ข้ามไปเนื้อหา

ระบบ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ระบบสามารถโดดเดี่ยว ปิด หรือเปิดได้

ระบบ (อังกฤษ: system) คือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีอันตรกิริยาหรือความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันซึ่งทำงานตามชุดของกฎเกณฑ์เพื่อสร้างเป็นองค์รวมเดียว[1] ระบบซึ่งถูกแวดล้อมและได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม จะถูกอธิบายด้วย ขอบเขต โครงสร้างและวัตถุประสงค์ และแสดงออกมาในการทำงานของมัน ระบบคือหัวข้อที่ถูกศึกษาในทฤษฎีระบบและศาสตร์ระบบอื่น ๆ

ระบบมีคุณสมบัติและลักษณะร่วมกันหลายประการ รวมถึงโครงสร้าง หน้าที่ พฤติกรรม และการเชื่อมโยงถึงกัน

นิรุกติศาสตร์

[แก้]

ระบบ มาจากคำภาษาละติน systēma ซึ่งมีที่มาจากคำภาษากรีก σύστημα แปลว่า "แนวคิดทั้งหมดที่ประกอบด้วยหลายส่วนหรือสมาชิก" หรือ "องค์ประกอบ" ในเชิงวรรณกรรม[2][3]

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ในศตวรรษที่ 19 นีกอลา เลออนาร์ ซาดี การ์โน นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งศึกษาอุณหพลศาสตร์ ได้บุกเบิกการพัฒนาแนวคิดของระบบในสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ใน ค.ศ. 1824 เขาได้ศึกษา ระบบที่เขาเรียกว่าสารทำงาน (โดยทั่วไปคือไอน้ำ) ในเครื่องจักรไอน้ำ โดยพิจารณาถึงความสามารถของระบบในการทำงานเมื่อมีการให้ความร้อน สารทำงานนี้สามารถสัมผัสได้ทั้งกับหม้อไอน้ำ แหล่งเย็น (คือกระแสน้ำเย็น) หรือลูกสูบ (ซึ่งสารทำงานสามารถทำงานได้โดยการผลักมัน) ใน ค.ศ. 1850 รูด็อล์ฟ เคลาซีอุส นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้นำภาพนี้ไปประยุกต์ให้เป็นภาพรวมที่กว้างขึ้นเพื่อรวมแนวคิดของสิ่งล้อมรอบและเริ่มใช้คำว่าตัวทำงานเมื่อกล่าวถึงระบบ

ลูทวิช ฟ็อน แบร์ทาลันฟี นักชีววิทยา ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกทฤษฎีระบบทั่วไป ใน ค.ศ. 1945 เขานำเสนอแบบจำลอง หลักการ และกฎเกณฑ์ที่ใช้กับระบบทั่วไปหรือระบบย่อย โดยไม่ขึ้นอยู่กับชนิดที่เจาะจงของระบบ ธรรมชาติขององค์ประกอบที่เป็นส่วนประกอบของระบบ หรือความสัมพันธ์หรือ 'แรง' ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น[4]

ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ถึงกลางทศวรรษ 1950 นอร์เบิร์ต วีเนอร์และรอส แอชบีได้บุกเบิกการใช้คณิตศาสตร์เพื่อศึกษาระบบของการควบคุมและการสื่อสาร โดยเรียกสิ่งนี้ว่าไซเบอร์เนติกส์[5][6]

ในทศวรรษ 1960 มาร์แชล แมกลูฮานได้ประยุกต์ใช้ทฤษฎีระบบทั่วไปในแนวทางที่เขาเรียกว่า แนวทางสนามและการวิเคราะห์รูป/พื้นเพื่อศึกษาทฤษฎีสื่อ[7][8]

ในทศวรรษ 1980 จอห์น เฮนรี ฮอลแลนด์, เมอร์เรย์ เกล-แมนน์ และคนอื่น ๆ ได้บัญญัติศัพท์ระบบปรับตัวเชิงซ้อน (complex adaptive system) ขึ้นที่สถาบันสหวิทยาการซานตาเฟ[ต้องการอ้างอิง]

แนวคิด

[แก้]

สิ่งแวดล้อมและขอบเขต

[แก้]

