพญวนที่กำลังปราบกบฏอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน ก็ยังไม่ทราบข่าวว่าทัพสยามยกมา เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) รบกับเมืองห่าเตียนอยู่หนึ่งวัน[9] จึงสามารถยึดเมืองห่าเตียนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อพิชิตเมืองบันทายมาศห่าเตียนได้แล้ว เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) จึงนำทัพเรือล่องไปตามคลองหวิญเต๊ หรือที่พงศาวดารไทยเรียกว่า "คลองขุด" เจ้าพระยาพระคลังเข้าโจมตีเมืองโจดก เจ้าพระยาพระคลังสู้รบกับเมืองโจดกอยู่เป็นเวลาสองวัน เมื่อกองกำลังฝ่ายไทย ลุยบึงเข้าโจมตีเมืองโจดกทางด้านหลัง[9] จึงสามารถยึดเมืองโจดกได้ในที่สุด
ในชั้นแรก เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มีแผนการที่จะยกทัพไปทางบก ผ่านทางเมืองบาพนม เพื่อโจมตีเมืองไซ่ง่อน แต่เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาทราบว่า เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ได้ยกมาตั้งที่เมืองโจดกแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน ลงมาร่วมทัพกับเจ้าพระยาพระคลังที่เมืองโจดก เนื่องจากเจ้าพระยาบดินทรเดชามีความเห็นว่า เจ้าพระยาพระคลังยังไม่ชำนาญการสงคราม "แต่เดี๋ยวนี้มาพบเจ้าคุณเข้าแล้วจะทิ้งเสียก็ไม่ได้ ด้วยเจ้าคุณยังไม่เคยทัพศึก ก็จะต้องไปทางเรือด้วยช่วยกัน"[1] แล้วเจ้าพระยาพระคลังจึงปรึกษาเจ้าพระยาบดินทรเดชา ว่าควรทำอย่างไรกับเชลยชายฉกรรจ์ชาวญวนเมืองโจดกจำนวน 80 คน เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงให้ประหารชีวิตชายฉกรรจ์เมืองโจดก 80 คนนั้นทั้งหมด และส่งครอบครัวไปเป็นเชลยที่เมืองบันทายมาศ[1]
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ปรึกษากันว่า ทางที่จะยกกองเรือไปโจมตีเมืองไซ่ง่อนนั้น ต้องข้ามจากแม่น้ำบาสักไปยังแม่น้ำโขงเพื่อลดระยะทาง แต่คลองโดยส่วนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำบาสักและแม่น้ำโขงเป็นคลองขนาดเล็กทัพเรือไม่สามารถผ่านได้ เนื่องจากในช่วงฤดูแล้งระดับน้ำตามคลองและแม่น้ำอยู่ในระดับต่ำ มีเพียงคลองหวั่มนาว (Vàm Nao) เท่านั้นซึ่งเป็นคลองขนาดใหญ่ทัพเรือสามารถผ่านได้ เจ้าพระยาบดินทรเดชามีคำสั่งให้ทัพฝ่ายเมืองเหนือ จำนวน 7,000 คน นำโดยเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) พระยาราชนิกูล (เสือ) พระยาสีหราชเดโช ให้ยกไปทางบาพนม[1]แทนที่เจ้าพระยาบดินทรเดชา ส่วนเจ้าพระยาบดินทรเดชาและเจ้าพระยาพระคลัง จึงรวมกำลังกันที่เมืองโจดก แล้วยกเป็นทัพเรือลงไปตามแม่น้ำบาสัก มุ่งหน้าสู่คลองวามนาว
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2376 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377) พระเจ้ามินมางมีราชโองการให้เหงียนซวน (Nguyễn Xuân) และ เจืองมิญสาง (Trương Minh Giảng)[2] ยกทัพฝ่ายเวียดนามเข้าไปในกัมพูชาเพื่อต้านทัพสยาม พระเจ้ามินมางทราบว่าฝ่ายไทยได้ยกมาทางกัมพูชาทางเดียว แต่ยกเข้าไปทางฝั่งลาวและเชียงขวาง ยกเข้าโจมตีหลายทิศทาง พระเจ้ามินมางดำริว่า การที่ฝ่ายไทยยกเข้าโจมตีหลายทิศทางนี้ เป็นไปเพื่อให้ฝ่ายเวียดนามเกิดความสับสน ต้องแบ่งกองกำลังออกไปตั้งรับหลายทาง
ยุทธนาวีที่คลองหวั่มนาว
[แก้]
ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2377 ทัพเรือสยามซึ่งนำโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกออกจากเมืองโจดกลงใต้ไปตามแม่น้ำบาสัก โดยให้เจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) เป็นทัพหน้ายกนำไป ทัพเรือสยามพบกับทัพบกญวนเมื่อเดือนสาม ที่ปากทางเข้าคลองหวั่มนาวจากแม่น้ำบาสักทางทิศใต้ (ฝ่ายญวนเรียกคลองหวั่มนาวว่า คลองถ่วนกั๋ง Thuận Cảng[2] พงศาวดารกัมพูชา เรียกว่า เปียมเงียว)[9] เมื่อวันขึ้น 12 ค่ำ เดือนสาม (21 มกราคม พศ. 2377)[13] นำไปสู่ยุทธนาวีที่คลองหวั่มนาว ทัพเรือญวนนำโดย"องทำตานดายท่าน" หรือ"องทำตาย" (เหงียนซวน ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็น Tham tán Đại thần) และ"องจันเบีย" (เลได่เกือง) รวมทั้งเจืองมิญสาง ทัพสยามเข้าโจมตียิงปืนใส่ทัพบกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้ทัพไทยขึ้นบก ตั้งค่ายสองฝากฝั่งคลอง โจมตีทัพเรือญวนที่อยู่กลางคลอง ทำให้ทัพญวนต้องล่าถอยไปยังปากคลองหวั่งนาวฝั่งเหนือทางออกแม่น้ำโขง
เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้กองกำลังส่วนหนึ่งนำโดยพระยาณรงค์ฤทธิโกษา และพระยาวิเศษสงคราม ไปป้องกันคลององเจือง (Ông Chướng) ไว้เพื่อไม่ให้ทัพเรือญวนอ้อมวนมาตีด้านหลัง พระยาวิเศษสงครามส่ง"บาทหลวงเป๋"ไปเกลี้ยงกล่อมชาวญวนเข้ารีตหรือชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ จำนวน 300 คน ให้มาเข้ากับฝ่ายสยาม[13]
เจ้าพระยาบดินทรเดชาส่งคนออกไปสืบข่าว ได้ความว่า องเตียนกุน (ต๊งเฟื้อกเลือง) ให้องทำตานดายท่าน (เหงียนซวน) กับองจันเบีย (เลได่เกือง) นำทัพฝ้ายเวียดนาม 3,000 คน มาเป็นแม่ทัพเข้าสู้กับสยามแทนตัวองเตียนกุนเอง เนื่องจากองเตียนกุนนั้น กำลังล้อมเมืองไซ่ง่อนสู้กับกบฏเลวันโคยอยู่[1] หลังจากที่ฝ่ายญวนล่าถอยไปตั้งที่ฝั่งทางออกแม่น้ำโขงแล้ว ได้ตั้งค่ายเอาเรือทอดขวางแม่น้ำโขงไว้ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงวางแผนโจมตีค่ายญวนทั้งทางบกและทางน้ำ ด่ายนามถึกหลุกระบุว่า ฝ่ายสยามทำแพจุดไฟให้ลอยไปติดกับเรือญวน[2] คอยขวางทัพเรือญวน พงศาวดารไทยระบุว่า ฝ่ายญวนก็ทำแพจุดไฟเผาลอยมาเช่นเดียวกัน แต่ทำไม่ถูก ไม่ไหม้เรือฝ่ายไทย "ปล่อยแพลงมาเหมือนอย่างลอยกะทงเล่น ก็ลอยเป็นทิวไปตามสายน้ำ ไม่ได้ถูกเรือแต่สักลำหนึ่ง"
เจ็ดวันหลังจากการสู้รบครั้งแรก ในวันอังคาร แรม 4 คำ เดือนสาม (28 มกราคม พ.ศ. 2376) เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯปรึกษากบเจ้าพระยาพระคลังว่า ฝ่ายญวนทั้งค่ายทำเป็นเรือขวางแม่น้ำไว้ ต้องโจมตีทั้งทางบกและทางน้ำพร้อมกัน จึงจะสามารถตีค่ายเรือญวนนี้แตกพ่ายไปได้ วันรุ่งขึ้น ในวันพุธแรม 5 ค่ำเดือนสาม (29 มกราคม พ.ศ. 2376)[13] เจ้าพระยาบดินทรเดชายกทัพพร้อมเจ้าพระยาพระคลังฯยกทัพเรือเข้าโจมตีค่ายญวนที่ปากคลองหวั่มนาวฝั่งเหนือ ด่ายนามถึกหลุกระบุว่า รบกันที่คลองโก๋โห๋ (Cổ Hỗ)[2] เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ให้พระยาอภัยโนฤทธิ์ (บุนนาค) นำกองเรือเป็นทัพหน้าเข้าโจมตีฝ่ายญวน แต่กองเรือที่ตามหลังพระยาอภัยโนฤทธิ์เกิดความเกรงกลัวศัตรูไม่ยอมถอนสมอขึ้น[13]เพื่อแล่นเรือไปสู้กับญวน พระยาอภัยโนฤทธิ์เห็นว่าไม่มีกองเรือตามมาจึงถอยกลับ แม้ว่าเจ้าพระยาพระคลังจะลงเรือป่าวประกาศให้ทัพเรือถอนสมอขึ้นไปรบ แต่แม่ทัพนายกองเรือทั้งหลายอาทิเช่นเจ้าพระยาพลเทพ พระยาราชวังสัน พระยาเพชรบุรี ฯลฯ กลับไม่ยอมถอนสมอเรือ
ฝ่ายเวียดนามเมื่อเห็นว่าทัพเรือสยามไม่เข้ามาสู้จึงถ่ายโอนกำลังให้ทัพบกไปสู้กับเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ นายกองญวน ชื่อว่า ฝั่มหิวเติม (Phạm Hữu Tâm)[2] เป็นผู้นำกองกำลังญวนเข้าสู้กับฝ่ายไทย ทำให้ทัพสยามของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเหลือเกินกำลังสู้รบจำต้องล่าถอย เอกสารฝ่ายเวียดนามระบุว่า รบกันตั้งแต่ตีสามจนถึงสิบโมงเช้า เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเห็นว่านายกองฝ่ายสยามมีความขลาดต้องนำตัวไปประหารชีวิต เจ้าพระยาพระคลังฯแย้งว่าแม่ทัพนายกองเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ใหญ่พระยาพานทอง[13]ประหารไม่ได้ หลังจากการสู้รบสองวัน ในวันแรม 7 ค่ำ เดือนสาม (31 มกราคม พ.ศ. 2377)[13] เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงถอยทัพสยามกลับไปที่เมืองโจดก โดยให้ทัพบกค่อยๆลงเรือเล็กกลับไปเมืองโจดกโดยมีทัพเรือคอยหนุนป้องกัน
