ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ราโมน บารังเกที่ 3 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา"
ล Darkydury ย้ายหน้า ราโมน เบเรงเกร์ที่ 3 ไปยัง ราโมน เบเรงเกร์ที่ 3 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา |
ยังไม่จัดหมวดหมู่ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{เก็บกวาด}} |
|||
<br /> |
|||
[[ไฟล์:Berenguer el Gran P1210429.jpg|thumb|รูปปั้นแกะสลักของราโมน เบเรงเกร์ที่ 3 โดยโจเซพ ลีลโมนา]] |
[[ไฟล์:Berenguer el Gran P1210429.jpg|thumb|รูปปั้นแกะสลักของราโมน เบเรงเกร์ที่ 3 โดยโจเซพ ลีลโมนา]] |
||
[[ไฟล์:Signum-ramon-berenguer-III-barcelona.jpg|thumb|ลายมือชื่อของราโมน เบเรงเกร์ที่ 3]] |
[[ไฟล์:Signum-ramon-berenguer-III-barcelona.jpg|thumb|ลายมือชื่อของราโมน เบเรงเกร์ที่ 3]] |
||
'''ราโมน เบเรงเกร์ที่ 3''' ({{Lang-es|Ramon Berenguer III}}) หรือ '''ผู้ยิ่งใหญ่''' ({{Lang-es|el Gran}}) (ค.ศ. 1082 – 1131) เป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนา, กิโรนา และออซูนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1086 (ร่วมกับ[[เบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา|เบเรงเกร์ ราโมนที่ 2]] และครองตำแหน่งเพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1097) และเป็นเคานต์แห่งพรอว็องส์ใน[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ในชื่อราโมน เบเรงเกร์ที่ 1 ด้วยสิทธิ์ของภรรยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1112 จนเสียชีวิตใน[[บาร์เซโลนา]]ในปี ค.ศ. 1131 |
'''ราโมน เบเรงเกร์ที่ 3''' ({{Lang-es|Ramon Berenguer III}}) หรือ '''ผู้ยิ่งใหญ่''' ({{Lang-es|el Gran}}) (ค.ศ. 1082 – 1131) เป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนา, กิโรนา และออซูนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1086 (ร่วมกับ[[เบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา|เบเรงเกร์ ราโมนที่ 2]] และครองตำแหน่งเพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1097) และเป็นเคานต์แห่งพรอว็องส์ใน[[จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์]]ในชื่อราโมน เบเรงเกร์ที่ 1 ด้วยสิทธิ์ของภรรยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1112 จนเสียชีวิตใน[[บาร์เซโลนา]]ในปี ค.ศ. 1131 |
||
<br /> |
|||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
ราโมน เบเรงเกร์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1082 ในเมืองโรเดซ ไวส์เคานตีโรเดซ เคานตีตูลูส [[ราชอาณาจักรแฟรงก์]] เขาเป็นบุตรชายของ[[ราโมน เบเรงเกร์ที่ 2 แห่งบาร์เซโลนา|ราโมน เบเรงเกร์ที่ 2]]<ref name=":0">Cheyette, Fredric L. (2001). ''Ermengard of Narbonne and the World of the Troubadours''. Cornell University Press, p. 20.</ref> ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ปกครองร่วมกับเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ผู้เป็นอา เขากลายเป็นผู้ปกครองเดี่ยวในปี ค.ศ. 1097 เมื่อเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ถูกบังคับให้ออกไปจากประเทศ |
