ข้ามไปเนื้อหา

กวาเม อึนกรูมา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กวาเม อึนกรูมา
นายกรัฐมนตรีกานา
ดำรงตำแหน่ง
6 มีนาคม พ.ศ. 2500 – 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2503
กษัตริย์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์:
Charles Noble Arden-Clarke
(6 มีนาคม – 24 มิถุนายน 1957)
Lord Listowel
(24 มิถุนายน 1957 – 1 กรกฎาคม 1960)
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปยุบเลิกตำแหน่ง
ประธานาธิบดีกานา
ดำรงตำแหน่ง
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2509
กษัตริย์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปโจเซฟ อาร์เธอร์ อันกราห์
(รัฐประหาร)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด21 กันยายน ค.ศ. 1909(1909-09-21)
โกลด์โคสต์
เสียชีวิต27 เมษายน ค.ศ. 1972(1972-04-27) (62 ปี)
 บูคาเรสต์, ประเทศโรมาเนีย
พรรคการเมืองConvention Peoples' Party
คู่สมรสฟาเธีย ริสค์
บุตรFrancis, Gamal, Samia, Sekou

ฟรานซิส กวาเม อึนกรูมา (อังกฤษ: Francis Kwame Nkrumah; 21 กันยายน ค.ศ. 1909 – 27 เมษายน ค.ศ. 1972) เป็นนักการเมือง นักทฤษฎีการเมือง และนักปฏิวัติชาวกานา เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโกลด์โคสต์ตั้งแต่ ค.ศ. 1952 จนถึง ค.ศ. 1957 เมื่อประเทศได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร[1] ต่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีกานาคนแรกตั้งแต่ ค.ศ. 1957 จนถึง ค.ศ. 1966 อึนกรูมาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออุดมการณ์รวมกลุ่มแอฟริกัน นอกจากนี้ เขายังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การเอกภาพแอฟริกา (OAU) และได้รับรางวัลสันติภาพเลนินจากสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1962[2]

อึนกรูมาได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศเป็นเวลาสิบสองปี ซึ่งทำให้เขาได้พัฒนาแนวคิดทางการเมืองตลอดจนรวบรวมผู้นิยมอุดมการณ์รวมกลุ่มแอฟริกันไว้ด้วยกัน อึนกรูมาเดินทางกลับโกลด์โคสต์เพื่อเริ่มต้นอาชีพทางการเมืองในฐานะผู้สนับสนุนเอกราชของชาติ[3] เขาก่อตั้งพรรครวมกลุ่มประชาชน (Convention People's Party) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วจากความสนใจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วไป[4] เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1952 และยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปหลังจากประเทศกานาได้รับเอกราชจากบริเตนใน ค.ศ. 1957 ซึ่งนับเป็นชาติแรกในภูมิภาคซาฮาราตอนล่างที่ได้รับเอกราช ต่อมาใน ค.ศ. 1960 ชาวกานาได้อนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และเลือกให้อึนกรูมาเป็นประธานาธิบดี[5]

การบริหารของเขาใช้แนวทางสังคมนิยมและชาตินิยมเป็นหลัก ซึ่งมีการให้ทุนสนับสนุนโครงการอุตสาหกรรมและพลังงานแห่งชาติ พัฒนาระบบการศึกษาของชาติให้แข็งแกร่ง และส่งเสริมวัฒนธรรมรวมกลุ่มแอฟริกัน[6] ภายใต้การปกครองของอึนกรูมา กานามีบทบาทนําในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทวีปแอฟริกาและขบวนการรวมกลุ่มแอฟริกันในช่วงการปลดอาณานิคมในแอฟริกา[7]

หลังจากความพยายามที่ล้มเหลวหลายครั้งในชีวิตของเขา ควบคู่ไปกับสภาพเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่ยากลําบากมากขึ้น รัฐบาลอึนกรูมาจึงเริ่มการปกครองแบบเผด็จการในช่วงทศวรรษ 1960 โดยได้ปราบปรามฝ่ายค้านทางการเมืองและดําเนินการเลือกตั้งที่ไม่เสรีหรือยุติธรรม[8][9][10][11][12] ใน ค.ศ. 1964 กานากลายเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวหลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกำหนดให้อึนกรูมาเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพของประเทศ[13] เขาสนับสนุนลัทธิบูชาบุคคล โดยได้จัดตั้งสถาบันทางอุดมการณ์และประกาศใช้คำนำหน้าชื่อเป็น "โอซักเยโฟ ดีอาร์." (Osagyefo Dr.)[14] อึนกรูมาถูกปลดใน ค.ศ. 1966 เนื่องจากรัฐประหารที่นำโดยคณะปลดปล่อยแห่งชาติซึ่งมีซีไอเออยู่เบื้องหลัง ซึ่งทำให้การกำกับดูแลเศรษฐกิจของประเทศถูกโอนไปเป็นของเอกชน[15] อึนกรูมาใช้ชีวิตที่เหลือในประเทศกินี โดยที่นั่นเขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นประธานร่วมกิตติมศักดิ์

ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา

[แก้]

โกลด์โคสต์

[แก้]

กวาเม อึนกรูมา เกิดเมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1909[16][17] ที่เมืองอึนโกรฟูล (Nkroful) ในอาณานิคมโกลด์โคสต์ (ปัจจุบันคือประเทศกานา)[18][19] อึนโกรฟูลเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในพื้นที่ของชาวอึนเซมา (Nzema)[20] ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโกลด์โคสต์ ใกล้กับพรมแดนของอาณานิคมไอวอรีโคสต์ของฝรั่งเศส บิดาของเขาไม่ได้อาศัยอยู่กับครอบครัว แต่ทำงานเป็นช่างทองที่เมืองฮาล์ฟแอสซีนี (Half Assini) จนกระทั่งเสียชีวิต[21] กวาเม อึนกรูมา ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาในครอบครัวใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันตามประเพณีและมักมีญาติห่าง ๆ มาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง[22] เขาใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างไร้กังวล ทั้งในหมู่บ้าน ป่าเขา และบริเวณทะเลใกล้เคียง[23]

ในช่วงที่เป็นนักศึกษาในสหรัฐอเมริกา เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ ฟรานซิส อึนเวีย โกฟี อึนกรูมา โดย "โกฟี" เป็นชื่อภาษาอาคานที่ตั้งให้กับเด็กชายที่เกิดวันศุกร์[24] ต่อมาใน ค.ศ. 1945 ขณะอยู่ในสหราชอาณาจักร เขาเปลี่ยนชื่อเป็น กวาเม อึนกรูมา โดยเลือกใช้ชื่อ "กวาเม"[25][26] ตามที่เอเบเนเซอร์ โอบีรี แอดโด ได้ศึกษาเกี่ยวกับประธานาธิบดีในอนาคตท่านนี้ ระบุว่า ชื่อ "อึนกรูมา" เป็นชื่อที่ตามประเพณีจะตั้งให้กับบุตรคนที่เก้า ซึ่งบ่งชี้ว่ากวาเมน่าจะเป็นบุตรคนที่เก้าในบ้านของบิดาที่มีภรรยาหลายคน[27]

บิดาของเขา โอปันยิน โกฟี อึนเวียนา อึนโกโลมา มาจากเมืองอึนโกรฟูล ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่อึนเซมาตะวันออก (ปัจจุบันเรียกว่าเอ็ลเล็มเบเล (Ellembele)) เขาเป็นสมาชิกของตระกูลอาโซนาในเผ่าอาคาน[28] แหล่งข้อมูลระบุว่าอึนโกโลมาพักอาศัยอยู่ที่ตาร์กวา-อึนซวาเอ็ม (Tarkwa-Nsuaem) และประกอบอาชีพช่างทอง[29]

อึนโกโลมาเป็นที่เคารพนับถือในด้านคำแนะนำอันชาญฉลาดจากผู้ที่ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับประเด็นตามประเพณีและเรื่องราวในครอบครัว เขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1927[30][19]

กวาเมเป็นบุตรคนเดียวของมารดา[a][31] เธอส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษาซึ่งดำเนินการโดยมิชชันนารีคาทอลิกที่เมืองฮาล์ฟแอสซีนี ซึ่งเขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักเรียนที่มีความสามารถ[32]

แม้ว่ามารดาของเขาที่ชื่อเอลิซาเบธ นยานีบา (ค.ศ. 1876/1877–1979)[26][33] จะระบุปีเกิดของเขาในภายหลังว่าเป็น ค.ศ. 1912 แต่อึนกรูมาเขียนว่าเขาเกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1909 มารดาของเขามาจากอึนซวาเอ็มและเป็นสมาชิกตระกูลอาโกนา เธอเป็นแม่ค้าปลาและผู้ขายรายย่อยหลังจากแต่งงานกับบิดาของเขา[34] แปดวันหลังจากเขาเกิด บิดาตั้งชื่อให้เขาว่า ฟรานซิส อึนเวีย-โกฟี ตามชื่อของญาติคนหนึ่ง[19] แต่ต่อมาพ่อแม่ของเขาตั้งชื่อให้เขาว่า ฟรานซิส กวาเม อึนโกโลมา[29]

เขาเรียนจบหลักสูตรประถมศึกษาสิบปีภายในระยะเวลา 8 ปี จากนั้นใน ค.ศ. 1925 เขาเป็นครูฝึกสอนในโรงเรียนและได้รับบัพติศมาเข้าเป็นศาสนิกชนคาทอลิก[35] ขณะศึกษาอยู่ที่โรงเรียน เขาได้รับความสนใจจากบาทหลวงอเล็ก การ์เดน เฟรเซอร์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยฝึกหัดครูของรัฐบาล (ต่อมาคือโรงเรียนอชิโมตา) ที่กรุงอักกรา เมืองหลวงของโกลด์โคสต์ เฟรเซอร์จัดการให้อึนกรูมาได้ฝึกหัดครูที่โรงเรียนของเขา[32][36] ที่นี่ กเวกยีร์ อักเกรย์ (Kwegyir Aggrey) รองผู้อำนวยการที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้แนะนำให้เขารู้จักแนวคิดของมาร์คัส การ์วีย์ (Marcus Garvey) และดับเบิลยู. อี. บี. ดู บอยส์ (W. E. B. Du Bois) ทั้งอักเกรย์ เฟรเซอร์ และคนอื่น ๆ คิดว่าควรมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างเชื้อชาติต่าง ๆ ในการปกครองโกลด์โคสต์ แต่อึนกรูมาได้สะท้อนความคิดของการ์วีย์ และในไม่ช้าก็เชื่อว่ามีเพียงการปกครองตนเองของคนผิวดำเท่านั้น จึงจะเกิดความกลมเกลียวระหว่างเชื้อชาติ[37][38]

