ผู้ใช้:Supattra Phengphithak/กระบะทราย
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ Supattra Phengphithak หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
การปฏิรูประบบราชการ มีการพัฒนาและปรับปรุง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าและให้ประชากรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่ผ่านมาประเทศไทย มีการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง ในครั้งแรกมีการปฏิรูประบบราชการโดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้นำเอาระบบจตุสดมภ์มาใช้ในการพัฒนาการบริหารและในครั้งที่ 2 เกิดการปฏิรูปในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นประเทศไทยก็ได้มีการปฏิรูประบบราชการผ่านทางฝ่ายรัฐบาลต่างๆ โดยเป็นการปฏิรูประบบราชการในรูปแบบการพัฒนาและปรับปรุงให้สอดคล้องกับหลักของระบบราชการแบบเดิม [1]
ความหมายของการปฏิรูประบบราชการ[แก้]
การปฏิรูประบบราชการ หมายถึง การเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างของระบบราชการขนานใหญ่ เริ่มตั้งแต่การปรับปรุงหน้าที่ของรัฐ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารระดับต่างๆ โครงสร้างรูปแบบขององค์การ ระบบบริหารงานต่างๆ เช่น ระบบบริหารงานบุคคล วิธีการทำงาน รวมไปการปรับปรุงระบบกฎหมาย กฎ ระเบียบ วัฒนธรรมและค่านิยมต่างๆ เพื่อให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากเดิม และตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศรวมถึงสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้[2]
วัตถุประสงค์ของการปฏิรูประบบราชการ[แก้]
การปฏิรูประบบราชการมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ภาครัฐมีกระบวนการทำงานร่วมกันในองค์กร โดยใช้ทรัพยากรต่างๆในองค์กรให้บรรลุตามเป้าหมาย ดังต่อไปนี้
- เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน หมายถึง การปฏิบัติงานตามความต้องการของประชาชนเป็นหลัก โดยประชาชนจะต้องได้รับการบริการจากภาครัฐอย่างเท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนมีความสงบสุข และเกิดความปลอดภัยในสังคมส่วนรวม[3]
- เพื่อให้ข้าราชการเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลมีประสิทธิภาพ โดยการนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้เกิดผลตามเป้าหมาย โดยข้าราชการจะต้องมีคุณสมบัติและความสามารถที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติในทางรูปธรรม สามารถวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบาย เพื่อที่จะเสนอให้รัฐบาลปรับปรุงและแก้ไขนโยบายให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของข้าราชการและป้องกันไม้ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในระบบราชการ
- เพื่อให้ระบบราชการมีเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถ มีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อประชาชน
- เพื่อเสริมสร้างให้ประเทศได้มีการแข่งขันในระดับเวทีโลก โดยข้าราชการจะต้องมีความรู้ เพื่อสร้างปัจจัยพื้นฐานให้กับภาคเอกชน ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบข้อมูลเศรษฐกิจมหาภาคที่สมบูรณ์และทันสมัย รวมถึงระบบกฎหมายที่ทันสมัยและเข้าใจง่าย[4]
แนวทางการปฏิรูประบบราชการ[แก้]
การปฏิรูประบบราชการจะต้องครอบคลุมทุกส่วนในภาครัฐ ได้แก่
- การปรับปรุงบทบาทของภาครัฐ เป็นการปรับปรุงเพื่อให้ภาครัฐหลีกเลี่ยงในการปฏิบัติภารกิจที่ไม่จำเป็น
- การปรับปรุงโครงสร้างอำนาจหน้าที่ที่จะต้องทำของรัฐบาลและข้าราชการประจำ โดยจะมุ่งเน้นเพื่อให้ผลเกิดประสิทธิภาพตามความต้องการของประชาชน
- การปรับปรุงระบบบริหารราชการ โดยทำงานเพื่อมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ให้เกิดในระบบราชการ ซึ่งสิงที่จะต้องปรับปรุง ดังนี้ ด้านงบประมาณ ระบบงานของบุคลากร งานพัสดุ ระบบงานสารบรรณ ระบบกฎหมาย เป็นต้น
