ข้ามไปเนื้อหา

ผู้ใช้:PhakkaponP/กระบะทราย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บนโช
ระฆังขนาดใหญ่สีแกมเขียมอมเทาแขวนจากเพดานคานไม้
บนโช ที่เรียวอันจิ สึกิซะ ทรงดอกบัว (จุดตีระฆัง) มองเห็นได้จากด้านหน้า และคานแขวนที่รู้จักในชื่อ ชูโมกุ ปรากฏเป็นพื้นหลัง
เครื่องกระทบ
ชื่ออื่น
  • สึริงาเนะ
  • โองาเนะ
ประเภท
Hornbostel–Sachs classification111.242.121
(Hanging bells without internal strikers)
คิดค้นเมื่อยุคยามาโตะ (ได้รับต้นแบบจากระฆังจีนตอนต้น)
เครื่องดนตรีที่เกี่ยวข้อง

บนโช (ญี่ปุ่น: 梵鐘โรมาจิBonshō; ระฆังพุทธ) หรือที่รู้จักในชื่อ สึริงาเนะ (ญี่ปุ่น: 釣り鐘โรมาจิTsurigane; ระฆังแขวน) หรือ โองาเนะ (ญี่ปุ่น: 大鐘โรมาจิŌgane; มหาระฆัง) เป็นระฆังขนาดใหญ่ที่พบได้ในวัดพุทธทั่วประเทศญี่ปุ่น ใช้เพื่อเรียกประชุมในหมู่พระสงฆ์ให้ทำวัตรและส่งสัญญาณบอกเวลา นอกจากจะมีกระดิ่งอยู่ภายในตัวระฆัง บนโชสามารถตีให้เกิดเสียงได้จากด้านนอกด้วยไม้ตะลุมพุกหรือขอนไม้ที่แขวนห้อยไว้ด้วยเชือก

ระฆังทำมาจากทองสัมฤทธิ์ด้วยการหล่อแบบหล่อชั่วคราว (expendable mould casting) บนโชมักตกแต่งด้วยลายดอกประจำรอยต่อ (boss) แถบสันนูนสูง และรอยจารึกที่หลากหลาย ระฆังที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่ราว ค.ศ. 600 แม้แบบทั่วไปของระฆังมีลักษณะคล้ายระฆังจีนที่สร้างขึ้นก่อนหน้าบนโชก็ตาม เสียงที่แหลมและก้องกังวาลของระฆังสามารถส่งเสียงออกไปได้ไกล นำไปสู่การใช้เป็นสัญญาณ การรักษาเวลา และการปลุกจากการนอนหลับ นอกจากนี้ มีความเชื่อว่าเสียงของระฆังมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติ กล่าวคือ เสียงจากบนโชสามารถได้ยินถึงในยมโลก

ความสำคัญทางจิตวิญญาของบนโช คือการที่ระฆังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันปีใหม่และเทศกาลบง จากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่ผ่านมา ระฆังเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าและตำนาน ทั้งเรื่องแต่งขึ้น อย่าง ระฆังเบ็งเกของวัดมิอิดาระ และทั้งทางประวัติศาสตร์ อย่าง ระฆังของวัดโฮโกจิ ในปัจจุบัน บนโช กลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพโลก

ที่มา

[แก้]

บนโช ได้รับต้นแบบมาจากbianzhong (henshō (編鐘) ในภาษาญี่ปุ่น) เครื่องดนตรีราชสำนักจีนโบราณที่มีระฆังซึ่งต่างมีเสียงสูงต่ำแตกต่างกันแขวนเรียงอยู่เป็นลำดับ มีการใช้ระฆังขนาดใหญ่อีกใบซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นบนโช เป็นเครื่องตั้งเสียง (tuning device) และใช้เพื่อเชิญให้ผู้ที่ได้ยินเสียง bianzhong มาร่วมฟังการบรรเลง[1] ตามตำนานแล้ว บนโชที่เก่าแก่ที่สุดอาจมาจากประเทศจีนเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นผ่านคาบสมุทรเกาหลี นิฮงโชกิ บันทึกว่า โอโตโมะ โนะ ซาเตฮิโกะ นำระฆังทองสัมฤทธิ์สามใบกลับมาประเทศญี่ปุ่นใน ค.ศ. 562 เป็นสมบัติที่ได้จากชัยชนะเหนืออาณาจักรโคกูรยอ[2]