สยามถอยจากเวียดนามและกัมพูชา
[แก้]เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และแม่ทัพนายกองฝ่ายไทย ถอยกลับมาตั้งอยู่ที่เมืองโจดก อีกสามวันต่อมา ในวันแรม 10 ค่ำ เดือนสาม (3 กุมภาพันธ์)[13] พ.ศ. 2376 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377) ฝ่ายญวนยกทัพเรือตามแม่น้ำบาสัก ยกมาทอดสมออยู่ใกล้กับเมืองโจดก แล้วทัพเรือเวียดนามจึงเข้าโจมตีเมืองโจดก ในวันรุ่งขึ้น วันแรม 11 ค่ำ (4 กุมภาพันธ์) เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้ยิงปืนใส่ทัพญวนที่ขึ้นบกมาทำให้ทหารญวนล้มตายที่ริมตลิ่งจำนวนมาก
เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ลำเลียงทัพเรือกลับไปยังเมืองบันทายมาศ ให้นายควาญช้างนำช้างมาจาเมืองกำปอต แต่ชาวกัมพูชานั้นได้ลุกฮือขึ้นสังหารควาญช้างแล้วนำเอาช้างไปหมด เมื่อเจ้าพระยาพระคลัง ไปอยู่ที่เมืองเปียมบันทายมาศห่าเตียนแล้วนั้น ในวันแรมสิบสามค่ำ (6 กุมภาพันธ์) ทัพเรือญวนมาโจมตีเมืองโจดกอีกครั้งแม้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจะต้านทานญวนได้แต่ก็เห็นว่าไม่อาจรักษาเมืองโจดกได้ จึงให้อุดชนวนปืนใหญ่ของญวนในเมืองโจดก ทิ้งลงน้ำทั้งหมด แล้วถอนทัพสยามออกจากเมืองโจดกไปยังเมืองเมืองเชิงกรรชุม หรือเมืองตรัง (Treang) เขตไพรกะบาท[9] (Prey Kabbas) ในกัมพูชา และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) กวาดต้อนชาวเมืองบันทายมาศ เมืองกำปอด และเมืองกำปงโสม รวมทั้งชาวญวนเข้ารีต ถอยออกจากเมืองบันทายมาศไปตั้งที่จันทบุรี ชาวเวียดนามเข้ารีตคริสเตียน ได้อพยพตามเจ้าพระยาพระคลังฯไปทั้งสิ้น[1]
เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ถอยมาถึงที่เมืองเชิงกรรชุม หรือเมืองตรังแล้วนั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงทราบข่าวว่า ชาวกัมพูชานั้นได้ลุกฮือขึ้นต่อ้ตายทัพไทยสยามทุกหกแห่ง ชาวกัมพูชารวมกลุ่มกันเป็นกองโจร คอยเข้าโจมตีทัพฝ่ายไทยที่กำลังล่าถอย สังหารฝ่ายไทยที่คอยรักษาเมืองในกัมพูชา เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงมีคำสั่งไปยังนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง พระยาอภัยภูเบศร์ (เชด) ที่รักษาการอยู่เมืองบันทายแล้วพนมเปญ ให้ทำลายเมืองบันทายแก้วรื้อกำแพงเมืองลง แล้วกวาดต้อนชาวกัมพูชา ชาวจีน และชาวจาม ที่เมืองพนมเปญ ไปที่เมืองพระตะบอง เมืองบันทายแก้ว ซึ่งองต๋ากุนเลวันเสวียต ได้สร้างไว้ให้เป็นราชธานีของนักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา เมื่อพ.ศ. 2356 จึงถูกเผาทำลายลงในครั้งนี้ เมื่อฝ่ายไทยกวาดต้อนชาวเมืองพนมเปญ ออกมาถึงกำปงหลวง ชาวเมืองพนมเปญได้ลุกฮือขึ้น ไม่ยอมถูกกวาดต้อนไปกับฝ่ายไทย[1] แล้วนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และพระยาอภัยภูเบศร์ จึงถอยมาอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวกัมพูชา ตลอดสองฝั่งแม่น้ำทะเลสาบเขมรไปด้วย[9]
เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มีความโกรธเคืองต่อชาวกัมพูชา ที่ฉวยโอกาสที่ทัพฝ่ายไทยกำลังถอยร่น ลุกฮือขึ้นเป็นกองโจรเข้าโจมตีฝ่ายไทย พงศาวดารไทยระบุว่า "เจ้าพระยาบดินทรเดชาโกรธก็ให้หยุดพักกองทัพลงไว้ เที่ยวค้นป่าได้ครอบครัวเขมรก็คลอกเสียสิ้น"[1] เอกสารเรื่องราพกษัตริย์แผ่นดินอุไทยราชาองค์จันท์ (Raba Ksatr Pheanday Udai Raja Eng Chant)[14] ที่เขียนขึ้นในพ.ศ. 2398 โดยพระภิกษุกัมพูชาชื่อเพชร (Pich)[14] ระบุว่า กองทัพไทยเผาทำลายพระราชวังของกษัตริย์กัมพูชา เผาทำลายบ้านเรือนของราษฎรกัมพูชาในเมืองบันทายแก้วพนมเปญ ทหารสยามต่างปล้นสะดมจากชาวเมืองพนมเปญ[15] เมืองพนมเปญตกอยู่ในภาวะสับสนวุ่นวาย แล้วทัพสยามจึงกวาดต้อนชาวเมืองพนมเปญ ทั้งชาวเขมรและชาวจีน จำนวน 2,000[15] กว่าครอบครัว พร้อมทั้งลูกเด็กเล็กแดง เมื่อเดินทางถึงที่เมืองอุดงหรือกำปงหลวง ชาวเมืองพนมเปญประมาณหนึ่งในสี่ส่วน ลุกฮือขึ้นไม่ยอมถูกกวาดต้อนไปกับฝ่ายไทย หลบหนีเข้าป่าไป และ"บุตร"ของเจ้าพระยาบดินทรเดชานั้น ได้ยกทัพไทยไปติดตามเขมรที่ต่อต้าน ไปจนถึงเมืองสำโรงทอง (Samroang Tong) ทางตะวันตกของเมืองพนมเปญ บุตรของเจ้าพระยาบดินทรเดชา ได้สังหารและกวาดต้อนชายชาวเมืองสำโรงทองทั้งหมด จำนวนประมาณหนึ่งพันคนกลับไป[15] เหลือไว้แต่เพียงแต่สตรี