ราโมน เบเรงเกร์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1082 ในเมืองโรเดซ ไวส์เคานตีโรเดซ เคานตีตูลูส [[ราชอาณาจักรแฟรงก์]] เขาเป็นบุตรชายของ[[ราโมน เบเรงเกร์ที่ 2 แห่งบาร์เซโลนา|ราโมน เบเรงเกร์ที่ 2]]<ref name=":0">Cheyette, Fredric L. (2001). ''Ermengard of Narbonne and the World of the Troubadours''. Cornell University Press, p. 20.</ref> ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ปกครองร่วมกับเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ผู้เป็นอา เขากลายเป็นผู้ปกครองเดี่ยวในปี ค.ศ. 1097 เมื่อเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ถูกบังคับให้ออกไปจากประเทศ |
||
เพื่อตอบโต้การรุกรานที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มอัลโมราวิดในปี ค.ศ. 1102 ราโมนโจมตีกลับโดยมีเอร์เมงโกลที่ 5 เคานต์แห่งอูร์เกลให้ความช่วยเหลือ แต่พ่ายแพ้และเอร์เมนโกลถูกสังหารที่สมรภูมิโมลเลรุซซา<ref>Reilly, Bernard F. (2003). ''The Medieval Spains''. Cambridge University Press, p. 107.</ref> |
เพื่อตอบโต้การรุกรานที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มอัลโมราวิดในปี ค.ศ. 1102 ราโมนโจมตีกลับโดยมีเอร์เมงโกลที่ 5 เคานต์แห่งอูร์เกลให้ความช่วยเหลือ แต่พ่ายแพ้และเอร์เมนโกลถูกสังหารที่สมรภูมิโมลเลรุซซา<ref>Reilly, Bernard F. (2003). ''The Medieval Spains''. Cambridge University Press, p. 107.</ref> |
||
ในช่วงที่เขาปกครอง ชาวกาตาลันมุ่งมั่นกับการขยายอาณาเขตออกไปทั้งสองฝั่งของ[[เทือกเขาพิรินี|เทือกเขาพีรินี]] ด้วยการแต่งงานและการยึดมาเป็นบริวารทำให้เขาสามารถรวมเคานตีกาตาลันเกือบทั้งหมด (ยกเว้นอูร์เกลกับเปราลาดา) เข้ากับดินแดนของตน เขาได้สืบทอดต่อเคานตีเบซาลูกับเกร์ดันยา และแต่งงานกับดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ อำนาจของเขาจึงแผ่ไพศาลไปทางตะวันออกจนถึง[[นิส]] |
ในช่วงที่เขาปกครอง ชาวกาตาลันมุ่งมั่นกับการขยายอาณาเขตออกไปทั้งสองฝั่งของ[[เทือกเขาพิรินี|เทือกเขาพีรินี]] ด้วยการแต่งงานและการยึดมาเป็นบริวารทำให้เขาสามารถรวมเคานตีกาตาลันเกือบทั้งหมด (ยกเว้นอูร์เกลกับเปราลาดา) เข้ากับดินแดนของตน เขาได้สืบทอดต่อเคานตีเบซาลูกับเกร์ดันยา และแต่งงานกับดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ อำนาจของเขาจึงแผ่ไพศาลไปทางตะวันออกจนถึง[[นิส]] |
||
ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับเคานต์แห่งอูร์เกล ราโมน เบเรงเกร์สามารถพิชิตบาร์บัสโตรและบาลาเกร์ได้ และยังสานสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐทางทะเลของอิตาลี [[ปิซา]]และ[[เจนัว]] และในปี ค.ศ. 1114 และ ค.ศ. 1115 ได้ร่วมมือกับปิซาโจมตีเกาะมุสลิม[[เกาะมาจอร์กา|มายอร์กา]]และ[[เกาะอิบิซา|อิบิซา]]<ref>Reilly, Bernard F. (1995). ''The Contest Christian and Muslim Spain:1031-1157''. Blackwell Publishing, p. 176.</ref> ซึ่งกลายเป็นรัฐบรรณาการของเขา ทาสชาวคริสต์มากมายในเกาะทั้งสองได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ราโมน เบเรงเกร์ยังโจมตีเมืองขึ้นของชาวมุสลิมบนแผ่นดินใหญ่โดยมีปิซาคอยให้ความช่วยเหลือ อาทิเช่น [[บาเลนเซีย]], [[แยย์ดา]] และ[[ตอร์โตซา]] ในปี ค.ศ. 1116 ราโมนเดินทางไปโรมเพื่อร้องเรียนต่อ[[สมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2|สมเด็จพระสันตะปาปาปาสตาลที่ 2]] ให้ประกาศ[[สงครามครูเสด]]เพื่อปลดปล่อยตาร์ราโกนา ซึ่งต่อมากลายเป็นเก้าอี้ตำแหน่งประจำนครหลวงของศาสนจักรในกาตาโลเนีย (ก่อนหน้านั้นชาวกาตาลันอยู่ในการปกครองทางศาสนาของอาร์ชบิชอปแห่งนาร์โบน) |
ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับเคานต์แห่งอูร์เกล ราโมน เบเรงเกร์สามารถพิชิตบาร์บัสโตรและบาลาเกร์ได้ และยังสานสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐทางทะเลของอิตาลี [[ปิซา]]และ[[เจนัว]] และในปี ค.ศ. 1114 และ ค.ศ. 1115 ได้ร่วมมือกับปิซาโจมตีเกาะมุสลิม[[เกาะมาจอร์กา|มายอร์กา]]และ[[เกาะอิบิซา|อิบิซา]]<ref>Reilly, Bernard F. (1995). ''The Contest Christian and Muslim Spain:1031-1157''. Blackwell Publishing, p. 176.</ref> ซึ่งกลายเป็นรัฐบรรณาการของเขา ทาสชาวคริสต์มากมายในเกาะทั้งสองได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ราโมน เบเรงเกร์ยังโจมตีเมืองขึ้นของชาวมุสลิมบนแผ่นดินใหญ่โดยมีปิซาคอยให้ความช่วยเหลือ อาทิเช่น [[บาเลนเซีย]], [[แยย์ดา]] และ[[ตอร์โตซา]] ในปี ค.ศ. 1116 ราโมนเดินทางไปโรมเพื่อร้องเรียนต่อ[[สมเด็จพระสันตะปาปาปาสคาลที่ 2|สมเด็จพระสันตะปาปาปาสตาลที่ 2]] ให้ประกาศ[[สงครามครูเสด]]เพื่อปลดปล่อยตาร์ราโกนา ซึ่งต่อมากลายเป็นเก้าอี้ตำแหน่งประจำนครหลวงของศาสนจักรในกาตาโลเนีย (ก่อนหน้านั้นชาวกาตาลันอยู่ในการปกครองทางศาสนาของอาร์ชบิชอปแห่งนาร์โบน) |
||
ในปี ค.ศ. 1127 ราโมน เบเรงเกร์ลงนามในสนธิสัญญาทางการค้ากับชาวเจนัว<ref>Phillips, Jonathan P. (2007). ''The Second Crusade: Extending the Frontiers of Christendom''. Yale University Press, p. 254.</ref> ช่วงใกล้บั้นปลายชีวิตเขากลายเป็น[[อัศวินเทมพลาร์]]<ref>Nicholson, Helen (2010). ''A Brief History of the Knights Templar''. Constable & Robinson Ltd., p. 102.</ref> เขายกเคานตีกาตาลันทั้งห้าแห่งให้[[ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา|ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4]] บุตรชายคนโต และยกพรอว็องส์ให้เบเรงเกร์ ราโมน บุตรชายคนเล็ก |
ในปี ค.ศ. 1127 ราโมน เบเรงเกร์ลงนามในสนธิสัญญาทางการค้ากับชาวเจนัว<ref>Phillips, Jonathan P. (2007). ''The Second Crusade: Extending the Frontiers of Christendom''. Yale University Press, p. 254.</ref> ช่วงใกล้บั้นปลายชีวิตเขากลายเป็น[[อัศวินเทมพลาร์]]<ref>Nicholson, Helen (2010). ''A Brief History of the Knights Templar''. Constable & Robinson Ltd., p. 102.</ref> เขายกเคานตีกาตาลันทั้งห้าแห่งให้[[ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา|ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4]] บุตรชายคนโต และยกพรอว็องส์ให้เบเรงเกร์ ราโมน บุตรชายคนเล็ก |
||
เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 มกราคม/19 กรกฎาคม ค.ศ. 1131 และถูกฝังในอารามซันตามาเรียเดริโปล |
เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 มกราคม/19 กรกฎาคม ค.ศ. 1131 และถูกฝังในอารามซันตามาเรียเดริโปล |
||
<br /> |
