ตระกูลรอธส์ไชลด์
![]() ตราประจำตระกูล รับพระราชทานจากจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย | |
เชื้อชาติ | ชาวยิว |
---|---|
ถิ่นพำนัก | ยุโรปตะวันตก (สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และเยอรมนี)[1] |
ถิ่นกำเนิด | ฟรังค์ฟวร์ทอัมไมน์, จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ |
สมาชิก | ไมเออร์ อัมส์เชล รอธส์ไชลด์ (ผู้ก่อตั้ง) |
ที่มาของชื่อและความหมาย | "โล่สีแดง" ในภาษาเยอรมัน |

ตระกูลรอธส์ไชลด์ (อังกฤษ: Rothschild family) เป็นตระกูลอภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก สืบเชื้อสายมาจากไมเออร์ อัมส์เชล รอธส์ไชลด์ ชาวยิวที่อพยพไปยังเยอรมนี และได้เริ่มจัดตั้งธนาคารขึ้นที่นั่นในทศวรรษที่ 1760 ต่อมาเขาให้บุตรชายทั้ง 5 คนช่วยบุกเบิกธนาคารของครอบครัวไปยังต่างประเทศ ซึ่งตั้งสาขาอยู่ใน 5 เมืองใหญ่ได้แก่ ลอนดอน, ปารีส, แฟรงก์เฟิร์ต, เวียนนา และเนเปิลส์
ในศตวรรษที่ 19 ตระกูลรอธส์ไชลด์กลายเป็นครอบครัวที่ถือครองทรัพย์สินมากที่สุดในโลก ในปัจจุบันธุรกิจของตระกูลนี้มีทั้งสถาบันการเงิน, อสังหาริมทรัพย์, เหมือง, พลังงาน, ฟาร์มแบบผสม ทรัพย์สินของตระกูลรอธส์ไชลด์มีมากมายมหาศาลเกินกว่าประเมินได้ โดยอาจมีมูลค่ารวมกันถึงสี่แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยทรัพย์สินที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ทำให้เกิดเป็นทฤษฎีสมคบคิดมากมายว่าตระกูลนี้คือผู้บงการกระแสเงินและสถาบันการเงินต่าง ๆ ในโลก[2][3] และบงการรัฐบาลต่างๆให้ทำสงครามหรือยุติสงครามระหว่างกัน[4] [5][6]
ตระกูลรอธส์ไชลด์เคยเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่รัฐบาลอังกฤษในการทำสงครามกับฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ในปี 1815 เพียงปีเดียวตระกูลนี้ได้สนับสนุนเงินกู้ถึง 9.8 ล้านปอนด์ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน) ให้แก่พันธมิตรของอังกฤษ[7] นอกจากนี้ยังมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียกร้องเอกราชของบราซิลจากโปรตุเกสในศตวรรษที่ 19 ตลอดจนสนับสนุนเงินกู้แก่ญี่ปุ่นมูลค่า 11.5 ล้านปอนด์ (ซื้อเรือรบขนาด 15,000 ตันได้ราว 12 ลำ) ในการทำสงครามกับรัสเซีย[8]
หลังจากมีส่วนในการปราบนโปเลียน จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย ทรงแต่งตั้งตระกูลรอธส์ไชลด์สาขาออสเตรียให้เป็นขุนนางออสเตรียที่ตำแหน่งไฟรแฮร์ และต่อมาในปีค.ศ. 1847 ตระกูลรอธส์ไชลด์สาขาบริเตนก็ได้เป็นขุนนางอังกฤษเช่นกันที่ตำแหน่งบารอน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภัยคุกคามจากนาซีเยอรมนีทำให้ตระกูลรอธส์ไชลด์สาขาออสเตรียซึ่งมีเชื้อสายยิวจำเป็นต้องหนีตายออกจากยุโรปไปยังสหรัฐอเมริกา ธนาคารและทรัพย์สินของพวกเขาในออสเตรียถูกยึด คฤหาสน์หลายหลังในเวียนนาถูกทำลาย ในปีค.ศ. 1999 รัฐบาลออสเตรียตกลงที่จะส่งมอบภาพจิตรกรรมราว 250 ชิ้นคืนแก่ตระกูลซึ่งถูกยึดไปในสมัยสงคราม[9]
ในปีค.ศ. 2016 องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Oxfam International ได้มีการประเมินว่า มูลค่าทรัพย์สินที่ตระกูลรอธส์ไชลด์ครอบครองอยู่ มีมูลค่าอยู่ที่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 5 เท่าของทรัพย์สินของมหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุด 8 อันดับแรกของโลกคนรวมกัน[10]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "Lord Rothschild: 'Investors face a geopolitical situation as dangerous as any since WW2'". Telegraph.co.uk. 4 March 2015.
- ↑ The Rough Guide to Conspiracy Theories, James McConnachie, Robin Tudge Edition: 2 – 2008
- ↑ Levy, Richard S. (2005). Antisemitism: A Historical Encyclopedia of Prejudice. ABC-CLIO. p. 624. ISBN 1-85109-439-3.
- ↑ Poliakov, Leon (2003). The History of Anti-semitism: From Voltaire to Wagner. University of Pennsylvania Press. p. 343. ISBN 0-8122-1865-5.
- ↑ Brustein, William (2003). Roots of hate. Cambridge University Press. p. 147. ISBN 0-521-77478-0.
- ↑ Perry, Marvin (2002). Antisemitism: Myth and Hate from Antiquity to the Present. Palgrave Macmillan. p. 117. ISBN 0-312-16561-7.
- ↑ The Ascent of Money: A Financial History of the World, (London 2008), page 78.
- ↑ Smethurst, Richard. "Takahasi Korekiyo, the Rothschilds and the Russo-Japanese War, 1904–1907" (PDF). Archived from the original (PDF) on 16 February 2007. สืบค้นเมื่อ 4 September 2007.
- ↑ Vogel, Carol (10 April 1999). "Austrian Rothschilds Decide to Sell; Sotheby's in London Will Auction $40 Million in Art Seized by Nazis". New York Times. สืบค้นเมื่อ 1 June 2013.
- ↑ Davis, Isaac (January 20, 2017). "ROTHSCHILD FAMILY WEALTH IS FIVE TIMES THAT OF WORLD'S TOP 8 BILLIONAIRES COMBINED". สืบค้นเมื่อ 29 November 2017.