- การปรับปรุงโครงสร้างและจัดรูปแบบองค์กรใหม่ทั้งหมด โดยแยกเรื่องปฏิบัติงานออกจากเรื่องนโยบาย หน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นควรกำหนดความสัมพันธ์เอาไว้อย่างชัดเจน เป็นต้น
- การปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้น ควรมีระบบรายงานผลที่ดีในวิธีการดำเนินงานและเปิดเผยการทำงานต่อสาธารณะ
- การปรับปรุงระบบข้าราชการ โดยพัฒนาข้าราชการให้มีความรู้ ความสามารถ พัฒนาข้าราชการให้มีความเป็นผู้นำที่มีคุณภาพ
- การปรับปรุงวัฒนธรรมและค่านิยมของระบบราชการ
- การปรับปรุงระบบเทคโนโลยี โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาฐานข้อมูลของส่วนราชการ[5]
การปฏิรูประบบราชการไทย[แก้]
ความเป็นมาของการปฏิรูประบบราชการไทย[แก้]
การปฏิรูประบบราชการนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาระบบราชการอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งในประเทศไทยมีการปฏิรูประบบราชการมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งในสมัยนั้นเกิดการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรก เกิดขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและครั้งหลังเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากนั้นการปฏิรูประบบราชการก็เกิดขึ้นในรูปแบบของการพัฒนาระบบราชการ โดยผ่านทางรัฐบาล ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบราชการให้ทันสมัยขึ้น แต่ยังคงยึดหลักเดิมตามหลักของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การปฏิรูประบบราชการในประเทศไทยเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ในภาครัฐ เช่นการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อประชาชนทุกคนและให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น [6]
การปฏิรูประบบราชการในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาภ[แก้]
การปฏิรูประบบราชการในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นการควบคุมทิศทางการจัดการปกครองประเทศ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การต่างประเทศ ซึ่งจากเดิมในสมัยอยุธยาตอนต้น มีการใช้ระบบการปกครองส่วนกลาง เรียกว่าจตุสดมภ์ ประกอบด้วย กรมเวียง กรมวัง กรมคลัง กรมนา โดยมีออกญาจตุสดมภ์เป็นหัวหน้าของแต่ละฝ่าย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงได้มีการปฏิรูปขึ้นใหม่ โดยการเปลี่ยนชื่อและเพิ่มหน้าที่ที่ชัดเจนของแต่ละฝ่าย[7] ดังต่อไปนี้
- กรมเวียง ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กรมนครบาล โดยมีเสนาบดี คือ พระยายมราชอินทราธิบดีศรีวิชัยบริรักษ์โลกากร มีหน้าที่ การดูแลรักษาความสงบภายในเมืองหลวง
- กรมวัง ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กรมธรรมาธิกรณ์ โดยมีเสนาบดี คือ พระยาธรรมาธิบดีศรีวิริยพงษวงษภักดีบดินทรเดโชชัยมไหสุริยาธิบดีศรีรันมณเทียรบาล มีหน้าที่ ดูแลงานในพระราชวัง รายรับรายจ่ายในวัง ตัดสินคดีความ ดูแลศาลหลวงและแต่งตั้งยกกระบัตรไปดูแลตามหัวเมืองต่างๆ
- กรมคลัง เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กรมโกษาธิบดี โดยมีเสนาบดี คือ พระยาศรีธรรมราชเดชชาติอำมาตยานุชิตพิพิธรัตนราชโกษาธิบดีหรือพระยาโกษาธิบดี มีหน้าที่ เกี่ยวกับทรัพย์สิน ดูแลรายรับรายจ่าย การค้ากับต่างประเทศ การรับรองทูตต่างประเทศและตัดสินใจคดีเกี่ยวกับชาวต่างชาติ
- กรมนา เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น กรมเกษตราพิการ มีเสนาบดี คือ พระยาพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตน์เกษตราธิบดี มีหน้าที่เกี่ยวกับนา เช่น ดูแลควบคุมการทำนาออกกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับที่นาให้กับราษฎร จัดพระราชพิธีแรกนา ตัดสินคดีเกี่ยวกับที่นา เก็บภาษีที่นา เป็นต้น[8]
การปฏิรูประบบราชการในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[แก้]
