ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เสือ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ย้อน 1 การแก้ไขของ 2403:6200:8881:1B48:8959:9B65:A008:874C (พูดคุย) ไปยังการแก้ไขของ InternetArchiveBot ด้วยสจห.
ป้ายระบุ: ทำกลับ
เสือน้อนน่าร้ากๆ
ป้ายระบุ: ถูกแทน ถูกย้อนกลับแล้ว การแก้ไขผิดปกติในบทความคัดสรร/คุณภาพ การแก้ไขแบบเห็นภาพ
บรรทัด 24: บรรทัด 24:
}}
}}


'''เสือ''' เป็น[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]ในวงศ์[[วงศ์เสือและแมว|ฟิลิดี]]ซึ่งเป็น[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|วงศ์]]เดียวกับ[[แมว]]โดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า<ref>ศูนย์สารสนเทศ ราชบัณฑิตยสถาน [http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp ''เสือ''] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20090303000030/http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp |date=2009-03-03 }} พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542</ref>และอาศัยอยู่ภายใน[[ป่า]] ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 [[เซนติเมตร]]และหนักประมาณ 180 - 245 [[กิโลกรัม]]<ref>[http://www.ubonzoo.com/wild_animals/tigris_left.html เสือ]</ref> [[รูม่านตา]]กลม เป็น[[สัตว์กินเนื้อ]]กลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้ง[[พฤติกรรม]]ที่เป็น[[เอกลักษณ์]] แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลา[[กลางคืน]] มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่าย[[ต้นไม้]] ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมี[[กราม]]ที่สั้นและแข็งแรง มี[[เขี้ยว]] 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้ง[[โลก]]มีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย<ref>[http://www.ubonzoo.com/wild_animals/panthera_main.htm สัตว์ประเภทเสือ]</ref>
'''เสือ''' เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์[[วงศ์เสือและแมว|ฟิลิดี]]ซึ่งเป็น[[การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์|วงศ์]]เดียวกับ[[แมว]]โดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า<ref>ศูนย์สารสนเทศ ราชบัณฑิตยสถาน [http://rirs3.royin.go.th/new-search/word-search-all-x.asp ''เสือ''] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20090303000030/http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp |date=2009-03-03 }} พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542</ref>และอาศัยอยู่ภายใน[[ป่า]] ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 [[เซนติเมตร]]และหนักประมาณ 180 - 245 [[กิโลกรัม]]<ref>[http://www.ubonzoo.com/wild_animals/tigris_left.html เสือ]</ref> [[รูม่านตา]]กลม เป็น[[สัตว์กินเนื้อ]]กลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้ง[[พฤติกรรม]]ที่เป็น[[เอกลักษณ์]] แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลา[[กลางคืน]] มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่าย[[ต้นไม้]] ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมี[[กราม]]ที่สั้นและแข็งแรง มี[[เขี้ยว]] 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้ง[[โลก]]มีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย เสือคือเสือแต่เสือคือสิ่งมีฃีวิต

เสือจัดเป็นสัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือ[[เสือดาว]] ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของพวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ป่า และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง <ref name="เสือ จ้าวแห่งนักล่า">เสือ จ้าวแห่งนักล่า, ศลิษา สถาปรวัฒน์, ดร.อลัน ราบิโนวิทซ์, สำนักพิมพ์สารคดี, 2538, หน้า 14</ref>

ปัจจุบันจำนวนของเสือในประเทศไทยลดจำนวนลงเป็นอย่างมากในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เสือกลับถูกล่า ป่าภายในประเทศถูกทำลายเป็นอย่างมาก สภาพธรรมชาติในพื้นที่ต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ทุกวันนี้ปริมาณของเสือที่จัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการสูญสิ้นหรือลดจำนวนลงอย่างมากของเสือซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและระบบนิเวศทั้งหมด การลดจำนวนอย่างรวดเร็วของเสือเพียงหนึ่งหรือสองชนิดในประเทศไทย ทำให้ปริมาณของสัตว์กินพืชเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลในที่สุด

== ลักษณะทั่วไป ==

[[ไฟล์:Tigerramki.jpg|250px|thumb| [[เสือโคร่งเบงกอล]] (''Panthera tigris tigris'')]]

เสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าและ[[ทุ่งหญ้า]] ส่วนใหญ่ไม่ชอบ[[น้ำ]]เช่นเดียวกับแมวทั่วไป มีเพียงเสือโคร่ง<ref name="เสือโคร่ง" />และเสือจากัวร์เท่านั้นที่ชอบน้ำ<ref>[http://www.ubonzoo.com/wild_animals/tigris.html ธรรมชาติของเสือโคร่ง]</ref> ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่พบเสือโคร่งบ่อยที่สุดมักจะเป็นแอ่งน้ำ [[ทะเลสาบ]] หรือ[[แม่น้ำ]] เสือเป็นสัตว์ที่หากินโดยลำพัง [[อาหาร]]หลักมักจะเป็น[[สัตว์กินพืช]]ขนาดกลางอย่างเช่น [[กวาง]] [[หมูป่า]] และ[[ควาย]] ซึ่งจะล่าเหยื่อด้วยวิธีการเดิน ย่อง วิ่งไล่และตะครุบ[[เหยื่อ]] อย่างไรก็ตามพวกมันอาจจะออกล่าสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าในสถานการณ์ที่คับขัน

เสือมีลักษณะพิเศษคือสามารถซ่อน[[เล็บ]]ไว้ในปลายนิ้ว[[เท้า]]ได้ เมื่อต้องการจับยึดเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็น[[อาวุธ]]สำหรับฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่งเล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้เร็วขึ้น นอกจากนี้วิธีการหดซ่อนเล็บของเสือยังเป็นวิธีการรักษาความแหลมคมของเล็บไว้ เพื่อป้องกันการขูดขีดขณะเดินหรือเคลื่อนไหวตามปกติ ศัตรูเพียงชนิดเดียวของเสือก็คือ[[มนุษย์]] ปัจจุบันเสือถูกล่าอย่างผิด[[กฎหมาย]]เพื่อนำไปทำ[[เสื้อขนสัตว์]] และเป็น[[ความเชื่อ]]ในการทำ[[ยา]]บำรุงกำลังของ[[ผู้ชาย]]

จากความเสียหายของถิ่นที่อยู่ รวมทั้งการล่าเพื่อทำหนังขนสัตว์ จำนวนเสือตาม[[ธรรมชาติ]]จึงลดน้อยลง เสือจึงเป็นสัตว์ที่อยู่รายการ[[สปีชีส์]]ที่กำลังอยู่ในอันตราย เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในระดับเหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร เพราะการสูญสิ้นหรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วของเสือ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและความสัมพันธ์ของ[[ห่วงโซ่อาหาร]]และ[[ระบบนิเวศ]]ทั้งหมด [[การสูญพันธุ์]]ของสัตว์กินเนื้อเพียงหนึ่งหรือสองชนิด จะทำให้กลุ่มของสัตว์กินพืชเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งธรรมชาติเสียความสมดุล ปัจจุบันได้มีมาตรการคุ้มครองสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มเสือให้รอดพ้นจากการล่าของมนุษย์ เพื่อให้สัตว์กินเนื้อเหล่านี้ไม่สูญพันธุ์ไปจนหมด

== วิวัฒนาการของเสือ ==

[[สัตว์]]ในกลุ่มเสือซึ่งหมายรวมถึงเสือและแมวทุกชนิด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสิ่งที่มีชีวิตในวงศ์[[วงศ์เสือและแมว|ฟิลิดี]] เป็น[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม]]ซึ่งมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มี[[ปอด]]ไว้สำหรับหายใจ [[หัวใจ]]มี 4 ห้องและมีลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเมียมีเต้านมและน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่การปฏิสนธิและเจริญเติบโตของลูกอ่อน จะเกิดขึ้นภายใน[[มดลูก]]ของตัวเมีย มีเขี้ยวที่ใช้ฆ่าเหยื่อ มี[[ฟันกราม]]ที่คมเหมือน[[มีด]]ไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับ[[กระดูกสันหลัง]]ที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่ง และการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้วและ[[เล็บ]]แหลมคม

สัตว์กินเนื้อเริ่มปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อต้น[[มหายุคซีโนโซอิก]] ({{lang-en|Cenozoic}}) หรือเมื่อประมาณ 65 ล้าน[[ปี]]ก่อน ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อในยุคนี้ คือกลุ่มของสัตว์ที่เรียกกันว่าไมเอซิดี ({{lang-en|Miacidae}})<ref name=Polly>{{cite journal | author = Polly, David, Gina D. Wesley-Hunt, Ronald E. Heinrich, Graham Davis and Peter Houde | year = 2006 | title = Earliest Known Carnivoran Auditory Bulla and Support for a Recent Origin of Crown-Clade Carnivora (Eutheria, Mammalia) | journal = Palaeontology | volume = 49 | issue = 5 | pages = 1019–1027 | url = http://mypage.iu.edu/~pdpolly/Papers/Polly%20et%20al,%202006,%20Viverravus.pdf | doi = 10.1111/j.1475-4983.2006.00586.x | access-date = 2010-07-04 | archive-date = 2011-05-24 | archive-url = https://web.archive.org/web/20110524193602/http://mypage.iu.edu/~pdpolly/Papers/Polly%20et%20al,%202006,%20Viverravus.pdf | url-status = dead }}</ref> ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาว มี[[หาง]]สั้น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาจากลำตัวและข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของไมเอซิดีจะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในปัจจุบันคือ [[จีเน็ต]] ({{lang-en|Genets}}) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวก[[ชะมด]] ({{lang-en|Civet}}) มีขนาด[[สมอง]]ที่เล็กและ[[กะโหลก]]แบน มีอุ้งเท้าที่กว้างและนิ้วเท้าที่แยกออกจากกัน อาศัยใน[[ป่า]] แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือไวเวอร์ราวิน ({{lang-en|Viverravines}}) และไมเอซิน ({{lang-en|Miachines}}) ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ใน[[หิน]]ที่มีอายุประมาณ 39 ล้านปี และในช่วงระยะเวลา 39 ล้านปีก่อนนี้เอง ปลาย[[สมัยอีโอซีน]] ({{lang-en|Eocene}}) ซึ่งต่อกันกับสมัยโอลิโกซีน ({{lang-en|Oligocene}}) เป็นช่วงเวลาที่สัตว์กินเนื้อปรากฏขึ้นบนโลกมากมายหลากหลายชนิด กระจายถิ่นฐานตามพื้นที่ต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโลกแทน[[ไดโนเสาร์]]ที่พึ่งจะสูญพันธุ์ไป<ref name="เสือ จ้าวแห่งนักล่า">ศลิษา สถาปนวัฒน์,ดร.อลัน ราบิโนวิทซ์, เสือ จ้าวแห่งนักล่า, สำนักพิมพ์สารคดี, 1995, หน้า 22</ref>

