ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไข้หวัดใหญ่"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Wedjet (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Wedjet (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{กล่องข้อมูลโรค(ใหม่)|name=Influenza|Synonyms=|image=EM of influenza virus.jpg|caption=ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ขยายประมาณ 100,000 เท่า|field=โรคติดเชื้อ|Symptoms=[[ไข้]], [[น้ำมูกไหล]], [[เจ็บคอ]], [[ปวดกล้ามเนื้อ]], [[ปวดศีรษะ]], [[ไอ]], [[จาม]], [[ความล้า|รู้สึกล้า]]<ref name=WHO2014/>|complications=|Onset=สองวันหลังได้รับเชื้อ<ref name=WHO2014/>|Duration=~1 สัปดาห์<ref name=WHO2014/>|causes=[[ไวรัสไข้หวัดใหญ่]]<ref name=Harr2012/>|risks=|Diagnosis=|differential=|Prevention=[[การล้างมือ]], [[หน้ากากอนามัย]], [[วัคซีนไข้หวัดใหญ่]]<ref name=WHO2014/><ref name=Jeff2011/>|Treatment=|Medication=[[ยาต้านไวรัส]]อย่าง[[โอเซลทามิเวียร์]]<ref name=WHO2014/>|Prognosis=|frequency=3–5 ล้านครั้งต่อปี<ref name=WHO2014/>|Deaths=~375,000 คนต่อปี<ref name=WHO2014/>}}
{{กล่องข้อมูลโรค(ใหม่)|name=Influenza|Synonyms=|image=EM of influenza virus.jpg|caption=ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ขยายประมาณ 100,000 เท่า|field=โรคติดเชื้อ|Symptoms=[[ไข้]], [[น้ำมูกไหล]], [[เจ็บคอ]], [[ปวดกล้ามเนื้อ]], [[ปวดศีรษะ]], [[ไอ]], [[จาม]], [[ความล้า|รู้สึกล้า]]<ref name=WHO2014/>|complications=|Onset=สองวันหลังได้รับเชื้อ<ref name=WHO2014/>|Duration=~1 สัปดาห์<ref name=WHO2014/>|causes=[[ไวรัสไข้หวัดใหญ่]]<ref name=Harr2012/>|risks=|Diagnosis=|differential=|Prevention=[[การล้างมือ]], [[หน้ากากอนามัย]], [[วัคซีนไข้หวัดใหญ่]]<ref name=WHO2014/><ref name=Jeff2011/>|Treatment=|Medication=[[ยาต้านไวรัส]]อย่าง[[โอเซลทามิเวียร์]]<ref name=WHO2014/>|Prognosis=|frequency=3–5 ล้านครั้งต่อปี<ref name=WHO2014/>|Deaths=~375,000 คนต่อปี<ref name=WHO2014/>}}