หลังจากได้รับประกาศนียบัตรครูจากปรินซ์ออฟเวลส์คอลเลจที่อชิโมตาใน ค.ศ. 1930[26] อึนกรูมาได้รับตำแหน่งครูที่โรงเรียนประถมศึกษาคาทอลิกที่เมืองเอลมีนา (Elmina) เมื่อ ค.ศ. 1931[26] หลังจากทำงานที่นั่นหนึ่งปี เขาได้รับแต่งตั้งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนที่อาซิม (Axim) ที่อาซิม เขาเริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองและก่อตั้งสมาคมวรรณกรรมอึนเซมา ใน ค.ศ. 1933 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นครูที่โรงเรียนสอนศาสนาคาทอลิกที่อามิสซาโน (Amissano)[39][40] แม้ว่าชีวิตที่นั่นจะเคร่งครัด แต่เขากลับชื่นชอบมัน และเคยพิจารณาที่จะเป็นนักบวชเยซูอิต อึนกรูมาเคยได้ยินนัมดี อาซีกีเว (Nnamdi Azikiwe) นักหนังสือพิมพ์และประธานาธิบดีไนจีเรียในอนาคต พูดขณะที่เป็นนักศึกษาที่อชิโมตา ชายทั้งสองได้พบกันและอิทธิพลของอาซีกีเวช่วยเพิ่มความสนใจของอึนกรูมาในเรื่องชาตินิยมของคนผิวดำ[41] ครูหนุ่มตัดสินใจศึกษาต่อ[40] อาซีกีเวเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยลิงคอล์น ซึ่งเป็นวิทยาลัยของคนผิวดำในเทศมณฑลเชสเตอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ทางตะวันตกของนครฟิลาเดลเฟีย และเขาแนะนำให้อึนกรูมาสมัครเรียนที่นั่น[42]

อึนกรูมาซึ่งเคยสอบไม่ผ่านการเข้ามหาวิทยาลัยลอนดอน ได้รับเงินทุนสำหรับการเดินทางและการศึกษาจากญาติ ๆ เขาเดินทางผ่านประเทศอังกฤษ ซึ่งที่นั่นเขาได้ทราบข่าวการบุกครองเอธิโอเปียของอิตาลี ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศอิสระไม่กี่แห่งในแอฟริกา ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองใจ เขาเดินทางมาถึงสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1935[40][43][44]

สหรัฐอเมริกา

[แก้]

ตามที่นักประวัติศาสตร์จอห์น เฮนริค คลาร์ก ได้กล่าวไว้ในบทความของเขาเกี่ยวกับการพำนักในอเมริกาของอึนกรูมาว่า "อิทธิพลของเวลาสิบปีที่เขาใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาจะมีผลต่อชีวิตที่เหลือของเขา"[45] อึนกรูมาได้พยายามเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยลิงคอล์นมาระยะหนึ่งก่อนที่เขาจะเริ่มการศึกษาที่นั่น ในวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1935 เขาส่งจดหมายถึงโรงเรียนโดยระบุว่าใบสมัครของเขาได้รอการพิจารณามากกว่าหนึ่งปีแล้ว เมื่อเขามาถึงนครนิวยอร์กในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1935 เขาได้เดินทางไปยังรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งเขาได้ลงทะเบียนเรียนแม้ว่าจะไม่มีเงินทุนสำหรับการเรียนเต็มภาคการศึกษาก็ตาม[46] ไม่นานเขาก็ได้รับทุนการศึกษาที่ครอบคลุมค่าเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยลิงคอล์น เขายังคงขาดแคลนเงินทุนตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสหรัฐ[47] เพื่อให้มีรายได้พอใช้ เขาจึงทำงานระดับล่างหลายอย่าง เช่น เป็นพ่อค้าส่งปลาและสัตว์ปีก พนักงานทำความสะอาด พนักงานล้างจาน และอื่น ๆ[48] ในวันอาทิตย์ เขาเดินทางไปโบสถ์เพรสไบทีเรียนของคนผิวดำในนครฟิลาเดลเฟียและนิวยอร์ก[49]

อึนกรูมาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์และสังคมวิทยาใน ค.ศ. 1939 จากนั้นทางมหาวิทยาลัยได้แต่งตั้งเขาเป็นผู้ช่วยอาจารย์ด้านปรัชญา เขาเริ่มได้รับเชิญให้เป็นนักเทศน์รับเชิญในโบสถ์เพรสไบทีเรียนในนครฟิลาเดลเฟียและนิวยอร์ก[50][51] ใน ค.ศ. 1939 อึนกรูมาได้เข้าเรียนที่เซมินารีของมหาวิทยาลัยลิงคอล์นและที่สถาบันไอวีลีกอย่างมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในนครฟิลาเดลเฟีย และใน ค.ศ. 1942 เขาได้เข้าร่วมสาขามิวของสมาคมภราดรฟี เบตา ซิกมา (Phi Beta Sigma fraternity) ที่มหาวิทยาลัยลิงคอล์น[52] อึนกรูมาได้รับปริญญาตรีด้านเทววิทยาจากมหาวิทยาลัยลิงคอล์นใน ค.ศ. 1942 โดยเป็นนักศึกษาที่ได้คะแนนสูงสุดในหลักสูตร เขาได้รับปริญญาโทด้านปรัชญาและปริญญาโทสาขาการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปีถัดมา[53] ขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย อึนกรูมาได้ร่วมงานกับนักภาษาศาสตร์วิลเลียม เอเวอเรตต์ เวลเมอส์ โดยจัดเตรียมข้อมูลการพูดที่กลายเป็นพื้นฐานของไวยากรณ์เชิงพรรณนาแรกของภาษาย่อยฟันเต (Fante dialect) ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของภาษาอาคาน[54] อึนกรูมายังได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรฟรีเมสัน (Prince Hall Freemasonry) ขณะที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอีกด้วย[55][56]

อึนกรูมาใช้เวลาช่วงฤดูร้อนในฮาร์เลม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชีวิต ความคิด และวัฒนธรรมของคนผิวดำ เขาหาที่พักและงานในนครนิวยอร์กด้วยความยากลำบากและได้เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชน[57] เขาใช้เวลาหลายคืนรับฟังและถกเถียงกับนักพูดตามท้องถนน โดยคลาร์กกล่าวถึงอึนกรูมาในช่วงเวลาที่อยู่ในอเมริกาไว้ว่า[58]

ยามค่ำคืนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการศึกษาในอเมริกาของกวาเม อึนกรูมา เขากำลังไปสู่มหาวิทยาลัย - มหาวิทยาลัยแห่งถนนฮาร์เลม นี่ไม่ใช่เวลาธรรมดาและนักพูดตามท้องถนนเหล่านี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา ...ถนนในฮาร์เลมเป็นเวทีเสวนาแบบเปิด ที่มีนักพูดระดับตำนานอย่างอาเธอร์ รีด และลูกศิษย์ของเขา ไอรา เคมป์ เป็นผู้ดำเนินรายการ นักเคลื่อนไหวหนุ่ม คาร์ลอส คุก [ตามต้นฉบับ] ผู้ก่อตั้งขบวนการบุกเบิกแอฟริกันที่ได้แรงบันดาลใจจากการ์วีย์ก็อยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย นำสารประจำคืนมาสู่ผู้ติดตามบนท้องถนนของเขา บางครั้งซูจี อับดุล ฮามิด [ตามต้นฉบับ] นักต่อสู้เพื่อแรงงานในฮาร์เลม จัดการชุมนุมตอนกลางคืนและเรียกร้องงานเพิ่มเติมสำหรับคนผิวดำในชุมชนของพวกเขาเอง ...นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ต่าง ๆ บนถนนฮาร์เลมในขณะที่นักศึกษากวาเม อึนกรูมา เดินและสังเกตการณ์[59]

อึนกรูมายังเป็นนักเคลื่อนไหวขณะศึกษาอยู่ เขาจัดตั้งกลุ่มนักศึกษาต่างชาติชาวแอฟริกันในเพนซิลเวเนียและพัฒนาให้เป็นสมาคมนักศึกษาแอฟริกันแห่งอเมริกาและแคนาดา โดยมีเขาเป็นประธานสมาคม[58] สมาชิกบางคนมองว่ากลุ่มควรมุ่งหวังให้แต่ละอาณานิคมได้รับเอกราชด้วยตัวเอง แต่อึนกรูมากลับผลักดันกลยุทธ์แบบแอฟริกันรวมกลุ่ม[60][61] อึนกรูมามีบทบาทสำคัญในการประชุมแอฟริกันรวมกลุ่มที่จัดขึ้นในนิวยอร์กเมื่อ ค.ศ. 1944 ซึ่งเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาช่วยรับประกันว่าแอฟริกาจะได้รับการพัฒนาและเป็นอิสระเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง[62]

อักเกรย์ ผู้เป็นอาจารย์เก่า เสียชีวิตลงใน ค.ศ. 1929 ที่สหรัฐ และใน ค.ศ. 1942 อึนกรูมาเป็นเจ้าภาพนำสวดให้อักเกรย์ตามประเพณีที่หลุมฝังศพ สิ่งนี้นำไปสู่การแตกหักระหว่างเขากับมหาวิทยาลัยลิงคอล์น แม้ว่าหลังจากที่เขาขึ้นสู่อำนาจในโกลด์โคสต์ เขาจะกลับมารับปริญญากิตติมศักดิ์ใน ค.ศ. 1951[63][64] อย่างไรก็ตาม วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของอึนกรูมายังคงไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาได้ใช้ชื่อฟรานซิสขณะอยู่ที่โรงเรียนสอนศาสนาอามิสซาโน และใน ค.ศ. 1945 เขาใช้ชื่อกวาเม อึนกรูมา[61]