ส่วนเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯนั้น ได้ให้กวาดต้อนชาวกัมพูชาเมืองเชิงกรรชุม จำนวน 2,069 คน[13] พร้อมทั้งพระยาพิษณุโลก ขุนนางกัมพูชาเจ้าเมืองเชิงกรรชุม ในวันขึ้น 8 ค่ำเดือนสี่ (15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2376 อย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377) กลับมาที่เมืองโพธิสัตว์เช่นกัน
การรบที่สโมง
[แก้]ฝ่ายพระยาจักรี (หลง) ขุนนางกัมพูชา ที่ได้พ่ายแพ้ไปจากทัพไทยในตอนแรก หลบหนีไปยังเมืองบาพนม ได้พบกับพระยายมราช (โห้) แม่ทัพกัมพูชาอีกคนหนึ่ง ที่บ้านมริจ พระยายมราช (โห้) กำลังเกณฑ์ราษฎรกัมพูชา ในเขตเมืองบาพนม เขตเมืองตะโบงคมุม และเขตเมืองลำดวน ตั้งกองเพื่อขึ้นมาสู้กับทัพไทย ได้กำลัง 1,000 คน แล้วพระยาจักรี (หลง) และพระยายมราช (โห้) จึงนำทัพกัมพูชานี้ ไปซุ่มซ่อนอยู่ที่ตำบลบ้านสโมง[9] (Smaong) เขตเมืองไพรแวง เพื่อคอยโจมตีทัพไทยแบบกองโจร
ฝ่ายเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) พระยาราชนิกูล (เสือ) พระยาจ่าแสนยบดี ยกกำลัง 5,000 คน ไปทางเมืองบาพนมทางบก ยกข้ามแม่น้ำโขง เพื่อเข้าโจมตีเมืองไซ่ง่อน ถึงเขตเมืองไพรแวง ซึ่งพระยาจักรีหลง และพระยายมราชโห้ แม่ทัพฝ่ายกัมพูชา ได้ซุ่มกำลังไว้อยู่ ฝ่ายกัมพูชาจึงเข้าซุ่มโจมตี[9] ดังตราตอบเจ้าพระยาบดินทรเดชา เรื่องถอยทัพจากเมืองโจดกมาตั้งอยู่เมืองเชิงกรรชุม;
พระยาราชเสนากุเชนทรกองหน้า พระยาจ่าแสนบดี ได้รบพุ่งกันกับเขมร แล้วว่าพระยาราชนิกูลถอยมาตั้งอยู่บ้านโขมง พระยาจักรี พระยายมราช จะมาตีทัพพระยาราชนิกูล พระยาจ่าแสนบดี กับว่าเขมรออกสกัดตีพวกกองทัพไทยเป็นหลายตำบล
เหตุการณ์การซุ่มโจมตีที่สโมงนี้ ทำให้เจ้าพระยานครราชสีมา พระยาราชนิกูล และพระยาจ่าแสนยบดีทราบว่า ทัพหลักของเจ้าพระยาบดินทรเดชาและเจ้าพระยาพระคลังนั้น ได้ล่าถอยกลับแล้ว ชาวกัมพูชาจึงลุกฮือขึ้นโจมตีฝ่ายไทย เจ้าพระยานครราชสีมา และพระยาราชนิกูล จึงถอยทัพกลับมา ไปยังบ้านคูรี ทางข้ามแม่น้ำโขง พบว่า เรือที่ได้เคยใช้ข้ามแม่น้ำโขงนั้น สูญหายไปหมดสิ้นแล้ว ทำให้ทัพฝ่ายไทยไม่สามารถข้ามแม่น้ำโขงกลับไปได้ ฝ่ายไทยจึงรื้อบ้านเรือนไม้ของชาวกัมพูชาที่ทิ้งร้างอยู่นั้น[9] พระยาพิไชยสงคราม (เพ็ชร์)[1] ให้นำมาทำเป็นทุ่นแพลอยน้ำ ทำเป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงได้สำเร็จที่ระกาโกง[9] (Roka Kaong)
เมื่อทำสะพานข้ามแม่น้ำโขงได้แล้ว ทัพของเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) พระยาราชนิกูล (เสือ) และพระยาจ่าแสนยบดี จึงข้ามแม่น้ำโขงกลับมาได้สำเร็จ แต่พระยานครสวรรค์ มีความขัดแย้งกับเจ้าพระยานครราชสีมา จึงไม่ช่วยทำสะพานแพ และแยกกำลังพลจำนวน 1,000 คน เดินทางเลียบแม่น้ำโขงขึ้นไปทางเมืองลาวล้านช้าง แต่ถูกฝ่ายกัมพูชาและเวียดนามยกติดตามไปจนพบ ถูกฝ่ายกัมพูชาสังหารจนสิ้น[1] เจ้าพระยานครราชสีมา และพระยาราชนิกูล เมื่อข้ามแม่น้ำโขงได้แล้ว จึงถอยมาทางเมืองกำปงสวาย
ฝ่ายพระเจ้าเวียดนามมินมาง ซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่ที่เมืองเว้ เมื่อทราบว่าแม่ทัพกัมพูชาสองคน คือ พระยาจักรี (หลง) และพระยายมราช (โห้) ได้ช่วยฝ่ายเวียดนาม เข้าโจมตีฝ่ายสยามจนแตกพ่ายไป พระเจ้ามินมางมีความยินดีมาก[2]
เวียดนามรุกไล่ติดตาม