การก่อสร้าง

[แก้]
หนึ่งในระฆังหลายใบที่วัดมิอิเดระส่งเสียงด้วยชูโมกุ

บนโช หล่อขึ้นเป็นรูปเดียวกันโดยใช้แบบหล่อสองแบบ ได้แก่ แบบหล่อด้านในระฆัง "ไส้แบบ" (core) และ แบบหล่อด้านนอกระฆัง "โครงสร้างเปลือกหอย" (shell) ซึ่งคงไว้ไม่เปลี่ยนตั้งแต่ยุคนาระ (ค.ศ. 710–794)[3] ไส้แบบสร้างจากโดมผนังอิฐที่ทำมาจากทรายแข็งตัว (hardened sand) ขณะที่โครงสร้างเปลือกหอยทำขึ้นด้วยกระดานปาด (strickle board) ซึ่งเป็นกระดานไม้ขนาดใหญ่แผ่นเรียบรูปร่างคล้ายรูปตัดตามขวางของระฆังที่ใช้หมุนรอบแกนแนวตั้งเพื่อปาดดินเหนียวให้เกิดเป็นรูปทรงและนำไปใช้เป็นแบบหล่อต่อไป รอยจารึกและรอยแต่งผิวจะแกะสลักหรือประทับลงไปบนดินเหนียว[4] วางแบบหล่อโครงสร้างเปลือกหอยเหนือแบบหล่อไส้แบบพอดีเพื่อสร้างช่องว่างแคบ จากนั้นจึงเททองสัมฤทธิ์เหลวลงแบบหล่อที่อุณหภูมิกว่า 1,050 องศาเซลเซียส (1,920 องศาฟาเรนไฮต์) โดยทั่วไปแล้วอัตราส่วนของโลหะเจือคือประมาณ 17:3 ทองแดงต่อดีบุก สารผสมเพิ่มที่แน่นอน (รวมถึงความเร็วของกระบวแนการชุบลงน้ำเย็น) ล้วนส่งผลให้เกิดเสียงของระฆังแตกต่างกันไป

หลังจากที่เหล็กได้เย็นลงและแข็งตัว จะนำแบบหล่อออกด้วยการทุบให้แตก จึงต้องสร้างแบบหล่อใหม่สำหรับระฆังทุกใบ ขั้นตอนนี้มีอัตราความผิดพลาดสูง มีเพียงแค่ร้อยละ 50 ของการหล่อที่สามารถทุบแบบหล่อให้แตกได้โดยไม่มีรอยร้าวหรือตำหนิตั้งแต่รอบแรก[1]

แผนภาพแสดงส่วนต่าง ๆ ของระฆังวัดญี่ปุ่น

ตามธรรมเนียมแล้ว การหล่อจะทำไปพร้อม ๆ กับการสวดพระสูตรที่อาจจะสวดต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง มีการใส่ผ้ายันต์ กิ่งหม่อนศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องบูชาอื่น ๆ เพิ่มลงไปในทองสัมฤทธิ์หลอมละลายในกระบวนการหล่อ[1][5][6]

บนโชมีหลายส่วนอันได้แก่:[7][8]

  • รีวซู (竜頭), ที่จับหรือแขวนลายมังกรเหนือตัวระฆัง
  • คาซางาตะ (笠形), ยอดกลมโค้งระฆัง
  • ชิ หรือ นีว (乳), ลายดอกประจำรอยต่อรอบช่วงบนของระฆัง ช่วยทำให้เกิดความก้องกังวาลมากยิ่งขึ้น
  • โคมะโนะสึเมะ (駒の爪), ขอบล่าง
  • สึกิซะ (撞座), แป้นตีระฆัง มักตกแต่งด้วยแม่ลาย (motif) ดอกบัวหรือดอกเบญจมาศ[9]
  • ทัตสึกิ (竜貴), เครื่องตกแต่งแถบสันนูนสูงตามแนวนอน
  • เมบุง (銘文), รอยจารึก (มักบอกประวัติของระฆัง)
  • ชูโมกุ (手木), ขอนไม้ใช้เพื่อตีสึกิซะ

ระฆังบางใบยังคงมีแถบรอยตำหนิเป็นเส้นตรงหลงเหลือจากจุดต่อในแบบหล่อที่ใช้ซึ่งไม่ได้นำออกระหว่างขั้นตอนการแต่งผิว (fettling) เพราะรอยดังกล่าวได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของความงามระฆังในภาพรวม[4] ช่างสร้างระฆังตั้งใจทำให้รูปทรงและเสียงของระฆังเป็นไปตามสุนทรียภาพแบบวาบิซาบิ[3]