เช่นเดียวกับสมัยอียิปต์โบราณ วันนี้พระเจ้าได้กำหนดไว้ว่าบางคนในเชื้อชาติแอฟริกันควรเดินทางไปทางตะวันตกเพื่อเตรียมตัวเองด้วยความรู้และประสบการณ์สำหรับวันที่พวกเขาจะถูกเรียกให้กลับไปยังมาตุภูมิของพวกเขา และใช้ความรู้ที่พวกเขาได้รับเพื่อช่วยปรับปรุงชะตากรรมของพี่น้องของพวกเขา ...ตอนนั้นผมไม่ได้ตระหนักว่าผมจะมีส่วนช่วยให้คำทำนายนี้เป็นจริงมากขนาดนี้

— กวาเม อึนกรูมา ใน อัตชีวประวัติของกวาเม อึนกรูมา (ค.ศ. 1957)[65]

อึนกรูมาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเมืองและเทววิทยา และสอนพิเศษนักศึกษาในวิชาปรัชญา[66] ใน ค.ศ. 1943 อึนกรูมาได้พบกับซี. แอล. อาร์. เจมส์ นักมาร์กซิสม์ชาวตรินิแดด, รายา ดูนาเยฟสกายา ผู้ย้ายถิ่นชาวรัสเซีย, และเกรซ ลี บ็อกส์ ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ซึ่งทุกคนเป็นสมาชิกของกลุ่มปัญญาชนมาร์กซิสม์ที่มีฐานอยู่ในอเมริกา[67] ต่อมาอึนกรูมากล่าวว่าเจมส์เป็นผู้สอนเขา "ว่าขบวนการใต้ดินทำงานอย่างไร"[68] แฟ้มข้อมูลของสำนักงานสอบสวนกลางเกี่ยวกับอึนกรูมา ซึ่งเก็บตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1945 ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่เขาเป็นคอมมิวนิสต์[69] อึนกรูมาปรารถนาที่จะไปลอนดอน โดยต้องการศึกษาต่อที่นั่นเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลงแล้ว[70] เจมส์เขียนในจดหมายเมื่อ ค.ศ. 1945 ที่แนะนำอึนกรูมาให้รู้จักกับจอร์จ แพดมอร์ ผู้เกิดในตรินิแดดซึ่งอาศัยอยู่ในลอนดอน ความว่า "ชายหนุ่มคนนี้กำลังมาหาคุณ เขาไม่ได้ฉลาดนัก แต่อย่างไรก็ตามทำอะไรก็ได้ที่คุณทำได้เพื่อเขา เพราะเขามุ่งมั่นที่จะขับไล่ชาวยุโรปออกจากแอฟริกา"[68]

ลอนดอน

[แก้]
60 ถนนเบอร์กลีย์ เคนทิชทาวน์ กรุงลอนดอน คือสถานที่ที่อึนกรูมาอาศัยอยู่ในช่วงที่เขาพำนักที่สหราชอาณาจักรในระหว่าง ค.ศ. 1945 ถึง ค.ศ. 1947

อึนกรูมากลับมาที่ลอนดอนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945 และเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยาของวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งลอนดอน เขาลาออกหลังจากเรียนได้หนึ่งภาคการศึกษาและได้สมัครเรียนที่ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินในปีถัดมา ด้วยความตั้งใจที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ปรัชญาเกี่ยวกับ "ความรู้และปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ"[71] เอ. เจ. เอเยอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาของเขา ปฏิเสธที่จะพิจารณาให้อึนกรูมาเป็น "นักปรัชญาอันดับหนึ่ง" โดยกล่าวว่า "ผมชอบเขาและสนุกกับการพูดคุยกับเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีความคิดเชิงวิเคราะห์ เขาต้องการคำตอบต่าง ๆ เร็วเกินไป ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของปัญหาอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้มุ่งมั่นกับวิทยานิพนธ์ของเขาเสียเท่าใดนัก มันเป็นเพียงหนทางรอเวลาจนกว่าโอกาสที่ให้เขากลับไปกานาจะมาถึง"[72] จากนั้น อึนกรูมาเรียนต่อด้านกฎหมายที่เกรส์อินน์ แต่ไม่ได้ศึกษาจนจบ[72]

อึนกรูมาเริ่มเข้าไปพัวพันกับองค์กรทางการเมือง เขากับแพดมอร์เป็นหนึ่งในผู้นำหลักขององค์กร และเป็นผู้ดูแลการเงินร่วมของการประชุมใหญ่แอฟริกันรวมกลุ่มครั้งที่ห้าที่นครแมนเชสเตอร์ (15–19 ตุลาคม ค.ศ. 1945)[73] ที่ประชุมได้กำหนดแผนการแทนที่ลัทธิอาณานิคมด้วยสังคมนิยมแอฟริกัน พวกเขาตกลงที่จะผลักดันการเกิดขึ้นของสหพันธรัฐแอฟริกา โดยมีองค์กรระดับภูมิภาคที่เชื่อมโยงกัน และปกครองผ่านรัฐต่าง ๆ ที่มีอธิปไตยอย่างจำกัด[74] พวกเขาวางแผนที่จะสร้างวัฒนธรรมแอฟริกันใหม่โดยปราศจากภาวะชนเผ่า เป็นประชาธิปไตยภายในระบบสังคมนิยม ผสมผสานแง่มุมดั้งเดิมกับความคิดสมัยใหม่ และบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงหากเป็นไปได้[75] ในบรรดาผู้เข้าร่วมการประชุม ได้แก่ ดับเบิลยู. อี. บี. ดู บอยส์ ผู้ทรงเกียรติ พร้อมกับบางคนที่ต่อมามีบทบาทสำคัญในการนำประเทศต่าง ๆ ไปสู่อิสรภาพ เช่น ฮัสติงส์ บันดา จากนยาซาแลนด์ (ต่อมาคือประเทศมาลาวี), โจโม เคนยัตตา จากเคนยา, และ โอบาเฟมี อาโวโลโว จากไนจีเรีย[76][77]

การประชุมมุ่งหวังที่จะสร้างการเคลื่อนไหวของชาวแอฟริกันในอังกฤษอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับคณะเลขาธิการแห่งชาติแอฟริกาตะวันตก (WANS) เพื่อดำเนินการสู่การให้เอกราชของแอฟริกา ซึ่งอึนกรูมาได้เป็นเลขาธิการของคณะเลขาธิการแห่งชาตินี้ นอกจากความพยายามในการรวมตัวชาวแอฟริกันเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพของประเทศแล้ว อึนกรูมายังช่วยเหลือกะลาสีชาวแอฟริกันตะวันตกจำนวนมากที่ถูกทอดทิ้งอย่างอนาถาในลอนดอนเมื่อสิ้นสุดสงคราม และได้ก่อตั้งสมาคมคนงานผิวสี (Coloured Workers Association) เพื่อเสริมกำลังและช่วยเหลือพวกเขา[78] กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและหน่วยความมั่นคงได้จับตาดูอึนกรูมาและคณะเลขาธิการแห่งชาติ โดยเน้นไปที่ความเชื่อมโยงของพวกเขากับคอมมิวนิสต์[79] อึนกรูมากับแพดมอร์ได้ก่อตั้งกลุ่มที่เรียกว่า 'เดอะเซอร์เคิล' (The Circle) เพื่อปูทางไปสู่อิสรภาพและความเป็นเอกภาพของแอฟริกาตะวันตก โดยกลุ่มมีเป้าหมายที่จะสร้างสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมแอฟริกา เอกสารจากเดอะเซอร์เคิลที่กำหนดเป้าหมายดังกล่าวถูกค้นพบที่ตัวของอึนกรูมาเองระหว่างการจับกุมที่กรุงอักกราใน ค.ศ. 1948 และถูกเจ้าหน้าที่อังกฤษนำมาใช้เพื่อต่อต้านเขา[80][81][b]

กลับสู่โกลด์โคสต์

[แก้]

สมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์

[แก้]

รัฐธรรมนูญโกลด์โคสต์ ค.ศ. 1946 ให้ชาวแอฟริกันมีเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสู่การปกครองตนเอง[82] การจัดระเบียบใหม่นี้นำไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองที่แท้จริงพรรคแรกของอาณานิคม นั่นคือสมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์ (United Gold Coast Convention; UGCC) ซึ่งก่อตั้งในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1947[83] สมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์มุ่งหวังก่อตั้งรัฐบาลปกครองตนเองโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากสมาชิกผู้นำทั้งหมดล้วนเป็นนักวิชาชีพที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาจึงต้องจ้างใครสักคนมาบริหารพรรค และทางเลือกของพวกเขาตกอยู่ที่อึนกรูมาตามคำแนะนำของอาโก อัดเจย์ (Ako Adjei) ตอนแรกอึนกรูมายังคงลังเลใจ แต่ก็รับรู้ได้ว่าสมัชชาในตอนนี้อยู่ในการครอบงำของฝ่ายอนุรักษนิยมผู้แสวงหาผลประโยชน์ และมองว่าตำแหน่งใหม่นี้อาจเปิดโอกาสทางการเมืองอันใหญ่หลวงให้กับเขา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจรับข้อเสนอ หลังจากทางการอังกฤษสอบสวนอึนกรูมาเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกับคอมมิวนิสต์ เขาได้ขึ้นเรือเอ็มวี อักกรา ที่เมืองลิเวอร์พูลในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1947 เพื่อเดินทางกลับบ้าน[84][85]

หลังจากหยุดพักสั้น ๆ ที่เซียร์ราลีโอน ไลบีเรีย และโกตดิวัวร์ เขาก็เดินทางมาถึงโกลด์โคสต์ ซึ่งเขาพำนักอยู่ชั่วคราวและได้พบกับมารดาที่เมืองตาร์กวา เขาเริ่มทำงานที่สำนักงานใหญ่ของพรรคในเมืองซอลต์พอนด์เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1947 โดยทำหน้าที่เป็นเลขาธิการพรรค[18][86] อึนกรูมารีบเสนอแผนการจัดตั้งสาขาของสมัชชาทั่วทั้งอาณานิคม และเสนอให้มีการนัดหยุดงานหากจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง ด้วยจุดยืนที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวนี้ ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งนำโดย เจ. บี. ดันกวา (J. B. Danquah) เกิดความแตกแยก อึนกรูมาออกเดินทางเพื่อระดมเงินบริจาคให้กับสมัชชา และได้จัดตั้งสาขาใหม่[87]