การปฏิรูประบบราชการในครั้งนี้เป็นการปฏิรูประบบราชการครั้งสำคัญและเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย[9] มีเป้าหมายสำคัญเพื่อควบคุมประชาชนภายใต้แบบแผนและกฎเกณฑ์เดียวกัน ให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในประเทศ เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเทศและเพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกคุกคามหรือตกไปอยู่ภายใต้ลัทธิล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการปฏิรูประบบราชการในเรื่องต่างๆ ดังนี้
1.การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรี การปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นในปีพศ 2417 โดยมีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรี[10]
สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สภาที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) แต่งตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2417 มีหน้าที่เสนอกฎหมายและแสดงความคิดเห็นในกระบวนการตรากฎหมายขึ้นมาในที่ประชุมและมีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นประธานในที่ประชุม หากเสียงส่วนใหญ่มีความเห็นชอบด้วยกับข้อกฎหมายนั้นก็จะออกกฎหมายมาบังคับใช้ในประเทศ[11] เช่น กฎหมายว่าด้วยทาสและเกษียณอายุ กฎหมายเกี่ยวกับการพิจารณาคดีในศาล[12]
สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีสมาชิกเป็นขุนนางชั้นพระยา[13] จำนวนทั้งหมด 12 คน ได้แก่
- พระยาราชสุภาวดี
- พระยาศรีพิพัฒ
- พระยาราชวรานุกูล
- พระยากระสาปน์กิจโกสล
- พระยาภาษกรวงษ
- พระยามหาอำมาตย
- พระยาอภัยรณฤทธิ์
- พระยาราไชย
- พระยาเจริญราชไมตรี
- พระยาพิพิธโภไคย
- พระยากระลาโหมราชเสนา
- พระยาราชโยธา[14]
2.การปฎิรูปการจัดเก็บภาษีอากรและการคลัง
- การจัดระเบียบบริหาร และหน่วยงาน โดยได้จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อเป็นหน่วยงานควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรและการคลัง
- การตราพระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติ พ. ศ. 2418 เพื่อกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าพนักงาน ในการส่งเงินภาษีอากรและการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
- การตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ รศ 109 (พ. ศ. 2433) เพื่อให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติทำงานอย่างเป็นระบบในเรื่องการควบคุมรายได้ของแผ่นดิน[15]
3.การยกเลิกระบบจตุสดมภ์และการปฏิรูปโครงสร้างระบบบริหารราชการแผ่นดิน สำหรับการบริหารราชการส่วนภูมิภาคมีการจัดตั้งกรมขึ้น 12 กรม ได้แก่ กรมมหาดไทย กรมพระยากลาโหม กรมท่า กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ กรมโยธาธิการ กรมมุรธาธิการ ต่อมาได้มีการจัดระบบบริหารไรเปลี่ยนจากซมเป็นกระทรวงทั้ง 12 กระทรวงในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 และได้ออกพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่มาบังคับใช้ทั่วประเทศ
4.การปฏิรูปเรื่องอื่นๆ
- การยกเลิกไพร่และการปฏิรูปราชการทหาร เพื่อแก้ปัญหาการควบคุมกำลังคนและสร้างความมั่นคงให้ประเทศการเลิกทาส เพื่อแก้ปัญหาการกดขี่และความไม่เป็นธรรมในสังคม
- การปฏิรูประบบกฎหมายและการศาล เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนทุกคน
- การปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ทุกคนมีการศึกษาและพัฒนาคุณภาพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนา การบริหารประเทศ
- การปฏิรูปกฎหมายที่ดิน เพื่อแก้ปัญหาในการแย่งชิงที่ดินและจัดระบบที่ดินใหม่
- การปฏิรูปการบริหารการเกษตร เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิตของเกษตรกร
กระบวนการปฏิรูปในด้านต่างๆทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ประเทศชาติรอดพ้นจากการถูกต่างประเทศคุกคาม และทำให้ประเทศไทยเป็นเอกราชมาจนถึงปัจจุบันนี้[16]
การปฏิรูประบบราชการไทย พ.ศ.2545[แก้]