'''ไข้หวัดใหญ่'''เป็น[[การติดเชื้อ|โรคติดเชื้อ]]ที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> อาการอาจมีได้ตั้งแต่เบาถึงรุนแรง<ref name="CDC2014Key">{{Cite web}}</ref> [[อาการ]]ที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้สูง คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไอ จามและรู้สึกเหนื่อย<ref name="WHO2014" /> ตรงแบบอาการเหล่านี้เริ่มสองวันหลังสัมผัสไวรัสและส่วนใหญ่กินเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์<ref name="WHO2014" /> ทว่า อาการไออาจกินเวลานานเกินสองสัปดาห์ได้<ref name="WHO2014" /> ในเด็ก อาจมีอาการท้องร่วงและอาเจียนด้วย แต่พบน้อยในผู้ใหญ่<ref name="Dub2011">{{Cite book}}</ref> อาการท้วงร่วงและอาเจียนพบบ่อยกว่าใน[[กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ]] ซึ่งเป็นคนละโรคกัน<ref name="Dub2011" /> ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจได้แก่ ปอดบวมไวรัส, ปอดบวมแบคทีเรียทุติยภูมิ, [[โพรงอากาศอักเสบ|โพรงอากาศติดเชื้อ]], และการทรุดของปัญหาสุขภาพเดิมอย่าง[[โรคหืด]]หรือ[[ภาวะหัวใจวาย]]<ref name="Harr2012">{{Cite book}}</ref><ref name="CDC2014Key" />
'''ไข้หวัดใหญ่'''เป็น[[การติดเชื้อ|โรคติดเชื้อ]]ที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> อาการอาจมีได้ตั้งแต่เบาถึงรุนแรง<ref name=CDC2014Key>{{cite web|title=Key Facts about Influenza (Flu) & Flu Vaccine|url=https://www.cdc.gov/flu/keyfacts.htm|website=cdc.gov|accessdate=26 November 2014|date=9 September 2014|deadurl=no|archiveurl=https://web.archive.org/web/20141202191706/http://www.cdc.gov/flu/keyfacts.htm|archivedate=2 December 2014}}</ref> [[อาการ]]ที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้สูง คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไอ จามและรู้สึกเหนื่อย<ref name="WHO2014" /> ตรงแบบอาการเหล่านี้เริ่มสองวันหลังสัมผัสไวรัสและส่วนใหญ่กินเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์<ref name="WHO2014" /> ทว่า อาการไออาจกินเวลานานเกินสองสัปดาห์ได้<ref name="WHO2014" /> ในเด็ก อาจมีอาการท้องร่วงและอาเจียนด้วย แต่พบน้อยในผู้ใหญ่<ref name="Dub2011">{{Cite book}}</ref> อาการท้วงร่วงและอาเจียนพบบ่อยกว่าใน[[กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ]] ซึ่งเป็นคนละโรคกัน<ref name="Dub2011" /> ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจได้แก่ ปอดบวมไวรัส, ปอดบวมแบคทีเรียทุติยภูมิ, [[โพรงอากาศอักเสบ|โพรงอากาศติดเชื้อ]], และการทรุดของปัญหาสุขภาพเดิมอย่าง[[โรคหืด]]หรือ[[ภาวะหัวใจวาย]]<ref name="Harr2012">{{Cite book}}</ref><ref name="CDC2014Key" />


ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีผลต่อมนุษย์มีสามชนิด ได้แก่ ชนิดเอ ชนิดบี และชนิดซี<ref name="Harr2012">{{Cite book}}</ref><ref name="CDC2017Types">{{Cite web}}</ref> ยังไม่ทราบกันว่าชนิดดีติดเชื้อในมนุษย์หรือไม่ แต่เชื่อกันว่ามีโอกาสเป็นไปได้<ref name="CDC2017Types" /><ref name="InfD2017">{{Cite journal}}</ref> ปกติ ไวรัสมีการแพร่ทางอากาศระหว่างการไอหรือจาม<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> เชื่อกันว่าส่วนใหญ่เกิดในระยะห่างค่อนข้างใกล้<ref name="Brankston2007">{{Cite journal}}</ref> นอกจากนี้ยังสามารถแพร่ได้โดยการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนไวรัสแล้วนำมาสัมผัสปากหรือตา<ref name="CDC2014Key">{{Cite web}}</ref><ref name="Brankston2007" /> บุคคลอาจติดต่อโรคแก่ผู้อื่นได้ทั้งก่อนและระหว่างที่แสดงอาการ<ref name="CDC2014Key" /> สามารถยืนยันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้โดยการทดสอบลำคอ เสมหะ หรือจมูกเพื่อหาเชื้อไวรัส<ref name="Harr2012" /> มีการทดสอบให้ผลเร็วหลายชนิด แต่บุคคลยังอาจมีโรคอยู่ได้แม้ผลออกมาเป็นลบ<ref name="Harr2012" /> ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลีเมอเรสชนิดตรวจจับอาร์เอ็นเอของไวรัสมีความแม่นยำกว่า<ref name="Harr2012" />
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีผลต่อมนุษย์มีสามชนิด ได้แก่ ชนิดเอ ชนิดบี และชนิดซี<ref name=Harr2012>{{cite book|last1=Longo|first1=Dan L. | name-list-format = vanc |title=Harrison's principles of internal medicine.|date=2012|publisher=McGraw-Hill|location=New York|isbn=978-0-07-174889-6|edition=18th|chapter= Chapter 187: Influenza}}</ref><ref name=CDC2017Types>{{cite web |title=Types of Influenza Viruses Seasonal Influenza (Flu) |url=https://www.cdc.gov/flu/about/viruses/types.htm |website=CDC |accessdate=28 September 2018 |language=en-us |date=27 September 2017}}</ref> ยังไม่ทราบกันว่าชนิดดีติดเชื้อในมนุษย์หรือไม่ แต่เชื่อกันว่ามีโอกาสเป็นไปได้<ref name="CDC2017Types" /><ref name=InfD2017>{{cite journal|author1=Shuo Su|author2=Xinliang Fu|author3=Gairu Li|author4=Fiona Kerlin|author5=Michael Veit|title=Novel Influenza D virus: Epidemiology, pathology, evolution and biological characteristics|journal=Virulence|volume=8|issue=8|pages=1580–91|date=25 August 2017|pmid=28812422|pmc=5810478|doi=10.1080/21505594.2017.1365216}}</ref> ปกติ ไวรัสมีการแพร่ทางอากาศระหว่างการไอหรือจาม<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> เชื่อกันว่าส่วนใหญ่เกิดในระยะห่างค่อนข้างใกล้<ref name=Brankston2007>{{cite journal |vauthors=Brankston G, Gitterman L, Hirji Z, Lemieux C, Gardam M |title=Transmission of influenza A in human beings |journal=Lancet Infect Dis |volume=7 |issue=4 |pages=257–65 |date=April 2007 |pmid=17376383 |doi=10.1016/S1473-3099(07)70029-4}}</ref> นอกจากนี้ยังสามารถแพร่ได้โดยการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนไวรัสแล้วนำมาสัมผัสปากหรือตา<ref name="CDC2014Key">{{Cite web}}</ref><ref name="Brankston2007" /> บุคคลอาจติดต่อโรคแก่ผู้อื่นได้ทั้งก่อนและระหว่างที่แสดงอาการ<ref name="CDC2014Key" /> สามารถยืนยันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้โดยการทดสอบลำคอ เสมหะ หรือจมูกเพื่อหาเชื้อไวรัส<ref name="Harr2012" /> มีการทดสอบให้ผลเร็วหลายชนิด แต่บุคคลยังอาจมีโรคอยู่ได้แม้ผลออกมาเป็นลบ<ref name="Harr2012" /> ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลีเมอเรสชนิดตรวจจับอาร์เอ็นเอของไวรัสมีความแม่นยำกว่า<ref name="Harr2012" />