แม้ว่าโกลด์โคสต์จะมีการพัฒนาทางการเมืองมากกว่าอาณานิคมอื่นของอังกฤษในแอฟริกาตะวันตก แต่ก็ยังเกิดความไม่พอใจจำนวนมาก ภาวะเงินเฟ้อหลังสงครามทำให้เกิดความขุ่นเคืองต่อราคาสินค้าที่สูงขึ้น นำไปสูาการคว่ำบาตรธุรกิจขนาดเล็กที่ดำเนินการโดยชาวอาหรับ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1948 เกษตรกรผู้ปลูกโกโก้ตามท้องถิ่นก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน เพราะต้นโกโก้ที่ติดเชื้อหน่อบวมแต่ยังสามารถให้ผลผลิตได้กลับกำลังถูกทางการอาณานิคมทำลาย[88] มีทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สองราว 63,000 นายในโกลด์โคสต์ ประสบปัญหาในการหางานทำและรู้สึกว่ารัฐบาลอาณานิคมไม่ได้ดำเนินการอันใดเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนเลย อึนกรูมาและดันกวาได้กล่าวในการประชุมของสหภาพอดีตทหารผ่านศึกที่กรุงอักกราเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1948 ซึ่งจัดขึ้นล่วงหน้าก่อนการเดินขบวนตามแผนเพื่อยื่นคำร้องต่อผู้ว่าการอาณานิคม เมื่อการเดินขบวนดำเนินขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ มีทหารผ่านศึกสามนายถูกกระสุนปืนของตำรวจยิงเสียชีวิต เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจลาจลที่อักกรา ค.ศ. 1948 ที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศ[89] เดวิด เบอร์มิงแฮม นักเขียนชีวประวัติของอึนกรูมา กล่าวว่า ""อาณานิคมต้นแบบ" ในอดีตของแอฟริกาตะวันตก ได้เห็นการจลาจลและสถานประกอบการทางธุรกิจถูกปล้นสะดม การปฏิวัติแอฟริกาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว"[90]

รัฐบาลอาณานิคมกล่าวหาว่าสมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์เป็นผู้รับผิดชอบต่อความไม่สงบนี้ และได้จับกุมผู้นำหกคน รวมทั้งอึนกรูมาและดันกวา กลุ่มบิ๊กซิก (Big Six) ถูกจำคุกรวมกันที่เมืองคูมาซี[91] ซึ่งยิ่งทวีคูณความขัดแย้งระหว่างอึนกรูมากับบุคคลอื่นที่กล่าวโทษเขาว่าเป็นต้นเหตุของการจลาจลและการถูกคุมขัง ภายหลังรัฐบาลอาณานิคมทราบว่ามีแผนจะบุกเข้าไปในเรือนจำ ทั้งหกคนจึงถูกขังแยกจากกัน โดยอึนกรูมาได้รับการส่งตัวไปยังลอว์รา ทั้งหกคนได้รับการปล่อยตัวในเดือนเมษายน ค.ศ. 1948 มีนักเรียนและครูจำนวนมากที่เดินขบวนเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขาและถูกพักการเรียนการสอน อึนกรูมาจึงใช้เงินทุนส่วนตัวก่อตั้งวิทยาลัยแห่งชาติกานา[92] กิจกรรมนี้และกิจกรรมอื่น ๆ ทำให้สมาชิกคณะกรรมการสมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์กล่าวหาอึนกรูมาว่าใช้ชื่อพรรคในการดำเนินการโดยปราศจากอำนาจ แต่พวกเขาก็กังวลว่าอึนกรูมาจะสร้างความเสียหายให้มากกว่าหากอยู่นอกพรรค จึงตกลงที่จะแต่งตั้งเขาเป็นเหรัญญิกกิตติมศักดิ์ ความนิยมของอึนกรูมาซึ่งมีมากอยู่แล้วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเขาก่อตั้งหนังสือพิมพ์อักกราอีฟนิงนิวส์ ซึ่งไม่ใช่องค์กรของพรรคแต่เป็นของอึนกรูมาและคนอื่น ๆ เขายังก่อตั้งคณะกรรมการองค์กรเยาวชน (CYO) ซึ่งเป็นฝ่ายเยาวชนของสมัชชาอีกด้วย ไม่นานหลังจากนั้น ฝ่ายเยาวชนได้แยกตัวออกมาและใช้คำขวัญว่า "รัฐบาลปกครองตนเองเดี๋ยวนี้" (Self-Government Now)[93] ฝ่ายเยาวชนได้รวมนักเรียน อดีตทหาร และแม่ค้าเข้าไว้ด้วยกัน อึนกรูมาเล่าในอัตชีวประวัติของตนว่าเขารู้ดีว่าการแยกตัวจากสมัชชาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องการให้มวลชนอยู่เบื้องหลังเขาเมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้น[94][95] การเรียกร้อง "เสรีภาพ" ของอึนกรูมาได้รับความสนใจจากเยาวชนตกงานจำนวนมากที่มาจากไร่นาและหมู่บ้าน "ทำนองเพลงสวดเก่า ๆ ถูกดัดแปลงให้เป็นเพลงใหม่แห่งการปลดปล่อย ซึ่งต้อนรับนักพูดที่เดินทางมา โดยเฉพาะตัวอึนกรูมาเอง สู่การชุมนุมใหญ่ทั่วโกลด์โคสต์"[96]

แอรอน ไมก์ โอกวาเย อ้างว่ามีการประชุมเกิดขึ้นที่ซอลต์พอนด์ ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในภาคกลาง ระหว่างอึนกรูมากับสมาชิกสมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์ โดยกล่าวว่าอึนกรูมาปฏิเสธข้อเสนอในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน[97]

พรรคสมัชชาประชาชน

[แก้]
สัญลักษณ์ของพรรคสมัชชาประชาชน คือ ไก่ตัวผู้สีแดง พร้อมคำขวัญ "ก้าวต่อไป ไม่ถอยหลัง"

ตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 1949 อึนกรูมาได้รับแรงกดดันอย่างมากจากผู้สนับสนุนที่ต้องการให้เขาออกจากสมัชชาเอกภาพและก่อตั้งพรรคของตัวเอง[98] เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1949 เขาประกาศจัดตั้งพรรคสมัชชาประชาชน (CPP) โดยคำว่า "สมัชชา" (convention) ได้รับเลือกตามคำกล่าวของอึนกรูมาที่ว่า "เพื่อนำมวลชนไปกับเรา"[99] มีความพยายามที่จะเยียวยาความแตกแยกกับสมัชชาเอกภาพ โดยในการประชุมครั้งหนึ่งในเดือนกรกฎาคม มีการตกลงที่จะคืนตำแหน่งเลขาธิการให้อึนกรูมาและยุบพรรคสมัชชาประชาชน แต่ผู้สนับสนุนของอึนกรูมามิอาจยอมรับได้ และเกลี้ยกล่อมให้เขาปฏิเสธข้อเสนอนี้และยังคงเป็นผู้นำของพรรคต่อไป[100]

พรรคสมัชชาประชาชนนำไก่ตัวผู้สีแดงมาเป็นสัญลักษณ์ประจำพรรค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่คุ้นเคยสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ท้องถิ่น และยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้นำ ความตื่นตัว และความเป็นชาย[65][101] สัญลักษณ์และสีของพรรค (แดง ขาว และเขียว) ปรากฏบนเครื่องแต่งกาย ธง ยานพาหนะ และบ้านเรือน[65] เจ้าหน้าที่พรรคขับรถตู้สีแดงขาวเขียวไปทั่วประเทศ เปิดเพลงและปลุกระดมการสนับสนุนพรรคและอึนกรูมาจากสาธารณชน ความพยายามเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากความพยายามทางการเมืองก่อนหน้านี้ในโกลด์โคสต์มุ่งเน้นเฉพาะปัญญาชนในเมืองเท่านั้น[65]

กวาเม อึนกรูมา บนปกนิตยสารไทม์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1953

ทางอังกฤษได้เรียกประชุมคณะกรรมการที่คัดเลือกชาวแอฟริกันชนชั้นกลาง รวมถึงกลุ่มบิ๊กซิกทั้งหมด (แต่ยกเว้นอึนกรูมา) เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะให้โกลด์โคสต์มีอิสระในการปกครองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อึนกรูมาคาดเดาได้ตั้งแต่ก่อนคณะกรรมการจะรายงานแล้ว ว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่ได้ทำให้ประเทศได้รับสถานะปกครองตนเองอย่างเต็มรูปแบบ และเริ่มจัดระเบียบการรณรงค์ปฏิบัติการเชิงบวก (Positive Action)[76] อึนกรูมาเรียกร้องให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อชาลส์ อาร์เดน-คลาร์ก ผู้ว่าการโกลด์โคสต์ ไม่ยินยอมผูกมัดกับเรื่องนี้ อึนกรูมาจึงดำเนินปฏิบัติการเชิงบวก โดยให้สหภาพต่าง ๆ เริ่มการนัดหยุดงานทั่วไปในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1950 การนัดหยุดงานนำไปสู่ความรุนแรงอย่างรวดเร็ว และอึนกรูมาพร้อมผู้นำพรรคคนอื่น ๆ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 22 มกราคม รวมถึงมีการสั่งห้ามหนังสือพิมพ์อีฟนิงนิวส์[102] อึนกรูมาได้รับโทษจำคุกรวมสามปี และถูกคุมขังร่วมกับนักโทษทั่วไปในป้อมเจมส์ที่กรุงอักกรา[103]