[แก้]ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2376 นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2377 แม่ทัพญวนที่กัมพูชา ได้แก่ เหงียนซวน เจืองมิญสาง และเลได่เกือง ทำฎีกาทูลพระเจ้ามินมาง เสนอนโยบายเกี่ยวกับการเสริมกำลังการป้องกันที่เมืองนามวัง (พนมเปญ) จังหวัดอานซาง และจังหวัดห่าเตียน ได้ข้อสรุปหกประการ ได้แก่;[2]
- ต้องมีการสร้างป้อมปราการ ที่กัมพูชา อานซาง (โจดก) และห่าเตียน ไว้ป้องกันการโจมตีจากสยาม
- ต้องมีการเสริมกำลังพลให้มากขึ้นที่กัมพูชา อานซาง และห่าเตียน
- ต้องมีการจัดเตรียมเสบียงและอาวุธไว้ตามป้อมค่ายต่างๆไว้ล่วงหน้า
- ต้องแยกแยะขุนนางกัมพูชา มีทั้งฝ่ายที่เข้าข้างญวน และฝ่ายที่เข้าข้างสยาม
- ควรห้ามไม่ให้กัมพูชาติดต่อกับสยามอีก
- ต้องปรับปรุงการทหารของกัมพูชา ให้เตรียมพร้อมรับการโจมตีจากสยาม
ในเดือนมีนาคม เหงียนซวน และเจืองมิญสาง รายงานไปยังพระเจ้ามินมาง ว่า "พระยาจักรี" (Phi Nhã Chất Tri หมายถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชา) ได้ถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ ตั้งค่ายขึ้นสามค่ายอยู่ริมแม่น้ำทั้งสองด้าน พระเจ้ามินมางมีดำริว่า เมืองโพธิสัตว์นั้นติดต่อกับเมืองพระตะบองของสยาม และเมืองกำปงสวายนั้นติดต่อกับเมืองเสียมราฐของสยาม พระเจ้ามินมางจึงมีราชโองการให้เหงียนซวน และเจืองมิญสาง ยกติดตามยึดเมืองโพธิสัตว์ และเมืองกำปงสวาย เพื่อที่ฝ่ายเวียดนามจะสามารถป้องกันกัมพูชาได้อย่างเต็มที่[2]
แม่ทัพญวนองทุงแบะ (เหงียน ซวน) และองจัญบีญี (เจืองมิญสาง) ยกจากเมืองโจดกขึ้นมาถึงเมืองพนมเปญ แล้วแยกย้ายกันรุกไล่ติดตามทัพไทย;[9]
- องทุงแบะ (เหงียน ซวน) ยกไปทางแม่น้ำโขง ไปทางเมืองกระแจะ เมืองเชียงแตง
- องจัญบีญี (เจืองมิญสาง) ยกไปทางเมืองโพธิสัตว์ เมืองพระตะบอง
- พระยาจักรี (หลง) แม่ทัพกัมพูชา ยกไปทางเมืองกำปงสวาย
ในเดือนห้า (มีนาคม) พ.ศ. 2377 พระเจ้าเวียดนามมินมาง มีราชโองการให้องจันเบีย[1]หรือองลัญบิญ[9] (เลได่เกือง) นำกองกำลังญวนจำนวน 1,000 คน แห่นำสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จัน ที่ได้เสด็จไปลี้ภัยอยู่ที่เมืองล่องโห้ พร้อมทั้งพระราชวงศ์กัมพูชา เสด็จนิวัติกลับคืนสูเมืองพนมเปญ เมื่อพระอุไทยราชานักองค์จัน ทอดพระเนตรเห็นสภาพเมืองบันทายแก้วพนมเปญ ราชธานีที่ประทับเป็นเวลายี่สิบปี ถูกฝ่ายไทยเผาทำลายลงมอดไหม้เป็นจุน จึงร้องไห้กันแสงด้วยความโศกเศร้า[7] แล้วนักองค์จันให้สร้างพระราชวังที่ประทับชั่วคราวขึ้น ที่โพธิ์พระบาท[9] ฝั่งตรงข้ามเมืองพนมเปญ
ด่ายนามถึกหลุกระบุว่า พระยาจักรี (เจ้าพระยาบดินทรเดชา) ถึงแม้ว่าจะถอยไปตั้งอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ แต่ยังส่งกองกำลังสยามออกมาสู้รบอยู่ และด่ายนามถึกหลุกยังระบุอีกว่า ฝ่ายญวนเวียดนามสามารถเอาชนะทัพสยามได้อีกครั้ง ที่กาลัง (Ca Lăng)[2] ระหว่างที่ตั้งอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์นั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชาทราบว่า นักองค์จันก่อนที่จะหนีไปเมืองญวนได้ปล่อยช้างสีประหลาดออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชาให้ชาวกัมพูชาไปตามหาตัวจนพบ ที่แขวงเมืองพระตะบอง จึงจับส่งเข้าไปถวายที่กรุงเทพฯ ขึ้นระวางเป็น"พระยามงคลหัศดิน คชินทรสีก้านสัตตบุษย์ กัมพุชพ่ายแพ้ภินิหาร สู่สมภารสมโพธิ อโยทธยาพาหนะนารถ วรวิลาศเลิศฟ้า"[1]
ฝ่ายทัพของเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) และพระยาราชนิกูล (เสือ) นั้น เมื่อข้ามแม่น้ำโขงมาแล้ว กองกำลังเขมรญวน นำโดยพระยาจักรี (หลง) ได้ยกติดตามไปถึงเมืองกำปงสวาย ได้สู้รบกัน แต่สามารถเอาชนะได้ เจ้าพระยาบดินทรเดชาติดตามค้นหาข่าวคราวของทัพหัวเมืองเหนือ ที่ได้ยกไปทางเมืองบาพนม ได้ทราบว่าเจ้าพระยานครราชสีมาได้ถอยมาอยู่ที่เมืองพนมศก (Phnom Srok) ใก้ลกับเมืองพระตะบองแล้ว ส่วนพระยาราชนิกูล พระยาจ่าแสนยบดี และพระยาพิไชยสงคราม อยู่ที่บ้านอินกุมาร แขวงเมืองกำปงสวาย
เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯตั้งมั่นอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ จนกระทั่งเสบียงอาหารขัดสน จึงตัดสินใจถอยจากเมืองโพธิสัตว์ มาอยู่ที่เมืองพระตะบองในที่สุด เจ้าพระยาบดินทรเชา มีคำสั่งให้เจ้าพระยานครราชสีมาและพระยาราชนิกูล กวาดต้อนชาวกัมพูชาในเขตเมืองกำพงสวายและเมืองสะโทง กลับไปไว้ที่เมืองนครราชสีมา เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะ[13]
สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์ประทับอยู่ที่โพธิ์พระบาท ในเวลานั้นเจ้าฟ้าทะละหะ (สวด) ล้มป่วยถึงแก่กรรม พระอุไทยราชาทรงปูนบำเหน็จขุนนางกัมพูชาที่มีความชอบได้แก่[12]
- พระยาจักรี (หลง) ให้เป็นเจ้าฟ้าทะละหะ
- พระยายมราช (โห้) ให้เป็นสมเด็จเจ้าพระยา
บทวิเคราะห์
[แก้]สาเหตุที่ทำให้ทัพฝ่ายไทยปราชัยในสงครามอานามสยามยุทธ พ.ศ. 2376 นี้ ได้แก่;
- ทัพไทยยกทัพออกไปทำศึกในดินแดนที่ห่างไกลและไม่คุ้นเคย มีข้อจำกัดทางด้านเสบียงอาหาร[7] ซึ่งทัพไทยต้องปราชัยทุกครั้งเมื่อยกทัพลงไปที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ได้แก่;
- เมื่อครั้งที่เจ้าพระยาจักรี (หมุด) ยกทัพติดตามนักองค์ตนลงไปถึงเมืองโจดก ในพ.ศ. 2314 สมัยธนบุรี (สงครามสยาม-เวียดนาม พ.ศ. 2314)
- เมื่อครั้งที่กรมหลวงเทพหริรักษ์เสด็จยกทัพลงไปตีเมืองไซ่ง่อน นำไปสู่ยุทธการสักเกิ่ม-สว่ายมุ๊ต ในพ.ศ. 2328 สมัยรัชกาลที่ 1
- ในครั้งนี้ พ.ศ. 2376 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกทัพจากเมืองโจดกไปสู้รับกับทัพญวนที่คลองวามนาว
- ในครั้งต่อไป พ.ศ. 2385 เมื่อเจ้าพระยายมราช (บุนนาค ยมนาค) พร้อมทั้งนักองค์ด้วง ยกทัพลงไปถึงเมืองโจดก
- ฝ่ายญวนเวียดนามราชวงศ์เหงียน พระเจ้ามินมาง และแม่ทัพญวนองเตียนกุน ต๊งเฟื๊อกเลือง สามารถปราบกบฏเลวันโคย ตามเมืองต่างๆในเวียดนามใต้ได้แก่ เมืองสมิถ่อ เมืองล่องโห้ เมืองโจดก และเมืองห่าเตียน ได้เรียบร้อย ก่อนที่ทัพไทยจะยกลงมาถึงเวียดนามภาคใต้[7] ทำให้ฝ่ายกบฏเลวันโคย ถอยร่นไปตั้งอยู่แต่ที่เมืองไซ่ง่อนเพียงแห่งเดียว ทำให้ฝ่ายราชวงศ์เหงียน สามารถมุ่งไปที่การโจมตีเมืองไซ่ง่อน และสามารถแบ่งกำลังออกมารับทัพไทยได้[7]
- ทัศนคติที่ไม่แน่นอนของชาวกัมพูชา: กัมพูชาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม ตั้งแต่พ.ศ. 2356 ถึงแม้ว่าจะมีการลุกฮือต่อต้านเวียดนามอยู่บางครั้ง แต่โดยรวมแล้วกัมพูชานั้นสงบราบคาบอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพเข้ากัมพูชานั้น สามารถเคลื่อนทัพผ่านกัมพูชาได้อย่างง่ายดายปราศจากการต่อต้าน เนื่องจากกัมพูชายังไม่สามารถรวบรวมไพร่พลมาต่อสู้กับทัพไทยได้ แต่เมื่อทัพฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำแล้ว พระยาเขมรและชาวกัมพูชา จึงรวมกันเป็นกองโจร เข้าโจมตีซ้ำเติมทัพไทยที่กำลังล่าถอย เจ้าพระยาบดินทรเดชาได้ให้เจ้าชายกัมพูชานักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง ตั้งเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชาอยู่ที่เมืองพนมเปญแต่ไม่เป็นผล[16] ชาวกัมพูชาโดยส่วนใหญ่ยังภักดีต่อนักองค์จันและฝ่ายเวียดนาม
- ปัญหาด้านการข่าวของทัพไทยในกัมพูชา:[7] เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชามีคำสั่งให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) และพระยาราชนิกูล (เสือ) แบ่งกองกำลังยกไปทางบกไปทางเมืองบาพนม เมื่อทัพหลักของเจ้าพระยาบดินทรเดชาถอยร่นหลังจากการรบที่คลองวามนาวแล้ว เจ้าพระยานครราชสีมา และพระยาราชนิกูล ยังไม่ทราบข่าวว่าทัพไทยหลักได้แตกพ่ายถอยร่นแล้ว จนนำไปสู่การที่ทัพของเจ้าพระยาราชนิกูลถูกซุ่มโจมตีที่สโมง เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาถอยกลับมาอยู่ที่โพธิสัตว์แล้ว ต้องใช้ความพยายามในการค้นหาว่า ทัพของเจ้าพระยานครราชสีมา และพระยาราชนิกูลนั้น ตกไปอยู่ที่ใดในกัมพูชา[13] เปรียบเทียบกับฝ่ายญวนเวียดนาม พระเจ้ามินมางถึงแม้ว่าจะประทับอยู่ที่เมืองเว้ แต่ทราบถึงความเคลื่อนไหวของแม่ทัพญวนและของฝ่ายไทยอย่างรวดเร็วละเอียดและใกล้ชิด ฝ่ายเวียดนามมีการสื่อสารรายงานขึ้นไปถึงเมืองเว้ได้อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์สืบเนื่อง
