ดิแอลเวิร์ด
บทความนี้ต้องการการจัดหน้า จัดหมวดหมู่ ใส่ลิงก์ภายใน หรือเก็บกวาดเนื้อหา ให้มีคุณภาพดีขึ้น คุณสามารถปรับปรุงแก้ไขบทความนี้ได้ และนำป้ายออก พิจารณาใช้ป้ายข้อความอื่นเพื่อชี้ชัดข้อบกพร่อง |
ดิแอลเวิร์ด (อังกฤษ: The L Word) คือละครโทรทัศน์เกี่ยวกับกลุ่มเพื่อนเลสเบี้ยนและหญิงสาวไบเซ็กช่วล ที่ออกเริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2004 ผ่านเครือข่ายเคเบิลของค่าย Showtimeในประเทศสหรัฐอเมริกา เครือข่าย Living TV ในประเทศอังกฤษ และ Showcase Television ในประเทศแคนาดา เขียนบทและสร้างสรรค์โดย Ilene Chaiken, Guinevere Turner และRose Troche
ตัวละคร
[แก้]- Jennifer Beals รับบท Bette Porter/
- Erin Daniels รับบท Dana/
- Leisha Hailey รับบท Alice/
- Laurel Holloman รับบท Tina/
- Mia Kirshner รับบท Jenny/
- Pam Grier รับบท Kit พี่สาวของ Bette/
- Karina Lombard รับบท Marina/
- Katherine Moennig รับบท Shane/
- Daniela Sea รับบท Max/
- Sarah Shahi รับบท Carmen/
- Rachel Shelley รับบท Helena
เรื่องย่อ
[แก้]Season 1
[แก้]เรื่องราวเกิดขึ้นที่ West Hollywood , โดยตัวแสดงนำของเรื่อง Bette Porter (แสดงโดย Jennifers Beals จาก Flashdance) และ Tina Kennard ( แสดงโดย Laurel Holloman) คู่เลสเบี้ยนซึ่งใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมา 7 ปี และต้องการจะเติมเต็มความเป็นครอบครัว ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะมีลูกด้วยกัน
เพื่อนบ้านของพวกเธอ คือ Tim Haspel (แสดงโดย Eric Mabius) ต้องเผชิญกับชีวิตพลิกผันครั้งใหญ่เมื่อแฟนสาวของเขา Jenny Schecter (แสดงโดย Mia Kirshner) ย้ายมาอยู่กับเขาหลังจากเรียนจบ Jenny Jenny แอบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับMarina Ferrer (แสดงโดย Karina Lombard) เจ้าของร้านกาแฟ ชื่อ Planet ซึ่งเป็นร้านที่เธอและตัวละครอื่นๆมักจะรวมตัวเพื่อพบปะกัน Jenny มักชอบจินตนาการตัวเองเป็นตัวละครชื่อ Sarah Schuster และได้นำความสัมพันธ์ของเธอกับ Marina มาใส่ในนิยายที่เธอแต่งขึ้น
Marina คือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของ Bette และ Tina เพื่อนๆในกลุ่มของเธอประกอบไปด้วย Shane McCutcheon (Katherine Moennig) ช่างทำผมที่ชอบหักอกสาวๆไปทั่วและทำตัวเท่ไปวันๆ Dana Fairbanks (Erin Daniels) นักเทนนิสมืออาชีพที่เป็นเลสเบี้ยนแต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวเพราะเกรงว่าจะกระทบกับอาชีพนักเทนนิสของเธอ และAlice Pieszecki (Leisha Hailey) นักจัดรายการวิทยุไบเซ็กช่วล ที่พยายามมองหาความรักตลอดเวลาทุกครั้งที่เธอมีโอกาส
เรื่องราวของทุกตัวละครดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนกระทั่งวันหนึ่ง Kit (Pam Grier) นักร้องเพลง Jazz พี่สาวต่างมารดาของ Bette กลับเข้ามาในชีวิตเธออีกครั้ง หลังจากที่เข้ารับบำบัดอาการติดเหล้าจนกระทั่งหายเป็นปกติ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ Jenny เริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ Marina ซึ่งทำให้ Jenny ค้นพบสิ่งแปลกใหม่และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอมากยิ่งขึ้น
เมื่อเรื่องราวใน Season แรก ค่อยดำเนินไป Tim แฟนหนุ่มของ Jenny เริ่มพบว่า Jenny กับ Marina มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและไม่ธรรมดาต่อกัน จนทำให้สัมพันธภาพระหว่าง Tim และ Jenny มีอันต้องขาดสะบั้นลง
Dana เริ่มคบกับ LaraPerkins (Lauren Lee Smith) เชฟปรุงอาหารที่ทำงานอยู่ในสปอร์ตคลับที่เธอฝึกซ้อมเทนนิสอยู่เป็นประจำ แต่ Dana เกรงว่าหากเธอเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนออกสู่สาธารณะจะมีผลต่ออาชีพนักเทนนิสของเธอ เธอจึงตัดสินใจที่จะเลิกคบ Lara แต่กลายเป็นว่าบริษัท Subaru สปอนเซอร์รายใหม่ของ Dana กลับพอใจกับภาพลักษณ์เลสเบี้ยนของเธอและต้องการปั้นให้เธอเป็น เอนนา คูนิโคว่าเวอร์ชันเกย์! ในที่สุด Dana ก็กล้าออกมายอมรับความจริงว่าตัวเองเป็น เลสเบี้ยน
ในขณะที่ เรื่องราวของ Alice ที่มักจะถูกนำเสนอในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับแม่อดีตนักแสดงผู้ตกต่ำแต่จมไม่ลง อดีตรักอันเจ็บปวดของเธอ และปัญหาในการค้นหา ผู้หญิง หรือ ผู้ชายที่ "ใช่" สำหรับเธอ ในขณะที่ Bette ซึ่งมีอาชีพเป็นผู้อำนวยการศูนย์ศิลปะก็กำลังถูกต่อต้านอย่างหนักจากพวกอนุรักษนิยมเมื่อเธอพยายามที่จะนำเสนอภาพเกือบเปลือยในชื่อผลงาน Provocations ในขณะเดียวกันสัมพันธภาพระหว่างเธอกับ Tina คนรักเริ่มแย่งลงเรื่อยๆ หลังจากที่ Tina เริ่มตั้งท้องและแท้งในเวลาต่อมา Kit พยายามที่จะกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ ในขณะที่ Shane ก็ยังคงคบและมีสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่ง Shane ก็มีโอกาสได้ทำผมให้กับลูกค้าคนดังและไฮโซทำให้เธอเป็นที่ต้องการตัวและมีคนค้นพบความสามารถในการทำผมของเธอ
หลังจากแท้ง Tina ไปทำงานในองค์กรเพื่อสังคมและช่วยเด็กกำพร้าที่ไร้บ้านในลอสเแองเจลลส ในขณะที่ Jenny ต้องรับมือกับ Francesca คนรักของ Marina ที่เพิ่งกลับมาจากทำงานในยุโรป Francesca ทำทุกอย่างเพื่อกีดกันJenny และพยายามรักษาสัมพันธภาพระหว่างเธอกับ Marina ในขณะที่ Timก็ไล่ Jenny ออกจากบ้านและไม่ยอมยกโทษให้เธอ เนื่องจากโกรธที่เธอโกหกเขาเรื่อง Marina ส่วน Shane เริ่มมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกค้าสาวอดีตดารา Cherie Jaffe (Rosanna Arquette) สามีของ Cherie ถูกใจฝีมือทำของ Shane มาก จึงตัดสินใจที่จะลงทุนเปิดร้านทำผมให้ Shane ในขณะที่ Clea ลูกสาวของ Cherie ก็สนใจในตัว Shane เช่นกัน แต่โชคร้ายที่ Clea ค้นพบว่าผู้หญิงที่ Shane มีความสัมพันธ์ด้วยคือ Cherie แม่ของเธอเอง จึงเป็นสาเหตุให้สามีของ Cherie ยกเลิกการลงทุนทำร้านทำผมให้ Shane และสั่งห้าม Shane เข้าใกล้ลูกสาวและภรรยาของเขาอีก
