เซเลีย โฮวาร์ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เซเลีย โฮวาร์ด
พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช และหม่อมชลิตา
เกิดราว พ.ศ. 2466 (ราว 101 ปี)
ชากาบูโก รัฐบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
ชื่ออื่นหม่อมชลิตา ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา
คู่สมรสพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช (พ.ศ. 2494–2499)
บุตรหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์

เซเลีย เอสเธอร์ โฮวาร์ด (อักษรโรมัน: Celia Esther Howard) ชื่อเล่นภาษาสเปนว่า เชลิตา (สเปน: Chelita)[1][2] หรือรู้จักในนาม หม่อมชลิตา ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา เป็นหม่อมคนที่สองในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช[3] ซึ่งสมรสกันในปี พ.ศ. 2494 ก่อนที่จะหย่ากันในปี พ.ศ. 2499[4]

ประวัติ[แก้]

ประวัติตอนต้น[แก้]

เซเลียเกิดในราวปี พ.ศ. 2466 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา[ต้องการอ้างอิง] เดิมอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 178 เมืองชากาบูโก รัฐบัวโนสไอเรส อาศัยร่วมกันกับพี่น้องเป็นชายและหญิงอย่างละคน มารดาเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุได้สิบปี หลังจากนั้นยายจึงเข้ามาเลี้ยงดูและส่งเธอไปเรียนที่พิตแมน (Pitman) เซเลียสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญาด้านการบัญชี ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี และประกอบกิจเป็นพนักงานพิมพ์ดีด[2]

เซเลียพบกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชครั้งแรกในการแข่งขันที่ประเทศอาร์เจนตินา ขณะนั้นพระองค์พีระมีหม่อมอยู่แล้วหนึ่งคนคือหม่อมซิริล ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ทั้งสองสมรสกันมากว่า 11 ปีแล้ว แต่ด้วยความที่พระองค์พีระทรงโด่งดัง บุคลิกดี สามารถตรัสได้คล่องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และใช้พระชนม์ชีพอย่างเศรษฐี ทำให้สตรีมาหลงใหล หม่อมซิริลจึงตัดสินใจแยกกันอยู่ ทำให้ทั้งสองห่างกัน ในการแข่งครั้งนั้น พระองค์พีระมีพระสหายชาวอาร์เจนตินาชื่อ เฟร์นันโด เซกูรา (Fernando Segura) ที่สนิทสนมกันตั้งแต่ประทับอยู่ยุโรป ได้พาพระองค์ไปพบกับ "สตรีที่งามที่สุดในบัวโนสไอเรส" คือเซเลียซึ่งเป็นสหายนายเซกูรา[2] เซเลียซึ่งมีรูปลักษณ์สวยงาม ได้คอยปรนนิบัติรับใช้พระองค์พีระขณะที่ทรงได้รับบาดเจ็บจากการแข่งรถ พระองค์พีระทรงตกหลุมรักเซเลียตั้งแต่แรกพบ[2] และพาเซเลียกลับอังกฤษด้วยกัน ประทับอยู่กับเธอและไม่ได้กลับไปหาหม่อมซิริล หม่อมซิริลจึงตัดสินใจหย่าขาดจากพระองค์พีระตามกฎหมายใน พ.ศ. 2493 ทั้งที่ทั้งสองยังรักกัน แต่พระองค์พีระก็ไม่ทรงคิดที่จะสละเซเลียไปได้ พระองค์พีระและหม่อมซิริลจึงคงเหลือไว้แต่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น[4] แต่ช่วงแรก ๆ นั้น เซเลียหึงหวงพระองค์พีระ จากกรณีที่หม่อมซิริลส่งการ์ดวันเกิดให้กับพระองค์พีระใน พ.ศ. 2493 แต่เมื่อเธอทราบว่าพระองค์พีระและหม่อมซิริลไม่ได้กลับไปหากันอีก เรื่องราวหึงหวงก็เป็นอันสงบลง[5]

เสกสมรส[แก้]

หลังจากพระองค์พีระทรงหย่ากับซิริล พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสกสมรสใหม่กับเซเลียที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2494 มีการจัดงานเลี้ยง ณ สถานทูตไทยในปารีส[6] โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ และหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยาร่วมงานด้วย แต่อย่างไรก็ตามพระองค์พีระก็ทรงระลึกถึงซิริลเสมอ[1] ทรงเป็นมิตรกับบรูโนเพื่อนชายของซิริล แล้วพาหม่อมชลิตาไปด้วยเพื่อให้รู้จักกับซิริล ไปไหนมาไหนกันสี่คน แต่ซิริลก็ไม่ได้กลับมาหาท่านอีก และยังคงพบปะกันอย่างเพื่อนสนิท[5] ชีวิตของพระองค์พีระและเซเลียหรือหม่อมชลิตาเต็มไปด้วยสีสันดุจเจ้าหญิงในเทพนิยาย พระองค์พาเซเลียไปเที่ยวด้วยเครื่องบินส่วนพระองค์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ฝึกการป้องกันตัวด้วยปืนแก่เซเลีย ช่วงเวลานั้นเซเลียได้สวมเครื่องประดับราคาแพง ได้นั่งรถหรู ได้เล่นเรือใบ และมีบ้านพักที่เมืองกาน ประเทศฝรั่งเศส[2][5]