สัตว์กินเนื้อที่เรียกว่า ไมเอซิดี คือ ไวเวอร์ราวินและไมเอซิน เป็นจุดเริ่มต้น[[วิวัฒนาการ]]ของสัตว์กินเนื้ออีก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ [[อาร์กทอยเดีย]] ({{lang-en|Arctoidea}}) และ [[แอลูรอยเดีย]] ({{lang-en|Aeluroidea}}) ซึ่งลักษณะของอาร์กทอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้าย[[หมี]] ได้แก่สัตว์จำพวก[[หมี]] [[แร็กคูน]] [[แมวน้ำ]] [[วอลรัส]] [[เพียงพอน]] (วีเซิล) [[หมูหริ่ง]] (แบดเจอร์) และ[[หมีแพนด้า]] ส่วนแอรูรอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเสือหรือแมว ได้แก่เสือหรือแมวทุกชนิด [[ไฮยีน่า]] จีเน็ตหรือสัตว์ในกลุ่ม[[ชะมด]]ทุกชนิด ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทไวเวอร์ราวิน ในส่วนของลักษณะโครงสร้างของร่างกาย เช่นโครงสร้างของกะโหลก [[ฟัน]]และ[[เท้า]]ซึ่งได้รับการพัฒนาจากการปีนป่ายมาเป็น[[การวิ่ง]]แทน

สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือในปัจจุบันคือ ฟิลิดี หรือที่เรียกว่า "สัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง" ({{lang-en|True Cats}}) ซึ่งในที่นี้รวมถึง[[เสือเขี้ยวดาบ]]บางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย แต่สำหรับเสือเขี้ยวดาบนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสือที่แท้จริงและสัตว์กินเนื้อที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า [[นิมราวิดี]] ({{lang-en|Nimravidae}}) ซึ่งสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อประมาณ 2 - 5 ล้านปีก่อน<ref>[http://paleodb.org/cgi-bin/bridge.pl?action=checkTaxonInfo&taxon_no=41036&is_real_user=1 PaleoBiology Database: ''Nimravidae'', basic info]</ref>

== สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือและเสือที่แท้จริง ==

ในปี พ.ศ. 2488 [[นักโบราณชีววิทยา]]กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็น[[ชาวฝรั่งเศส]] ได้ศึกษาและเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสืออายุประมาณ 24 - 39 ล้านปีก่อน กับซากดึกดำบรรพ์ของเสือในยุคสมัยประมาณ 25 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อสัตว์ในกลุ่มแรกว่า พาลีโอฟีดิลิดส์ ({{lang-en|Paleofeilds}}) และสัตว์ในกลุ่มสองว่า นีโอฟีลิดส์ ({{lang-en|Neofelids}}) และต่อมาในภายหลัง[[นักวิทยาศาสตร์]]ได้ตั้งชื่อวงศ์ให้แก่สัตว์ในกลุ่มพาลีโอฟีดิลิดส์ว่า "นิมราวิดี" และสัตว์ในกลุ่มนีโอฟิลิดส์ว่า "ฟิลิดี" ซึ่งก็คือกลุ่มของสัตว์คล้ายเสือหรือลักษณะของสัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง

สิ่งที่นิมราวิดิกับฟิลิดีวิวัฒนาการมาแตกต่างกันก็คือ กล่องหู ({{lang-en|Auditory Bulla}}) ซึ่งเป็นโครงสร้างภายในกะโหลกและเป็นที่ตั้งของหูส่วนกลาง ซึ่งโครงสร้างของ[[หู]]ส่วนกลางนั้นประกอบไปด้วย [[กระดูกค้อน]] [[กระดูกทั่ง]] และ[[กระดูกโกลน]] ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างเยื่อ[[แก้วหู]]กับหูด้านใน สัตว์ในกลุ่มแอลูรอยเดียทั้งหมดจะมีลักษณะโครงสร้างส่วนนี้คล้ายคลึงกัน ยกเว้นก็แต่เพียงสัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดีเท่านั้น ซึ่งสัตว์กินเนื้อในกลุ่มแอลูรอยเดีย จะมีกล่องหูที่โป่งพองเป็น[[โพรง]]ขนาดใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ซึ่งกล่องหูมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความสามารถในการได้ยินก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผ่นเยื่อบาง ๆ ({{lang-en|Septum}}) ทำหน้าที่กั้นแบ่งกล่องหูเป็น 2 ห้อง แต่สัตว์ในกลุ่มนิมราวิดีจะไม่มีแผ่นเยื่อบาง ๆ ในกล่องหู '''ซึ่งแผ่นเยื่อบาง ๆ และกล่องหูเป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้แยกระหว่างสัตว์คล้ายเสือกับเสือที่แท้จริง'''

สัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ส่วนมากจะมีเขี้ยวบนที่มีขนาดยาวและตัน จนมองดูเหมือนกับว่ามีลักษณะคล้ายกับ[[ดาบ]]โค้งขนาดใหญ่ ส่วนเขี้ยวที่อยู่ด้านล่างจะมีขนาดลดลงอย่างสัมพันธ์กัน นอกจากนี้กระดูกบริเวณ[[กราม]]ล่างก็จะสั้นลงเพื่อป้องกันไม่ให้เขี้ยวโค้งบดเนื้อตัวเอง สำหรับฟันบริเวณด้านข้างหรือฟันกรามก็จะลดจำนวนลง และวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงจนมีลักษณะคล้ายใบมีด สัตว์คล้ายเสือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ บาบัวโรฟีลิส '' (Barbourofelis) '' ซึ่งลักษณะของ '''เขี้ยวดาบ''' เคยปรากฏในกลุ่มเสือที่แท้จริงหรือตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ สมิโลดอน '' (Smilodon) '' ซากของสมิโลดอนถูกขุดพบเป็นจำนวนมากในรัฐ[[แคลิฟอร์เนีย]] [[สหรัฐอเมริกา]] มีอายุประมาณ 2 ล้านปี ในขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อรูปร่างคล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า คืออยู่ระหว่าง 7 - 37 ล้านปี

[[บรรพบุรุษ]]ของเสือที่แท้จริงหรือสัตว์ในกลุ่มฟิลิดี ได้แก่ โพรไอลูรัส '' (Proailurus) '' และ ซูดีรูรัส '' (Pseudaelurus) '' เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก มีโครงสร้างของระบบฟัน คล้ายกับเสือในปัจจุบันมาก โพรไอลูรัสอยู่ในสมัยโอลิโกซีน '' (Oligocene) '' พบซากดึกดำบรรพ์ใน[[ทวีปยุโรป]]ส่วนซูดีรูรัสนั้นเป็นสัตว์ในสมัยไมโอซีน '' (Miocene) '' ซึ่งพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งในทวีปยุโรปและ[[ทวีปอเมริกา]] ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีแผ่นเยื่อบาง ๆ กั้นระหว่างกล่องหูเป็น 2 ส่วน ปัจจุบันสัตว์คล้ายเสือที่อยู่ในกลุ่มซูดีลูรัส ได้วิวัฒนาการมาเป็นเสือสกุลแพนเทอรา '' (Panthera) '' เช่น เสือโคร่ง และอย่างน้อยครั้งหนึ่งในอดีต สัตว์ในกลุ่มนี้ได้วิวัฒนาการรูปร่างและขนาดให้เล็กลง จนกระทั่งกลายมาเป็นเสือที่มีขนาดเล็กหลายชนิดหรือแมวในสกุล ฟิลิส '' (Felis) '' เช่น แมวดาว แมวป่า เป็นต้น<ref name =Mott>{{cite web| last = Mott| first = Maryann| title = Cats Climb New family Tree| publisher = National Geographic News| date = 2006-01-11| url = http://news.nationalgeographic.com/news/2006/01/0111_060111_cat_evolution.html| accessdate = 2006-07-15}}</ref>

== สปีชีส์ ==



เสือแบ่งเป็นหลายชนิด ได้แก่
*วงศ์ [[Felidae]]
** สกุล ''[[Panthera]]''
*** [[เสือโคร่ง]] หรือ เสือลายพาดกลอน, ''Panthera tigris'' (ทวีปเอเชีย) โดยทั่วไปถ้าเอ่ยถึง เสือ เพียงคำเดียว มักหมายถึงเสือชนิดนี้
*** [[สิงโต]], ''Panthera leo'' (ทวีปแอฟริกา, [[อุทยานแห่งชาติป่ากีร์]]ใน[[ประเทศอินเดีย]]; สูญพันธุ์ไปจาก[[ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้]], [[ตะวันออกกลาง]], [[ทวีปเอเชีย]]ส่วนมาก, และ[[ทวีปอเมริกาเหนือ]]ซึ่งเป็นพิสัยการกระจายพันธุ์ในอดีต)
*** [[เสือจากัวร์]], ''Panthera onca'' ([[ทวีปอเมริกา]]; จากตอนใต้ของ[[สหรัฐอเมริกา]]และ[[ประเทศเม็กซิโก]]ถึงตอนเหนือของ[[ประเทศอาร์เจนตินา]])
*** [[เสือดาว]] หรือ เสือดำ, ''Panthera pardus'' ([[ทวีปเอเชีย]]และ[[ทวีปแอฟริกา]])
** สกุล ''Acinonyx''
*** [[เสือชีตาห์]], ''Acinonyx jubatus'' ([[ทวีปแอฟริกา]]และ[[ประเทศอิหร่าน]]; สูญพันธุ์ไปจาก[[ประเทศอินเดีย]]ซึ่งเป็นพิสัยการกระจายพันธุ์ในอดีต)
** สกุล ''[[Puma (genus)|Puma]]''
*** [[เสือพูม่า]], ''Puma concolor'' ([[ทวีปอเมริกาเหนือ]]และ[[ทวีปอเมริกาใต้]])
** สกุล ''Uncia''
*** [[เสือดาวหิมะ]], ''Uncia uncia'' (เทือกเขาใน[[เอเชียกลาง]]และ[[เอเชียใต้]])
** สกุล ''[[Neofelis]]''
*** [[เสือลายเมฆบอร์เนียว]], ''Neofelis diardi'' ([[เกาะบอร์เนียว]]และ[[เกาะสุมาตรา]])
*** [[เสือลายเมฆ]], ''Neofelis nebulosa'' ([[เอเชียตะวันออกเฉียงใต้]]และ[[เอเชียใต้]])