ส่วน Bette ต้องเผชิญแรงกดดันและเครียดจัดจากเรื่องงาน และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เธอเริ่มมีความ สัมพันธ์ลึกซึ้งกับ Candace ช่างไม้ผู้รับเหมางานตกแต่งหอศิลป์ที่จัดแสดงผลงาน Provocation ในขณะที่ช่วงพักผ่อนในช่วงวันหยุดที่ Palm Spring Dana กลุ่มเพื่อนๆ Dana ได้เจอคนรักใหม่ ชื่อ Tonya (Meredith McGeachie) ผู้จัดการที่ Palm Spring เธอสนใจในตัว Dana ตั้งแต่แรกเห็น ทั้งคู่ตัดสินใจคบกันและหมั้นกันสายฟ้าแลบ หลังจากที่แมวสุดรักสุดหวงของ Dana ตายอย่างปริศนา เพื่อนๆทุกคนล้วนสงสัยในตัว Tonya แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ในช่วงท้ายของ Seasonแรก Tina ค้นพบว่า Bette นอกใจเธอ ! โดยเธอเห็น Bette และ Candace แอบส่งสายตาและจับมือกันในงานแสดงผลงานศิลปะเรื่อง Provocation ในขณะที่ Jenny หันมาคบกับRobin นักวิชาการด้านชีววิทยาทางน้ำ และ Marina ไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ Alice เริ่มเปิดเผยความรู้สึกให้ Dana รู้ว่า เธอรัก Dana เกินเพื่อน ส่วน Tina เสียใจมากที่ Bette นอกใจ เธอจึงตัดสินใจย้ายออกจากบ้านที่เธออาศัยอยู่กับ Bette มาขออาศัยอยู่กับ Alice ชั่วคราว พร้อมกับเติม Candace ลงในชาร์ทสัมพันธภาพที่ Aliceสร้างขึ้น ใต้ชื่อของ Bette !
Season 2
[แก้]เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวละครใหม่อย่าง Carmen de la Pica Morales (Sarah Shahi) ดีเจสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ซึ่งใน Seasonที่สองนี้ เธอเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ Shane และ Jenny ไปพร้อมๆกัน ในขณะที่ตัวละครสำคัญของSeason ที่สองนี้ อีกตัวอย่าง Helena Peabody (Rachel Shelley) ลูกสาวของสปอนเซอร์รายใหญ่ของหอศิลป์ที่ Bette ทำงานอยู่ กลับกลายเป็นมาคนรักของที่ Tina และมือที่สามระหว่าง Tina และ Bette ทำให้สัมพันธภาพระหว่าง Tina และ Bette ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
Mark Wayland (Eric Lively) ตากล้องและนักทำหนังสารคดีอิสระ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านและเป็นรูมเมทของ Shane และ Jenny โดย Mark เริ่มถ่ายทำหนังสารคดีของเขาด้วยการซ่อนกล้องไว้ทุกซอกทุกมุมของบ้านเพื่อแอบถ่ายความเป็นไปของ Shane และ Jenny แต่ในที่สุด Jenny ก็พบเทปที่ Mark แอบถ่ายเรื่องราวของพวกเธอ รวมถึงค้นพบเทป คำสารภาพรักของ Carmenที่มีต่อ Shane เมื่อ Jenny รู้ความจริงทั้งหมด Mark จึงสำนึกผิดและไปปลดกล้องทุกตัวในบ้านออกทั้งหมด พร้อมทั้งไปสารภาพผิดกับทุกคน Jenny ยอมให้ Mark อยู่บ้านต่อไปแต่ก็แสดงอาการปั้นปึ่งใส่ Mark ตลอดเวลา
