วงศ์ปลากระเบนธง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วงศ์ปลากระเบนธง
ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ครีเทเชียสตอนปลาย-ปัจจุบัน
ปลากระเบนชายธง (Pastinachus sephen)
ปลากระเบนทอง (Taeniura lymma)
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร: Animalia
ไฟลัม: Chordata
ชั้น: Chondrichthyes
ชั้นย่อย: Elasmobranchii
อันดับใหญ่: Batoidea
อันดับ: Myliobatiformes
อันดับย่อย: Dasyatoidea
วงศ์: Dasyatidae
Jordan, 1888
สกุล
7 สกุล ดูในเนื้อหา
ชื่อพ้อง

วงศ์ปลากระเบนธง (อังกฤษ: Whipray) เป็นวงศ์ของปลากระเบนวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dasyatidae (/แด-ซี-แอท-อิ-ดี้/) พบได้ทั้งน้ำจืดสนิท, น้ำกร่อย และทะเล มีรูปร่างแบนราบ ไม่มีครีบหลัง ส่วนครีบอกแผ่กว้างรอบตัว ปากอยู่ด้านล่าง ตาอยู่ด้านบน มีช่องน้ำเข้า 1 คู่อยู่ด้านหลัง มีขากรรไกรและฟันที่แข็งแรงจำนวนมากเรียงติดต่อกันเป็นแถว ใช้ขบกัดสัตว์เปลือกแข็งซึ่งเป็นอาหารหลักได้ดี ผิวหนังเรียบนิ่มไม่มีเกล็ด ยกเว้นบริเวณกลางหลัง

มีส่วนหางที่ยาวเหมือนแส้ ซึ่งคนโบราณนิยมตัดหางมาทำเป็นแส้ เรียกว่า "แส้หางกระเบน" ที่โคนหางมีเงี่ยงแหลมอยู่ 1-2 ชิ้น (พบมากสุดถึง 4 ชิ้น) ที่อาจยาวได้ถึง 31 เซนติเมตร[2] เป็นอาวุธใช้สำหรับป้องกันตัว มีพิษแรง มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 6 และเมื่อหักไปแล้วงอกใหม่ได้ มักมีผู้ถูกแทงบ่อย ๆ เพราะไปแตะถูกเข้าโดยไม่ระวัง เช่น เท้าไปถูกเข้าระหว่างที่ปลาฝังตัวอยู่ใต้ทราย ขณะที่เดินบริเวณหาด เพราะมีพฤติกรรมมักฝังตัวอยู่ใต้พื้นทราย โดยโผล่มาแค่ส่วนตาและเงี่ยงหางเท่านั้น[2]

จากการที่มีตาอยู่ด้านบนแต่ปากอยู่ด้านล่างทำให้ไม่สามารถมองเห็นอาหารได้เวลาจะกิน จึงมีอวัยวะรับกลิ่นและอวัยวะรับคลื่นไฟฟ้าในการบอกตำแหน่งของอาหาร แพร่ขยายพันธุ์ด้วยการออกลูกเป็นตัว โดยมีการสืบพันธุ์ในฤดูหนาว ตัวผู้จะว่ายน้ำตามประกบตัวเมียอย่างใกล้ชิดและมักกัดบริเวณขอบลำตัวของตัวเมีย เมื่อจะผสมพันธุ์ตัวผู้จะว่ายไปอยู่ด้านบนแล้วปล่อยน้ำเชื้อเข้าสู่ตัวเมีย โดยส่วนมากจะออกลูกคราวละ 5-10 ตัว [2]

ในเลือดของปลาวงศ์นี้มีสารประกอบของยูเรีย จึงมีกลิ่นคล้ายปัสสาวะ[3]

สกุล[แก้]

ปัจจุบันพบทั้งหมด 8 สกุล ได้แก่[4] (บางข้อมูลจัดให้แค่ 7)[1]

ในประเทศไทย[แก้]