กอมลา อักเบลี กเบเดมา (Komla Agbeli Gbedemah) ผู้ช่วยของอึนกรูมา กลายเป็นผู้บริหารพรรคในช่วงที่เขาไม่อยู่ โดยผู้นำพรรคที่ถูกคุมขังยังคงชักใยเหตุการณ์ภายนอกได้ผ่านบันทึกลับที่เขียนบนกระดาษชำระ อังกฤษเตรียมการเลือกตั้งสำหรับโกลด์โคสต์ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ และอึนกรูมายืนยันว่าพรรคจะต้องแข่งขันในทุกที่นั่ง[104] สถานการณ์เริ่มสงบลงเมื่ออึนกรูมาถูกจับกุม และพรรคสมัชชาปรถชาชนกับอังกฤษร่วมกันเตรียมบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง อึนกรูมาที่อยู่ในคุกลงสมัครรับเลือกตั้งสำหรับเขตเลือกตั้งอักกราโดยตรง กเบเดมาดำเนินการจัดตั้งเครือข่ายรณรงค์ทั่วประเทศ โดยใช้รถตู้ที่มีลำโพงเพื่อหาเสียง ขณะที่สมัชชาเอกภาพกลับไม่สามารถจัดตั้งเครือข่ายระดับชาติได้ และแสดงให้เห็นว่าสมัชชาไม่มีประสิทธิภาพมากพอ แม้ว่าคู่แข่งจำนวนมากของสมัชชาจะอยู่ในคุกก็ตาม[105]

ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1951 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกที่จัดขึ้นภายใต้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งในอาณานิคมแอฟริกา โดยพรรคสมัชชาประชาชนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น[106] พรรคสมัชชาประชาชนได้รับ 34 จาก 38 ที่นั่งที่มีการแข่งขันแบบแบ่งตามพรรค ส่วนอึนกรูมาก็ชนะเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งอักกราด้วย สมัชชาเอกภาพโกลด์โคสต์ชนะ 3 ที่นั่ง และอีก 1 ที่นั่งเป็นของนักการเมืองอิสระ อาร์เดน-คลาร์กเห็นว่าทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่หากไม่ปล่อยตัวอึนกรูมา คือ การยุติการทดลองใช้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นอึนกรูมาจึงได้รับการปล่อยตัวจากคุกในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้สนับสนุนของเขา[107] วันต่อมา อาร์เดน-คลาร์กได้เรียกตัวเขาเข้าพบและร้องขอให้ให้เขาจัดตั้งรัฐบาล[108]

อึนกรูมาดึงเอาเอริกา พาวเวลล์ (Erica Powell) เลขานุการของอาร์เดน-คลาร์ก มาเป็นเลขาส่วนตัวของตัวเองตั้งแต่เธอกลับมาที่กานาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1955 หลังจากที่เธอเคยโดนไล่ออกเพราะสนิทกับอึนกรูมาเกินไป พาวเวลล์ทำงานให้เขานานถึงสิบปี[109] รวมถึงยังช่วยเขียน(อัต)ชีวประวัติของเขาเองอีกด้วย แม้เรื่องนี้จะไม่ได้รับการยอมรับในตอนแรกก็ตาม[110]

หัวหน้าฝ่ายธุรกิจภาครัฐและนายกรัฐมนตรี

[แก้]

อึนกรูมาต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง เนื่องด้วยอึนกรูมาไม่เคยทำงานให้กับรัฐบาลมาก่อน และจำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปะการปกครอง โกลด์โคสต์ประกอบด้วย 4 ภูมิภาค ซึ่งเป็นอาณานิคมเก่าหลายแห่งมารวมตัวกัน อึนกรูมาพยายามรวบรวมพื้นที่ต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้สัญชาติเดียว และนำประเทศไปสู่อิสรภาพ[111] ปัจจัยสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนี้ คือการโน้มน้าวให้อังกฤษเชื่อว่าโครงการต่าง ๆ ของพรรคสมัชชาประชาชนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่เพียงแต่ในทางปฏิบัติเท่านั้น และอึนกรูมากับอาร์เดน-คลาร์กได้ประสานงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด[98] ผู้ว่าการได้สั่งให้ข้าราชการพลเรือนสนับสนุนรัฐบาลใหม่อย่างเต็มกำลัง และสมาชิกชาวอังกฤษสามคนในคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่สอดส่องไม่ให้มีการลงคะแนนเสียงต่อต้านเสียงข้างมากที่ได้รับจากการเลือกตั้ง[112]

ก่อนที่พรรคสมัชชาประชาชนจะมามีบทบาทในรัฐบาล ทางการอังกฤษได้เตรียมแผนพัฒนาสิบปีไว้อยู่ก่อนแล้ว โดยเมื่อมีความต้องการในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานส่งมาจากทั่วอาณานิคม อึนกรูมาจึงอนุมัติแผนนั้น แต่ลดเวลาลงครึ่งหนึ่งเหลือห้าปี[113] สภาพการเงินของอาณานิคมอยู่ในสถานะที่ดี โดยมีเงินทุนสำรองจากกำไรที่ได้จากโกโก้หลายปี ซึ่งจัดเก็บไว้ที่ลอนดอน และอึนกรูมาสามารถใช้เงินเหล่านั้นได้อย่างเสรี มีการสร้างถนนสายหลักสมัยใหม่ตามแนวชายฝั่งและภายในดินแดน ระบบรถไฟได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ระบบน้ำประปาและท่อระบายน้ำสมัยใหม่ได้รับการติดตั้งในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง นำไปสู่การริเริ่มโครงการที่อยู่อาศัย[114] การก่อสร้างเริ่มต้นขึ้นที่ท่าเรือแห่งใหม่ในเมืองเตมา (Tema) ใกล้กรุงอักกรา และมีการขยายท่าเรือในเมืองตาโกราดี รวมถึงริเริ่มโครงการเร่งด่วนในการสร้างและขยายโรงเรียนตั้งแต่ประถมศึกษาไปจนถึงการฝึกอบรมครูและการค้า[ต้องการอ้างอิง] ตั้งแต่ ค.ศ. 1951 ถึง ค.ศ. 1956 มีนักเรียนที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนของอาณานิคมเพิ่มขึ้นจาก 200,000 เป็น 500,000 คน[115] อย่างไรก็ตาม จำนวนบัณฑิตที่ผลิตออกมายังไม่เพียงพอต่อความต้องการของระบบข้าราชการที่เติบโตขึ้น และใน ค.ศ. 1953 อึนกรูมากล่าวว่าแม้ชาวแอฟริกันจะได้รับการพิจารณาเป็นอันดับแรก แต่ประเทศจำต้องพึ่งพาข้าราชการชาวยุโรปที่อยู่ต่างประเทศอีกหลายปี[116]

ตำแหน่งของอึนกรูมา คือ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจภาครัฐ ซึ่งอยู่ในคณะรัฐมนตรีที่มีอาร์เดน-คลาร์กเป็นประธาน จากนั้นอึนกรูมากลายเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กอปรกับผู้ว่าการลาออกจากคณะรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1952 ซึ่งทำให้ตำแหน่งที่เคยสงวนไว้สำหรับชาวต่างชาติตกเป็นของชาวแอฟริกัน[117] มีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและการเล่นพรรคเล่นพวก เนื่องจากเจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนซึ่งยึดถือธรรมเนียมแอฟริกันแบบดั้งเดิม พยายามกอบโกยผลประโยชน์แก่ครอบครัวและเผ่าพันธุ์ของตน[118] ข้อเสนอแนะที่ตามมาภายหลังการจลาจล ค.ศ. 1948 นั้น ยังหมายรวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งแทนระบบที่มีอยู่ซึ่งถูกหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ครอบงำ โดยประเด็นนี้เริ่มเป็นที่ถกเถียงเมื่อพรรคสมัชชาประชาชนแสดงออกว่าจะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาปรับใช้ เสียงข้างมากของพรรคในสภานิติบัญญัติได้ผ่านกฎหมายในช่วงปลาย ค.ศ. 1951 ซึ่งเปลี่ยนอำนาจจากหัวหน้าเผ่าไปสู่หัวหน้าคณะปกครองท้องถิ่น แม้ว่าจะมีการจลาจลในท้องถิ่นบ้างเมื่อมีการกำหนดอัตราภาษี[119]

การที่อึนกรูมาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ได้ทำให้เขามีอำนาจเพิ่มขึ้น และเขายังคงปรารถนาการปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่อิสรภาพ ใน ค.ศ. 1952 เขาได้ปรึกษากับโอลิเวอร์ ลิตเทิลตัน (Oliver Lyttelton) รัฐมนตรีว่าการอาณานิคมที่มาเยือน ซึ่งบ่งชี้ว่าอังกฤษมีมุมมองเชิงบวกต่อความก้าวหน้าของโกลด์โคสต์ ตราบใดที่หัวหน้าเผ่าและผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ มีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นของตนเอง[39] หน่วยความมั่นคงของอังกฤษได้รวบรวมข่าวกรองจำนวนมากเกี่ยวกับอึนกรูมาผ่านแหล่งข้อมูลหลายแห่ง รวมถึงการดักฟังโทรศัพท์และการสกัดกั้นจดหมายภายใต้รหัส SWIFT เนื่องจากมีความเคลือบแคลงใจต่อนโยบายสังคมนิยมของอึนกรูมาในตอนแรก[120] นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1952 อึนกรูมาได้แสวงหาความคิดเห็นจากคณะปกครองและพรรคการเมืองต่าง ๆ เกี่ยวกับการปฏิรูป และมีการปรึกษาหารืออย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ไม่เว้นแต่กลุ่มฝ่ายค้าน โดยผลลัพธ์ที่ได้ในปีถัดมา คือ สมุดปกขาวเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการเป็นอิสระ[121] ข้อเสนอรัฐธรรมนูญได้รับการเผยแพร่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1953 โดยได้รับการรับรองทั้งจากรัฐสภาและจากอังกฤษ และมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายนของปีถัดไป เอกสารฉบับใหม่นี้กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยสมาชิก 104 คน ซึ่งทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งโดยตรง พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีที่เป็นชาวแอฟริกันทั้งหมดซึ่งรับผิดชอบต่อการปกครองภายในของอาณานิคม ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1954 พรรคสมัชชาประชาชนชนะ 71 ที่นั่ง โดยมีพรรคประชาชนภาคเหนือเป็นฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ[122]