ทฤษฎีระบบมองโลกในฐานะเป็นระบบเชิงซ้อนของชิ้นส่วนที่เชื่อมโยงถึงกัน เรากำหนดขอบเขตของระบบโดยการนิยามขอบเขตของมัน ซึ่งหมายถึงการเลือกสิ่งใดอยู่ภายในระบบและสิ่งใดอยู่ ภายนอก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม เราสามารถสร้างการแสดงแทนที่เรียบง่าย (แบบจำลอง) ของระบบเพื่อทำความเข้าใจมันและเพื่อคาดการณ์หรือส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมในอนาคต แบบจำลองเหล่านี้อาจกำหนดโครงสร้างและพฤติกรรมของระบบ

ระบบธรรมชาติและระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น

[แก้]

มีระบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น (ออกแบบ) ระบบธรรมชาติอาจไม่มีวัตถุประสงค์ชัดเจนแต่พฤติกรรมของมันสามารถถูกตีความว่ามีจุดมุ่งหมายโดยผู้สังเกต ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นถูกสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่บรรลุผลได้ด้วยการกระทำบางอย่างที่ดำเนินการโดยหรือด้วยระบบ ชิ้นส่วนของระบบจะต้องมีความสัมพันธ์กัน โดยพวกมันจะต้อง "ถูกออกแบบมาให้ทำงานเป็นสิ่งที่เชื่อมติดกัน" ไม่เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะเป็นสองระบบแยกกันหรือมากกว่า

ระบบเปิดมีการไหลเข้าและออก แสดงถึงการแลกเปลี่ยนสสาร พลังงานหรือข้อมูลกับสิ่งล้อมรอบ

กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี

[แก้]

ระบบส่วนใหญ่เป็นระบบเปิด มีการแลกเปลี่ยนสสารและพลังงานกับสิ่งล้อมรอบตน เช่น รถยนต์ เครื่องชงกาแฟ หรือโลก ระบบปิดแลกเปลี่ยนพลังงาน แต่ไม่แลกเปลี่ยนสสารกับสิ่งล้อมรอบ เช่น คอมพิวเตอร์ หรือโครงการไบโอสเฟียร์ 2 ระบบโดดเดี่ยวไม่มีการแลกเปลี่ยนทั้งสสารและพลังงานกับสิ่งล้อมรอบ ตัวอย่างทางทฤษฎีของระบบดังกล่าวคือเอกภพ

กระบวนการและกระบวนการแปลงสภาพ

[แก้]

ระบบเปิดยังสามารถถูกมองในฐานะกระบวนการแปลงสภาพมีขอบเขต นั่นคือ กล่องดำที่เป็นกระบวนการหรือการรวบรวมกระบวนการที่แปลงสิ่งเข้าไปเป็นสิ่งออก สิ่งเข้าจะถูกใช้ไป ส่วนสิ่งออกจะถูกผลิตขึ้น แนวคิดเรื่องสิ่งเข้าและสิ่งออกในที่นี้กว้างมาก ตัวอย่างเช่น ผลลัพธ์ของเรือโดยสารคือการเคลื่อนย้ายผู้คนจากจุดออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง

แบบจำลองระบบ

[แก้]

ระบบประกอบด้วยหลายมุมมอง ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นอาจมีมุมมองต่าง ๆ เช่น มุมมองด้านแนวคิด การวิเคราะห์ การออกแบบ การทำให้เกิดผล การทำให้ใช้ได้ โครงสร้าง พฤติกรรม ข้อมูลเข้า และข้อมูลออก แบบจำลองระบบถูกกำหนดให้ต้องใช้เพื่ออธิบายและเป็นตัวแทนของมุมมองเหล่านี้ทั้งหมด

สถาปัตยกรรมระบบ

[แก้]

สถาปัตยกรรมระบบ ใช้แบบจำลองบูรณาการเพียงแบบเดียวสำหรับการอธิบายหลายมุมมอง เป็นชนิดหนึ่งของแบบจำลองระบบ

ระบบย่อย

[แก้]