[แก้]เวียดนามผนวกกัมพูชาเป็นมณฑลเจิ๊นเตย
[แก้]ในกลางปีพ.ศ. 2377 เจืองมิญสางทูลเสนอพระเจ้ามินมางให้ผนวกกัมพูชาเข้าปกครองโดยตรง เพื่อรักษาความมั่งคงและเสถียรภาพ ป้องกันการโจมตีจากไทย สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จัน กษัตริย์กัมพูชา ถึงแก่พิราลัยเมื่อเดือนยี่ (มกราคม) พ.ศ. 2377[9] นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2378 นักองค์จันไม่มีโอรส มีแต่ธิดาสี่องค์ได้แก่ นักองค์แบน (ธิดาองค์โต นักองค์แบน เป็นหลานของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์แบน) นักองค์มี นักองค์เภา และนักองค์สงวน ประสูติแต่นักพระสนมต่างๆกัน ในขณะที่อนุชาของนักองค์จัน คือ นักองค์อิ่ม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดฯแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง และนักองค์ด้วงทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองมงคลบุรี ฝ่ายญวนเวียดนามเจืองมิญสาง ให้สร้างเมืองขึ้นใหม่ที่พนมเปญ เรียกว่า เมืองเจิ๊นเตย (Trấn Tây Thành, 鎮西城) ขึ้นมาแทนที่เมืองบันทายแก้ว ที่ถูกฝ่ายไทยเผาทำลายลงไป และเพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองของเวียดนามในกัมพูชา

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2378 พระเจ้าเวียดนามมินมาง พร้อมทั้งขุนนางพระยาเขมร พร้อมกันยกให้ ธิดาองค์รองของนักองค์จัน คือ นักองค์มี ขึ้นเป็นกษัตรีพระนางเจ้าแห่งกัมพูชา เป็นกษัตริย์สตรีพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์กัมพูชา ธิดาองค์โตของนักองค์จัน คือ เจ้าหญิงนักองค์แบน ไม่ได้รับเลือกให้ขึ้นครองกัมพูชา เนื่องจากนักองค์แบนนั้นมีสายสัมพันธ์ที่เน้นแฟ้นกับฝ่ายไทย[7] ต่อในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2378 พระเจ้ามินมางจัดตั้งการปกครองเมืองเจิ๊นเตยขึ้นเพื่อปกครองกัมพูชา พระเจ้ามินมางแต่งตั้งให้เจืองมิญสางเป็นเตื๊องเกวิน (Tướng quân, 將軍) หรือ"องเตียนกุน" เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระเจ้ามินมางในกัมพูชา มีอำนาจสูงสุด และแต่งตั้งให้เลได่เกืองเป็นทามต๊านได่เถิ่น (Tham tán Đại thần, 參贊大臣) เป็นที่ปรึกษาหรือปลัดเมืองเจิ๊นเตย จัดตั้งกรมการเมืองเจิ๊นเตยแต่งตั้งขุนนางข้าราชการเวียดนามเข้าปกครองกัมพูชาขึ้นมีอำนาจเหนือขุนนางออกญาพระเขมรทั้งปวง
เมื่อฝ่ายญวนเวียดนามสามารถต้านทานทัพไทยและสถาปนาอำนาจในกัมพูชาได้อย่างมั่งคงแล้ว ฝ่ายราชวงศ์เหงียนจึงสามารถปราบกบฏเลวันโคยลงได้อย่างราบคาบ ในขณะนั้น กบฏเลวันโคยถูกจำกัดอยู่แต่เพียงในเมืองไซ่ง่อน ซึ่งทัพฝ่ายราชวงศ์เหงียนได้ตั้งล้อมไว้เป็นเวลาสองปี เลวันโคยล้มป่วยสิ้นชีวิตที่ไซ่ง่อนในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2377 ทำให้กำลังฝ่ายกบฏเสื่อมถอยลง เหงียนซวน สามารถนำทัพฝ่ายราชวงศ์เหงียน เข้ายึดเมืองไซ่ง่อนคืนจากกบฏได้สำเร็จในเดือนกันยายน พ.ศ. 2378 พรรคพวกกบฏถูกจับกุมนำตัวไปประหารชีวิตที่เมืองเว้อย่างโหดเหี้ยม สุสานของเลวันเสวียตที่เมืองไซ่ง่อนถูกทุบทำลายและถมให้ราบ เหงียนซวน แม่ทัพที่มีความชอบทั้งเอาชนะทัพไทยและเอาชนะกบฏเลวันโคย ถึงแก่กรรมในปลายปีพ.ศ. 2378 ทำให้เหลือเพียงเจืองมิญสาง เป็นขุนนางที่มีความชอบอยู่ในกัมพูชา ในพ.ศ. 2379 พระเจ้ามินมางแต่งตั้งให้เจืองมิญสางควบตำแหน่งเจ้าเมืองโจดกอีกหนึ่งตำแหน่ง[2] ปกครองจังหวัดอานซางและจังหวัดห่าเตียน ทำให้องเตียนกุนเจืองมิญสางมีอำนาจล้นเหลือในกัมพูชาและเวียดนามภาคใต้
