ข้อถกเถียงกรณีหนังสือ โองการปีศาจ
ข้อถกเถียงกรณีหนังสือเรื่อง โองการปีศาจ (อังกฤษ: The Satanic Verses) หรือ เรื่องอื้อฉาวรัชดี (อังกฤษ: Rushdie Affair) หมายถึงการตอบรับในเชิงโกรธเกรี้ยวจากชาวมุสลิมบางส่วนต่อ โองการปีศาจ นวนิยายที่ประพันธ์โดยซัลมัน รัชดี ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 1988 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในบางส่วนจากเรื่องราวชีวิตของศาสดามุฮัมมัด ของชาวมุสลิมจำนวนมากถือว่ารัชดีเป็นผู้กระทำการหมิ่นศาสนา และในปี 1989 อายะตุลลอฮ์ รูโฮลลอฮ์ โฆเมย์นี แห่งอิหร่านได้ประกาศฟัตวา สั่งให้ชาวมุสลิมฆาตกรรมรัชดี มีความพยายามลอบสังหาร โจมตี ไปจนถึงการวางระเบิดหลายครั้ง เป็นผลสืบเนื่องต่อมา[1]
รัฐบาลอิหร่านสนับสนุนฟัตวาต่อรัชดีจนถึงปี 1998 ที่ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดีอิหร่านโมแฮมแมด ฆอแทมี ที่ขึ้นสืบตำแหน่งระบุไม่สนับสนุนคำสั่งฆาตกรรมรัชดี[2] กระนั้น ไม่ได้เป็นการถอนฟัตวาดังกล่าว[3]
หนังสือเล่มนี้ยังถือว่าเป็น "การแบ่งแยกชาวมุสลิมออกจากชาวตะวันตกด้วยเส้นแบ่งความต่างทางวัฒนธรรม"[4][5] ด้วยความต่างระหว่างคุณค่าของอิสระในการแสดงออกที่ว่าไม่ควรมีใคร "ถูกฆ่า หรือต้องเจอกับคำขู่ร้ายแรงจากสิ่งที่เขียนหรือพูด"[6] กับมุมมองที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ถือว่าห้ามมิให้มีใครก็ตาม "ด่าทอหรือว่าร้ายมุสลิม" โดยการดูหมิ่นใส่ร้าย "เกียรติยศของศาสดา"[7] นักประพันธ์ชาวอังกฤษ ฮานีฟ คูเรชี เรียกการประกาศฟัตวาข้างต้นว่าเป็น "หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการวรรณกรรมนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง"[8]
ภูมิหลัง[แก้]
ผลงานเขียนของซัลมัน รัชดี เป็นกรณีถกเถียงมาก่อนกรณีของ โองการปีศาจ รัชดีระบุว่าเขามองบทบาทของตนในฐานะนักเขียนว่าเป็น "ผู้รวมเอาบทบาทของตัวร้ายมาสู่รัฐ" ("as including the function of antagonist to the state")[9] หนังสือเล่มที่สองของเขา ทารกเที่ยงคืน (Midnight's Children) ทำให้อินทิรา คานธี โกรธมากเนื่องจากเนื้อหาของหนังสือเสนอโดยอ้อมว่าเธอเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสามีเธอ เฟโรเซ คานธี เพราะขาดการเอาใจใส่สามีพอ[10] ส่วน roman à clef จากปี 1983 ของเขา เรื่อง Shame ยังเป็นการอ้างโดยอ้อมถึงปากีสถานและการเมืองของปากีสถาน[10]
รัชดีปกป้องหลายคนที่ต่อมาในอนาคตจะเป็นผู้ที่โจมตีเขาในกรณีพิพาทของหนังสือเล่มนี้ รัชดีประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าไม่สนับสนุนรัฐบาลของชาห์แห่งอิหร่าน และสนับสนุนการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน อย่างน้อยก็ในช่วงแรกของการปฏิวัติ เขาประณามการบุกโจมตีเมืองทรีโปลีในปี 1986 โดยสหรัฐ ก่อนที่ในสามปีต่อมาจะถูกผู้นำลิเบีย มุอัมมาร์ อัลกัดดาฟี โจมตีกลับ[11] เขายังเขียนหนังสือเหน็บแนมและประณามนโยบายต่างประเทศสหรัฐและสงครามของสหรัฐในนิการากัว เคยด่ารัฐบาลสหรัฐว่า "เป็นโจรที่ทำตัวเป็นรัฐ"[12] แต่กระนั้น เขาก็ถูกรัฐบาลอิหร่านหลังการประกาศฟัตวามองว่าเป็น "เจ้าหน้าที่ซีไอเอระดับล่าง"[13]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Jessica Jacobson. Islam in transition: religion and identity among British Pakistani youth. 1998, page 34
- ↑ Crossette, Barbara (25 กันยายน 1998). "Iran Drops Rushdie Death Threat, And Britain Renews Teheran Ties". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2009.
- ↑ "Iran says Rushdie fatwa still stands". Iran Focus. 14 February 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2009. สืบค้นเมื่อ 22 January 2007.
- ↑ Pipes, 1990, p.133
- ↑ From Fatwa to Jihad: The Rushdie Affair and Its Aftermath By Kenan Malik เก็บถาวร 9 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, introduction, no page numbers
- ↑ Timothy Garton Ash (22 June 2007). "No ifs and no buts". The Guardian. London. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2007. สืบค้นเมื่อ 27 January 2012.
- ↑ "Pakistan blasts Rushdie honour". Al Jazeera. สืบค้นเมื่อ 27 January 2012.
- ↑ "Looking back at Salman Rushdie's The Satanic Verses". The Guardian. London. 14 September 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2014. สืบค้นเมื่อ 14 September 2012.
- ↑ Rushdie, Salman, Jaguar Smile; New York: Viking, 1987, p. 50
- ↑ 10.0 10.1 Ian Richard Netton (1996). Text and Trauma: An East-West Primer. Richmond, UK: Routledge Curzon. ISBN 0-7007-0325-X.
- ↑ Pipes, 1990, p. 236
- ↑ Rushdie, Jaguar Smile, Viking, 1987
- ↑ "The book's author is in England but the real supporter is the United States" – Interior Minister Mohtashemi (IRNA 17 February 1989) "An Iranian government statement called Rushdie "an inferior CIA agent" and referred to the book as a "provocative American deed". (IRNA 14 February 1989) (Pipes, 1990, p. 129)