== ลักษณะทางกายวิภาค ==
เสือมีต้นตระกูลและบรรพบุรุษที่มีลักษณะคล้ายชะมด เมื่อประมาณ 39 ล้านปีก่อน วิวัฒนาการจากดึกดำบรรพ์จนกลายมาเป็นเสือในปัจจุบัน ซึ่งลักษณะโครงสร้างของร่างกายและลายขน ช่วยเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อ สัตว์ในตระกูลเสืออาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วทุกแห่งในโลก ยกเว้นในเขต[[แอนตาร์กติกา]] หมู่เกาะ[[ออสเตรเลีย]] หมู่เกาะอินดิสตะวันตก เกาะมาดากัสการ์และหมู่เกาะบางแห่งในคาบ[[มหาสมุทร]]

สัตว์ในกลุ่มเสือและแมวปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ ฟิลิดี '' (Felidae) '' จำแนกออกเป็น 4 สกุลหลัก ๆ คือ
# แพนเทอรา '' (Panthera) ''
# ฟีลีส '' (Felis) ''
# นีโอฟีลีส '' (Neofelis) ''
# อาซินโอนิกซ์ '' (Acinonyx) ''

* เสือในสกุล '''แพนเทอรา''' เป็นเสือขนาดใหญ่ที่สามารถส่งเสียงคำรามได้ เพราะมี[[เส้นเอ็น]]หรือสายเสียงพิเศษเฉพาะ เสือในสกุลนี้ได้แก่ [[สิงโต]] [[เสือโคร่ง]] [[เสือดาว]] และ[[เสือจากัวร์]] และบางครั้งยังรวมถึง[[เสือดาวหิมะ]] และ เสือพูม่า (puma) <ref>{{Cite web |url=http://www.tigerzoo.com/Tigerthai/edu.html |title=เสือในสกุลแพนเทอรา |access-date=2006-12-18 |archive-date=2006-11-21 |archive-url=https://web.archive.org/web/20061121034013/http://www.tigerzoo.com/Tigerthai/edu.html |url-status=dead }}</ref> แต่สำหรับเสือดาวหิมะ ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถคำรามได้ ซึ่งสามารถจัดแบ่งสกุลของเสือดาวหิมะไว้ในสกุล อันเซีย '' (Uncia) '' เสือในสกุลแพนเทอราเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ เหยื่อของเสือสกุลนี้จึงเป็นสัตว์กินพืชขนาดใหญ่เช่นกัน แต่ในบางครั้งก็กินซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก [[นก]] หรือแม้แต่[[แมลง]]

* แมวในสกุล'''ฟีลีส''' เป็นสัตว์ในกลุ่มเสือและแมวขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเสือทุกสกุล เสือในสกุลนี้ไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับเสือดาวหิมะ แต่สามารถส่งเสียงขู่ได้ เช่น แมวดาว แมวป่า หรือ [[เสือไฟ]]

* เสือในสกุล'''นีโอฟีลีส''' เป็นเสือขนาดกลางและไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับแมวสกุลฟีลีส มี 2 ชนิดคือ [[เสือลายเมฆ]]และ[[เสือลายเมฆบอร์เนียว]]

* เสือในสกุล'''อาซินโอนิกซ์''' เป็นเสือที่มีเพียงชนิดเดียวคือ [[เสือชีต้า]] ซึ่งเป็น[[สัตว์บก]]ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

เสือเป็นสัตว์ที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง มีหัวที่ค่อนข้างกลม รูปร่างและร่างกายปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว สามารถย่อง วิ่งไล่หรือจู่โจมเข้าหาเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ใช้เท้าหน้าทั้งสองข้างจับเหยื่อ เท้าหลังมี 4 นิ้ว เท้าหน้ามี 5 นิ้ว มี[[หัวแม่เท้า]]เล็กและอยู่สูงกว่านิ้วอื่น ๆ เสือทุกชนิดจะมีลักษณะรวมกันที่ทำให้ถูกจัดไว้ในกลุ่มของเสือแต่ก็แตกต่างจนทำให้ต้องจำแนกออกเป็นหลายชนิด โดยดูจากลักษณะของกะโหลก สีขน ขนาดและรูปร่างของเสือ สัดส่วนของขาทั้งสีรวมไปถึง[[หาง]] ซึ่งลักษณะที่มีร่วมกันทั้งหมดสามารถที่จะอธิบายถึงลักษณะทางกายภาพเฉพาะของเสือในแต่ละชนิด ทำให้สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมได้ ซึ่งลักษณะโครงสร้างทางกายภาพของเสือ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้<ref name="เสือ จ้าวแห่งนักล่า"/>

=== กะโหลก ===


เสือเป็นสัตว์ที่มีใบหน้าสั้นเนื่องจากลักษณะของกะโหลกซึ่งอยู่ภายใน แต่กะโหลกของเสือในแต่ละชนิดไม่เหมือนกันจะมีความแตกต่างกันตามแต่ละชนิดของเสือเช่นกะโหลกของเสือโคร่งซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ เสือชีต้าซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดกลางและแมวดาวหรือแมวป่าซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดเล็กหรือแมวในสกุลฟีลีสชนิดหนึ่ง กะโหลกเสือโคร่งจะมีลักษณะที่ค่อนข้างยาว กะโหลกเสือชีต้าจะมีลักษณะค่อนข้างสูง นอกจากนี้กะโหลกเสือโคร่ง เมื่อนำมาเทียบส่วนกับสมองภายในแล้วจะใหญ่กว่ามาก ในขณะที่เสือขนาดเล็กจะไม่มีความแตกต่างกันเท่าใดนัก

ความแตกต่างของกะโหลกเสือที่มีขนาดใหญ่และกะโหลกเสือที่มีขนาดเล็ก เป็นผลมาจากการวิวัฒนาการของขนาดร่างกาย เพราะในช่วงที่เสือวิวัฒนาการร่างกายให้ใหญ่ขึ้น ส่วนสมองกลับไม่ได้เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นในอัตราเดียวกันกับขนาดของร่างกาย เพราะฉะนั้นสัดส่วนของสมองต่อกะโหลกของเสือที่มีขนาดใหญ่ จะเล็กกว่าเสือที่มีขนาดเล็ก ทั้งนี้รวมทั้งขนาดของขนาดเบ้าตาต่อกะโหลก เสือที่มีขนาดใหญ่ก็มีขนาดที่เล็กกว่าเสือขนาดเล็กด้วย เพราะลูกนัยน์ตาของเสือไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้นตามขนาดของร่างกายเช่นเดียวกับสมอง

สำหรับกะโหลกเสือโคร่งที่มีลักษณะค่อนข้างยาวมีสาเหตุมาจากเมื่อร่างกายของเสือมีขนาดใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าโดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณกรามต้องการพื้นที่ยึดเกาะมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านบนและด้านหลังของกะโหลกจึงต้องยืดขยายออกมารองรับ ทำให้กะโหลกเสือที่มีขนาดใหญ่มีสัดส่วนที่ยาวกว่ากะโหลกของเสือที่มีขนาดเล็ก

ส่วนเสือชีต้ามีกะโหลกที่สูงแตกต่างจากเสือทั้งสองประเภท เนื่องจากจะมีช่องโพรง[[จมูก]]ที่มีขนาดใหญ่และลึกกว่าเข้าไปภายในกะโหลก ซึ่งถ้าพิจารณาจากบริเวณด้านหน้าจะเห็นว่าระยะห่างของเบ้าตากับ[[ฟัน]]บนจะห่างกันมากกว่าเสือชนิดอื่น ๆ เนื่องจากเสือชีต้าเป็นสัตว์ที่วิ่งไล่จับเหยื่อด้วยความเร็วสูง ช่องโพรงจมูกที่มีขนาดใหญ่นี้จึงช่วยให้การหายใจของเสือชีต้ามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

=== สมอง ===
สมองคืออวัยวะส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของสัตว์มีชีวิตทุกประเภท เพราะสมองคือศูนย์รวบรวมของ[[ระบบประสาท]]ต่าง ๆ เช่นการสัมผัส การรับรู้ การเคลื่อนไหวหรือการสั่งการ ทุกอย่างจะต้องผ่านสมองแทบทั้งสิ้น ซึ่งสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ จำนวนมาก บริเวณสมองชั้นนอกหรือที่เรียกว่า [[คอร์เทกซ์]] '' (Cortex) '' จะทำหน้าที่ประมวลข้อมูลต่าง ๆ จากระบบประสาทโดยทำการแบ่งแยกพื้นที่สำหรับแต่ละระบบออกเป็นส่วน ๆ เช่นพื้นที่บริเวณสมองชั้นนอกจะทำหน้าที่จัดการกับระบบประสาทการเคลื่อนไหว

ผิวสมองบริเวณด้านนอกไม่เรียบ แต่เป็นร่องหยักเป็น[[คลื่น]] ซึ่งจำนวนของร่องหยักนี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถของระบบประสาทในส่วนนั้น ระบบประสาทในส่วนใดที่มีความสามารถมากก็ย่อมที่จะมี[[ข้อมูล]]เป็นจำนวนมาก ทำให้สมองในส่วนนี้มีรอยหยักมากยิ่งขึ้น ถ้าส่วนใดที่มีความสามารถน้อยก็ต้องการรอยหยักของสมองน้อย เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรสำหรับสัตว์ที่สูญพันธ์ไปแล้วย่อมที่จะไม่มีสมองเหลือไว้ให้ศึกษา แต่ผิวด้านในกะโหลกของสัตว์กินเนื้อจะคงร่องและรอยหยักทุกอย่างเหมือนสมองชั้นนอก ทำให้นักโบราณ[[ชีววิทยา]] ศึกษาดูการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของสมองภายในระบบประสาทจากซากดึกดำบรรพ์ได้ เหมือนกับตัวอย่างที่ยังคงมีชีวิตอยู่

สำหรับการศึกษาซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ในกลุ่มเสือพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในยุคแรก ๆ ของสมองของเสือในกลุ่มนิมราวิดีและฟิลิดี คือระบบประสาทการดมกลิ่นลดพื้นที่ลง จากหลักฐานตรงส่วนนี้สอดคล้องกับสัดส่วนบริเวณหน้าที่หดสั้นเข้า ซึ่งแสดงว่าสัตว์ในกลุ่มเสือนั้นมีความสามารถในการดมกลิ่นได้ไม่ดีเท่าสัตว์กินเนื้อกลุ่มอื่น เช่น [[หมาป่า]]และ[[หมาจิ้งจอก]] การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ยังคงเหลือในปัจจุบันในสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือในกลุ่มฟิลิดี คาดการณ์ว่าอาจจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 ล้านปีก่อน คือสมองของเสือที่มีขนาดใหญ่ได้ขยายพื้นที่ส่วนที่ทำการควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เสือมีประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวร่างกายดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนอื่น ๆ อีกด้วย เช่นสมองส่วนที่ทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับระบบประสาทการได้ยินก็จะมีพื้นที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