ปลาย พ.ศ. 2497 พระองค์พีระทรงเห็นว่าพ้นยุคที่จะทรงแข่งรถอีกต่อไปแล้ว รถแข่งรุ่นใหม่ที่มีสมรรถภาพที่ดีเกิดขึ้นกว่าเก่าก่อน จะแซงหน้ารถที่ทรงขับไปได้ง่าย หากจะลงทุนซื้อรถใหม่พร้อมการดูแลในการแข่งรถอีกก็ถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองมหาศาล ประกอบกับหม่อมชลิตาได้ให้กำเนิดพระโอรส คือหม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ เมื่อ พ.ศ. 2499 พระองค์พีระจึงตัดสินพระทัยอำลาชีวิตนักแข่ง ทรงพาครอบครัวกลับมาพำนักในเมืองไทยใน พ.ศ. 2499 ทรงจบบทบาทของเจ้าดาราทองที่โด่งดังไปทั่วยุโรปและอเมริกาเมื่อพระชันษา 42 ปี[4] เมื่อมาถึงเมืองไทย เซเลียกลับไม่ถูกกับสภาพแวดล้อมของไทยสักเท่าใด ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน หรือสภาพอากาศ ในหนังสือ เจ้าดาราทอง ของหม่อมราชวงศ์มาลินี จักรพันธุ์ ได้ระบุไว้ว่า พระองค์พีระไม่ได้ให้ความสนใจหม่อมชลิตาหรือเซเลียมากเท่าที่ควร[5]

ชีวิตหลังการหย่า[แก้]

เมื่อหม่อมชลิตาเข้ามาพำนักในไทยได้ 11 วัน ก็บินไปประเทศฝรั่งเศส[7] จนในอีก 7 เดือนต่อมาพระองค์พีระจึงได้ทำการหย่ากับหม่อมชลิตาโดยตกลงกันว่า หม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์จะอยู่ภายใต้การดูแลของหม่อมชลิตาจนอายุครบ 21 ปี เนื่องจากก่อนหน้าที่มายังประเทศไทยพระองค์พีระได้ทรงพบปะกับสาลิกา กะลันตานนท์ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวไทย ซึ่งทำให้หม่อมชลิตาหึงหวงเป็นอย่างมาก หลังพบรูปถ่ายของพระองค์พีระคู่กับสาลิกาสองใบบนโต๊ะ[2] และสุดท้ายสาลิกา กะลันตานนท์ ก็กลายเป็นหม่อมคนที่สามของพระองค์พีระไป ทั้งสองเสกสมรสกันในปี พ.ศ. 2500[4]

ส่วนพระโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดชที่เกิดกับหม่อมชลิตา คือ หม่อมราชวงศ์พีรเดช ภาณุพันธุ์ ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ขณะที่มีอายุเพียง 17 ปี[7] แต่บางแห่งก็กล่าวว่าเสียชีวิตเมื่อมีอายุ 21 ปี[4]

ในปี พ.ศ. 2560 หม่อมชลิตาในวัย 94 ปี ใช้ชีวิตบั้นปลาย ณ บ้านพักคนชราในบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา[8][9]

เชิงอรรถ[แก้]

อ้างอิง
  1. 1.0 1.1 "เรื่องเล่าจากอาร์เจนตินา "หม่อมชลิตา"". สยามานุสติ. 29 พฤษภาคม 2560. สืบค้นเมื่อ 7 กันยายน 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 Julio Lagos (3 February 2019). "La fantástica historia de la primera princesa argentina: de empleada del Automóvil Club a los extravagantes lujos del reino de Siam". Infobae (ภาษาสเปน). สืบค้นเมื่อ 17 May 2022.
  3. La Temporada: Part I by Estanislao M. Iacona Photos from the Iacona - Bertschi collection June 20, 2002
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 เรือนไทย-เจ้าดาราทอง
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 "ชีวิตและรักที่เหลือเชื่อของ "พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช" เจ้าชายนักแข่งรถชื่อก้องโลก". ศิลปวิฒนธรรม. 20 ธันวาคม 2564. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2565. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. "Prince Bira's wedding". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 24 December 1951. สืบค้นเมื่อ 17 May 2022.
  7. 7.0 7.1 "Prince Bira of Siam - 31-DEC-09". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-11-13. สืบค้นเมื่อ 2010-05-09.
  8. "เผยโฉม "หม่อมชลิตา" อดีตชายาพระองค์พีระในวัย 94 ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในบ้านคนชรา". ข่าวสด. 6 กันยายน 2560. สืบค้นเมื่อ 7 กันยายน 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  9. "เผยโฉม "หม่อมชลิตา" อดีตชายาที่ 2 ของ "พระองค์พีระ" ยังคงงดงามในวัย 94 แม้ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในบ้านพักคนชรา". MGR Online. 7 กันยายน 2560. สืบค้นเมื่อ 7 กันยายน 2560. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)[ลิงก์เสีย]
บรรณานุกรม