การปฏิรูประบบราชการในพ. ศ. 2545 ขณะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระบวนการทำงานโดยภาพรวมของภาครัฐยังไม่เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลก กระบวนการทำงานนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก ที่จะทำให้งานเป็นไปได้ตามนโยบายแห่งรัฐ และนโยบายต่างๆของรัฐบาล ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะมุ่งเน้นให้ชุมชนมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นและระบบราชการในสมัยนี้ยังไม่สามารถช่วยให้ประชาชนได้รับการตอบสนองตามความต้องการในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ทันที ทำให้รัฐบาลต้องพัฒนาและยกระดับระบบราชการให้มีความทันสมัย ทันต่อกระแสที่โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและรัฐบาลยังพยายามที่จะแก้ปัญหาที่ข้าราชการยังขาดความสามารถที่จะทำงานให้เกิดผลสำเร็จได้ การทุจริตและการขาดความโปร่งใสของข้าราชการ ซึ่งรัฐบาลก็พยายามที่จะแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวแล้วแต่ยังขาดความสามารถที่จะควบคุมกลไกภายในได้ การปฏิรูประบบราชการในครั้งนี้ จะต้องอาศัยข้าราชการ นักการเมืองและประชาชนทุกฝ่าย รัฐบาลตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พุทธศักราช 2545 มาปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวง ทบวง กรม และจัดตั้งกระทรวงขึ้นมาเพิ่มเป็น 20 กระทรวง เหตุผลที่จัดตั้งกระทรวงขึ้นมาเพิ่ม เพราะบางกระทรวงมีความจำเป็นที่จะต้องทำภารกิจที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เพื่อลดสายบังคับบัญชาลง เพื่อเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร[17]
รายชื่อกระทรวงต่างๆ 20 กระทรวง มีดังนี้[18]
- สำนักนายกรัฐมนตรี
- กระทรวงกลาโหม
- กระทรวงการคลัง
- กระทรวงการต่างประเทศ
- กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- กระทรวงคมนาคม
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
- กระทรวงพลังงาน
- กระทรวงพาณิชย์
- กระทรวงมหาดไทย
- กระทรวงยุติธรรม
- กระทรวงแรงงาน
- กระทรวงวัฒนธรรม
- กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- กระทรวงศึกษาธิการ
- กระทรวงสาธารณสุข
- กระทรวงอุตสาหกรรม
การปฏิรูประบบราชการผ่านคณะรักษาความสงบแห่งชาติพ. ศ. 2557[แก้]
การปฏิรูประบบราชการในครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าควบคุมอำนาจในการปกครองและประกาศใช้รัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) เมื่อ พ.ศ.2557 ในมาตรา 27 กำหนดให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติ ทำหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้การปฏิรูปด้านการเมือง ด้านการปกครองท้องถิ่น ด้านการบริหารแผ่นดิน ด้านกฏหมายและกรบวนการยุติธรรม ด้านการบริหารแผ่นดิน ด้านพลังงาน ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ด้านสื่อมวลชน ด้านสังคม ฯลฯ สำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมกับกระทรวงต่างๆทุกกระทรวง เพื่อปฏิรูประบบราชการและแนวทางการสร้างความสุขให้กับประชาชนในประเทศ โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นที่จะเน้นการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ลดช่องว่างในเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ โดยเริ่มปรับปรุงเรื่องการปฏิบัติงานของแต่ละกระทรวงให้มีประสิทธิภาพ มอบหมายให้แต่ละกระทรวงพิจารณาความรับผิดชอบ เพื่อกำหนดแผนและตอบสนองเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ รวมถึงชี้แนะให้ประชาชนเข้าใจในความตั้งใจที่จะปฏิรูประบบราชการ[19]
ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิรูประบบราชการ[แก้]