=== นัยน์ตาเสือ ===

[[ไฟล์:Amur Tiger Panthera tigris altaica Eye 2112px.jpg|200px|thumb|นัยน์ตาเสือ]]

เสือเป็นสัตว์ที่มีระบบประสาทสัมผัสที่ดีมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะระบบประสาทในด้านการมองเห็น เสือเป็นสัตว์ที่มีวิวัฒนาการในหลาย ๆ ด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อ ลูกนัยน์ตาของเสือมีเซลล์ที่สามารถรับภาพที่มีความสำคัญต่อการมองเห็น 2 ชนิด คือ เซลล์รูปแท่ง '' (Rod Cell) '' และ เซลล์รูปกรวย '' (Cone Cell) '' เซลล์รูปแท่งเป็นเซลล์ที่มีความไวต่อแสงมาก ทำหน้าที่รับภาพที่มีแสงสว่างน้อย ๆ เช่น การมองเห็นของเสือในเวลากลางคืน หรือการมองเห็นความเคลื่อนไหวของเหยื่อ ส่วนเซลล์รูปกรวยจะทำหน้าที่รับภาพที่มีแสงมาก เช่น การมองเห็นของเสือในเวลากลางวัน รวมทั้งการมองเห็นภาพที่เป็นสี ซึ่งเซลล์รูปกรวยจะให้รายละเอียดของวัตถุที่อยู่นิ่งกับที่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งการที่เสือสามารถมองเห็นได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มีสาเหตุมาจากการที่เสือสามารถขยายรูม่านตาและแก้วตาได้กว้างเมื่อเทียบกับขนาดของจอรับภาพ โดยปกติแล้วรูม่านตาของเสือจะมีลักษณะกลม แต่เมื่อเสือต้องอยู่ในที่ที่มีแสงจ้า เสือในสกุล[[Panthera|แพนเทอรา]]จะหดรูม่านตาให้เป็นรูปวงกลม ในขณะที่แมวในสกุลฟิลิสจะหดรูม่านตาให้เป็นรูปวงรี เพราะเซลล์รูปแท่งมีจำนวนมากกว่าเซลล์รูปกรวยซึ่งตรงกันข้ามกับสัตว์ที่หากินในเวลากลางวันซึ่งจะมีเซลล์รูปกรวยมากกว่าเซลล์รูปแท่ง

เสือสามารถมองเห็นภาพเป็นมิติได้เช่นเดียวกับ[[มนุษย์]]หรือ[[ลิง]] ซึ่งลักษณะพิเศษอีกอย่างที่ช่วยให้การมองเห็นของเสือคือ ตำแหน่งของดวงตา ในบรรดาสัตว์กินเนื้อด้วยกันทั้งหมด เสือมีตำแหน่งของดวงตาที่คล้ายกับมนุษย์มากที่สุด โดยดวงตาทั้งคู่จะตั้งอยู่บนใบหน้าที่สั้น ภาพจากดวงตาแต่ละข้างของเสือจะเหลื่อมซ้อนทับกันพอดีเป็นพื้นที่กว้าง ทำให้เสือสามารถมองเห็นภาพเป็นมิติและสามารถกำหนดระยะวัตถุได้อย่างแม่นยำ คุณสมบัตินี้มีความจำเป็นมากสำหรับสัตว์กินเนื้อเช่นเสือ นัยน์ตาทั้งคู่ที่ตั้งอยู่ชิดกันบนบริเวณใบหน้า จะแตกต่างจากสัตว์กินพืชที่มีนัยน์ตาทั้งคู่อยู่ในบริเวณด้านข้างของลำตัว เพื่อการมองเห็นที่รอบตัวและเป็นการป้องกันอันตรายจากสัตว์กินเนื้อ จอรับภาพของเสือสามารถตอบสนองต่อแสงได้มากขึ้นโดยอาศัยฉากสะท้อนแสงจากด้านหลังของ จอตา '' (Retina) '' มีชื่อว่า เทปมัม '' (Tepetum) '' ซึ่งโดยปกติแล้วแสงที่เข้าสู่นัยน์ตาบางส่วนจะผ่านจอรับภาพไป โดยที่ไม่ถูกเซลล์รับภาพรับรู้หรือดูดกลืนเก็บเอาไว้ เทปมัมจะช่วยสะท้อนแสงส่วนนี้กลับมาเพื่อให้โอกาสแก่เซลล์รับภาพอีกครั้ง

แต่ถึงอย่างไรแสงบางส่วนเมื่อสะท้อนฉากเทปมัมแล้วก็ยังไม่ถูกจอภาพรับภาพ ดูดกลืนเก็บเอาไว้และจะเดินทางกลับออกมาทาง รูม่านตา '' (Pupil) '' ด้วยเหตุนี้เมื่อแสงไฟไปกระทบโดนตาเสือในเวลากลางคืน จึงเห็นนัยน์ตาเสือสะท้อนแสงไฟเป็นดวง ซึ่งแสงที่สะท้อนในนัยน์ตาเสือก็คือแสงไฟที่เข้าไปสะท้อนกับเทปมัมแล้วกลับออกมานั่นเอง นัยน์ตาของเสือจะสะท้อนแสงเหมือนมีกระจกอยู่ด้านใน เพราะมีฉากสะท้อนแสงที่หลังจอรับภาพ ทำให้สามารถรับแสงได้มากกว่าปกติ ช่วยในการมองเห็นในเวลากลางคืน

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ซึ่งรวมทั้งเสือและมนุษย์จะมีรูม่านตาเป็นรูปวงกลม เวลาเสือหรี่ตาหรือหดรูม่านตาให้เล็กลงก็จะยังคงรูปวงกลมเอาไว้ แต่สำหรับแมวในสกุลฟิลิส ซึ่งบางครั้งคนไทยเรียกเป็นเสือขนาดเล็ก เช่น แมวป่า แมวลายหินอ่อน ฯลฯ รวมทั้งแมวบ้าน จะมีกล้ามเนื้อม่านตาที่สามารถบังคับการหดขยายรูม่านตาแตกต่างกันออกไป คือจะหดรูม่านตาเป็นรูปวงรีในแนวตั้ง เรียกว่า รูม่านตาแบบสลิต '' (Slit Pupil) '' รูม่านตาจะหดได้แคบกว่าในรูปแบบวงกลม ทำให้แสงสามารถผ่านเข้าสู่ตาได้น้อยกว่า เสือที่มีขนาดเล็กและสัตว์หากินในเวลากลางคืนจึงจำเป็นต้องมีรูม่านตาแบบสลิต เพื่อเป็นการป้องกันแสงจ้าในช่วงเวลากลางวัน ไม่ให้เข้าไปทำลายจอรับภาพซึ่งมีความไวต่อแสง ส่วนเสือที่มีขนาดใหญ่มักออกหากินทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน จึงไม่จำเป็นต้องมีรูม่านตาแบบสลิต

=== เสียงคำราม ===
[[ไฟล์:Tigre d'Asie à robe blanche.jpg|200px|thumb|การคำรามของเสือ]]

เสียงคำรามของเสือนั้นจะดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งสัตว์อื่นไม่สามารถทำได้ แต่เสือไม่สามารถคำรามได้ทุกชนิด มีเสือที่มีขนาดใหญ่เพียง 4 ชนิดเท่านั้นที่สามารถคำรามได้ คือ
# [[สิงโต]]
# [[เสือโคร่ง]]
# [[เสือจากัวร์]]
# [[เสือดาว]]

เพราะเสือจะมีโครงสร้างกระดูกบริเวณ[[กล่องเสียง]]ซึ่งเรียกว่า [[กระดูกไฮออยด์|กลุ่มกระดูกลิ้น]] '' (Hyoid) ''<ref>{{cite web | last = Weissengruber | first = GE | coauthors = G Forstenpointner, G Peters, A Kübber-Heiss, and WT Fitch | title = Hyoid apparatus and pharynx in the lion (Panthera leo), jaguar (Panthera onca), tiger (Panthera tigris), cheetah (Acinonyx jubatus) and domestic cat (Felis silvestris f. catus) | work = Journal of Anatomy | publisher = Anatomical Society of Great Britain and Ireland | pages=195–209 | volume=201|issue=201 | year =2002 |month=September| url = http://www.pubmedcentral.nih.gov/articlerender.fcgi?artid=1570911 | doi =10.1046/j.1469-7580.2002.00088.x | accessdate = 2009-01-16}}</ref> แตกต่างจากเสือในชนิดอื่น ๆ ซึ่งเสือทั้ง 4 ชนิดนี้จัดอยู่ในสกุลแพนเทอรา '' (Pahthera) '' มีเสือดาวหิมะเป็นเสือเพียงชนิดเดียวในสกุลแพนเทอราที่ไม่สามารถคำรามได้<ref name="Walker">{{cite book | last = Nowak | first = Ronald M. | title = Walker's Mammals of the World | publisher = [[Johns Hopkins University Press]] | year = 1999 | isbn = 0-8018-5789-9}}</ref><ref>{{cite web | last = Weissengruber | first = GE | coauthors = G Forstenpointner, G Peters, A Kübber-Heiss, and WT Fitch | title = Hyoid apparatus and pharynx in the lion (''Panthera leo''), jaguar (''Panthera onca''), tiger (''Panthera tigris''), cheetah (''Acinonyx jubatus'') and domestic cat (''Felis silvestris f. catus'') | work = Journal of Anatomy | publisher = Anatomical Society of Great Britain and Ireland | pages=195–209 | year =2002 |month=September| url = http://www.pubmedcentral.nih.gov/articlerender.fcgi?artid=1570911 | doi =10.1046/j.1469-7580.2002.00088.x | accessdate = 2007-05-20}}</ref> รวมถึงเสือขนาดกลาง เสือขนาดเล็ก และแมวบ้านด้วยที่ไม่สามารถคำรามได้

วิวัฒนาการของกระดูกลิ้นของเสือนั้น เคยเป็นส่วนหนึ่งของกระดูก[[เหงือก]]ในสัตว์คล้าย[[ปลา]]ในยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ส่วนหนึ่งของกระดูกเหงือกนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปจากลักษณะดั้งเดิมและกลายมาเป็นกระดูกลิ้นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในปัจจุบัน สำหรับกลุ่มกระดูกของเสือ ประกอบด้วยกระดูกหลายชิ้นต่อกันเป็นสายคล้อง มีลักษณะคล้ายกับรูปตัว '''H''' ซึ่งทำหน้าที่เชื่อม[[หลอดลม]]และกล่องเสียงไว้ด้วยกล้ามเนื้อ รวมทั้งมีหน้าที่ในการช่วยเหลือการทำงานของลิ้น และกล้ามเนื้อบริเวณลิ้นอีกด้วย