ระบบย่อย (subsystem) คือชุดขององค์ประกอบ ซึ่งเป็นระบบในตัวมันเอง และเป็นส่วนประกอบของระบบที่ใหญ่กว่า ตระกูลระบบย่อยป้อนงานเข้าเมนเฟรม IBM (JES1, JES2, JES3 และรุ่นก่อนหน้าอย่าง HASP/ASP) เป็นตัวอย่าง องค์ประกอบหลักที่พวกเขามีร่วมกันคือส่วนประกอบที่จัดการสิ่งเข้า การจัดกำหนดการ การเก็บพัก และสิ่งออก พวกเขายังมีความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ปฏิบัติงานทั้งในพื้นที่และทางไกล

คำอธิบายระบบย่อยคือวัตถุระบบที่มีข้อมูลซึ่งกำหนดลักษณะสิ่งแวดล้อมการปฏิบัติงานที่ควบคุมโดยระบบ[9] การทดสอบข้อมูลดำเนินการเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการกำหนดค่าระบบย่อยแต่ละรายการ (เช่น ความยาว MA, รูปแบบอัตราเร็วคงที่, …) และเกี่ยวข้องกับระบบย่อยเดียวเพื่อทดสอบการประยุกต์จำเพาะ (SA) ของมัน[10]

การวิเคราะห์

[แก้]

มีหลายระบบที่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ตัวอย่างเช่น ในการวิเคราะห์พลวัตของระบบเมือง เอ. ดับเบิลยู. สไตส์ กำหนดระบบที่ตัดกันห้าแบบ รวมถึงระบบย่อยทางกายภาพและระบบพฤติกรรม สำหรับแบบจำลองทางสังคมวิทยาที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีระบบ[11] เคนเนท ดี. เบลีย์ นิยามระบบในแง่ระบบเชิงแนวคิด รูปธรรม และนามธรรม ซึ่งอาจเป็นแบบโดดเดี่ยว ปิด หรือเปิด[12] วอลเตอร์ เอฟ. บักลีย์ นิยามระบบในทางสังคมวิทยาในแง่แบบจำลองเชิงกล อินทรีย์ และกระบวนการ[13] เบลา เอช. บานาที เตือนว่าสำหรับการสอบถามใด ๆ เกี่ยวกับระบบ การทำความเข้าใจประเภทของระบบนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และได้นิยามระบบธรรมชาติและระบบที่ได้รับการออกแบบ นั่นคือ ระบบประดิษฐ์[14] ตัวอย่างเช่น ระบบธรรมชาติรวมถึงระบบอะตอมย่อย ระบบสิ่งมีชีวิต ระบบสุริยะ ดาราจักร และเอกภพ ในขณะที่ระบบประดิษฐ์รวมถึงโครงสร้างทางกายภาพที่มนุษย์สร้างขึ้น ลูกผสมของระบบธรรมชาติและระบบประดิษฐ์ และความรู้เชิงแนวคิด องค์ประกอบของมนุษย์ในด้านองค์กรและหน้าที่ถูกเน้นด้วยระบบนามธรรมและการนำเสนอที่เกี่ยวข้อง

โดยเนื้อแท้แล้ว ระบบประดิษฐ์มีข้อบกพร่องที่สำคัญ นั่นคือจะต้องตั้งอยู่บนข้อสมมติฐานพื้นฐานอย่างน้อยหนึ่งข้อซึ่งเป็นรากฐานสำหรับความรู้เพิ่มเติมที่จะถูกสร้างขึ้นมา สิ่งนี้สอดคล้องอย่างเคร่งครัดกับทฤษฎีบทความไม่บริบูรณ์ของเกอเดิล ระบบประดิษฐ์สามารถถูกนิยามว่าเป็น "ระบบที่ถูกทำให้เป็นทางการที่สอดคล้องซึ่งประกอบด้วยเลขคณิตพื้นฐาน"[15] ข้อสมมติฐานพื้นฐานเหล่านี้ไม่ได้เป็นอันตรายโดยเนื้อแท้ แต่ตามคำนิยามแล้วจะต้องถูกสมมติว่าเป็นจริง และหากข้อสมมติฐานเหล่านี้เป็นเท็จจริง ๆ ระบบก็จะไม่สมบูรณ์ในเชิงโครงสร้างตามที่ถูกสมมติไว้ (กล่าวคือ เป็นที่ชัดเจนว่าถ้าการแสดงออกเริ่มต้นเป็นเท็จ ระบบประดิษฐ์นั้นก็ไม่ใช่ "ระบบที่ถูกทำให้เป็นทางการที่สอดคล้อง") ตัวอย่างเช่น ในทางเรขาคณิต สิ่งนี้ชัดเจนมากในการตั้งสมมติฐานของทฤษฎีบทและการขยายผลของบทพิสูจน์จากทฤษฎีบทเหล่านั้น