- การขาดเจตนารมย์ต่อเนื่องทางการเมือง(Political Will) เนื่องจากรัฐบาลทุกสมัยที่ผ่านมาเป็นรัฐบาลผสม ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยมาก ทำให้รัฐบาลชุดใหม่จะต้องมาแก้ปัญาต่างๆที่สืบเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นปัญหาในระยะสั้น ส่วนปัญหาระยะยาวอาศัยความมุ่งมั่นหรือเจตนารมย์ที่ต่อเนื่องและแน่วแน่และใช้ความกล้าตัดสินใจทางการเมือง
- การขาดการกำหนดเป้าหมายที่พึงประสงค์ในอนาคตหรือวิสัยทัศน์ของชาติ (์National Vision) เนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมาขาดเสถียรภาพ การแก้ปัญหาต่างๆรัฐบาลไม่ได้พิจารณาถึงภาพรวม ไม่ได้กำหนดวิสัยทัศน์เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ
- การขาดบุคลากรและหน่วยงานที่มีพลังในการปรับปรุงหรือปฏิรูประบบราชการ(Powerful Leadership) เนื่องจากทุกรัฐบาลที่ผ่านมาแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อปฏิรูประบบราชการมีบุคลากรและหน่วยงาน มีหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการ มอบหมายงานให้สำนักงาน ก.พ. หรือสำนักงบประมาณ และรัฐบาลที่ผ่านมามองว่าการปฏิรูประบบราชการไม่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องจึงทำให้การปฏิรูประบบราชการไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
- การต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง(Strong Resistance to Change) เนื่องจากการปฏิรูประบบราชการให้ได้ตามวัตถุประสงค์นั้น ด้านการบริหารราชการที่เน้น เรื่องการมอบอำนาจ การกระจายอำนาจ การเป็นประชาธิปไตย การลดกฎระเบียบและการควบคุมของภาคราชการ จึงเกิดกระแสต่อต้านจากข้าราาชการระดับสูง เพราะการเปรียบแปลงระบบราชการส่งผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนตัวของข้าราชการ[20]
เชิงอรรถ[แก้]
- ↑ อลงกต วรกี. มปป. การปฏิรูประบบราชการ : ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังเข้าคลอง. สืบค้นจาก http://kpi.ac.th/media/pdf/M7_20.pdf . สืบค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2560
- ↑ วรัชยา ศิริวัฒน์. 2553. การพัฒนาระบบราชการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 173
- ↑ งานสารบรรณ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. มปป. เป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการ. สืบค้นจากhttp://president.uru.ac.th/ADministration/main.htm. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2560
- ↑ สังวาลย์ ช่างทองและคณะ. 2542. รายงานการสัมมนาเกี่ยวกับปฏิรูปราชการเพื่อความอยู่รอดของไทย. นนทบุรี : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 1
- ↑ สังวาลย์ ช่างทองและคณะ. 2542. รายงานการสัมมนาเกี่ยวกับปฏิรูปราชการเพื่อความอยู่รอดของไทย. นนทบุรี : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 3-6
- ↑ อลงกต วรกี. มปป. การปฏิรูประบบราชการ : ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังเข้าคลอง, สืบค้นจาก http://kpi.ac.th/media/pdf/M7_20.pdf. สืบค้นเมื่อ 4 เมษายน 2560
- ↑ วรัชยา ศิริวัฒน์. 2553. การพัฒนาระบบราชการ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 173-174
- ↑ บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ. 2559. จตุสดมภ์. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B9%8C. สืบค้นเมื่อ 5 เมษายน 2560
- ↑ วรัชยา ศิริวัฒน์. 2553. การพัฒนาระบบราชการ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 172
- ↑ สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 25 42. การปฏิรูปภาคราชการ : แนวคิดและยุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 109
- ↑ อรวรรณ เกสร. 2559. สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.phptitle=%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2560
- ↑ สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 2542. การปฏิรูปภาคราชการ : แนวคิดและยุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 110