เสียง

[แก้]

ระฆังวัดญี่ปุ่นนิยมตีจากด้านนอกด้วยไม้ตะลุมพุกหรือขอนไม้แขวนห้อยโดยไม่ใช้กระดิ่งภายในตัวระฆัง[10][11] เสียงของระฆังประกอบด้วยสามส่วน ส่วนแรกคืออาตาริ เสียงกระทบจากการตี ระฆังที่สร้างอย่างดีจะต้องส่งเสียงใสและชัดเจน เสียงแรกที่เกิดขึ้นจากการตีจะตามด้วยโอชิ เสียงก้องกังวาลยาว 10 วินาที หลังการตีระฆัง มีระดับเสียงที่สูงกว่าและมีเสียงดังกระหึ่มที่ต่ำให้บรรยากาศเศร้าโศกและเต็มไปด้วยฮาร์มอนิก จบด้วยโอกูริ เสียงสั่นพ้อง (resonance) ที่ค่อย ๆ เสื่อมหายไปเมื่อระฆังหยุดสั่นความยาวอีกประมาณ 1 นาที นอกจากนี้ ยังมีโอเวอร์โทนฮาร์มอนิกต่อเนื่องตลอดการตีระฆัง[1][2] โทนหลายตัวเหล่านี้สร้างโพรไฟล์ขั้นระดับเสียงที่ซับซ้อน (complex pitch profile)[12]

โทนต่ำและการสั่นพ้องลึกของระฆังทำให้เสียงเดินทางไปยังระยะไกลได้ เสียงตีบนโช ใบใหญ่สามารถได้ยินแม้อยู่ห่างจากระฆัง32 กิโลเมตร (20 ไมล์) ออกไปในวันที่อากาศแจ่มใส[1] ผู้สร้างระฆังเป็นผู้ตัดสินความเหมาะสมของระดับเสียงเมื่อตี ความแตกต่างเพียงเฮิรตซ์เดียวในความถี่มูลฐาน (fundamental frequency) อาจทำให้ต้องหล่อระฆังใหม่ตั้งแต่เริ่ม[5]

การใช้งานและความสำคัญ

[แก้]

บนโช ตั้งอยู่ตามวัดพุทธต่าง ๆ และมักอยู่ในอาคารหรือหอคอยที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะที่เรียกว่าโชโร (鐘楼) บนโชใช้เพื่อตีบอกเวลา[13] และเพื่อเรียกพระสงฆ์ให้มาทำวัตร[14] ในศาสนาพุทธ เสียงของระฆังนั้นถือว่าเป็นเสียงที่ทำให้เกิดความสงบและบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสมาธิ[15] และด้วยรูปร่างของระฆัง (ที่มีไหล่ระฆังลาดเอียงและมีฐานป้าน) ระฆังจึงเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าทรงประทับ (นั่ง) ซึ่งควรได้รับความเคารพในฐานะเดียวกันด้วยการโค้งคำนับ 3 ครั้งก่อนตีเหมือนกับที่กระทำต่อพระพุทธรูป[1]

The sonorous sound of the bell was also used to warn of impending typhoons and as a general alert.[16] Because the ringing of a temple bell could be heard over considerable distances, it was also sometimes used for other signalling purposes; there are records of temple bells being used for military communication from as far back as the Genpei War (1180–1185 CE). Smaller versions were subsequently cast for battlefield use, as the large temple bells were too heavy and unwieldy to transport. These smaller bonshō were used primarily as alarms to warn of enemy attacks; commands were given using drums and conches.[17]

As part of Japanese New Year celebrations, people queue to ring the temple bells 108 times in a ceremony known as Joyanokane (除夜の鐘?, "New Year bells"); the 108 peals of the bell are intended to purge humanity of the 108 earthly temptations.[18][19] During the Buddhist Bon Festival, a special type of bonshō called an ōkubo-ōgane (大久保大鐘?, "great hollow bell") is rung. This bell is hung above a well, and it is believed that the sound of the bell resonates down the well into the underworld, to summon the spirits of the dead. At the end of the festival, another bonshō, called an okurikane (送り鐘?, "sending-back bell"), is rung to send the spirits back and to represent the end of the summer.[1][20]