โดยทั่วไปกลุ่มกระดูก ลิ้นของเสือที่ไม่สามารถคำรามได้ ประกอบด้วยสายกระดูกขนานกัน 2 สาย ในแต่ละสายจะมีกระดูก 5 ชิ้นเรียงต่อกันคือ
* ทิมพาโนฮายอัล '' (Tympanohyal) ''
* สตายโลฮายอัล '' (Stylohyal) ''
* อิพิฮายอัล '' (Epihal) ''
* ซีราโตฮายอัล '' (Ceratohyal) ''
* ทายโรฮายอัล '' (Thyrohyal) ''

สายกระดูกทั้ง 2 จะเชื่อมต่อกันในบริเวณ[[ข้อต่อ]]ระหว่างกระดูกซีราโตฮายอัลกับกระดูกทายโรฮายอัล โดยกระดูกชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า แกนกระดูกไฮออยด์ '' (Body of Hyoid) '' ซึ่งสำหรับเสือขนาดใหญ่ที่สามารถคำรามได้ เช่นสิงโต กลุ่มกระดูก ลิ้น จะมีลักษณะคล้ายกับของเสือที่ไม่สามารถคำรามได้ แต่จะมี[[เส้นเอ็น]]ยาว ๆ เข้ามาแทนที่กระดูกอิพิฮายอัล ขณะที่กระดูกชิ้นต่อมาคือ ซีราโตฮายอัลและแกนกระดูกฮาออย จะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเมื่อนำมาเทียบกับกระดูกทิมพาโนฮายอัลและสตายโลฮายอัล ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยค้ำจุนกล่องเสียงที่มีขนาดใหญ่มากนั่นเอง

ในปี พ.ศ. 2377 '''ริชาร์ด โอเวน''' นักโบราณ[[ชีววิทยา]]รายงานว่าสิงโตมีเส้นเอ็นที่ยาวถึง 6 นิ้วและสามารถยืดออกไปได้ถึง 8 - 9 นิ้ว ส่วนกล่องเสียงจะอยู่ลึกลงไปในบริเวณลำคอมากยิ่งขึ้น เพดานด้านบนและลิ้นก็จะยาวขึ้นเพื่อให้ช่องหายใจยาวและใหญ่ขึ้น โครงสร้างเหล่านี้จะทำให้สิงโตสามารถที่จะเปล่งเสียงคำรามดังกังวาน แต่สำหรับเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถคำรามได้เช่นกัน ได้แก่ เสือโคร่ง เสือดาว และ เสือจากัวร์ ก็จะพบเส้นเอ็นพิเศษทำหน้าที่เหมือนสายเสียงนี้เช่นกัน ซึ่งสำหรับเสือจากัวร์จะมีกลุ่มกระดูกลิ้นที่แตกต่างจากเสือที่สามารถคำรามได้ชนิดอื่น ๆ เล็กน้อย คือยังคงมีกระดูกอิพิฮายอัลและมีเส้นเอ็นสายเสียงอยู่ระหว่างกระดูกอิพิฮายอัลกับกระดูกซีราโตฮายอัลด้วย ซึ่ง[[นักวิทยาศาสตร์]]บางคนได้ให้ความเห็นว่าเสือจากัวร์นั้น อาจจะมีวิวัฒนาการต่ำที่สุดในบรรดากลุ่มเสือที่สามารถคำรามได้ทั้ง 4 ชนิด เพราะเส้นเอ็นสายเสียงยังไม่ได้แทนที่กระดูกอิพิฮายอัลจนหมด สิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาวบางตัวมีปุ่มกระดูกตรงบริเวณปลายเส้นเอ็น ซึ่งอาจจะเป็นกระดูกอิพิฮายอัลที่ยังคงหลงเหลืออยู่

นอกจากนี้ยังพบว่าสิงโตตัวหนึ่งมีกระดูกสตายโลฮายอัลข้างหนึ่ง เป็นกระดูกชิ้นเดียวกันในลักษณะที่เหมือนปกติของสิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาวทั่วไป แต่กระดูกสตาลโลฮายอัลอีกข้างหนึ่งนั้น กลับเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดจากกระดูก 2 ชิ้นที่เชื่อมเข้าหากัน โดยกระดูกชิ้นที่ต่อเข้ากับเส้นเอ็น จะเล็กกว่ากระดูกชิ้นที่อยู่ใกล้กับใบ[[หู]] ซึ่งตำแหน่งของกระดูกชิ้นเล็ก ๆ นี้ก็คือตำแหน่งเดิมของกระดูกอิพิฮายอัลนั่นเอง และจากการตรวจพบกระดูกอิพิฮายอัลในเสือที่สามารถคำรามได้ แสดงความแตกต่างระหว่างเสือจากัวร์และเสือชนิดอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งความแตกต่างของกระดูกภายในเสือตัวเดียวกันเองก็ตาม เป็นหลักฐานทางวิวัฒนาการของเส้นเอ็นสายเสียง ซึ่งเข้ามาแทนที่กระดูกอิพิฮายอัลและทำให้เสือที่มีขนาดใหญ่ทั้ง 4 ชนิดสามารถคำรามได้ แต่สำหรับแมวบ้านหรือเสือที่มีขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ แม้ว่าจะส่งเสียงคำรามเช่นเดียวกันกับเสือที่มีขนาดใหญ่ทั้ง 4 ชนิด แต่มันสามารถที่จะส่งเสียงขู่ (Purr)

การส่งเสียงขู่คำรามของสิงโต เสือโคร่ง และ เสือดาวรวมทั้งเสือชีต้าด้วยนั้น โดยทั่วไปแล้วแมวบ้านจะทำเสียงขู่ได้ทั้งที่ขณะมันหายใจเข้าและออก และมักจะทำบ่อย ๆ ซึ่งแตกต่างกับเสียงขู่ของสิงโตที่เกิดจากการหายใจออกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำเป็นปกติ จากการสำรวจพบว่าเสือดาวหิมะนั้น สามารถส่งเสียงขู่ได้เหมือนกับแมวบ้าน แต่มันเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับสิงโต เสือโคร่งและเสือดาว ซึ่งเสือที่มีขนาดใหญ่ 7 ชนิดได้แก่สิงโต เสือโคร่ง เสือดาว เสือดาวหิมะ เสือจากัวร์ สิงโตภูเขา '' (Puma) '' และเสือลายเมฆ พบว่ามีเพียงสิงโตภูเขาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งเสียงขู่ได้เหมือนกับแมวบ้าน

=== ขนและลาย ===

[[ไฟล์:Panthera onca.jpg|200px|thumb|ขนและลายของเสือจากัวร์]]
[[ไฟล์:Panthera tigris7.jpg|left|200px|thumb|ขนและลายของเสือโคร่ง]]

เสือเป็นสัตว์ที่มี[[ขน]]ปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย และลายของเสือนับว่ามีรูปแบบที่สวยงามโดดเด่นกว่าลายของสัตว์ชนิดอื่น ความสวยงามของลายเสือเป็นสิ่งล่อตาล่อใจให้[[มนุษย์]]ออกล่าเพื่อเอา[[หนัง]]มาทำเป็นเครื่องประดับบ้านหรือเครื่องนุ่งห่ม เช่นหนังของเสือโคร่ง เสือดาว เป็นที่น่าสงสัยว่าเสือแต่ละชนิดนั้นมีลายขนที่แตกต่างกัน เช่น ลายดอก ลายจุด ลายทางยาวหรือสีขนที่เรียบ ๆ ไม่มีลวดลาย เนื่องจากลายของเสือนั้นเกิดจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมที่เสืออาศัย เพราะเสือจะใช้ลายและสีขนเพื่อปกปิดตัวจากศัตรูหรือใช้สำหรับพรางตัวในการออกล่าเหยื่อ เช่น สิงโต จะมีขนสีน้ำตาลปนเหลืองที่กลมกลืนกับทุ่งหญ้าในแอฟริกา เสือไฟหรือแมวป่าที่ออกล่าเหยื่อในบริเวณทุ่งหญ้าเตี้ย ๆ จึงไม่มีลายไว้สำหรับพรางตัว

เสือโคร่งที่มีลายขวางบริเวณลำตัวจะช่วยซ่อนตัวของมันไว้อย่างมิดชิดในบริเวณป่าและต้นไม้หรือพงหญ้า เสือจากัวร์ เสือดาวและเสือลายเมฆจะใช้ลายดอกดวงบริเวณลำตัวพรางตัวในแดดใต้ร่มเงาของต้นไม้ ซึ่งใช้สำหรับพักผ่อนหรือดักคอยเหยื่อ ลายเสือเกิดจากการประกอบขึ้นของสีความเข้มของสีและรูปแบบของลายในแต่ละชนิดจะปรากฏบนขนแต่ละเส้นบริเวณลำตัว ถึงแม้ว่าลักษณะลายและขนโดยรวมของเสือแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกัน แต่จะมีลักษณะปลีกย่อยที่คล้ายกันบ้างเช่น เสือที่มีขนาดใหญ่มักจะมีหย่อมขนหรือแถบขนสีขาวปรากฏ ณ ตำแหน่งที่น่าสนใจบางแห่งในร่างกาย เช่น เสือโคร่งนั้นจะมีหย่อมขนสีขาวตรงบริเวณหลังใบหู ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในที่ที่มีแสงน้อย ซึ่งลูกเสือโคร่งจะใช้หย่อมขนสีขาวนี้ติดตามแม่เสือไปยังที่ต่าง ๆ

เสือดาวและเสือดาวหิมะจะมีแถบขนสีขาวที่บริเวณใต้[[หาง]] ส่วนเสือชีต้าจะมีกระจุกขนสีขาวหรือวงแหวนสีดำสลับสีขาวที่บริเวณส่วนปลายของหาง ซึ่งเสือทั้ง 3 ชนิดนี้จะมักจะยกบริเวณปลายส่วนหางหรือม้วนปลายหางในขณะเดิน เพื่อให้ขนสีขาวที่บริเวณปลายหางจะเป็นจุดสังเกตสำหรับลูกเสือตัวเล็ก ๆ ที่เดินตามหลังแม่เสือ

=== กรงเล็บ ===
[[ไฟล์:Panthera tigris10.jpg|200px|left|thumb|อุ้งเท้าของเสือในขณะซ่อนเล็บ]]