การล้างมือบ่อย ๆ ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส<ref name="Jeff2011">{{Cite journal}}</ref> การสวม[[ผ้าปิดจมูก]]ก็มีประโยชน์<ref name="Jeff2011" /> [[องค์การอนามัยโลก]]แนะนำการได้รับ[[วัคซีนไข้หวัดใหญ่]]ประจำปีสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> ปกติวัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันไข้หวัดใหญ่สามหรือสี่ชนิด<ref name="WHO2014" /> ปกติผู้ได้รับวัคซีนไม่ค่อยได้รับผลกระทบ<ref name="WHO2014" /> วัคซีนเพื่อผลิตขึ้นสำหรับหนึ่งปีอาจไม่มีประโยชน์ในปีถัดไป เพราะไวรัสวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว<ref name="WHO2014" /> [[ยาต้านไวรัส]]อย่างตัวยับยั้งนิวรามินิเดส [[โอเซลทามิเวียร์]] เป็นต้น มีการใช้รักษาไข้หวัดใหญ่<ref name="WHO2014" /> ดูแล้วยาต้านไวรัสในผู้สุขภาพดีมีประโยชน์ไม่มากกว่าความเสี่ยง<ref name="Mich2013">{{Cite journal}}</ref> ไม่พบประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น<ref name="Mich2013" /><ref name="Ebe2013">{{Cite journal}}</ref>
การล้างมือบ่อย ๆ ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส<ref name=Jeff2011>{{cite journal |vauthors=Jefferson T, Del Mar CB, Dooley L, etal |title=Physical interventions to interrupt or reduce the spread of respiratory viruses|journal=Cochrane Database Syst Rev |volume= |issue=7 |page=CD006207 |year=2011 |pmid=21735402|doi=10.1002/14651858.CD006207.pub4|url=http://espace.library.uq.edu.au/view/UQ:245459/UQ245459_OA.pdf}}</ref> การสวม[[ผ้าปิดจมูก]]ก็มีประโยชน์<ref name="Jeff2011" /> [[องค์การอนามัยโลก]]แนะนำการได้รับ[[วัคซีนไข้หวัดใหญ่]]ประจำปีสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง<ref name=WHO2014/> ปกติวัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันไข้หวัดใหญ่สามหรือสี่ชนิด<ref name="WHO2014" /> ปกติผู้ได้รับวัคซีนไม่ค่อยได้รับผลกระทบ<ref name="WHO2014" /> วัคซีนเพื่อผลิตขึ้นสำหรับหนึ่งปีอาจไม่มีประโยชน์ในปีถัดไป เพราะไวรัสวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว<ref name="WHO2014" /> [[ยาต้านไวรัส]]อย่างตัวยับยั้งนิวรามินิเดส [[โอเซลทามิเวียร์]] เป็นต้น มีการใช้รักษาไข้หวัดใหญ่<ref name="WHO2014" /> ดูแล้วยาต้านไวรัสในผู้สุขภาพดีมีประโยชน์ไม่มากกว่าความเสี่ยง<ref name=Mich2013>{{cite journal |vauthors=Michiels B, Van Puyenbroeck K, Verhoeven V, Vermeire E, Coenen S |title=The value of neuraminidase inhibitors for the prevention and treatment of seasonal influenza: a systematic review of systematic reviews |journal=PLOS One |volume=8 |issue=4 | page=e60348 |year=2013 |pmid=23565231 |pmc=3614893 |doi=10.1371/journal.pone.0060348 |bibcode=2013PLoSO...860348M}}</ref> ไม่พบประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น<ref name=Mich2013/><ref name=Ebe2013>{{cite journal |vauthors=Ebell MH, Call M, Shinholser J |title=Effectiveness of oseltamivir in adults: a meta-analysis of published and unpublished clinical trials |journal=Family Practice | volume=30 |issue=2 |pages=125–33 |date=April 2013 |pmid=22997224 |doi=10.1093/fampra/cms059}}</ref>


ไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่วโลกในการระบาดทั่วประจำปี ส่งผลให้มีผู้ป่วยรุนแรง 3 ถึง 5 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 250,000 ถึง 500,000 คน<ref name="WHO2014">{{Cite web}}</ref> เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนประมาณ 20% และผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีน 10% มีการติดเชื้อทุกปี<ref>{{Cite journal}}</ref> ในซีกโลกเหนือและใต้ของโลก เกิดการระบาดส่วนใหญ่ในฤดูหนาว ส่วนรอบเส้นศูนย์สูตรอาจเกิดการระบาดได้ตลอดปี<ref name="WHO2014" /> ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตได้แก่ เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น<ref name="WHO2014" /> การระบาดใหญ่ที่เรียกโรคระบาดทั่วนั้นพบน้อยกว่า<ref name="Harr2012">{{Cite book}}</ref> ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่สามครั้ง ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 (ผู้เสียชีวิต ~50 ล้านคน), ไข้หวัดใหญ่เอเชียในปี 1957 (ผู้เสียชีวิต 2 ล้านคน), และ[[ระดับการระบาดของเชื้อโรค|ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง]]ในปี 1968 (ผู้เสียชีวิต 1 ล้านคน)<ref name="TenThings">{{Cite web}}</ref> องค์การอนามัยโลกประกาศการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ/เอช1เอ็น1 สายพันธุ์ใหม่เป็นโรคระบาดทั่วในเดือนมิถุนายน 2009<ref>{{Cite web}}</ref> ไข้หวัดใหญ่ยังอาจติดในสัตว์อื่น ได้แก่ หมู ม้าและนก ได้<ref>{{Cite book}}</ref>
ไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่วโลกในการระบาดทั่วประจำปี ส่งผลให้มีผู้ป่วยรุนแรง 3 ถึง 5 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 250,000 ถึง 500,000 คน<ref name=WHO2014>{{cite web |title=Influenza (Seasonal) Fact sheet N°211 |website=who.int |access-date=25 November 2014 |date=March 2014 |url=http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs211/en/ |dead-url=no |archive-url=https://web.archive.org/web/20141130051058/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs211/en/ |archive-date=30 November 2014 }}</ref> เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนประมาณ 20% และผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีน 10% มีการติดเชื้อทุกปี<ref>{{cite journal |vauthors=Somes MP, Turner RM, Dwyer LJ, Newall AT |title=Estimating the annual attack rate of seasonal influenza among unvaccinated individuals: A systematic review and meta-analysis |journal=Vaccine |volume=36 |issue=23 |pages=3199–3207 |date=May 2018 |pmid=29716771 |doi=10.1016/j.vaccine.2018.04.063 }}</ref> ในซีกโลกเหนือและใต้ของโลก เกิดการระบาดส่วนใหญ่ในฤดูหนาว ส่วนรอบเส้นศูนย์สูตรอาจเกิดการระบาดได้ตลอดปี<ref name="WHO2014" /> ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตได้แก่ เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น<ref name="WHO2014" /> การระบาดใหญ่ที่เรียกโรคระบาดทั่วนั้นพบน้อยกว่า<ref name="Harr2012"/> ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่สามครั้ง ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 (ผู้เสียชีวิต ~50 ล้านคน), ไข้หวัดใหญ่เอเชียในปี 1957 (ผู้เสียชีวิต 2 ล้านคน), และ[[ระดับการระบาดของเชื้อโรค|ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง]]ในปี 1968 (ผู้เสียชีวิต 1 ล้านคน)<ref name="TenThings">{{cite web |url=http://www.who.int/csr/disease/influenza/pandemic10things/en/index.html |publisher=World Health Organization |date=14 October 2005 |title=Ten things you need to know about pandemic influenza|access-date=26 September 2009 |archive-url=https://web.archive.org/web/20091008223707/http://www.who.int/csr/disease/influenza/pandemic10things/en/index.html |archive-date=8 October 2009 }}</ref> องค์การอนามัยโลกประกาศการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ/เอช1เอ็น1 สายพันธุ์ใหม่เป็นโรคระบาดทั่วในเดือนมิถุนายน 2009<ref>{{cite web |url=http://www.who.int/mediacentre/news/statements/2009/h1n1_pandemic_phase6_20090611/en/index.html |title=World now at the start of 2009 influenza pandemic|publisher=World Health Organization|date=11 June 2009|last=Chan|first=Margaret |access-date=12 June 2009 |deadurl=no |archive-url=https://web.archive.org/web/20090612153009/http://www.who.int/mediacentre/news/statements/2009/h1n1_pandemic_phase6_20090611/en/index.html |archive-date=12 June 2009 }}</ref> ไข้หวัดใหญ่ยังอาจติดในสัตว์อื่น ได้แก่ หมู ม้าและนกได้<ref>{{cite book | vauthors= Palmer SR |title=Oxford textbook of zoonoses : biology, clinical practice, and public health control|date=2011|publisher=Oxford Univ. Press|location=Oxford u.a.|isbn=978-0-19-857002-8|page=332|edition=2.|url=https://books.google.com/books?id=S90mOwgdz9kC&pg=PA332}}</ref>

{{TOC limit|3}}


== อาการและอาการแสดง ==
== อาการและอาการแสดง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:45, 7 มิถุนายน 2562

Influenza
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ขยายประมาณ 100,000 เท่า
สาขาวิชาโรคติดเชื้อ
อาการไข้, น้ำมูกไหล, เจ็บคอ, ปวดกล้ามเนื้อ, ปวดศีรษะ, ไอ, จาม, รู้สึกล้า[1]
การตั้งต้นสองวันหลังได้รับเชื้อ[1]
ระยะดำเนินโรค~1 สัปดาห์[1]
สาเหตุไวรัสไข้หวัดใหญ่[2]
การป้องกันการล้างมือ, หน้ากากอนามัย, วัคซีนไข้หวัดใหญ่[1][3]
ยายาต้านไวรัสอย่างโอเซลทามิเวียร์[1]
ความชุก3–5 ล้านครั้งต่อปี[1]
การเสียชีวิต~375,000 คนต่อปี[1]

ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสไข้หวัดใหญ่[1] อาการอาจมีได้ตั้งแต่เบาถึงรุนแรง[4] อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้สูง คัดจมูก เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ไอ จามและรู้สึกเหนื่อย[1] ตรงแบบอาการเหล่านี้เริ่มสองวันหลังสัมผัสไวรัสและส่วนใหญ่กินเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์[1] ทว่า อาการไออาจกินเวลานานเกินสองสัปดาห์ได้[1] ในเด็ก อาจมีอาการท้องร่วงและอาเจียนด้วย แต่พบน้อยในผู้ใหญ่[5] อาการท้วงร่วงและอาเจียนพบบ่อยกว่าในกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ซึ่งเป็นคนละโรคกัน[5] ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจได้แก่ ปอดบวมไวรัส, ปอดบวมแบคทีเรียทุติยภูมิ, โพรงอากาศติดเชื้อ, และการทรุดของปัญหาสุขภาพเดิมอย่างโรคหืดหรือภาวะหัวใจวาย[2][4]

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีผลต่อมนุษย์มีสามชนิด ได้แก่ ชนิดเอ ชนิดบี และชนิดซี[2][6] ยังไม่ทราบกันว่าชนิดดีติดเชื้อในมนุษย์หรือไม่ แต่เชื่อกันว่ามีโอกาสเป็นไปได้[6][7] ปกติ ไวรัสมีการแพร่ทางอากาศระหว่างการไอหรือจาม[1] เชื่อกันว่าส่วนใหญ่เกิดในระยะห่างค่อนข้างใกล้[8] นอกจากนี้ยังสามารถแพร่ได้โดยการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนไวรัสแล้วนำมาสัมผัสปากหรือตา[4][8] บุคคลอาจติดต่อโรคแก่ผู้อื่นได้ทั้งก่อนและระหว่างที่แสดงอาการ[4] สามารถยืนยันการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้โดยการทดสอบลำคอ เสมหะ หรือจมูกเพื่อหาเชื้อไวรัส[2] มีการทดสอบให้ผลเร็วหลายชนิด แต่บุคคลยังอาจมีโรคอยู่ได้แม้ผลออกมาเป็นลบ[2] ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลีเมอเรสชนิดตรวจจับอาร์เอ็นเอของไวรัสมีความแม่นยำกว่า[2]

การล้างมือบ่อย ๆ ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส[3] การสวมผ้าปิดจมูกก็มีประโยชน์[3] องค์การอนามัยโลกแนะนำการได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง[1] ปกติวัคซีนมีประสิทธิภาพป้องกันไข้หวัดใหญ่สามหรือสี่ชนิด[1] ปกติผู้ได้รับวัคซีนไม่ค่อยได้รับผลกระทบ[1] วัคซีนเพื่อผลิตขึ้นสำหรับหนึ่งปีอาจไม่มีประโยชน์ในปีถัดไป เพราะไวรัสวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว[1] ยาต้านไวรัสอย่างตัวยับยั้งนิวรามินิเดส โอเซลทามิเวียร์ เป็นต้น มีการใช้รักษาไข้หวัดใหญ่[1] ดูแล้วยาต้านไวรัสในผู้สุขภาพดีมีประโยชน์ไม่มากกว่าความเสี่ยง[9] ไม่พบประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น[9][10]

ไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่วโลกในการระบาดทั่วประจำปี ส่งผลให้มีผู้ป่วยรุนแรง 3 ถึง 5 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตประมาณ 250,000 ถึง 500,000 คน[1] เด็กที่ไม่ได้รับวัคซีนประมาณ 20% และผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีน 10% มีการติดเชื้อทุกปี[11] ในซีกโลกเหนือและใต้ของโลก เกิดการระบาดส่วนใหญ่ในฤดูหนาว ส่วนรอบเส้นศูนย์สูตรอาจเกิดการระบาดได้ตลอดปี[1] ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตได้แก่ เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น[1] การระบาดใหญ่ที่เรียกโรคระบาดทั่วนั้นพบน้อยกว่า[2] ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่สามครั้ง ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 (ผู้เสียชีวิต ~50 ล้านคน), ไข้หวัดใหญ่เอเชียในปี 1957 (ผู้เสียชีวิต 2 ล้านคน), และไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงในปี 1968 (ผู้เสียชีวิต 1 ล้านคน)[12] องค์การอนามัยโลกประกาศการระบาดของไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ/เอช1เอ็น1 สายพันธุ์ใหม่เป็นโรคระบาดทั่วในเดือนมิถุนายน 2009[13] ไข้หวัดใหญ่ยังอาจติดในสัตว์อื่น ได้แก่ หมู ม้าและนกได้[14]