During World War II the demand for metal for the war effort resulted in many bells being melted down for scrap. As a result, those that survived are generally regarded as important historic artifacts. More than 70,000 bells (approximately 90 per cent of the bonshō then in existence) were destroyed in this way.[1][21] However, rapid production of bells during the post-war period meant that by 1995 the number of temple bells in Japan had returned to pre-war levels.[3]

In the latter half of the 20th century, the World Peace Bell Association was set up in Japan, with the purpose of funding and casting temple bells to be placed around the world as symbols of peace.[22][23] Bonshō have also been cast in response to natural disasters such as the 2011 Tōhoku earthquake and tsunami; several affected communities commissioned bells to commemorate the event.[3]

Bonshō have occasionally been used as musical instruments in modern compositions. The recorded sound of temple bells was used in Mayuzumi Toshiro's piece Olympic Campanology, used to open the 1964 Tokyo Olympic Games.[24] A temple bell is also used in performances of Jacob Druckman's piece Lamia, in which it is rung while placed on top of a kettledrum.[25] Modern composers for percussion have sometimes used the temple bell to replace the now common sound of the orchestral tam-tam.[26]

Notable examples

[แก้]

The oldest known bonshō (and the oldest bell in the world still in use) is the Okikicho bell at Myōshin-ji, which was cast in 698.[27] The largest is the bell at Chion-in, which was commissioned in 1633 and weighs 74 tons. It requires a twenty-five man team to sound it.[28]

An ukiyo-e woodblock print, in three panels, depicting a muscular man dragging a large bell up a hillside
Toyohara Chikanobu, The Giant Bell, ป. 1890 ukiyo-e triptych depicting Benkei stealing the Mii-dera bonshō

During the 17th century the bonshō was also a symbol of a temple's leadership; possession of the bell indicated ownership of the associated temple. As a result, bells were often stolen; the folk hero Benkei is said to have dragged the three-ton bell of Mii-dera temple up Mount Hiei during one such theft.[29][30][31] The deep scratches in the Benkei bell, which is still displayed at Mii-dera, are said in the legend to be the result of Benkei's kicking the bell all the way back to the monastery when he discovered that it would not toll for him.[32] The Benkei bell is also associated with the legendary hero Tawara Tōda, who originally donated it to the Mii-dera temple. He acquired it as a gift from the dragon deity Ryūjin, after saving the god from a giant centipede.[33]

A close-up of Japanese script carved into a grey metallic surface; several characters are highlighted
"Kokka ankō"; the disastrous inscription of the Hōkō-ji bell

After the Hōkō-ji temple burned down at the start of the 17th century, Toyotomi Hideyori sponsored its reconstruction in 1610, and commissioned a large bell as part of that process. The bell's inscription drew the ire of Tokugawa Ieyasu, who had become shōgun after wresting power from the Toyotomi clan when Hideyori's father Hideyoshi died. The inscription, "Kokka ankō" (国家安康?, 'Peace and tranquility for the nation'), broke up the characters for the shogun's name (家康) with the kanji for "peace" (). Tokugawa assumed Toyotomi was implying that peace would require the "dismemberment" of the Tokugawa. He used the subsequent dispute as an excuse to wage war on the Toyotomi clan, resulting in the siege of Osaka and the eventual destruction of the Toyotomi.[34][35][36]

A bronze bonshō was among the gifts presented to Commodore Matthew Perry upon his arrival in Japan.[37] Cast by bellmakers from the Suwa family of Higo Province, it is now held in the collection of the Smithsonian Institution.[38]

The Noh play [] ข้อผิดพลาด: {{Langx}}: ไม่มีข้อความ (ช่วยเหลือ)โรมาจิ道成寺ทับศัพท์Dōjōji, one of the only Noh plays to feature a prop of any significant size, is based on a legend concerning the bell of Dōjō-ji. In the story a woman named Kiyohime, the spurned mistress of a Buddhist priest named Anchin, traps her lover inside the temple's bell and then kills him by turning into a snake, coiling around the bell, and cooking him in it.[39] The play was later adapted for kabuki, entitled Musume Dōjōji (娘道成寺?, "The Maiden at Dojoji Temple").