เสือเป็นสัตว์ที่สามารถหดและกางกรง[[เล็บ]]ได้ โดยใช้หลักการทำงานร่วมกันของอวัยวะหลายส่วน ซึ่งจะมีเส้นเอ็นที่มีลักษณะพิเศษทำหน้าที่ควบคุมการหดและกางเล็บซึ่งจะต้องรักษาสภาพสมดุลและความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งกล้ามเนื้อซึ่งจะทำหน้าที่ป้องกันเป็นปลอกหุ้มเล็บไว้ภายใน กลไกโดยทั่วไปคือเสือจะใช้กล้ามเนื้อบริเวณขาหน้า ทำหน้าที่บังคับดึงหรือคลายเส้นเอ็น ซึ่งจะยึดกระดูกเท้าทุก ๆ นิ้วให้หดหรือกางเล็บตามต้องการ กลุ่มของเส้นเอ็นนี้จะถูกหุ้มด้วยหนังพังผืดแผ่นหนึ่งตรงบริเวณ[[ข้อเท้า]] ทำให้เมื่อกล้ามเนื้อส่วนนี้หดตัวดึงเส้นเอ็น เส้นเอ็นจะเคลื่อนไหวได้โดยไม่เลื่อนหลุดออกจากข้อเท้า

อุ้งเท้าของเสือในเวลาปกติจะหดเล็บไว้ในปลอกเนื้อ ซึ่งจะติดอยู่กับกระดูกนิ้วชิ้นปลาย (กระดูกนิ้วของเสือมี 3 ชิ้น คือ ชิ้นปลายซึ่งจะมีเล็บติดอยู่ ชิ้นกลางและชิ้นโคน) ในสภาพเช่นนี้กล้ามเนื้อจะไม่ได้หดตัวจึงไม่มีเส้นเอ็นใดถูกดึง แต่แผ่นพังผืดที่หุ้มเอ็นตรงบริเวณข้อเท้าจะเหนี่ยวรั้งเอ็นเอาไว้ ทำให้กระดูกนิ้วชิ้นปลายเลื่อนมาอยู่ที่ข้างกระดูกนิ้วชิ้นกลาง และเล็บที่ปลายนิ้วก็จะเข้ามาซ่อนอยู่ใบริเวณปลอกเนื้อ ซึ่งการที่เสือหดเล็บนี้ รอยเท้าของเสือจึงไม่ปรากฏรอยเล็บให้เห็นบนดินเวลามันเดิน ส่วนรอยเท้าเสือก็คือรอยของอุ้งนิ้วซึ่งจะรองรับข้อต่อของกระดูกระหว่างกระดูกชิ้นปลายและกระดูกชิ้นกลาง

เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจะดึงเอาเส้นเอ็นบนและล่างของกระดูก ทำให้ข้อต่อระหว่างกระดูกชิ้นต่าง ๆ เคลื่อนไหวและจะกางเล็บออกพร้อมใช้งาน ซึ่งก็คือการหดตัวของกล้ามเนื้อ เอกซ์เทนเซอร์ '' (Extensor) '' จะดึงกระดูกนิ้วชิ้นกลางโดยผ่านทางเส้นเอ็นบน ทำให้นิ้วเท้าของเสือเหยียดออกแต่เล็บจะยังคงไม่กาง เพราะเส้นเอ็นด้านบนนี้ไม่ได้ดึงเอากระดูกนิ้วชิ้นปลายโดยตรง ซึ่งหน้าที่ที่จะทำให้เล็บของเสือกางออกนั้นต้องอาศัยกล้ามเนื้อเฟล็กซอ '' (Flexo) '' หดตัวดีงเอาเส้นเอ็นส่วนล่างทำให้กระดูกนิ้วชิ้นปลายดีดตัวออกมา ผลลัพธ์สุดท้ายของกลไกลนี้ก็คือกรงเล็บที่กางออกมาจากปลอกเนื้อบริเวณอุ้งเท้าของเสือ จะกางออกเต็มที่พร้อมตะปบเหยื่อในการล่า

=== หาง ===
[[ไฟล์:Leopard on the tree.jpg|200px|thumb|เสือดาวจะมีหางใหญ่และยาวเพื่อใช้ถ่วงน้ำหนักตัวเวลาปีนต้นไม้]]

สัตว์ในกลุ่มเสือแต่ละชนิดแต่ละสกุลจะมี[[หาง]]ที่ยาวไม่เท่ากัน สัตว์ในกลุ่มเสือและแมวที่มีหางยาวและใหญ่แสดงว่าชอบหากินหรือพักผ่อนบนต้นไม้ เช่นเสือดาว เสือลายเมฆ แมวลายหินอ่อน แมวดาวเป็นต้น เสือเหล่านี้จะมีลักษณะหางที่ยาวและใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว ซึ่งหางที่ยาวและใหญ่นี้จะช่วยถ่วงน้ำหนักและเลี้ยงตัวขณะที่มันไต่ไปตามกิ่งไม้

สัตว์ในกลุ่มเสือที่มีหางสั้นและเล็กแสดงว่าชอบหากินบนพื้น[[ดิน]]เป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นหรือเหตุจวนตัวก็จะไม่ไต่ขึ้นไปบนต้นไม้เช่น เสือปลา แมวป่าหัวแบน เป็นต้น ซึ่งถ้าเปรียบเทียบระหว่างเสือโคร่งและเสือดาวจะพบว่าเสือดาวมีหางที่ยาวและใหญ่กว่าเสือโคร่งมาก ซึ่งแสดงว่าเสือดาวชอบปีนป่ายต้นไม้และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้มากกว่าเสือโคร่ง แม้เสือดาวอาจจะกระโดดได้ไม่สูงเท่ากับเสือโคร่งแต่มันก็ปีนต้นไม้เก่งเหมือนกับแมวเพราะใช้หางที่ยาวและใหญ่ช่วยในการเลี้ยงลำตัวไม่ให้พลาดตกลงมาจากต้นไม้

=== เขี้ยวและฟัน ===

[[ไฟล์:Tigergebiss.jpg|left|200px|thumb|เขี้ยวของเสือ]]

เสือมีเขี้ยวและฟันอันแหลมคมเป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ โดยปกติแล้วฟันของเสือประกอบไปด้วยฟันตัดหรือฟันหน้า เขี้ยว ฟันกรามหน้า และฟันกราม ลักษณะของฟันหน้าจะเล็กและตั้งตรง ไม่มีหน้าที่ใดพิเศษในการใช้งาน เขี้ยวจะมีลักษณะที่แหลมยาวและโค้งเล็กน้อยทำหน้าที่สำหรับกัดสังหารเหยื่อและไว้จับชิ้นเนื้อไม่ให้หลุดออกจาก[[ปาก]] ส่วนฟันกรามทั้งหมดมีลักษณะที่แหลมคมเหมือนกับใบมีดทำหน้าที่สำหรับตัดชิ้นเนื้อ

เสือมีโครงสร้างของฟันโดยแบ่งออกเป็น[[ฟันน้ำนม]] 24 ซี่และจะผลัดเปลี่ยนเป็น[[ฟันแท้]]ทั้งหมดเมื่อเสืออายุย่างเข้า 5 เดือน โดยจะมีฟันหน้าซ้ายขวาอย่างละ 3 ซี่ เขี้ยวด้านซ้ายและขวาอย่างละ 1 ซึ่ ฟันกรามด้านหน้าข้างซ้าย 2 - 3 ซี่ ฟันกรามด้านหน้าขวา 2 ซี่ ฟันกรามซ้ายขวาข้างละ 1 ซี่ เมื่อรวมจำนวนฟันบนและล่างทั้งหมดแล้ว เสือมีฟันทั้งหมด 28 ซี่หรือ 30 ซี่ โครงสร้างฟันของเสือถูกพัฒนามาให้เหมาะกับลักษณะการกินอาหารของสัตว์กินเนื้อ โดยจะเน้นที่การจับและตัดชิ้นเนื้อของอาหารมากกว่าบดเคี้ยว สัตว์กินเนื้อมีโครงสร้างของฟันที่แตกต่างกันเนื่องจากการใช้งานของฟันที่แตกต่างกัน เช่น ฟันกรามของ[[สุนัขจิ้งจอก]]มีหน้าตัดที่กว้างเพื่อใช้บดเคี้ยวกระดูกหรือ[[พืช]] รวมทั้งยังใช้ตัดชิ้นเนื้อได้เช่นเดียวกับสัตว์กินเนื้อในกลุ่มอื่น ๆ แต่สำหรับเสือจะมีแต่ฟันกรามแหลมคมไว้สำหรับตัดชิ้นเนื้อ ไม่มีฟันกรามไว้สำหรับบดเคี้ยว

หมาจิ้งจอกและ[[หมาป่า]]มีฟันกรามมากกว่าฟันของเสือจึงจำเป็นต้องมีลักษณะใบหน้าที่ยื่นออกมารองรับ แสดงให้เห็นว่าสัตว์จำพวก[[สุนัข]]มักจะกัดและจับเหยื่อด้วยกราม ในขณะที่เสือใช้เท้าช่วยจับเหยื่อด้วย เสือมีหน้าสั้นกว่าสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น ๆ เพราะจำนวนฟันของเสือน้อยกว่าแต่ก็เป็นข้อได้เปรียบทำให้เสือเพิ่มแรงกดที่เขี้ยวได้มากยิ่งขึ้นเพราะเขี้ยวของเสือจะอยู่ใกล้กับจุดต่อของกราม รวมทั้งกรามก็ได้พัฒนาการให้แข็งแรงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การกัดได้อย่างรุนแรงและหนักหน่วงก็เพื่อฆ่าเหยื่อให้ตายเร็วขึ้นนั่นเอง

เสือเป็นสัตว์กินเนื้อซึ่งจับสัตว์กินพืชเป็นอาหารมากกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ขนาดของเหยื่อมักจะมีน้ำหนักประมาณครึ่งหนึ่งของน้ำหนักของมัน เสือจะซุ่มย่องเข้าหาเหยื่อ วิ่งไล่ตะครุบและกัดเหยื่อด้วยเขี้ยวคมและฟันกรามอันแข็งแรง มักจะออกล่าเหยื่อตามลำพังโดยไม่มีการแบ่งปันอาหาร และจะล่าเหยื่อเมื่อมันหิวเท่านั้น เมื่ออิ่มเสือจะไม่ล่าเหยื่อจนกว่ามันจะเริ่มหิวอีกครั้งเท่านั้น

== การสืบสายพันธุ์ ==
[[ไฟล์:Panthera tigris sumatran subspecies.jpg|200px|left|thumb|เสือจะอยู่ตามลำพังตัวเดียวยกเว้นฤดูผสมพันธุ์]]