อาการและอาการแสดง

อาการที่ไวสำหรับการวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่[15]
อาการ: ความไว ความจำเพาะ
ไข้ 68–86% 25–73%
ไอ 84–98% 7–29%
คัดจมูก 68–91% 19–41%
* สิ่งตรวจพบทั้งสามอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข้ มีความไวน้อยกว่าในผู้อายุ 60 ปีขึ้นไป
อาการของไข้หวัดใหญ่[16] ไข้และไอเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด[15]

ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ประมาณ 33% ไม่มีอาการ[17]

อาการของไข้หวัดใหญ่สามารถเริ่มได้เฉียบพลันหนึ่งถึงสองวันหลังติดเชื้อ ปกติอาการแรก ได้แก่ หนาวสั่นและปวดตามตัว แต่ไข้ก็พบได้บ่อยในช่วงแรก โดยมีอุณหภูมิกายในช่วงตั้งแต่ 38 to 39 °ซ[18] หลายคนป่วยจนนอนซมหลายวัน โดยมีอาการเจ็บปวดทั่วกาย ซึ่งปวดที่หลังและขามากกว่าที่อื่น[19]

อาการของไข้หวัดใหญ่

การแยกระหว่างโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ในระยะแรกของการติดเชื้อทั้งสองทำได้ยาก[24] อาการของไข้หวัดใหญ่เป็นอาการของโรคหวัด รวมกับปอดบวม ปวดตามตัว ปวดศีรษะ และล้า ปกติท้องร่วงไม่ใช่อาการของไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่[15] แต่พบในผู้ป่วย "ไข้หวัดนก" เอช5เอ็น1 ได้บ้าง[25] และอาจเป็นอาการในเด็ก[21] อาการซึ่งพบในไข้หวัดใหญ่ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดแสดงในตารางด้านขวามือ[15]

อาการไข้และไอร่วมกันพบว่าเป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุด ความแม่นยำของการวินิจฉัยเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิกายเกิน 38°ซ[26] การศึกษาวิเคราะห์การตัดสินใจสองการศึกษา[27][28] เสนอว่าระหว่างการระบาดท้องถิ่น ความชุกของโรคจะมีเกิน 70%[28] แม้ไม่มีการระบาดในท้องถิ่น การวินิจฉัยอาจสมเหตุผลในผู้สูงอายุระหว่างฤดูไข้หวัดใหญ่ เพราะมีความชุกเกิน 15%[28]

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) มีบทสรุปการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยอยู่[29] ข้อมูลของ CDC ระบุว่า การทดสอบวินิจฉัยอย่างรวดเร็วมีความไว 50–75% และความจำเพาะ 90–95% เมื่อเทียบกับการเพาะเชื้อไวรัส[30]

บางทีไข้หวัดใหญ่สามารถก่อให้เกิดการเจ็บป่วยรุนแรงรวมทั้งปอดบวมไวรัสปฐมภูมิหรือปอดบวมแบคทีเรียทุติยภูมิได้[31][32] อาการเด่นชัดได้แก่ หายใจลำบาก นอกจากนี้ หากเด็ก (และผู้ใหญ่บางคน) ดูเหมือนดีขึ้นแล้วกลับมามีไข้สูงใหม่ เป็นสัญญาณอันตรายเพราะการเกิดโรคกลับนี้อาจเป็นปอดบวมแบคทีเรีย[33]

ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดอาการไม่ปกติได้ อย่างสับสนในผู้สูงอายุและกลุ่มอาการคล้ายภาวะพิษเหตุติดเชื้อในเยาวชน[34] สมองอักเสบเนื่องจากไข้หวัดใหญ่หาได้ยากแต่ใช่ว่าไม่เคยมีรายงาน