เนื้อหาในซีซั่นที่สองนี้ ตัวละครทุกตัวต่างมีความลับ พัฒนาการและสัมพันธภาพชวนอึ้งตลอดทั้งเรื่อง อย่างในคู่ของ Bette ที่เคยยืนยันว่ารักมั่นคงกับ Tina ในซีซั่นนี้ก็กลับลักลอบมีสัมพันธ์กับ Candace ช่างไม้ที่มาช่วยตกแต่งหอศิลป์ , Bette และTina เลิกกัน แต่ก็ค่อยๆฟื้นฟูสัมพันธภาพกันใหม่อย่างช้าๆ Tina แอบไปทำกิ๊ฟอีกครั้ง และครั้งนี้เธอก็ตั้งท้องสมใจ แต่เธอก็ปิดบัง Bette ไม่ให้รู้ว่าเธอท้อง ในขณะที่ Tina เองก็นอกใจ Bette โดยหันไปคบกับ Helena หลังจากที่เธอได้รับทุนก้อนใหญ่มูลนิธิ Peabody ที่ Helena เป็นสปอนเซอร์อยู่ Helena ค่อยๆเริ่มทำลายชีวิตของ Bette ทีละน้อยๆ ทั้งเรื่องชีวิตคู่และ การงาน Helena ไล่ Bette ออกจากงานที่เธอทำอยู่ ภายหลังการเสียชีวิตของ Melvin พ่อบังเกิดเกล้าของ Bette และ Kit ชีวิตของ Bette เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ
Tim แฟนเก่าของ Jenny ย้ายไปทำงานที่ Ohio ในขณะที่ Jenny ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านของ Tim โดยเธอแชร์ค่าเช่ากับ Shane และ Mark , Jenny และ Shane กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องมาแย่ง Carmen กันเอง ในขณะที่ Marina พยายามฆ่าตัวตายและถูกนำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลในบ้านเกิดของเธอที่อิตาลี
Alice และ Dana ตกหลุมรักและสารภาพรักซึ่งกันและกัน ท่ามกลางงานแต่งงานระหว่าง Dana และ Tonya ที่กำลังจะจัดขึ้น จนกระทั่งในที่สุดงานแต่งงานก็เป็นอันต้องล้มเลิก เพราะ Tonya เองก็นอกใจ Danya ไปคบคนอื่นเช่นกัน Alice และ Dana เริ่มคบกันอย่างจริงจัง แต่แล้ว Lara คนรักเก่าของ Dana ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ Alice หึงมาก
Kit ซื้อร้าน Planet ต่อจาก Marina และเริ่มมีความสัมพันธ์กับชายมีครอบครัวแล้วอย่าง Benjamin Bradshaw นักพูดมืออาชีพ
ในช่วงท้ายของซีซั่นที่สอง Jenny เริ่มนึกประสบการณ์ประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กที่เธอโดนข่มขืน ในขณะที่ Shaneและ Carmen เริ่มหันกลับมาคบกันอย่างจริงจัง Shane สารภาพรักกับ Carmen ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ Shane สารภาพรัก!
Tina เริ่มทำงานหนักขึ้นและให้กำเนิดลูกสาวชื่อ Angelica อย่างยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์ของครอบครัวที่ย่ำแย่ Bette ตกงาน และทะเลาะกับ Tina บ่อยขึ้น จนทำให้ Bette เริ่มที่จะมีความสนใจที่จะหาคนรักใหม่ เพื่อนทุกคนในกลุ่ม Alice, Dana, Shane, Carmen และ Jenny พร้อมด้วย Kit พี่สาวของ Bette มาร่วมแสดงความยินดีกับ Bette และ Tinaที่ได้ลูกสมใจ!