เสือเป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ภายในป่านอกจากในช่วงฤดูผสมพันธุ์เท่านั้นเสือจึงจะอยู่เป็นคู่<ref>องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=220:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B3&Itemid=781&lang=th เสือดาว,เสือดำ] สารานุกรมสัตว์</ref><ref name="เสือโคร่ง">องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=217:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87&Itemid=781&lang=th เสือโคร่ง] สารานุกรมสัตว์</ref><ref>องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=218:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C&Itemid=781&lang=th เสือจากัวร์] สารานุกรมสัตว์</ref> (ยกเว้นสิงโตเท่านั้นที่จะอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยมีสิงโตตัวผู้เป็นจ่าฝูง<ref>องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=214:%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%95&Itemid=781&lang=th สิงโต] สารานุกรมสัตว์</ref>) ในช่วงเวลาจับคู่เพื่อผสมพันธุ์กันนี้ เสือตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเป็นช่วง ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเสือตัวผู้ เสือจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 2 - 8 ปี แต่เสือจะให้ลูกเสือที่แข็งแรงดีก็ต่อเมื่อเสือตัวเมียมีอายุมากขึ้น โดยปกติแล้วเสือตัวเมียเกือบทุกชนิดจะตก[[ไข่]]หลายครั้งใน 1 ปี แต่มักจะให้กำเนิดลูกเสือเพียงครั้งเดียว ซึ่งเสือบางชนิดอาจให้กำเนิดลูกเสือ 2 ตัวได้ 2 ครั้งต่อ 1 ปี ขณะที่เสือที่มีขนาดใหญ่อาจให้ลูกเพียง 1 ครั้งในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปี

ระยะเวลาตั้งครรภ์ของเสือและแมวอยู่ระหว่าง 55 - 119 วัน ขึ้นอยู่กับชนิด มักให้ลูกครอกหนึ่งตั้งแต่ 1 - 6 ตัว ลูกอ่อนของเสือจะมองไม่เห็นในช่วงระยะเวลา 7 - 10 วันแรกหลังจากคลอดและจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกเสือเกิดใหม่มักจะมีจุดอยู่ตามลำตัวและจะอยู่กับแม่เสือตลอดเวลา เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในธรรมชาติจนกว่าจะเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถที่จะออกล่าเหยื่อได้ด้วยตนเอง จึงจะออกไปใช้ชีวิตหากินตามลำพังเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของมัน<ref name="สัตว์ป่าเมืองไทย">บุญส่ง เลขะกุล, สัตว์ป่าเมืองไทย, บริษัทการพิมพ์สตรีสาร, กรุงเทพฯ, 2498</ref>

ความสามารถในการสืบสายพันธุ์นั้น สัตว์ชนิดเดียวกันเท่านั้นจึงจะผสมพันธุ์กันได้ สัตว์ต่างสายพันธุ์จะไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้แม้ว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกันก็ตาม ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการวิวัฒนาการ การจำกัดวงของ[[การสืบพันธุ์]]ไม่ใช่กฎตายตัวของกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์ใกล้ชิดกัน ลูกผสมของสิ่งมีชีวิตอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เช่นเสือขนาดใหญ่ในกรงเลี้ยงที่สามารถผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์สำเร็จได้แก่ การผสมสายพันธุ์ระหว่างเสือโคร่งกับสิงโต ลูกผสมระหว่างเสือโคร่งและสิงโตคือ [[ไทกอน|เสือโต]] หรือ ''Tigon'' (Tiger+Lion) เกิดจากเสือโคร่งเพศผู้กับสิงโตเพศเมีย และ [[ไลเกอร์|สิงโคร่ง]] หรือ ''Liger'' (Lion+Tiger) เกิดจากสิงโตเพศผู้กับเสือโคร่งเพศเมีย นอกจากนี้ยังสามารถที่จะผสมสิงโตกับเสือดาว เสือจากัวร์กับเสือดาว ได้อีกด้วย

เสือโคร่งกับสิงโตจะให้ลูกผสมที่มีขนาดใหญ่กว่าเสือดาวและสิงโต มีขนสีน้ำตาลเหลืองแบบเดียวกับสิงโตแต่จะเข้มกว่ามาก และมีลายขวางลำตัวสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับเสือโคร่งแต่ลายมักจะไม่ต่อเนื่อง บางแห่งอาจจะมีลายดอกที่แตกออกเป็นแฉก ๆ ส่วนลูกผสมระหว่างสิงโตกับเสือดาวจะเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับสิงโตและจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับสิงโตมากกว่าเสือดาว ลูกผสมตัวผู้จะมีขนที่แผงคอ หางฟูและมีลายขยุ้มตีนหมาตามลำตัวแบบเดียวกับเสือดาวอีกด้วย''

การผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์นั้นเกิดขึ้นได้ยากมากในธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะผสมพันธุ์เฉพาะในกลุ่มของตนเอง เพื่อสืบทอดลักษณะต่าง ๆ ต่อไปยังลูกหลาน ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันนั้นจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แต่การวิวัฒนาการก็ทำให้สัตว์แต่ละชนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง จนทำให้ไม่สามารถผสมพันธุ์กับเครือญาติของมันได้ในธรรมชาติ

== ถิ่นอาศัยและการล่าเหยื่อ ==



เสือเป็นสัตว์ที่หวงถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมากเสือที่มีขนาดใหญ่เมื่อย้ายที่อยู่ชั่วคราวจะแผดเสียงร้องคำรามเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ชนิดอื่นหรือเสือด้วยกัน เข้าไปอาศัยใน[[ป่า]]หรือ[[ถ้ำ]]เดิมของมัน ซึ่งเสือมักจะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังเพียงตัวเดียว ออกหากินเฉพาะในอาณาเขตหรือถิ่นของมัน และจะคุ้มครองเขตแดนของตนไว้ หากมีการล้ำเขตแดนก็อาจจะเกิดการเผชิญหน้ากับจนถึงขั้นต่อสู้ เว้นเสียแต่ว่าเสือจ้าวถิ่นจะมีขนาดเล็กกว่า

โดยปกติแล้วเสือจะพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้หรือการเผชิญหน้ากัน โดยจะใช้วิธีการสื่อสารให้เสือตัวอื่นรู้ว่าได้ล้ำเขตแดนของตนเข้ามาแล้ว เช่น ทิ้งรอยขูดหรือรอยข่วนตามต้นไม้หรือทางเดินในอาณาเขตของเสือแต่ละตัว<ref>องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=216:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A5&Itemid=781&lang=th เสือโคร่งเบงกอล] สารานุกรมสัตว์</ref> บางครั้งเสือจะ[[ปัสสาวะ]]รดรอยเอาไว้เมื่อเสือตัวอื่นเห็นรอยและได้กลิ่นเสือเจ้าถิ่นที่ทำเอาไว้<ref>องค์การสวนสัตว์ [http://www.zoothailand.org/index.php?option=com_k2&view=item&id=219:%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2&Itemid=781&lang=th เสือชีต้า] สารานุกรมสัตว์</ref> มันจะรู้ว่าเป็นรอยเก่าหรือรอยใหม่ ถ้ายังเป็นรอยใหม่มันจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันและไปใช้พื้นที่อื่น การเผชิญหน้ากันระหว่างเสือจ้าวถิ่นและเสือตัวอื่นจึงไม่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก โดยปกติแล้วเสือเป็นสัตว์กินเนื้อไม่ใช่สัตว์กินซากพืชหรือซากสัตว์ การล่าเหยื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีชีวิตรอดในธรรมชาติ แม้ว่าเสือจะมีร่างกายที่มีพละกำลัง ปราดเปรียวว่องไวและเขี้ยวเล็บที่แหลมคม แต่การมีชีวิตรอดในธรรมชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การแย่งอาหารหรือการเผชิญหน้ากันก็อาจจะเกิดขึ้นไปตลอดเวลา

เสือเป็นสัตว์รักสงบแต่เมื่อต้องล่าเหยื่อมันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและดุร้ายที่สุด เสือมีความอดทนสูงในการรอคอยให้เหยื่อเผลอ มันจะพรางตัวซุ่มรอคอยเหยื่อโดยอาศัยสีขนและลายตามลำตัวที่กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม หากเหยื่อทำท่าเหมือนจะรู้ตัวมันจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มันจะคอยหรือเดินตามเหยื่อไปห่าง ๆ ขณะที่ตาก็จับจ้องเหยื่ออยู่ตลอดเวลา และมีการมองเห็นเป็นเลิศ โดยสามารถสังเกตเห็นแม้ว่าเหยื่อจะแอบอยู่ในพุ่มไม้หรือพงหญ้า และเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเสือใช้ความสามารถในการมองเห็นร่วมกับการดมกลิ่นและการฟังด้วย เสือสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกล และสามารถจำแนกเสียงทั่วไปที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ กับเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเหยื่อได้<ref name="ธรรมชาติของนานาสัตว์ เล่ม 2">บุญส่ง เลขะกุล, สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, กรุงเทพฯ, 2505</ref>

การจู่โจมเหยื่อของเสือเป็นไปตามสัญชาตญาณ ในกรณีของเหยื่อที่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง เสือจะเข้าจู่โจมทางทิศที่เหยื่อป้องกันตัวเองไม่ได้ คือจะกระโดดเข้าตระครุบเหยื่อในแนวเฉียงจากทางด้านหลัง เมื่อเสือได้ยินเสียงมันจะยกหางขึ้นและหันหน้าไปทางต้นกำเนิดเสียง ถ้าหากเป็นเสียงเหยื่อเคลื่อนไหวเสือจะสำรวจบริเวณโดยรอบก่อนแล้ว จึงจะนั่งซุ่มมองดูท่าทีของเหยื่อผ่านดงหญ้าหรือพุ่มไม้ด้วยดวงตาแหลมคม และค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เหยื่อจนกระทั่งอยู่ในระยะที่สามารถกระโจนเข้าหาเหยื่อได้อย่างง่ายโดยอาศัยฝีเท้าอันเงียบกริบโดยการหดเล็บซ่อนเอาไว้ในอุ้งเท้า ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่พบในสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น และเมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสมมันจะย่อขาหลังลงอยู่ในท่าพร้อมกระโจนออกไป ปลายหางมีอาการกระตุกไปมา ขาด้านหน้าแยกออกจากกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัวและกระโจนเข้าตะปบเหยื่อ แต่สำหรับการจู่โจมเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ของเสือที่มีขนาดใหญ่นั้น ในจังหวะสุดท้ายเสือจะเข้าตะครุบเหยื่อในระยะประชิดตัวโดยใช้เท้าหลังยึดกับพื้น ส่งกำลังโถมตัวสูงขึ้นพร้อมกับใช้อุ้งเท้าหน้าเข้าตะปบเหยื่อ