พระเจ้ามินมางมีนโยบายกลืนกัมพูชาให้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเวียดนาม[7][16] ทั้งในทางการปกครองและในด้านวัฒนธรรม กรมการเมืองเจิ๊นเตยนำระบบราชการแบบขงจื้อจีน-เวียดนาม เข้ามาใช้ในกัมพูชา แต่งตั้งขุนนางพระยาเขมรให้มีตำแหน่งต่างๆแบบเวียดนาม องเตียนกุนเจืองมิญสางให้ขุนนางกัมพูชาแต่งกายชุดข้าราชการเวียดนามโพกศีรษะอย่างเวียดนาม และให้ราษฎรกัมพูชาปรับเปลี่ยนมาสู่วัฒนธรรมเวียดนาม ในด้านธรรมเนียมพิธีการ การแต่งกาย และส่งเสริมให้พูดภาษาเวียดนาม ทำให้อัตลักษณ์วัฒนธรรมกัมพูชาตกอยู่ในภาวะอันตราย นอกจากนี้ กรมการเมืองเจิ๊นเตยยังพยายามที่จะพัฒนาสาธารณูปโภคและการผลิตทางการเกษตรในกัมพูชา ชาวกัมพูชาถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานในการสร้างถนนและการเพาะปลูก ได้รับความลำบากและความทุกข์[7][16]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 2.16 2.17 2.18 2.19 Quốc Triều Chánh Biên Toát Yếu 國朝正編撮要. Quốc Sử Quán Triều Nguyễn, พ.ศ. ๒๔๕๑.
- ↑ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖: จดหมายเหตุรายวันทัพสมัยกรุงธนบุรี คราวปราบเมืองพุทไธมาศและเขมร และจุลยุทธการวงศ์
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 หนังสือราชพงษาวดารเขมร. พิมพ์คราวที่ 2. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์วัชรินทร์บริษัท, พ.ศ. 2445.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 K. W. Taylor. A History of the Vietnamese. Cambridge University Press, พ.ศ. ๒๕๕๖.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
- ↑ 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 7.11 7.12 7.13 Bun Srun Theam. CAMBODIA IN THE MID-NINETEENTH CENTURY:A QUEST FOR SURVIVAL, 1840-1863.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 8.8 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พระราชพงษาวดาร กรุงรัตนโกสินทร รัชกาลที่ ๒. ฉบับพิมพ์ครั้งแรก ปีมโรงอัฐศก พ.ศ. ๒๔๕๙; พิมพ์ที่โรงพิมพ์ไทย ณสพานยศเส
- ↑ 9.00 9.01 9.02 9.03 9.04 9.05 9.06 9.07 9.08 9.09 9.10 9.11 9.12 9.13 9.14 9.15 9.16 9.17 9.18 9.19 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. จางวางตรี พระยาไกรเพ็ชรรัตนสงคราม สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ พิมพ์แจก ในงานศพ พระตำรวจตรี พระยากำแหงรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจ ผู้บิด พ.ศ. ๒๔๖๐.
- ↑ Ramsay, Jacob (2008). Mandarins and Martyrs: The Church and the Nguyen Dynasty in Early Nineteenth-Century Vietnam. Stanford University Press.
- ↑ 11.0 11.1 11.2 ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๔๒: จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓.
- ↑ 12.0 12.1 ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. จางวางตรี พระยาไกรเพ็ชรรัตนสงคราม สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ พิมพ์แจก ในงานศพ พระตำรวจตรี พระยากำแหงรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจ ผู้บิด พ.ศ. ๒๔๖๐.
- ↑ 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.
- ↑ 14.0 14.1 Theara Thun. Epistemology of the Past: Texts, History, and Intellectuals of Cambodia, 1855–1970. University of Hawaii Press, พ.ศ. ๒๕๖๗.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 A. Dirk Moses. Empire, Colony, Genocide, Conquest, Occupation, and Subaltern Resistance in World History. Berghahn Books, พ.ศ. ๒๕๕๑.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 David Chandler. A History of Cambodia. Taylor & Francis, พ.ศ. ๒๕๖๑.