จอร์จ เจ. เคลียร์ ยืนยันว่า "ไม่มีการจำแนกประเภทใดที่สมบูรณ์และสมบูรณ์แบบสำหรับทุกวัตถุประสงค์" และนิยามระบบว่าเป็นระบบทางกายภาพเชิงนามธรรม ระบบจริง และระบบทางกายภาพเชิงแนวคิด ระบบมีขอบเขตและไม่มีขอบเขต ระบบไม่ต่อเนื่องไปจนถึงแบบต่อเนื่อง ระบบพัลส์ไปจนถึงระบบลูกผสม เป็นต้น การอันตรกิริยาระหว่างระบบและสิ่งแวดล้อมถูกจัดหมวดหมู่เป็นระบบปิดและระบบเปิดโดยเปรียบเทียบ[16] ยังมีการแบ่งแยกที่สำคัญระหว่างระบบแข็ง ซึ่งมีลักษณะทางเทคนิคและสามารถนำไปใช้วิธีการต่าง ๆ ได้ เช่น วิศวกรรมระบบ การวิจัยการดำเนินงาน และการวิเคราะห์ระบบเชิงปริมาณ และ ระบบอ่อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้คนและองค์กร โดยทั่วไปจะเชื่อมโยงกับแนวคิดที่พัฒนาโดยปีเตอร์ เช็กแลนด์และไบรอัน วิลสันผ่านระเบียบวิธีระบบอ่อน (SSM) ซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการต่าง ๆ เช่น การวิจัยเชิงปฏิบัติและการเน้นการออกแบบแบบมีส่วนร่วม[17] แม้ระบบแข็งอาจถูกระบุว่าเป็นระบบที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า แต่ความแตกต่างระหว่างระบบเหล่านี้มักจะเข้าใจยาก

ระบบเศรษฐกิจ

[แก้]

ระบบเศรษฐกิจคือสถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจำหน่าย และการบริโภคสินค้าและบริการในสังคมใดสังคมหนึ่ง ระบบเศรษฐกิจประกอบด้วยผู้คน สถาบัน และความสัมพันธ์ของพวกเขากับทรัพยากร เช่น ขนบธรรมเนียมเกี่ยวกับทรัพย์สิน ระบบเศรษฐกิจจะจัดการกับปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ เช่น การจัดสรรและความขาดแคลนของทรัพยากร

ขอบเขตระหว่างประเทศของรัฐที่มีปฏิสัมพันธ์กันได้รับการอธิบายและวิเคราะห์ในแง่ของระบบโดยนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายคน โดยเฉพาะในสำนักนวสัจนิยม อย่างไรก็ดี รูปแบบการวิเคราะห์ระหว่างประเทศเชิงระบบนี้ถูกท้าทายโดยสำนักความคิดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสำนักสรรคนิยม ซึ่งโต้แย้งว่าการมุ่งเน้นที่ระบบและโครงสร้างมากเกินไปอาจบดบังบทบาทของการกระทำส่วนบุคคลในปฏิสัมพันธ์ทางสังคม แบบจำลองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ใช้ระบบเป็นพื้นฐานยังเป็นรากฐานของวิสัยทัศน์เกี่ยวกับขอบเขตระหว่างประเทศที่ถือครองโดยสำนักความคิดเสรีนิยมเชิงสถาบัน ซึ่งให้ความสำคัญกับระบบที่เกิดจากกฎและการกำกับดูแลการปฏิสัมพันธ์มากขึ้น โดยเฉพาะการกำกับดูแลทางเศรษฐกิจ

วิทยาการสารสนเทศและคอมพิวเตอร์

[แก้]

ในวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิทยาการสารสนเทศ ระบบสารสนเทศคือระบบฮาร์ดแวร์ ระบบซอฟต์แวร์ หรือการรวมกัน ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นโครงสร้างและการสื่อสารระหว่างกระบวนการที่สังเกตได้เป็นพฤติกรรม

มีระบบการนับ เช่น ตัวเลขโรมัน และระบบต่าง ๆ สำหรับการจัดเก็บเอกสาร หรือสารบัญแฟ้ม และระบบห้องสมุดต่าง ๆ ซึ่งการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง สิ่งนี้ยังคงสอดคล้องกับนิยามขององค์ประกอบที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน (ในกรณีนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในการไหลของข้อมูล)

ระบบยังสามารถอ้างถึงกรอบการทำงาน หรือที่เรียกว่าแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ ที่ออกแบบมาเพื่อให้โปรแกรมซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้ ข้อบกพร่องในองค์ประกอบหรือระบบอาจทำให้องค์ประกอบนั้นเองหรือทั้งระบบล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็น เช่น ข้อความสั่งที่ไม่ถูกต้องหรือการนิยามข้อมูล[18]

วิศวกรรมศาสตร์และฟิสิกส์

[แก้]

ในทางวิศวกรรมศาสตร์และฟิสิกส์ ระบบทางกายภาพคือส่วนของเอกภพที่กำลังศึกษาอยู่ (ซึ่งระบบอุณหพลศาสตร์เป็นตัวอย่างหลักตัวอย่างหนึ่ง) วิศวกรรมศาสตร์ยังมีแนวคิดของระบบที่อ้างถึงทุกส่วนและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของโครงการที่ซับซ้อน วิศวกรรมระบบเป็นสาขาของวิศวกรรมศาสตร์ที่ศึกษาว่าระบบประเภทนี้ควรได้รับการวางแผน ออกแบบ นำไปใช้ สร้าง และบำรุงรักษาอย่างไร[18]

สังคมศาสตร์ ประชานศาสตร์ และการวิจัยการจัดการ

[แก้]

สังคมศาสตร์และประชานศาสตร์รับรู้ถึงระบบในแบบจำลองของมนุษย์แต่ละคนและในสังคมมนุษย์ ระบบเหล่านี้รวมถึงการทำงานของสมองมนุษย์และกระบวนการทางจิต ตลอดจนระบบจริยธรรมเชิงบรรทัดฐาน และรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมและวัฒนธรรม

ในวิทยาการจัดการ การวิจัยดำเนินการและการพัฒนาองค์กร องค์กรมนุษย์ถูกมองว่าเป็นระบบการจัดการขององค์ประกอบที่มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น ระบบย่อยหรือระบบรวม ซึ่งเป็นผู้ที่นำพากระบวนการทางธุรกิจที่ซับซ้อนจำนวนมาก (พฤติกรรมองค์กร) และโครงสร้างองค์กร นักทฤษฎีการพัฒนาองค์กร ปีเตอร์ เซนจ์ ได้พัฒนาแนวคิดขององค์กรในฐานะระบบในหนังสือของเขา The Fifth Discipline[19]

นักทฤษฎีองค์กร เช่น มาร์กาเร็ต วีตลีย์ ยังอธิบายการทำงานของระบบองค์กรในบริบทเชิงอุปมาใหม่ ๆ เช่น กลศาสตร์ควอนตัม ทฤษฎีความอลวน และการจัดระเบียบตนเองของระบบ[20]

ตรรกะบริสุทธิ์

[แก้]

ยังมีสิ่งที่เรียกว่าระบบเชิงตรรกะ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแคลคูลัสที่พัฒนาขึ้นพร้อมกันโดยไลบ์นิทซ์และไอแซก นิวตัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือตัวดำเนินการบูลีนของจอร์จ บูล ตัวอย่างอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับปรัชญา ชีววิทยา หรือประชานศาสตร์โดยเฉพาะ ลำดับความต้องการของมาสโลว์นำจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้กับชีววิทยาโดยใช้ตรรกะบริสุทธิ์ นักจิตวิทยาจำนวนมาก รวมถึงคาร์ล ยุงและซีคมุนท์ ฟร็อยท์ ได้พัฒนาระบบที่จัดระเบียบโดเมนทางจิตวิทยาอย่างมีตรรกะ เช่น บุคลิกภาพ แรงจูงใจ หรือสติปัญญาและความปรารถนา