กลุ่มฝ่ายค้านจำนวนมากได้รวมตัวกันเป็นขบวนการปลดปล่อยชาติ โดยมีข้อเรียกร้อง คือ ต้องการให้โกลด์โคสต์มีรัฐบาลแบบสหพันธรัฐมากกว่าแบบรวมศูนย์ และต้องการสภาสูงในรัฐสภาที่หัวหน้าเผ่าและผู้นำตามประเพณีสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบเสียงข้างมากของพรรคสมัชชาประชาชนได้[123] บุคคลเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากในเขตภาคเหนือและในหมู่หัวหน้าเผ่าอชานตี (Ashanti) ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ขอให้มีราชกรรมาธิการ (Royal Commission) เพื่อพิจารณาว่าโกลด์โคสต์ควรมีรูปแบบการปกครองเช่นไร[124] อย่างไรก็ดี รัฐบาลอังกฤษได้ปฏิเสธคำร้องนี้ โดยใน ค.ศ. 1955 รัฐบาลอังกฤษกล่าวว่าราชกรรมาธิการควรใช้เฉพาะเมื่อชาวโกลด์โคสต์พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง ท่ามกลางความรุนแรงทางการเมือง ทั้งสองฝ่ายพยายามปรองดองความเห็นที่แตกต่าง แต่ขบวนการปลดปล่อยชาติปฏิเสธที่จะเข้าร่วมคณะกรรมการใด ๆ ที่มีพรรคสมัชชาประชาชนเป็นเสียงข้างมาก ผู้นำตามประเพณียังคงขุ่นเคืองต่อร่างกฎหมายใหม่ที่เพิ่งออกมา ซึ่งอนุญาตให้หัวหน้าเผ่ารองสามารถอุทธรณ์ต่อรัฐบาลในกรุงอักกราได้ โดยไม่ต้องผ่านอำนาจของหัวหน้าเผ่าตามประเพณี[125] อังกฤษไม่ต้องการที่จะทิ้งคำถามพื้นฐานเรื่องว่าโกลด์โคสต์ควรมีรูปแบบการปกครองอย่างไรไว้โดยไม่มีการแก้ไข และในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1956 เอลัน เลนน็อกซ์-บอยด์ (Alan Lennox-Boyd) รัฐมนตรีว่าการอาณานิคม ได้ประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งทั่งไปอีกครั้งในโกลด์โคสต์ และหาก "เสียงข้างมากที่สมเหตุสมผล" สนัลสนุนจุดยืนของพรรคสมัชชาประชาชน อังกฤษจะกำหนดวันที่สำหรับการมอบอิสรภาพ[126] ผลการเลือกตั้งเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1956 แทบคล้ายคลึงกับเมื่อสี่ปีที่แล้ว และในวันที่ 3 สิงหาคม รัฐสภาได้ลงมติเห็นชอบใช้ชื่อ "กานา" สำหรับชื่อรัฐเอกราชใหม่ที่อึนกรูมาเป็นผู้เสนอในเดือนเมษายน จากนั้นในเดือนกันยายน กระทรวงอาณานิคมได้ประกาศว่าวันประกาศเอกราชจะเป็นวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1957[127][128]

ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับแผนการประกาศอิสรภาพ และเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจไปยังภูมิภาคต่าง ๆ การอภิปรายในประเด็นนี้กินเวลาตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1956 จนเข้าสู่ ค.ศ. 1957 แม้ว่าอึนกรูมาจะไม่ยอมประนีประนอมและยังยืนยันต่อแนวคิดรัฐเดี่ยวรวมศูนย์ แต่ที่สุดแล้วประเทศก็ถูกแบ่งออกเป็น 5 ภูมิภาค โดยมีการกระจายอำนาจจากกรุงอักกรา และให้หัวหน้าเผ่ามีบทบาทในรัฐบาลของท้องถิ่นตนเอง[129] เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ฮาโรลด์ แมคมิลแลน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ได้ประกาศว่ากานาจะเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของเครือจักรภพแห่งประชาชาตินับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม เป็นต้นไป[130]

อิสรภาพของกานา

[แก้]
ธงชาติโกลด์โคสต์แบบเก่า ซึ่งแสดงถึงการปกครองสูงสุดของจักรวรรดิบริติช
ธงชาติกานาแบบใหม่ของอึนกรูมา ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และลัทธิชาตินิยมของแอฟริกา

กานาได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1957 ในฐานะประเทศในเครือจักรภพ ด้วยกานาเป็นอาณานิคมอังกฤษในแอฟริกาแห่งแรกที่ชนส่วนใหญ่ได้รับอิสรภาพในการปกครอง ทำให้การเฉลิมฉลองเอกราชในกรุงอักกราเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลก โดยมีนักข่าวและช่างภาพกว่า 100 คน ที่มาเข้าร่วมและสังเกตการณ์เหตุการณ์นี้[131] ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ส่งคำแสดงความยินดี และส่งรองประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน มาเป็นตัวแทนสหรัฐในงานนี้[117] คณะผู้แทนสหภาพโซเวียตเชิญชวนให้อึนกรูมาเดินทางเยือนมอสโกโดยเร็ววัน ส่วนราล์ฟ บันช์ นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา เดินทางมาร่วมงานในนามสหประชาชาติ ขณะที่ดัชเชสแห่งเคนต์ทรงเป็นตัวแทนของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 หลายประเทศทั่วโลกต่างยื่นข้อเสนอความช่วยเหลือให้แก่กานา และแม้จะไม่มีความช่วยเหลือเหล่านั้น ประเทศกานาก็ยังดูมั่งคั่ง เนื่องจากราคาโกโก้อยู่ในระดับสูงและมีศักยภาพในการพัฒนาทรัพยากรใหม่ ๆ[132]

ช่วงวันที่ 5 ย่างเข้าวันที่ 6 มีนาคม อึนกรูมายืนอยู่หน้าผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนและกล่าวว่า "กานาจะเป็นอิสระตลอดไป"[133] เขากล่าวต่อประชาชนของประเทศใหม่ในการประชุมรัฐสภากานาครั้งแรกในวันประกาศอิสรภาพ ความว่า "เรามีหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าชาวแอฟริกันสามารถดำเนินกิจการของตนเองด้วยประสิทธิภาพและความอดทน และผ่านการใช้ประชาธิปไตย เราต้องเป็นแบบอย่างให้กับแอฟริกาทั้งหมด"[134]

ในส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองเอกราช อึนกรูมาได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่อปลุกเร้าความหวังและปลอบประโลมใจด้วยความมั่นใจ[135]

อึนกรูมาได้รับการยกย่องให้เป็น "โอซักเยโฟ" (Osagyefo) ซึ่งหมายถึง "ผู้ไถ่ถอน" ในภาษาอาคาน[136] การเฉลิมฉลองเอกราชนี้ได้รับเกียรติจากการร่วมงานของดัชเชสแห่งเคนต์และชาลส์ อาร์เดน-คลาร์ก อดีตผู้ว่าการโกลด์โคสต์ การประกาศอิสรภาพของกานากลายเป็นหนึ่งในข่าวสารที่ได้รับรายงานในระดับสากลอย่างกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์แอฟริกาสมัยใหม่ ด้วยมีสื่อมวลชนเข้าร่วมพิธีนี้มากกว่า 600 คน[137]

ธงชาติกานาซี่งได้รับการออกแบบโดยธีโอโดเซีย โอโก (Theodosia Okoh) มีต้นแบบจากธงเขียวเหลืองแดงที่ประดับด้วยสิงโตแห่งยูดาห์ของประเทศเอธิโอเปีย แต่ปรับเปลี่ยนจากสิงโตเป็นดาวสีดำ โดยสีแดงหมายถึงการสละเลือด สีเขียวหมายถึงความงดงาม เกษตรกรรม และความอุดมสมบูรณ์ สีเหลืองแทนความมั่งคั่งของแร่ธาตุ และดาวสีดำแห่งแอฟริกาเป็นสัญลักษณ์แห่งเสรีภาพของชาวแอฟริกัน[138] ตราแผ่นดินของประเทศใหม่ซึ่งได้รับการออกแบบโดยเอมอน โกเตย์ (Amon Kotei) ประกอบด้วยอินทรี สิงโต กางเขนนักบุญจอร์จ และดาวสีดำ พร้อมตกแต่งด้วยขอบสีทอง[139] ฟิลิป กเบโฮ (Philip Gbeho) ได้รับมอบหมายให้ประพันธ์เพลงชาติใหม่ชื่อ "ก็อดเบล็สอาวร์โฮมแลนด์กานา"[140]

อึนกรูมาเปิดจัตุรัสดาวสีดำ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ปราสาทโอซูในเขตชายฝั่งโอซู กรุงอักกรา เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติใหม่[6] โดยจัตุรัสแห่งนี้จะถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับสัญลักษณ์ของชาตอและการชุมนุมแสดงความรักชาติ[141]

ภายใต้การบริหารของอึนกรูมา มีการนำนโยบายและแนวปฏิบัติแบบประชาธิปไตยสังคมนิยมมาใช้กับประเทศกานา อึนกรูมาได้จัดตั้งระบบสวัสดิการสังคม ริเริ่มโครงการชุมชนที่หลากหลาย และก่อตั้งสถานศึกษามากมาย[142]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. นยานีบามีชีวิตอยู่นานกว่าบุตรชาย เธอคอยดูแลอึนดรูมาตลอดชีวิตของเขา ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหลังจากอึนกรูมาเสียชีวิต เธอได้ไปเฝ้าปกป้องหลุมศพของบุตรชาย ดูที่ Birmingham, p. 3
  2. สมาชิกต้องสาบานรักษาความลับ โดยให้คำมั่นว่าจะ "เชื่อฟังคำสั่งจากกลุ่มอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้" "ช่วยเหลือสมาชิกพี่น้องของเดอะเซอร์เคิลในทุกสิ่งและทุกความยากลำบาก" หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง อดอาหารในวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือน และสุดท้าย "ยอมรับการเป็นผู้นำของกวาเม อึนกรูมา" ดูที่ "The Circle" ใน Nationalism in Asia and Africa by Elie Kedourie, 1970.