The bell of the Nishi-Arai Daishi Temple in Tokyo was removed in 1943, to be melted down as part of the Japanese war effort. The crew of the USS Pasadena found it on a scrap heap and took it with them to the US as a war trophy, donating it to the city of Pasadena; the city council returned the bell to Tokyo in 1955.[40] A similar story accompanies the bell of Manpuku-ji, which was taken to the United States on the USS Boston after the war; in this case, however, the Sendai authorities allowed the bell to remain in Boston as a symbol of friendship between the two cities. The Boston bell is the last WWII bonshō in the United States.[41]

The Japanese Peace Bell at the headquarters of the United Nations in New York was donated by Japan in 1954 as a symbol of world peace. It was created using metal reclaimed from coins and medals provided by donors from around the globe.[42] Similar bells representing a commitment to the cause of world peace can be found in many civic areas, including Hiroshima's Peace Memorial Park.[43] In 1995, the city of Oak Ridge, Tennessee, erected a four-ton peace bell – a replica of one of the Hiroshima bells – in the city centre as part of its fiftieth-anniversary celebrations, and to strengthen ties with Japan. The Oak Ridge Friendship Bell is decorated with dates relating to Oak Ridge's connection to Japan (the uranium used in the Hiroshima atomic bomb was produced in Oak Ridge).[44] In 1998, a local citizen sued the city over the bell, claiming that it was a Buddhist symbol and violated local laws and the US Constitution. The case was ruled in favour of the City of Oak Ridge.[45]

See also

[แก้]