Season 3
[แก้]หกเดือนหลังจากที่ Tina ให้กำเนิดลูกสาว Angelica ความสัมพันธ์ของเธอกับ Bette ค่อยๆเหินห่างลงทุกที สถานการณ์การเงินก็เริ่มย่ำแย่ เนื่องจาก Bette ตกงาน Tina เริ่มมีใจออกห่างจาก Bette น้อยลงทุกทีๆ จนกระทั่งในที่สุด Tina ก็หันกลับไปคบกับผู้ชาย
หลังจากที่ Jenny กลับไปพักรักษาตัวและอาศัยอยู่กับแม่ที่อิลลินอยซ์ แล้วเธอก็กลับไปที่ ลอสแอนเจลิส อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับแฟนสาวคนใหม่ ที่อยากเป็นผู้ชายชื่อ Moira Sweeney (Daniela Sea) งานเขียนของ Jenny ได้รับการตอบรับจากบรรณาธิการใน New York และผลงานหนังสือของเธอจะได้ตีพิมพ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี Mark ย้ายออกหลังจากงานศพ Melvin พ่อของ Bette และ Kit เสร็จสิ้น
Shane และ Carmen ย้ายมาอยู่ด้วยกันและใช้ชีวิตคู่ร่วมกันแบบจริงจัง แต่ครอบครัวของ Carmen รับ ไม่ได้
Kit เริ่มพบรักกับ Angus (Dallas Roberts) พี่เลี้ยงชายของ Angelica ในขณะที่ Helena ซื้อสตูโอทำหนังแห่งใหม่ และเสนองานผู้ช่วยผู้บริหารให้ Tina เมื่อ Helena เริ่มทำหนัง ทำให้เธอได้พบกับ Dylan (Alexandra Hedison) นักทำหนังสารคดีอิสระที่กำลังมองหาผู้ลงทุนให้กับหนังของเธอและสามี ในที่สุดHelena กับ Dylan ก็มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่ Dylan ก็หักหลังเธอด้วยการจ้างทนายฟ้องเรียกค่าเสียหายเธอในข้อหาคุกคามทางเพศ
ความสัมพันธ์ระหว่าง Bette และ Tina เลวร้ายลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Tina เริ่มนอกใจ Bette ด้วยการติดต่อกับผู้ชายในอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ Bette เริ่มหัวเสีย และเครียดจัด จึงไปขอตัวไป ปลีกวิเวกทำสมาธิ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง Tina ก็พบกับเพื่อนชายคนใหม่ Henry (Steven Eckholdt) พ่อหม้ายที่หย่ากับภรรยาและมีลูกติดมาด้วยอีกหนึ่งคน และทำให้สัมพันธภาพระหว่าง Bette และ Tina เดินทางมาถึงจุดจบ!
Dana หันกลับไปคบกับ Lara อีกครั้ง ทำให้ Alice อกหักและเสียใจมาก แต่ก็ทำใจได้ในที่สุด หลัง
จากที่ Alice ทำใจได้ไม่นานก็ได้รับข่าวร้ายว่า Dana เป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย Dana เริ่มหงุด
หงิดใส่ Lara จนกระทั่งในที่สุด Lara ก็ไปอยู่ปารีส Alice รับหน้าที่ดูแล Dana จนวาระสุดท้าย ใน
ขณะที่ Moira แฟนใหม่ของ Jenny เริ่มแปลงเพศเป็นผู้ชายแลเปลี่ยนชื่อเป็น Max ความสัมพันธ์
ระหว่าง Jenny และ Max เริ่มแย่ลง Max กลายเป็นผู้ชายและลงไม้ลงมือกับ Jenny
Tim กลับมาที่ ลอสเองเจลลิสอีกครั้งและพบกับ Jenny โดยบังเอิญ แต่ท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ทะเลาะกัน เนื่องจาก Tim ดูถูก Max และล้อเลียนเรื่องการแปลงเพศ ทำให้ Jenny โกรธมาก