อ้างอิง

[แก้]
  1. o'Hara, Glen (11 April 2012), "President Kennedy, Prime Minister Macmillan and the Gold Market, 1960–63", Governing Post-War Britain, Palgrave Macmillan, pp. 53–72, doi:10.1057/9780230361270_4, ISBN 978-0-230-36127-0
  2. Rathbone, Richard (23 September 2004). "Nkrumah, Kwame (1909?–1972), president of Ghana". Oxford Dictionary of National Biography. Oxford Dictionary of National Biography (online ed.). Oxford University Press. doi:10.1093/ref:odnb/31504. (ต้องรับบริการหรือเป็นสมาชิกหอสมุดสาธารณะสหราชอาณาจักร)
  3. Hsü, Leonard Shihlien (5 November 2013), "Political Progress", The Political Philosophy of Confucianism, Routledge, pp. 258–273, doi:10.4324/9781315018775, ISBN 978-1-315-01877-5
  4. Proceedings of the convention at which the American federation of arts was formed. B. S. Adams. 1909. doi:10.5479/sil.380651.39088006011662.
  5. "Prime Minister 1957–60", Kwame Nkrumah. Vision and Tragedy, Sub-Saharan Publishers, pp. 192–214, 15 November 2007, doi:10.2307/j.ctvk3gm60.17, ISBN 978-9988-647-81-0
  6. 6.0 6.1 Stanek, Łukasz (2020). Architecture in global socialism: Eastern Europe, West Africa, and the Middle East in the Cold War. Princeton: Princeton University Press. ISBN 978-0-691-19455-4. OCLC 1134854794.
  7. Nkrumah, Kwame (1953). [Letter: Kwamé Nkrumah to Richard Wright]. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  8. Mazrui, Ali (1966). "Nkrumah: The Leninist Czar". Transition (26): 9–17. doi:10.2307/2934320. ISSN 0041-1191. JSTOR 2934320.
  9. Kilson, Martin L. (1963). "Authoritarian and Single-Party Tendencies in African Politics". World Politics (ภาษาอังกฤษ). 15 (2): 262–294. doi:10.2307/2009376. ISSN 1086-3338. JSTOR 2009376. S2CID 154624186. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2023. สืบค้นเมื่อ 19 February 2022.
  10. Bretton, Henry L. (1958). "Current Political Thought and Practice in Ghana*". American Political Science Review (ภาษาอังกฤษ). 52 (1): 46–63. doi:10.2307/1953012. ISSN 1537-5943. JSTOR 1953012. S2CID 145766298. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2023. สืบค้นเมื่อ 19 February 2022.
  11. "Ghana's Kwame Nkrumah: visionary, authoritarian ruler and national hero". Deutsche Welle (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2023. สืบค้นเมื่อ 19 February 2022.
  12. "Portrait of Nkrumah as Dictator". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 3 May 1964. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 February 2023. สืบค้นเมื่อ 19 February 2022.
  13. "VII. The Reluctant Nation", One-Party Government in the Ivory Coast, Princeton: Princeton University Press, pp. 219–249, 31 December 1964, doi:10.1515/9781400876563-012, ISBN 978-1-4008-7656-3
  14. Commanding Heights, 1998
  15. "Country capabilities and the strategic state: How national political institutions affect multinational corporations' strategies". Long Range Planning. 28 (1): 142. 1995. doi:10.1016/0024-6301(95)92200-8. ISSN 0024-6301.
  16. "Kwame Nkrumah: Non-Violence of Mahatma Gandhi in Ghana | Articles : On and By Gandhi". www.mkgandhi.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  17. "Dr Kwame Nkrumah's History & LSE Application Form". London School of Economics. 10 October 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
  18. 18.0 18.1 "Man in the News; An African Enigma; Kwame Nkrumah". The New York Times. 3 January 1964. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2018. สืบค้นเมื่อ 19 February 2020.
  19. 19.0 19.1 19.2 Botwe-Asamoah, Kwame (2005). Kwame Nkrumah's Politico-cultural Thought and Policies: An African-centered Paradigm for the Second Phase of the African Revolution. Psychology Press. p. 1. ISBN 978-0-415-94833-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 April 2023. สืบค้นเมื่อ 12 February 2020.
  20. Berry, LaVerle Bennette; Library of Congress, Federal Research Division (1995). Ghana: a country study. Washington DC: Federal Research Division, Library of Congress. p. 27. ISBN 0844408352. สืบค้นเมื่อ 21 January 2018.
  21. "Ghana: The Autobiography of Kwame Nkrumah | University of Education, Winneba". www.uew.edu.gh. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-09-29.
  22. "Athelstan 'Half King' and his Family", The Danelaw, Bloomsbury Academic, 1992, doi:10.5040/9781472598837.ch-021, ISBN 978-1-4725-9883-7
  23. Rooney, p. 7.
  24. "Annan, Kofi Atta, (born 1938), President, Kofi Annan Foundation, since 2007; Secretary-General, United Nations, 1997–2006", Who's Who, Oxford University Press, 1 December 2007, doi:10.1093/ww/9780199540884.013.u5557
  25. Yakubu, Mutala (21 September 2019). "Kwame Nkrumah Memorial Day: Dr Kwame Nkrumah 'A son of the soil'". Prime New Ghana. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2019. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  26. 26.0 26.1 26.2 26.3 "Biography of Ghana's first President, Dr Kwame Nkrumah". Graphic Online. 8 March 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 June 2018. สืบค้นเมื่อ 21 August 2017.
  27. Service, Support. "Kwame Nkrumah". TV Afrique (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  28. "Details of Opanyin Kofi Nwiana Ngolomah, father of Dr. Kwame Nkrumah". GhanaWeb (ภาษาอังกฤษ). 2021-09-21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-09-29.
  29. 29.0 29.1 "From Ngolomah To Nkrumah". Peace FM. 21 September 2009. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 August 2017. สืบค้นเมื่อ 20 August 2017.
  30. "Nkrumah's Family". Osagyefo Dr. Kwame Nkrumah Infobank. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 August 2017. สืบค้นเมื่อ 27 August 2017.
  31. Addo, pp. 50–51.
  32. 32.0 32.1 Rooney, pp. 7–8.
  33. "Fathia Nkrumah: Farewell to all that". Al-Ahram Weekly. 20 September 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 August 2017. สืบค้นเมื่อ 21 September 2017. Grandmother Nyaneba, then well into her 90s, waited patiently for her son. Mother stood by her side. Grandmother was determined to remain alive to witness Nkrumah's triumphant return to Ghana. Only after her hand was placed on his coffin did the old woman at last accept that he was dead. Grandmother was to pass away seven years later in my mother's arms, aged 102.
  34. "Nkrumah, Dr Kwame, ((21 Sept. 2009 – 27 April 1972)", Who Was Who, Oxford University Press, 1 December 2007, doi:10.1093/ww/9780199540884.013.u158013
  35. Brooks, E. C. (1913). "Seven, Eight, and Nine Years in the Elementary School". The Elementary School Teacher. 14 (1): 20–28. doi:10.1086/454260. ISSN 1545-5858. S2CID 144643192.
  36. Owusu-Ansah, p. 239.
  37. Rooney, p. 9.
  38. Addo, pp. 53–54.
  39. 39.0 39.1 Biney, Barbara Ama (April 2007). "Kwame Nkrumah: An Intellectual Biography" (PDF). University of London. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  40. 40.0 40.1 40.2 "WOMEN, TRUE FIGHTERS OF FREEDOM – AFRICA NAKUA" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  41. "Azikiwe, Nnamdi", African American Studies Center, Oxford University Press, 7 April 2005, doi:10.1093/acref/9780195301731.013.40103, ISBN 978-0-19-530173-1
  42. Rahman, Ahmad A. (2007). The Regime Change of Kwame Nkrumah (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). doi:10.1057/9780230603486. ISBN 978-1-349-52903-2.
  43. "Kwame Nkrumah: Ghana's first president and a revered panafrican". The New Times | Rwanda (ภาษาอังกฤษ). 31 October 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  44. Rooney, pp. 9–12.
  45. Clarke, pp. 9–10.
  46. Clarke, p. 10.
  47. Rooney, p. 12.
  48. "Ghana: The Autobiography of Kwame Nkrumah | University of Education, Winneba". www.uew.edu.gh. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-10-02.
  49. Birmingham, p. 4.
  50. Opoku Mensah, Eric (February 2014). The Rhetoric of Kwame Nkrumah: an analysis of his political speeches (PDF) (PhD thesis). University of Cape Town. hdl:11427/9290. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  51. "Kwame Nkrumah". The Mt Kenya Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  52. Amoh, Emmanuella (March 2019). Kwame Nkrumah, His Afro-American Network and the Pursuit of an African Personality (MS thesis). Illinois State University. doi:10.30707/ETD2019.Amoh.E. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 February 2021. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  53. Rooney, pp. 13–14.
  54. Welmers, William Everett (1946). A Descriptive Grammar of Fanti. Linguistic Society of America. p. 7.
  55. Rahman, Ahmad (January 2009). African American Freemasonry and African Liberation: An Unknown History. American Historical Association 123rd Annual Meeting. New York. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 September 2022. สืบค้นเมื่อ 2024-05-31.
  56. Sakyi, Kwesi Atta (22 September 2013). "Special Tribute to Dr Kwame Nkrumah". GhanaWeb.
  57. "US Speaker Nancy Pelosi & members of Congressional Black Caucus lays wreath at Kwame Nkrumah Mausoleum and Memorial Park – Friends of the African Union" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 31 July 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  58. 58.0 58.1 Clarke, John Henrik (October 1974). "Kwame Nkrumah: His Years in America". The Black Scholar. 6 (2): 9–16. doi:10.1080/00064246.1974.11431459. ISSN 0006-4246. JSTOR 41065759. S2CID 141785632. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 26 May 2020.
  59. Clarke, p. 11.
  60. Grischow, Jeff D. (2011). "Kwame Nkrumah, Disability, and Rehabilitation in Ghana, 1957—66". The Journal of African History. 52 (2): 179–199. doi:10.1017/S0021853711000260. ISSN 0021-8537. JSTOR 23017675. S2CID 162695973.
  61. 61.0 61.1 Rooney, pp. 14–15.
  62. Rooney, p. 16.
  63. Addo, pp. 62–65.
  64. Owusu-Ansah, p. 32.
  65. 65.0 65.1 65.2 65.3 George P. Hagan, "Nkrumah's Leadership Style—An Assessment from a Cultural Perspective", in Arhin (1992), The Life and Work of Kwame Nkrumah.
  66. "Kwame Nkrumah | Biography, Education, | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2023-09-27. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 October 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-10-02.
  67. "Kwame Nkrumah • Africanglobe". AfricanGlobe.Net (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 8 September 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 27 May 2020.
  68. 68.0 68.1 Sherwood, p. 114.
  69. Sherwood, pp. 106–107.
  70. Addo, p. 70.
  71. Matera, Marc (2010). "Colonial Subjects: Black Intellectuals and the Development of Colonial Studies in Britain". Journal of British Studies. 49 (2): 388–418. doi:10.1086/649838. ISSN 0021-9371. JSTOR 23265207. S2CID 143861344.
  72. 72.0 72.1 Sherwood, p. 115.
  73. Martin, G. (2012). African Political Thought. Palgrave Macmillan US. ISBN 978-1-137-06205-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 April 2023. สืบค้นเมื่อ 31 August 2017.
  74. Fulcher, James (1 November 2000). "Globalisation, the Nation-State and Global Society". The Sociological Review (ภาษาอังกฤษ). 48 (4): 522–543. doi:10.1111/1467-954X.00231. ISSN 0038-0261. S2CID 145019590.
  75. Gebe, Boni Yao (March 2008). "Ghana's Foreign Policy at Independence and Implications for the 1966 Coup D'état" (PDF). Journal of Pan African Studies. 2 (3). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 11 June 2014.
  76. 76.0 76.1 "Running away from our own shadows". www.ippmedia.com (ภาษาอังกฤษ). 23 March 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 27 May 2020.
  77. Rooney, p. 23.
  78. Rooney, pp. 24–25.
  79. Sherwood, pp. 173–178.
  80. Rooney, p. 25.
  81. Sherwood, pp. 125–126.
  82. Rooney, pp. 26–27.
  83. "Ghana pays tribute to founders' – Graphic Online". www.graphic.com.gh (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 4 August 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2021. สืบค้นเมื่อ 5 August 2020.
  84. Owusu-Ansah, p. 316.
  85. Rooney, pp. 27–28.
  86. Rooney, pp. 30–31.
  87. Rooney, pp. 36–37.
  88. "VIII. "And although these men were rare and wonderful, they were nevertheless but men, and the opportunities which they had were far less favorable than the present; nor were their undertakings more just or more easy than this; neither was God more a friend of them than of you."", How to Choose a Leader, Princeton: Princeton University Press, pp. 37–41, 31 December 2016, doi:10.1515/9781400880409-009, ISBN 978-1-4008-8040-9
  89. Rooney, pp. 38–39.
  90. Birmingham, pp. 18–19.
  91. Addo, p. 85.
  92. Rathbone, Richard (23 September 2004). "Nkrumah, Kwame (1909?–1972), president of Ghana". Oxford Dictionary of National Biography. Oxford Dictionary of National Biography (online ed.). Oxford University Press. doi:10.1093/ref:odnb/31504. (ต้องรับบริการหรือเป็นสมาชิกหอสมุดสาธารณะสหราชอาณาจักร)
  93. "Secretary of the Ugcc", Kwame Nkrumah. Vision and Tragedy, Sub-Saharan Publishers, pp. 52–72, 15 November 2007, doi:10.2307/j.ctvk3gm60.9, ISBN 978-9988-647-81-0
  94. Rooney, pp. 40–43.
  95. Addo, pp. 86–87.
  96. Birmingham, p. 24.
  97. "Sekou Nkrumah Fights Oquaye Over Founders' Day". DailyGuide Network (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 6 August 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 September 2020. สืบค้นเมื่อ 7 August 2020.
  98. 98.0 98.1 "Kwame Nkrumah: Non-Violence of Mahatma Gandhi in Ghana | Articles : On and By Gandhi". www.mkgandhi.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 27 May 2020.
  99. Addo, p. 88.
  100. Addo, pp. 88–89.
  101. Fuller, pp. 24–26.
  102. "Birth of the CPP", Kwame Nkrumah. Vision and Tragedy, Sub-Saharan Publishers, pp. 74–90, 15 November 2007, doi:10.2307/j.ctvk3gm60.10, ISBN 978-9988-647-81-0
  103. Rooney, pp. 55–56.
  104. "The Gold Coast General Election of 1954". Parliamentary Affairs. 1 October 1953. doi:10.1093/oxfordjournals.pa.a053198. ISSN 1460-2482.
  105. Rooney, pp. 56–57.
  106. Birmingham, pp. 34–35.
  107. Bourret, pp. 175–177.
  108. Rooney, p. 61.
  109. "Erica Powell". The Times. 23 June 2007. ISSN 0140-0460. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2019. สืบค้นเมื่อ 2 November 2019.
  110. Luscombe, Stephen. "Private Secretary (Female)/Gold Coast". britishempire.co.uk. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2019. สืบค้นเมื่อ 2 November 2019.
  111. "Table B.1.6. Acquisition of nationality by country of former nationality, Denmark". International Migration Outlook: SOPEMI - 2008 Edition - OECD 2008 – ISBN 9789264045651. doi:10.1787/432756801382.
  112. Birmingham, pp. 37–38.
  113. Cipriani, Ralph J. (1 December 2014). SNL Five-Year Facilities & Infrastructure Plan FY2015-2019 (Report). doi:10.2172/1173199. OSTI 1173199.
  114. Sidiropoulos, Elizabeth (2005). "External Engagement Experiences from Ghana and Mozambique" (PDF). Media Africa. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2 August 2020. สืบค้นเมื่อ 27 May 2020.
  115. Rooney, pp. 82–83.
  116. Bourret, p. 178.
  117. 117.0 117.1 Grimm, Kevin E., Symbol of Modernity: Ghana, African Americans, and the Eisenhower Administration. A dissertation: the College of Arts and Sciences of Ohio University. 27 May 2020
  118. Birmingham, pp. 40–43.
  119. Rooney, pp. 181–182.
  120. Walton, Calder (29 October 2014). British Intelligence, the Cold War, and the Twilight of Empire. The Overlook Press. ISBN 978-1468307153. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2017. สืบค้นเมื่อ 18 January 2017.
  121. Manning, Carrie; Smith, Ian (7 December 2018), "Political party formation by former armed opposition groups after civil war", From Bullets to Ballots, Routledge, pp. 4–21, doi:10.4324/9781315112206-2, ISBN 978-1-315-11220-6, S2CID 239577237, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2021, สืบค้นเมื่อ 5 September 2021
  122. Bourret, pp. 183–186.
  123. Ferrell, Thomas H. (24 February 2015), "What If There Were a Unitary Rather Than a Federal System?", What if the American Political System Were Different?, Routledge, pp. 23–44, doi:10.4324/9781315698212, ISBN 978-1-315-69821-2
  124. Ninsin, Kwame A. (1991). Ghana'a Transition to Constitutional rule. Accra: Ghana Universities Press. pp. 35–58. ISBN 9964-3-0199-5.
  125. Vogel, Gretchen (19 April 2018). "A new dengue vaccine should only be used in people who were previously infected, WHO says". Science. doi:10.1126/science.aat9362. ISSN 0036-8075.
  126. Bourret, pp. 187–191.
  127. Birmingham, p. 58.
  128. Owusu-Ansah, p. lii.
  129. Mills, James H. (29 November 2012), "'The British Compromise': Devolved Power and the Domestic Consumer, 1971–1997", Cannabis Nation, Oxford University Press, pp. 155–185, doi:10.1093/acprof:oso/9780199283422.003.0007, ISBN 978-0-19-928342-2
  130. Bourret, pp. 200–201.
  131. "Accra, Ghana", The Statesman's Yearbook Companion, London: Palgrave Macmillan UK, p. 444, 2019, doi:10.1057/978-1-349-95839-9_890, ISBN 978-1-349-95838-2, S2CID 40162723
  132. Rooney, pp. 4–6.
  133. Rooney, p. 5.
  134. Bourret, p. 202.
  135. Brown, Agyei (2025-03-06). "What Exactly Did Kwame Nkrumah Say on the 6th of March 1957? Here's the Full Speech | Now Accra" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-03-06.
  136. Zimmerman, Jonathan (23 October 2008). "The ghost of Kwame Nkrumah". International Herald Tribune. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 February 2009. สืบค้นเมื่อ 23 October 2008.
  137. Rooney (1988), Kwame Nkrumah, pp. 4–5.
  138. Fuller, Building the Ghanaian Nation-State, pp. 29–33.
  139. Fuller, Building the Ghanaian Nation-State, pp. 37–38.
  140. Fuller, Building the Ghanaian Nation-State, pp. 34–37.
  141. Fuller, Building the Ghanaian Nation-State, pp. 121–122.
  142. "Put Some Clothes On or Nkrumah Will Get You!", Undesirable Practices, UNP – Nebraska, pp. 163–190, 2016, doi:10.2307/j.ctt1d4v0qj.11, ISBN 978-0-8032-8696-2