ข้อได้เปรียบของการใช้เท้าหลังยึดกับพื้นแทนการกระโดดเข้าตะครุบคือ การทรงตัวอันมั่นคงที่พร้อมจะจู่โจมหรือรับมือกับการต่อสู้ ในจังหวะต่อมาหรือผละถอยถ้าจำเป็น นอกจากนี้เท้าหลังยังช่วยให้มันเคลื่อนตัวไล่ติดตามเหยื่อได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเหยื่อจะขยับตัวหนีในจังหวะเดียวกับที่มันโถมตัวเข้าตะครุบเหยื่อแล้วก็ตาม ซึ่งหลังจากที่เสือใช้อุ้งเท้าเพียงหนึ่งหรือสองข้างตะปบเหยื่อแล้ว มันจะกัดเหยื่อทันทีซึ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมากและเป็นไปโดยอัตโนมัติ คือจะมุ่งยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดกับอุ้งเท้าด้านหน้าข้างที่มันใช้ตะปบเหยื่อ โดยส่วนใหญ่จึงเป็นตำแหน่งบริเวณสันหลัง ไหล่หรือค่อนไปทางสะโพก แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย ดังนั้นเสือจึงจะจู่โจมต่ออย่างรวดเร็วด้วยการกัดตรงหลังคอของเหยื่อซึ่งจะทำลายระบบประสาทและทำให้เหยื่อตายทันที

== เสือในประเทศไทย ==

เสือและแมวที่ค้นพบใน[[ประเทศไทย]]มีทั้งหมด 9 ชนิด <ref name="เสือ จ้าวแห่งนักล่า"/>ได้แก่ แมวลายหินอ่อน เสือปลา แมวดาว แมวป่าหัวแบน แมวป่า เสือไฟ เสือลายเมฆ เสือดาวและเสือโคร่ง ซึ่งจัดอยู่ใน 3 สกุล ซึ่งใช้วิธีการจำแนกสกุลตาม ''Ellerman'' และ ''Morrison-Scott'' คือ

* แมวสกุล ฟีลิส '' (Felis) '' มี 6 ชนิดจาก 29 ชนิดในโลกคือ แมวลายหินอ่อน เสือปลา แมวดาว แมวป่าหัวแบน แมวป่าและเสือไฟ
* เสือสกุล นีโอฟีลีส '' (Neofelis) '' มี 1 ชนิดจาก 2 ชนิดทั่วโลกคือ เสือลายเมฆ
* เสือสกุล แพนเทอรา '' (Panthera) '' มี 2 ชนิดจาก 5 ชนิดทั่วโลก ได้แก่ เสือดาว เสือโคร่ง

ปัจจุบันเสือโคร่ง เสือดาว เสือลายเมฆ เสือไฟ แมวป่า แมวป่าหัวแบนและแมวลายหินอ่อน นับเป็นสัตว์ป่าที่หายากใกล้สูญพันธุ์ไปจากเมืองไทย โดยเฉพาะแมวป่า แมวป่าหัวแบนและแมวลายหินอ่อนซึ่งไม่พบเห็นในป่าธรรมชาติมาเป็นระยะเวลานาน แม้แต่ในสวนสัตว์ก็หาดูได้ยากมาก ส่วนเสือที่ทำการเลี้ยงโดยมนุษย์ในสวนสัตว์ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย คือ [[สวนเสือศรีราชา]]

=== สถานะทาง[[อนุกรมวิธาน]]ในปัจจุบัน ===

นักอนุกรมวิธาน จัดเสือและแมวทั้ง 9 ชนิดที่พบในประเทศไทย ให้อยู่ในอันดับสัตว์กินเนื้อ (Order [[Carnivora]]) วงศ์เสือและแมว (Family [[Felidae]]) แบ่งออกได้เป็น 2 วงศ์ย่อย ([[Subfamily]]) 6 สกุล ([[Genera]]) 9 ชนิด ([[Species]]) ดังนี้

* '''วงศ์ย่อยแมว (Subfamily Felinae) ''' - บางชนิดคนไทยเรียกเป็นเสือขนาดเล็ก
** [[แมวป่า]] หรือ เสือกระต่าย ''Felis chaus''
** [[แมวลายหินอ่อน]] ''Pardofelis marmorata''
** [[แมวดาว]] ''Prionailurus bengalensis''
** [[แมวป่าหัวแบน]] ''Prionailurus planiceps''
** [[เสือปลา]] ''Prionailurus viverrinus''
** [[เสือไฟ]] ''Catopuma temminckii''

* '''วงศ์ย่อยเสือขนาดใหญ่ (Subfamily Pantherinae) '''
** [[เสือลายเมฆ]] ''Neofelis nebulosa''
** [[เสือดาว]] ''Panthera pardus''
** [[เสือโคร่ง]] ''Panthera tigris''

== เสือกับมนุษย์ ==
เสือถูกใช้เป็น[[สัญลักษณ์]]ของพลังอำนาจและความน่าเกรงขามมาตั้งแต่โบราณ เช่นเดียวกับ[[สิงโต]] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[วัฒนธรรม]]ทางแถบ[[เอเชีย]] โดยเฉพาะเสือโคร่ง เสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

ใน[[โหราศาสตร์จีน]] เป็นหนึ่งใน 12 [[นักษัตร]] โดยเป็นนักษัตรที่ 3 เรียกใน[[ภาษาไทย]]ว่า "[[ปีขาล|ขาล]]" เรียกใน[[ภาษาจีน]]ว่า "โฮ่ว" (虎) โดยเชื่อว่าคนที่เกิดปีขาลจะสมพงศ์กับคนที่เกิด[[ปีกุน]] หรือปี[[หมู]] และจะเป็นปรปักษ์กับคนที่เกิด[[ปีวอก]] หรือปี[[ลิง]]

นอกจากนี้แล้วใน[[ความเชื่อ]]เรื่อง[[ไสยศาสตร์]]จีน ยังมี[[ยันต์]]รูปเสือคาบ[[ดาบ]] ที่เชื่อว่าสามารถขับไล่ภูต[[ผี]][[ปีศาจ]]หรือสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ ให้ออกไปได้<ref>[http://www.fengshuihut.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=423355&Ntype=5 เสือคาบดาบกับยันต์แปดทิศ] บ้านฮวงจุ้ย สืบค้นวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553</ref> โดยยันต์ชนิดนี้จะนิยมติดตามหน้าบ้านหรือเหนือบานประตูหรือตามทางแยกต่าง ๆ มักนิยมใช้ควบคู่กับ[[ยันต์ 8 ทิศ]] และยังมี[[นิทาน]]พื้นบ้านเกี่ยวกับเสืออีกหลายเรื่อง เช่น เรื่องของบู๋ซ้ง ซึ่งเป็นผู้กล้าที่สามารถฆ่าเสือได้ด้วยมือเปล่า นับเป็นหนึ่งในผู้กล้าของ[[วรรณคดี]]ชิ้นเอกของจีน เรื่อง [[ซ้องกั๋ง]] เป็นต้น

ส่วนในวัฒนธรรมไทย เสือเป็นหนึ่งใน[[พยัญชนะไทย|พยัญชนะ]] 44 ตัว โดยเป็นตัวที่ 40 เรียกว่า [[ส|ส.เสือ]] จัดอยู่ใน[[อักษรสูง]] และความหมายโดยปริยายของเสือใน[[ภาษาไทย]] จะหมายถึง บุคคลที่มีความเก่งกล้า กล้าหาญ หรือดุร้าย จะถูกขนานนามให้เป็นเสือ เช่น ทหารเสือ, เสือป่า, เสือพราน และใช้เป็นคำนำหน้าชื่อของ[[โจร]]ร้ายในอดีตด้วย เช่น [[เสือดำ (โจร)|เสือดำ]], [[เสือใบ]], [[เสือมเหศวร]] เป็นต้น ในความเชื่อไสยศาสตร์ บุคคลที่เล่น[[เวทมนตร์]]คาถาต่าง ๆ จนไม่อาจควบคุมได้จะถูกมนต์ดำเหล่านี้เข้าสู่ตัว กลายเป็นเสือผีไป เรียกว่า "[[เสือสมิง]]" เชื่อว่าบุคคลที่เป็นเสือสมิงจะสามารถุแปลงร่างเป็นเสือได้ในเวลากลางคืน เพื่อหาเหยื่อที่ส่วนมากเป็นนายพรานที่ดักซุ่มยิงสัตว์ในป่า โดยแสร้งเป็นคนไปตามให้ลงจากห้าง เมื่อลงมาก็จะกลายร่างเป็นเสือเพื่อจัดการ และยังมีการสักยันต์ชนิดหนึ่งที่เชื่อว่า ทำให้ผู้สักมีอำนาจบารมี น่าเกรงขาม ชื่อว่า ยันต์เสือเผ่น โดยมากจะนิยมสักกันที่หน้าอกของชายหนุ่ม

นอกจากนี้แล้วยังมีภาษิตคำพังเพยหรือสำนวนเปรียบเทียบที่มีเสือเข้ามาเกี่ยวด้วยมากมาย เช่น ''เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้'' หมายถึง คนเก่งสองคนอยู่ร่วมกันไม่ได้, ''ชาติเสือไว้ลาย ชาติชายไว้ชื่อ'' หมายถึง ความเป็นชายชาตรีต้องไว้ชื่อลือชา, ''หน้าเนื้อใจเสือ'' หมายถึง คนที่มองดูภายนอกเหมือนคนซื่อหรือคนดี แต่ที่จริงแล้วเป็นคนร้าย เป็นต้น


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:30, 20 ธันวาคม 2565

เสือ
เสือโคร่งไซบีเรีย (Panthera tigris altaica) สัตว์จำพวกเสือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ แก้ไขการจำแนกนี้
โดเมน: ยูแคริโอต
อาณาจักร: สัตว์
ไฟลัม: สัตว์มีแกนสันหลัง
ชั้น: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
อันดับ: อันดับสัตว์กินเนื้อ
อันดับย่อย: เฟลิฟอเมีย
วงศ์ใหญ่: Feloidea
วงศ์: เสือและแมว
สายพันธุ์

เสือ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ฟิลิดีซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือมักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่า[1]และอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม[2] รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีสัตว์ที่อยู่ในวงศ์เสือและแมวประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย เสือคือเสือแต่เสือคือสิ่งมีฃีวิต

อ้างอิง

  1. ศูนย์สารสนเทศ ราชบัณฑิตยสถาน เสือ เก็บถาวร 2009-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542
  2. เสือ

แหล่งข้อมูลอื่น