อาการของ Dana เริ่มแย่ลงเรื่อยๆจนต้องถูกนำตัวเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง Lara พยายามที่จะติดต่อ Dana แต่ก็สายไปเสียแล้ว Dana จากไปอย่างสงบเพียงลำพัง ในขณะที่ Alice ออกไปเดินเล่น เพื่อสูดอากาศภายนอกห้องพยาบาล ครอบครัวของ Dana กีดกันเพื่อนๆของ Dana ไม่ให้เข้าไป ทำความเคารพศพ Aliceและเพื่อนๆ จึงร่วมมือกับน้องชายของ Dana ขโมยเถ้ากระดูกของ Dana ไปโปรยที่น้ำตก ที่ๆ Dana เคยสารภาพว่าพบรักแรกที่นั่น
Max ได้รับงานเป็นผู้ดูแลด้านไอทีให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง และเลิกกับ Jenny ในที่สุด Lara กลับมา จาก ปารีส และเสียใจกับการจากไปของ Dana เธอและ Alice จึงเริ่มมีความสัมพันธ์กัน อย่างลับๆท่ามกลางความเศร้าของการสูญเสีย Dana
Shane ขอ Carmen แต่งงาน โดย Helena เสนอตัวออกค่าใช้จ่ายและจัดงานแต่งสุดหรูให้ทั้งหมด โดยไปจัดกันที่แค้มป์สกีสุดหรูที่แคนาดา ในขณะที่ Kit พบว่าตัวเองท้องกับ Angus ก่อนที่งานแต่งงานจะเริ่มขึ้น Shane ได้หายตัวไปจากงานแต่งงาน หลังจากที่ Shane ได้เจอ Gabriel (Eric Roberts) พ่อแท้ๆ ของตัวเอง ที่แม้ว่าจะแต่งงานแล้วก็ยังคงแอบมีความสัมพันธ์กับ ชั่วข้ามคืนกับหญิงอื่น Shane จึงคิดได้ และหนีงานแต่งไปเฉยๆ ทิ้งให้ Carmen ซึ่งสวมชุด เจ้าสาวรออยู่ร้องไห้เสียใจอยู่ที่แท่นประกอบพิธีวิวาห์ Helena ถูก Peggy แม่ของเธอประกาศ ว่าจะไม่ให้เงินเธอใช้อีกต่อไป
Jenny พบรักใหม่กับนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ Claude ในขณะที่ Bette ที่กำลังหัวเสียเรื่องที่ Tina หันไปคบกับ Henry เธอจึงตัดสินใจปรึกษาทนายและยื่นเรื่องขอสิทธิ์ในการรับอุปการะเด็ก Bette ก็เปลี่ยนใจจะถอนฟ้อง แต่โชคร้ายที่เอกสารส่งถึงมือ Tina ก่อนที่ Bette จะตัดสินใจยกเลิกการ ฟ้อง ทำให้ Tina โกรธ Bette มาก Bette จึงตัดสินใจขโมย Angelica หนีไป
Season 4
[แก้]Season 4 มีกำหนดออกฉายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทางเครือข่าย showtime ต้นเดือนมกราคม 2007 ตัวละครหลักจากละครโทรทัศน์ชุด The L Word ซีซั่น 4
สปอยด์ : เรื่องย่อตอนแรกของ The L Word ซีซั่น 4
[แก้]เขียนบทและกำกับโดย ไอลีน ไชเค่น
ซีซั่น 4 เปิดเรื่องด้วย หลังจากงานแต่งงานของเชนและคาร์เมนผ่านไปสี่เดือน เชนหัวเสียที่คาร์เมนไม่รับโทรศัพท์ แถมครอบครัวของคาร์เมนก็สั่งห้ามไม่ให้ เชนพบกับคาร์เมนอีกอย่างเด็ดขาด
Helena ซึ่งหลังจากถูกแม่ตัดออกจากกองมรดก เธอสูญเสียโรงถ่ายภาพยนตร์ที่เธอ รักไปด้วย ทำให้เฮเลน่าเองก็ต้องเริ่มออกหางานทำอย่างจริงจัง เธอต้องออกไปสัมภาษณ์ งาน งานแล้วงานเล่า