การคิดเชิงกลยุทธ์

[แก้]

ใน ค.ศ. 1988 นักยุทธศาสตร์ทางทหาร จอห์น เอ. วอร์เดนที่ 3 ได้นำเสนอแบบจำลองระบบห้าวงแหวนในหนังสือของเขา The Air Campaign โดยโต้แย้งว่าระบบที่ซับซ้อนใด ๆ ก็ตามสามารถแบ่งออกเป็นวงแหวนร่วมศูนย์กลางห้าวงได้ วงแหวนแต่ละวง ได้แก่ ความเป็นผู้นำ กระบวนการ โครงสร้างพื้นฐาน ประชากร และหน่วยปฏิบัติการ สามารถใช้เพื่อแยกองค์ประกอบสำคัญของระบบใด ๆ ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงได้ แบบจำลองนี้ถูกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้วางแผนของกองทัพอากาศในสงครามอิรัก–อิหร่าน[21][22][23] ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 วอร์เดนได้ประยุกต์ใช้แบบจำลองของเขากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Definition of system". Merriam-Webster. Springfield, MA, USA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-05. สืบค้นเมื่อ 2019-01-16.
  2. "σύστημα" เก็บถาวร 2021-01-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Henry George Liddell, Robert Scott, A Greek–English Lexicon, on Perseus Digits Library.
  3. Definitionen von "System" (1572–2002) by Roland Müller, (most in German).
  4. 1945, Zu einer allgemeinen Systemlehre, Blätter für deutsche Philosophie, 3/4. (Extract in: Biologia Generalis, 19 (1949), 139–164.
  5. 1948, Cybernetics: Or the Control and Communication in the Animal and the Machine. Paris, France: Librairie Hermann & Cie, and Cambridge, MA: MIT Press.Cambridge, MA: MIT Press.
  6. 1956. An Introduction to Cybernetics เก็บถาวร 2023-05-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Chapman & Hall.
  7. McLuhan, Marshall (1964). Understanding Media: The Extensions of Man. McGraw-Hill Education. reissued by Gingko Press, 2003. ISBN 978-1-58423-073-1.
  8. McLuhan, Marshall; Fiore, Quentin (1967). The Medium Is the Massage: An Inventory of Effects (1st ed.). Random House. Reissued by Gingko Press, 2001. ISBN 978-1-58423-070-0.
  9. "Work management subsystem concepts: Subsystem description". www.ibm.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-09-26.
  10. European Committee for Electrotechnical Standardization (CENELEC) - EN 50128. Brussels, Belgium: CENELEC. 2011. pp. Table A.11 – Data Préparation Techniques (8.4).
  11. Steiss, 1967, pp. 8–18.
  12. Bailey, 1994.
  13. Buckley, 1967.
  14. Banathy, 1997.
  15. K.Gödel, 1931.
  16. Klir, 1969, pp. 69–72.
  17. Checkland, 1997; Flood, 1999.
  18. 1 2 "ISTQB Standard glossary of terms used in Software Testing". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 November 2018. สืบค้นเมื่อ 15 March 2019.
  19. Senge, P. M. (1990). The Fifth Discipline: The Art and Practice of the Learning Organization. Doubleday/Currency. ISBN 9780385260947.
  20. "A New Story for a New Time". 13 January 2016. สืบค้นเมื่อ 2024-03-12.
  21. Warden, John A. III (1988). The Air Campaign: Planning for Combat. Washington, D.C.: National Defense University Press. ISBN 978-1-58348-100-4.
  22. Warden, John A. III (September 1995). "Chapter 4: Air theory for the 21st century". Battlefield of the Future: 21st Century Warfare Issues. United States Air Force. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (in Air and Space Power Journal)เมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ December 26, 2008.
  23. Warden, John A. III (1995). "Enemy as a System". Airpower Journal. Spring (9): 40–55. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-13. สืบค้นเมื่อ 2009-03-25.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]