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
แม่แบบ:S-dip
ก่อนหน้า กวาเม อึนกรูมา ถัดไป
วาระในพรรคการเมือง
New office หัวหน้าConvention People's Party
1948–66
สมัยต่อมา
สิ้นสุดตำแหน่ง
ตำแหน่งทางการเมือง
New office นายกรัฐมนตรีแห่งบริติชโกลด์โคสต์
1952–57
สมัยต่อมา
Himself as Prime Minister of Ghana
สมัยก่อนหน้า
Himself as Prime Minister of the Gold Coast
นายกรัฐมนตรีกานา
1957–60
Vacant
Title next held by
Kofi Abrefa Busia
New office รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
1957–58
สมัยต่อมา
Kojo Botsio
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
1957–60
สมัยต่อมา
Charles de Graft Dickson
สมัยก่อนหน้า
Krobo Edusei
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
1958
สมัยต่อมา
Ashford Emmanuel Inkumsah
สมัยก่อนหน้า
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
as พระมหากษัตริย์แห่งกานา
ประธานาธิบดีกานา
1960–66
สมัยต่อมา
โจเซฟ อาร์เธอร์ อันกราห์
สมัยก่อนหน้า
Ebenezer Ako-Adjei
รัฐมนตรีว่าการกระทรงต่างประเทศ
1962–63
สมัยต่อมา
Kojo Botsio
สมัยก่อนหน้า
ญะมาล อับดุนนาศิร
ประธานองค์การสหภาพแอฟริกา
1965–66
สมัยต่อมา
โจเซฟ อาร์เธอร์ อันกราห์