กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
Artist's impression of the Herschel spacecraft | |||||||||
รายชื่อเก่า | Far Infrared and Submillimetre Telescope | ||||||||
ประเภทภารกิจ | กล้องโทรทรรศน์อวกาศ | ||||||||
ผู้ดำเนินการ | องค์การอวกาศยุโรป / นาซา | ||||||||
COSPAR ID | 2009-026K | ||||||||
SATCAT no. | 34937 | ||||||||
เว็บไซต์ | www | ||||||||
ระยะภารกิจ | วางแผน: 3 ปี สิ้นสุด: 4 ปี 1 เดือน 2 วัน[1] | ||||||||
ข้อมูลยานอวกาศ | |||||||||
ผู้ผลิต | ธาเลซ อัลลิเนีย สเปซ | ||||||||
มวลขณะส่งยาน | 3,400 กิโลกรัม (7,500 ปอนด์)[2] | ||||||||
มวลบรรทุก | กล้องโทรทรรศน์: 315 กิโลกรัม (694 ปอนด์)[2] | ||||||||
ขนาด | 7.5 โดย 4.0 เมตร (25 โดย 13 ฟุต)[2] | ||||||||
กำลังไฟฟ้า | 1 kW | ||||||||
เริ่มต้นภารกิจ | |||||||||
วันที่ส่งขึ้น | 14 พฤษภาคม 2009, 13:12:02 UTC | ||||||||
จรวดนำส่ง | เอเรียน 5 อีซีเอ | ||||||||
ฐานส่ง | ศูนย์อวกาศเกียนา, เฟรนช์เกียนา | ||||||||
ผู้ดำเนินงาน | เอเรียนสเปซ | ||||||||
สิ้นสุดภารกิจ | |||||||||
การกำจัด | ปลดประจำการ | ||||||||
ปิดการทำงาน | 17 มิถุนายน 2013, 12:25 UTC[3] | ||||||||
ลักษณะวงโคจร | |||||||||
ระบบอ้างอิง | L2 (1,500,000 กิโลเมตร / 930,000 ไมล์) | ||||||||
ระบบวงโคจร | วงโคจรลิสซาจูส์ | ||||||||
กล้องโทรทรรศน์หลัก | |||||||||
ชนิด | ริชชี-คาเทียร์ | ||||||||
เส้นผ่านศูนย์กลาง | 3.5 เมตร (11 ฟุต) f/0.5 (กระจกเงาปฐมภูมิ)[4] | ||||||||
ระยะโฟกัส | 28.5 เมตร (94 ฟุต) f/8.7[4] | ||||||||
พื่นที่รับแสง | 9.6 ตารางเมตร (103 ตารางฟุต) | ||||||||
ความยาวคลื่น | 55 ถึง 672 µm (อินฟราเรดไกล) | ||||||||
| |||||||||
กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล (อังกฤษ: Herschel Space Observatory) เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศขององค์การอวกาศยุโรป ริเริ่มโครงการตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ด้วยความร่วมมือของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในยุโรป ชื่อโครงการตั้งขึ้นในเวลาต่อมาตามชื่อของ เซอร์ วิลเลียม เฮอร์เชล นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสเปกตรัมอินฟราเรด และเป็นผู้ค้นพบดาวยูเรนัส[5]
กล้องเฮอร์เชลสามารถตรวจจับวัตถุในอวกาศที่เย็นจัดและมัวจัดที่สุดจากการบดบังของฝุ่นได้ เช่นในเขตหมอกฝุ่นซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ หรือดาราจักรขุ่นมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นจากการรวมกลุ่มของดาวฤกษ์ใหม่ การสังเกตการณ์สามารถมองทะลุเมฆที่กำเนิดดาวฤกษ์ได้ และสามารถตรวจจับโมเลกุลที่เป็นต้นกำเนิดของชีวิต เช่น น้ำ ได้ว่ากำลังก่อตัวขึ้นหรือไม่
องค์การนาซา มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเครื่องมือวัดสำคัญของโครงการนี้จำนวน 2 ใน 3 ชิ้น รวมถึงจะมีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญด้วย ห้องทดลองการขับเคลื่อนด้วยไอพ่นขององค์การนาซาในเมืองคาลิฟได้พัฒนาและสร้าง โบโลมิเตอร์ "โครงข่ายใยแมงมุม" สำหรับเครื่องรับภาพแบบแสงและสเปกตรัม (spectral and photometric imaging receiver; SPIRE) ให้แก่กล้องเฮอร์เชล ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 40 เท่า นอกจากนี้ยังสร้างโครงข่ายอุปกรณ์กำเนิดและรวมสัญญาณ และอุปกรณ์ขยายสัญญาณสำหรับคลื่นอินฟราเรดไกล (heterodyne instrument for the far infrared; HIFI) ด้วย[6]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Amos, Jonathan (29 April 2013). "Herschel space telescope finishes mission". BBC News. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 "Herschel: Vital stats". European Space Agency. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ Amos, Jonathan (17 June 2013). "Herschel telescope switched off". BBC News. สืบค้นเมื่อ 17 June 2013.
- ↑ 4.0 4.1 "The Herschel Space Observatory". Swiss Physical Society. March 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-11-21. สืบค้นเมื่อ 4 May 2015.
- ↑ "Herschel Factsheet". European Space Agency. 17 April 2009. สืบค้นเมื่อ 2009-05-12.
- ↑ "Herschel: Exploring the Birth of Stars and Galaxies". NASA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-28. สืบค้นเมื่อ 2009-10-17.