ส่วนเบ็ธก็ไม่ได้พบแองเจลลิก้า ลูกสาวของเธออีกเลย นับตั้งแต่เธอพาตัวแองเจลลิก้า ไปส่งคืนให้ทีน่า เพราะทีน่าขู่เบ็ธว่าจะแจ้งตำรวจถ้าเธอไม่คืนแองเจลิก้าให้กับเธอ ทีน่าหนีกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่ที่เท็กซัสพร้อมกับแองเจลลิก้าทำให้เบ็ธหงุดหงิดและ พาลโกรธคนทั้งโลก เธอจึงหันไปทุ่มเทกับงานจัดแสดงศิลปะ ซึ่งเธอก็ยังไม่วายหงุดหงิด และหัวเสียที่ผลงานออกมาไม่เพอร์เฟ็คอย่างที่เธอคาดหวังไว้ แถมศิลปินเจ้าของผลงาน ก็โกรธเธอที่ผลงานออกมาไม่ดีและจึงโทรไปฟ้องหัวหน้าของเธอ (รับบทโดยมารี แมทลิน)
Papi (ตัวละครใหม่ในซีซั่น 4) เกลียดขี้หน้าเชนมาก เนื่องจากสาวๆที่เธอกำลังคั่วอยู่นั้น ทุกคนต่างพูดถึงแต่เชน จนทำให้เธอเซ็ง!ในขณะที่ Tasha สาวมาดเข้มจากกองทัพ ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ในซีซั่นนี้ก็เริ่มสนใจในตัวอลิซอย่างเห็นได้ชัด!
ลาร่าย้ายไปนิวยอร์กเพื่อรับหน้าตำแหน่งเชฟประจำร้านอาหารอย่างเต็มตัว ในขณะที่อลิซยังคงโศกเศร้ากับการจากไปของเดน่า แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะ ให้ความสนใจสองสาว Tasha และ Papi ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ในซีซั่นนี้
Kit ก็ท้องได้สี่เดือน แองกัสแฟนหนุ่มของKit เริ่มเครียดจัดเพราะต้องออกไปหา งานประจำทำ เพื่อหาเลี้ยง Kit และลูกที่กำลังจะเกิดมา จนในที่สุดทั้งคู่ก็มีปากเสียงกัน และทำให้แผนการแต่งงานของทั้งคู่มีอันต้องล้มไป
เบ็ธพยายามโทรติดต่อทีน่า แต่ทีน่าไม่รับสาย พ่อแม่ของทีน่าพยายามหว่านล้อม ให้ทีน่ากลับไป LA แต่ทีน่าไม่ยอมกลับเพราะหลังจากที่เฮเลน่าถูกแม่ของเธอตัดออก จากกองมรดก เธอเลยต้องพลอยตกงานไปด้วย เธอจึงไม่อยากกลับไป LA และตอนนี้เธอเองก็โกรธและเกลียดเบ็ธมากที่มาแย่งลูกไปจากเธอ
แม่ของทีน่าคุยกับทีน่าว่าเธอเคยคิดว่า เบ็ธคือคนคนเดียวที่ใช่สำหรับทีน่า แต่ตอนนี้เธอ ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้ทีน่าเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเบ็ธไป ? ทีน่าตอบว่า เธอต้องการสิ่ง ที่พ่อแม่ของเธอมีในตอนนี้ นั่นคือ ครอบครัวที่มีพ่อแม่ลูก!
เฮเลน่าพยายามที่จะติดต่อแม่ของเธอ แต่ดูเหมือนว่า แม่ของเธอ เพ็กกี้ พีบอดี้จะยุ่งอยู่กับ การเดินทางไปรอบโลกด้วยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว
อลิซยังคงจัดรายการวิทยุของเธอต่อไป พร้อมๆไปกับการเป็นฟรีแลนซ์เขียนบทความ ให้กับนิตยสาร LA แมกกาซีนควบคู่ไปด้วย
เจนนี่เริ่มเขียนหนังสือเล่มใหม่ของเธออีกครั้ง ซึ่งเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวการแปลง เพศของแมกซ์
เบ็ธก็ติดต่อไปที่บ้านพ่อแม่ของทีน่าและได้คุยกับทีน่าในที่สุด
จบตอนแรกของซีซั่น 4