|||
== การแต่งงานและทายาท == |
== การแต่งงานและทายาท == |
||
ภรรยาคนแรกของราโมนคือมารีอา โรดรีเกซ เด บิบาร์ บุตรสาวคนที่สองของเอลซิด ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ |
ภรรยาคนแรกของราโมนคือมารีอา โรดรีเกซ เด บิบาร์ บุตรสาวคนที่สองของเอลซิด ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ |
||
* มารีอา แต่งงานกับเบร์นัตที่ 3 เคานต์แห่งเบซาลู (เสียชีวิต ค.ศ. 1111) |
* มารีอา แต่งงานกับเบร์นัตที่ 3 เคานต์แห่งเบซาลู (เสียชีวิต ค.ศ. 1111) |
||
อัลโมนด์ ภรรยาคนที่สองของเขาไม่มีบุตร |
อัลโมนด์ ภรรยาคนที่สองของเขาไม่มีบุตร |
||
ภรรยาคนที่สามของเขาคือดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ (เสียชีวิต ค.ศ. 1127)<ref name=":0" /> การแต่งงานของทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคน คือ |
ภรรยาคนที่สามของเขาคือดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ (เสียชีวิต ค.ศ. 1127)<ref name=":0" /> การแต่งงานของทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคน คือ |
||
บรรทัด 47: | บรรทัด 34: | ||
* อัลโมดิส แต่งงานกับปองเซ เด เซเบรา |
* อัลโมดิส แต่งงานกับปองเซ เด เซเบรา |
||
== อ้างอิง == |
|||
<br /> |
|||
== ้อ้างอิง == |
|||
<references /> |
<references /> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:42, 26 มกราคม 2562
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
ราโมน เบเรงเกร์ที่ 3 (สเปน: Ramon Berenguer III) หรือ ผู้ยิ่งใหญ่ (สเปน: el Gran) (ค.ศ. 1082 – 1131) เป็นเคานต์แห่งบาร์เซโลนา, กิโรนา และออซูนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1086 (ร่วมกับเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 และครองตำแหน่งเพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1097) และเป็นเคานต์แห่งพรอว็องส์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในชื่อราโมน เบเรงเกร์ที่ 1 ด้วยสิทธิ์ของภรรยาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1112 จนเสียชีวิตในบาร์เซโลนาในปี ค.ศ. 1131
ประวัติ
ราโมน เบเรงเกร์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1082 ในเมืองโรเดซ ไวส์เคานตีโรเดซ เคานตีตูลูส ราชอาณาจักรแฟรงก์ เขาเป็นบุตรชายของราโมน เบเรงเกร์ที่ 2[1] ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ปกครองร่วมกับเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ผู้เป็นอา เขากลายเป็นผู้ปกครองเดี่ยวในปี ค.ศ. 1097 เมื่อเบเรงเกร์ ราโมนที่ 2 ถูกบังคับให้ออกไปจากประเทศ
เพื่อตอบโต้การรุกรานที่เพิ่มมากขึ้นของกลุ่มอัลโมราวิดในปี ค.ศ. 1102 ราโมนโจมตีกลับโดยมีเอร์เมงโกลที่ 5 เคานต์แห่งอูร์เกลให้ความช่วยเหลือ แต่พ่ายแพ้และเอร์เมนโกลถูกสังหารที่สมรภูมิโมลเลรุซซา[2]
ในช่วงที่เขาปกครอง ชาวกาตาลันมุ่งมั่นกับการขยายอาณาเขตออกไปทั้งสองฝั่งของเทือกเขาพีรินี ด้วยการแต่งงานและการยึดมาเป็นบริวารทำให้เขาสามารถรวมเคานตีกาตาลันเกือบทั้งหมด (ยกเว้นอูร์เกลกับเปราลาดา) เข้ากับดินแดนของตน เขาได้สืบทอดต่อเคานตีเบซาลูกับเกร์ดันยา และแต่งงานกับดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ อำนาจของเขาจึงแผ่ไพศาลไปทางตะวันออกจนถึงนิส
ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรกับเคานต์แห่งอูร์เกล ราโมน เบเรงเกร์สามารถพิชิตบาร์บัสโตรและบาลาเกร์ได้ และยังสานสัมพันธไมตรีกับสาธารณรัฐทางทะเลของอิตาลี ปิซาและเจนัว และในปี ค.ศ. 1114 และ ค.ศ. 1115 ได้ร่วมมือกับปิซาโจมตีเกาะมุสลิมมายอร์กาและอิบิซา[3] ซึ่งกลายเป็นรัฐบรรณาการของเขา ทาสชาวคริสต์มากมายในเกาะทั้งสองได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ราโมน เบเรงเกร์ยังโจมตีเมืองขึ้นของชาวมุสลิมบนแผ่นดินใหญ่โดยมีปิซาคอยให้ความช่วยเหลือ อาทิเช่น บาเลนเซีย, แยย์ดา และตอร์โตซา ในปี ค.ศ. 1116 ราโมนเดินทางไปโรมเพื่อร้องเรียนต่อสมเด็จพระสันตะปาปาปาสตาลที่ 2 ให้ประกาศสงครามครูเสดเพื่อปลดปล่อยตาร์ราโกนา ซึ่งต่อมากลายเป็นเก้าอี้ตำแหน่งประจำนครหลวงของศาสนจักรในกาตาโลเนีย (ก่อนหน้านั้นชาวกาตาลันอยู่ในการปกครองทางศาสนาของอาร์ชบิชอปแห่งนาร์โบน)
ในปี ค.ศ. 1127 ราโมน เบเรงเกร์ลงนามในสนธิสัญญาทางการค้ากับชาวเจนัว[4] ช่วงใกล้บั้นปลายชีวิตเขากลายเป็นอัศวินเทมพลาร์[5] เขายกเคานตีกาตาลันทั้งห้าแห่งให้ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4 บุตรชายคนโต และยกพรอว็องส์ให้เบเรงเกร์ ราโมน บุตรชายคนเล็ก
เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 มกราคม/19 กรกฎาคม ค.ศ. 1131 และถูกฝังในอารามซันตามาเรียเดริโปล
การแต่งงานและทายาท
ภรรยาคนแรกของราโมนคือมารีอา โรดรีเกซ เด บิบาร์ บุตรสาวคนที่สองของเอลซิด ทั้งคู่มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ
- มารีอา แต่งงานกับเบร์นัตที่ 3 เคานต์แห่งเบซาลู (เสียชีวิต ค.ศ. 1111)
อัลโมนด์ ภรรยาคนที่สองของเขาไม่มีบุตร
ภรรยาคนที่สามของเขาคือดูลเซ ทายาทหญิงแห่งพรอว็องส์ (เสียชีวิต ค.ศ. 1127)[1] การแต่งงานของทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรเจ็ดคน คือ
- ราโมน เบเรงเกร์ที่ 4 เคานต์แห่งบาร์เซโลนา (ค.ศ. 1113/1114–1162) แต่งงานกับเปโตรนียาแห่งอารากอน พระธิดาของพระเจ้ารามิโรที่ 2 แห่งอารากอน[1]
- เบเรงเกร์ ราโมนที่ 1 เคานต์แห่งพรอว็องส์ (ค.ศ. 1115–1144)[1]
- เบร์นัต เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก
- เบเรงเกลา (ค.ศ. 1116–1149) อภิเษกสมรสกับพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออน
- ฆิเมนา (ค.ศ. 1117-1136) แต่งงานกับโรเฌร์ที่ 3 เคานต์แห่งฟัวซ์
- เอสเตฟาเนีย (เกิด ค.ศ. 1118) แต่งงานกับเซนตูเรที่ 2 เคานต์แห่งบิกอร์เร
- อัลโมดิส แต่งงานกับปองเซ เด เซเบรา
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Cheyette, Fredric L. (2001). Ermengard of Narbonne and the World of the Troubadours. Cornell University Press, p. 20.
- ↑ Reilly, Bernard F. (2003). The Medieval Spains. Cambridge University Press, p. 107.
- ↑ Reilly, Bernard F. (1995). The Contest Christian and Muslim Spain:1031-1157. Blackwell Publishing, p. 176.
- ↑ Phillips, Jonathan P. (2007). The Second Crusade: Extending the Frontiers of Christendom. Yale University Press, p. 254.
- ↑ Nicholson, Helen (2010). A Brief History of the Knights Templar. Constable & Robinson Ltd., p. 102.