- ↑ สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 2542. การปฏิรูปภาคราชการ : แนวคิดและยุทธศาสตร์ . กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 109
- ↑ สำนักข่าวเจ้าพระยา, สภาที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน. 2553. สืบค้นจาก http://www.chaoprayanews.com/2010/10/18/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94/. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน 2560
- ↑ สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 2542. การปฏิรูปภาคราชการ : แนวคิดและยุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน ก.พ. . หน้า 111-112
- ↑ วรัชยา ศิริวัฒน์. 2553. การพัฒนาระบบราชการ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. หน้า 172-173
- ↑ มปต. 2552. ปฐมบท การปฏิรูปใหญ่ ครั้งที่ 3 ของประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2545 (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://nida-column.blogspot.com/2009/02/3-2545.html . สืบค้นเมื่อ 19 เมษายน พ.ศ.2560
- ↑ มปต. 2559. รายชื่อกระทรวงของไทย(ออนไลน์). สืบค้นจาก http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/ . สืนค้นเมื่อ 19 เมษายน พ.ศ.2560
- ↑ ธุวรรณ กิติคุณ. 2558. การปฏิรูประบบราชการ. สืบค้นจาก http://library2.parliament.go.th/ebook/content-issue/2558/hi2558-006.pdf. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2560
- ↑ สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 2543. การบริหารราชการไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บรรณกิจ(1991) จำกัด. หน้า 99-101
อ้างอิง[แก้]
- งานสารบรรณ กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์. เป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการ. สืบค้นจากhttp://president.uru.ac.th/ADministration/main.htm. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2560
- ธุวรรณ กิติคุณ. 2558. การปฏิรูประบบราชการ. สืบค้นจาก http://library2.parliament.go.th/ebook/content-issue/2558/hi2558-006.pdf. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2560
- บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ. 2559. จตุสดมภ์. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.phptitle=%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B9%8C. สืบค้นเมื่อ 5 เมษายน
- ปฐมบท การปฏิรูปใหญ่ ครั้งที่ 3 ของประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2545 (ออนไลน์). สืบค้นจาก http://nida-column.blogspot.com/2009/02/3-2545.html. 19 เมษายน พ.ศ.2560
- มปต. มปป. รายชื่อกระทรวงของไทย(ออนไลน์). สืบค้นจาก http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2/ . สืนค้นเมื่อ 19 เมษายน พ.ศ.2560
- วรัชยา ศิริวัฒน์. 2553. การพัฒนาระบบราชการ. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- สำนักข่าวเจ้าพระยา. 2553. สภาที่ปฤกษาราชการแผ่นดิน. สืบค้นจาก http://www.chaoprayanews.com/2010/10/18/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94/. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน
- สังวาลย์ ช่างทองและคณะ. 2542. รายงานการสัมมนาเกี่ยวกับปฏิรูปราชการเพื่อความอยู่รอดของไทย. นนทบุรี : สำนักงาน ก.พ.
- สมาน รังสิโยกฤษฏ์. 2543. การบริหารราชการไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บรรณกิจ(1991) จำกัด
- อรวรรณ เกสร. 2559. สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน. สืบค้นจาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99. สืบค้นเมื่อ 7 เมษายน
- อลงกต วรกี. มปป. การปฏิรูประบบราชการ: ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังเข้าคลอง. สืบค้นจาก http://kpi.ac.th/media/pdf/M7_20.pdf . สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2560