References

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 Gill, Steven Henry (Writer); May, Julian (Producer) (7 March 2010). Heart & Soul: Japan's Buddhist temple bells (Radio documentary). Japan: BBC World Service.
  2. 2.0 2.1 Onozuka, Masakazu (2012). "Tsurikane no O-hanashi" [About Tsurikane] (PDF). IHI Gihō = Journal of IHI Technologies (ภาษาญี่ปุ่น). 52 (3): 32–35. สืบค้นเมื่อ 1 October 2014.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 Kazuyoshi, Harada (7 October 2013). "New Bells with an Age-old Sound: Oigo Seisakusho". Features. Nippon.com. สืบค้นเมื่อ 2 September 2014.
  4. 4.0 4.1 Smith, Cyril Stanley (April 17, 1972). "Penrose Memorial Lecture. Metallurgical Footnotes to the History of Art". Proceedings of the American Philosophical Society. 116 (2): 109. JSTOR 986166.
  5. 5.0 5.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ murata
  6. Smith, D. Ray (8 June 2008). "Oak Ridge International Friendship Bell – Part 1 of casting ceremony". The Oakridger. สืบค้นเมื่อ 16 May 2013.
  7. Frédéric, Louis (2002). Japan Encyclopedia. Harvard University Press. p. 81. ISBN 978-0-674-01753-5.
  8. "Buddhist Temples". Japan National Tourism Organization. สืบค้นเมื่อ 15 May 2013.
  9. "Campanology Word of the Day: Bonshō". Bells.org. Bells.org. สืบค้นเมื่อ 23 August 2022.
  10. Berkley, Rebecca (2006). The Illustrated Complete Musical Instruments Handbook. Flame tree. p. 71. ISBN 978-1-84451-520-2.
  11. Starr, Laura B. (1896). "Japanese Metal Work". The Decorator and Furnisher. 27 (5): 140. doi:10.2307/25583310. JSTOR 25583310.
  12. "Human Hearing". New Technologies. Australian Bell. สืบค้นเมื่อ 2 September 2014.
  13. Tiemersma, Douwe; Oosterling, Henk (1996). Time and Temporality in Intercultural Perspective. Rodopi. p. 97. ISBN 90-5183-973-1.
  14. Malm, William P. (2000). Traditional Japanese Music and Musical Instruments: The New Edition. Kodansha International. p. 74. ISBN 978-4-7700-2395-7.
  15. "Bon-sho (Sacred Bell)". Byodo-in Temple. สืบค้นเมื่อ 15 May 2013.
  16. Price, Percival (1983). Bells and Man. Oxford University Press. p. 48. ISBN 978-0-19-318103-8.
  17. Turnbull, Stephen (20 June 2012). War in Japan 1467–1615. Osprey Publishing. p. 29. ISBN 978-1-78200-018-1.
  18. Baroni, Helen J. (2002). The Illustrated Encyclopedia of Zen Buddhism. The Rosen Publishing Group. p. 306. ISBN 978-0-8239-2240-6.
  19. "In with the New around the World". The Scotsman. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 September 2014. สืบค้นเมื่อ 15 May 2013 – โดยทาง HighBeam Research.
  20. Horton, Sarah (2007). Living Buddhist Statues in Early Medieval and Modern Japan. Palgrave Macmillan. p. 132. ISBN 978-1-4039-6420-5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-10-06.
  21. "What is a Bonsho(梵鐘 temple bell)? : Temples". Japan Two. JESTO Ltd. สืบค้นเมื่อ 15 May 2013.
  22. "Bells & Gongs for Peace (&/or International Friendship) Around the World". Peace Monuments Around the World. สืบค้นเมื่อ 16 May 2013.
  23. "About World Peace Bell". World Peace Bell Association. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2014. สืบค้นเมื่อ 19 August 2014.
  24. Shimazu, Takehito (1994). "The History of Electronic and Computer Music in Japan: Significant Composers and Their Works". Leonardo Music Journal. 4: 103. doi:10.2307/1513190. JSTOR 1513190. S2CID 193084745.
  25. Frank, Andrew (June 1982). "Lamia, for Soprano and Orchestra by Jacob Druckman". Notes. 38 (4): 930. doi:10.2307/940004. JSTOR 940004.
  26. Beck, John H. (26 November 2013). Encyclopedia of Percussion. Routledge. p. 292. ISBN 978-1-317-74768-0.
  27. Rossing, Thomas (2000). Science of Percussion Instruments. World Scientific. p. 179. ISBN 978-981-02-4158-2.
  28. Hearn, Lafcadio. Lafcadio Hearn Glimpses of Unfamiliar Japan Vol 1. Brighthouse. pp. 61 (footnote). GGKEY:94BGWZS0H8R.
  29. Beardsley, Richard King (1969). Studies in Japanese Culture. University of Michigan Press. pp. 54–55.
  30. Namazu-e and Their Themes: An Interpretative Approach to Some Aspects of Japanese Folk Religion. Brill Archive. 1964. p. 172.
  31. Ashkenazi, Michael (2003). Handbook of Japanese Mythology. ABC-CLIO. p. 97. ISBN 978-1-57607-467-1.
  32. Michener, James Albert (1954). The Floating World. University of Hawaii Press. p. 292. ISBN 978-0-8248-0873-0.
  33. Ashkenazi, Michael (1 January 2003). Handbook of Japanese Mythology. ABC-CLIO. p. 270. ISBN 978-1-57607-467-1.
  34. Sadler, A L (7 September 2010). The Maker of Modern Japan: The Life of Tokugawa Ieyasu. Taylor & Francis. p. 273. ISBN 978-0-203-84508-0.
  35. Ponsonby-Fane, Richard A. B. (1966). Kyoto: The Old Capital of Japan, 794–1869. The Ponsonby Memorial Society. p. 292.
  36. Titsingh, Isaac (1834). Nipon o Daï Itsi Ran; ou, Annales des Empereurs du Japon. Oriental Translation Fund of Great Britain and Ireland. p. 410. nipon o dai itsi ran.
  37. Mansfield, Stephen (29 April 2009). Tokyo: A Cultural History. Oxford University Press. p. 82. ISBN 978-0-19-972965-4.
  38. Houchins, Chang Su (1995). "Artifacts of Diplomacy: Smithsonian Collections from Commodore Matthew Perry's Japan Expedition (1853–1854)" (PDF). Smithsonian Contributions to Anthropology (37): 111. สืบค้นเมื่อ 5 September 2014.
  39. Keene, Donald (1970). 20 Plays of the Nō Theatre. Columbia University Press. pp. 238–252. ISBN 0-231-03455-5.
  40. "Big Buddhist Bell Back Home". LIFE. Time Inc. 12 September 1955. p. 87. ISSN 0024-3019.
  41. Crawford, Francine (10 March 2012). "The Story of the Japanese Temple Bell in the Back Bay Fens". BackBay Patch. สืบค้นเมื่อ 17 May 2013.
  42. "Japanese Peace Bell". UN Tour. United Nations. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 September 2013. สืบค้นเมื่อ 16 May 2013.
  43. Weinberg, Alvin M. (December 1993). "Chapters from the Life of a Technological Fixer". Minerva. 31 (4): 447–448. doi:10.1007/bf01096449. JSTOR 41820913. S2CID 144549127.
  44. Weinberg, Alvin M. (December 1999). "Scientific Millenarianism". Proceedings of the American Philosophical Society. 143 (4): 534. JSTOR 3181986.
  45. Kiernan, Denise (11 March 2014). The Girls of Atomic City: The Untold Story of the Women Who Helped Win World War II. Simon and Schuster. p. 308. ISBN 978-1-4516-1753-5.

แม่แบบ:Bells แม่แบบ:Buddhism topics