ปลาในวงศ์ปลากระเบนธงพบทั้งหมดประมาณ 70 ชนิด ที่พบในประเทศไทยมีทั้งหมด 21 ชนิด อาทิ [2]

พิษปลากระเบน[แก้]

เงี่ยงหางกระเบน

เงี่ยงหางของปลากระเบนนั้น มีลักษณะเป็นแท่งแบนยาว มีส่วนปลายแหลม ขอบทั้งสองข้างมีรอยหยักเป็นฟันเลื่อย ด้านบนมีร่องจากโคนถึงปลายกลุ่มเซลล์สร้างพิษหรือต่อมพิษ อยู่ใต้ผิวชั้นนอก

พิษจากเงี่ยงหางของปลาในวงศ์นี้ไม่อาจทำให้แก่ชีวิตได้ โดยพิษมีคุณสมบัติเป็นสารโปรตีนจะซึมผ่านทางบาดแผล โดยมีน้ำพิษสีเทาหรือใส และดูดซึมเข้าระบบทางเดินอาหาร จะเกิดการอักเสบ เจ็บปวด เช่นเดียวกับพิษของงูหางกระดิ่ง นอกจากนี้แล้วยังมีเอนไซม์ในการทำลายเนื้อเยื่อได้อีกด้วย ในบุคคลที่มีอาการแพ้มากจะทำให้มีไข้ได้ และบาดแผลอาจลุกลามได้ แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในกรณีที่ สตีฟ เออร์วิน พิธีกรรายการโทรทัศน์ชาวออสเตรเลียที่เสียชีวิตเพราะถูกเงี่ยงของปลากระเบนชายธงแทงแล้วเสียชีวิตนั้น มิได้เกิดจากพิษโดยตรง แต่เป็นเพราะถูกแทงเข้าที่อวัยวะสำคัญคือ หัวใจ ประกอบอยู่ใต้น้ำด้วย ทำให้น้ำท่วมปอดจนเสียชีวิต[5][6]

ปัจจุบันนี้ยังไม่มีเซรุ่มแก้พิษปลากระเบน ซึ่งวิธีการปฐมพยาบาลขั้นต้น ให้กดบริเวณปากแผลด้วยผ้าสะอาดหนา ๆ เพื่อห้ามเลือด จากนั้นให้แช่บาดแผลในน้ำอุ่นจัดที่มีอุณหภูมิประมาณ 43–45 องศาเซลเซียส หรือใช้ผ้าชุบน้ำร้อนพันรอบบริเวณที่ปวดประมาณ 30–60 นาที หรือเอาอวัยวะส่วนที่โดนแทงไปอังไฟ เพราะความร้อนจะทำลายโปรตีนของพิษ อาการปวดจะค่อยทุเลาลง พิษจะคลายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง หากมีอาการแพ้มากให้รีบนำส่งโรงพยาบาล[7]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 จาก ITIS.gov (อังกฤษ)
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 [https://web.archive.org/web/20100411092705/http://www.fisheries.go.th/marine/KnowladgeCenter/knowledge/Stingray/Stingray.html เก็บถาวร 2010-04-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน กระเบน (Stingray) จากกรมประมง]
  3. สมโภชน์ อัคคะทวีวัฒน์, สาระน่ารู้ปลาน้ำจืดน้ำไทย เล่ม ๑ (พ.ศ. 2547) หน้า 1 ISBN 974-00-8701-9
  4. จาก fishbase.org (อังกฤษ)
  5. Australia mourns 'colourful son' จากบีบีซี
  6. "ปลากระแบน (stingray) หนึ่งในปลาทะเลที่มีพิษ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-14. สืบค้นเมื่อ 2010-12-08.
  7. สธ.ชี้พิษปลากระเบนไม่รุนแรง พิษแค่ปวดอักเสบเท่านั้น ประชาชนไม่ต้องตระหนก [ลิงก์เสีย]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]