อาการแสดงเตือนฉุกเฉิน

  • หายใจลำบาก
  • เจ็บหน้าอก
  • เวียนศีรษะ
  • สับสน
  • อาเจียนรุนแรง
  • อาการไข้หวัดใหญ่ที่ดีขึ้นแล้วแต่โรคกลับพร้อมมีไข้สูงและไอรุนแรง (อาจเป็นปอดบวมแบคทีเรีย)
  • เขียวคล้ำ
  • ไข้สูงออกผื่น
  • ดื่มของเหลวไม่ได้

อาการแสดงของภาวะขาดน้ำ

  • (ในทารก) ผ้าอ้อมเปียกน้อยกว่าปกติมาก[35]
  • กลั้นอาเจียนไม่อยู่
  • (ในทารก) ร้องไห้ไม่มีน้ำตาหยด

วิทยาไวรัส

ชนิดของไวรัส

โครงสร้างของวิริออนไข้หวัดใหญ่ โปรตีนฮีแม็กกลูตินิน (HA) และนิวรามินิเดส(NA) แสดงอยู่บนผิวอนุภาค อาร์เอ็นเอของไวรัสซึ่งประกอบขึ้นเป็นจีโนมแสดงเป็นขดสีแดงในอนุภาคและเกาะกับไรโบนิวเคลียร์โปรตีน (RNP)

ในการจำแนกไวรัส ไวรัสไข้หวัดใหญ่เป็นอาร์เอ็นเอไวรัส ซึ่งประกอบด้วยสี่ในเจ็ดสกุลของวงศ์ Orthomyxoviridae[36]

  • อินฟลูเอ็นซาไวรัส เอ
  • อินฟลูเอ็นซาไวรัส บี
  • อินฟลูเอ็นซาไวรัส ซี
  • อินฟลูเอ็นซาไวรัส ดี

ไวรัสเหล่านี้เกี่ยวข้องห่าง ๆ กับฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ซึ่งเป็นอาร์เอ็นเอไวรัสในวงศ์ paramyxovirus ซึ่งเป็นสาเหตุทั่วไปของการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็ก อย่างกล่องเสียงอักเสบอุดกั้น[37] แต่ยังสามารถก่อโรคที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ในผู้ใหญ่ได้[38]

ไวรัสไข้หวัดใหญ่วงศ์ที่สี่มีการระบุในปี 2016 คือ ไข้หวัดใหญ่ ดี[39] [40] [41] [42] [43] [44] [45] สปีชีส์ชนิดสำหรับวงศ์นี้ได้แก่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ดี ซึ่งมีการแยกครั้งแรกในปี 2011[7]

อินฟลูเอ็นซาไวรัส เอ

สกุลนี้มีหนึ่งชนิด คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่เอ นกน้ำตามธรรมชาติเป็นตัวถูกเบียนตามธรรมชาติสำหรับไข้หวัดใหญ่เอหลายสายพันธุ์ บางโอกาส มีการแพร่เชื้อไวรัสสู่สัตว์ชนิดอื่นแล้วอาจทำให้เกิดการระบาดที่สูญเสียใหญ่หลวงในสัตว์ปีกเลี้ยง หรือทำให้เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์[46] ไวรัสชนิดเอเป็นเชื้อก่อโรคในมนุษย์ที่มีศักยภาพก่อโรคสูงสุด และก่อให้เกิดโรครุนแรงที่สุด ไวรัสไข้หวัดใหญ่เอสามารถแบ่งย่อยเป็นซีไรไทป์โดยยึดการตอบสนองของแอนติบอดีต่อไวรัสเหล่านี้[47] ซีไรไทป์ที่มีการยืนยันในมนุษย์ เรียงลำดับตามจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดทั่วที่ทราบ ได้แก่

  • เอช1เอ็น1 ซึ่งก่อไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 1918 และไข้หวัดใหญ่หมูในปี 2009
  • เอช2เอ็น2 ซึ่งก่อไข้หวัดใหญ่เอเชียในปี 1957
  • เอช3เอ็น2 ซึ่งก่อไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงในปี 1968
  • เอช5เอ็น1 ซึ่งก่อไข้หวัดใหญ่นกในปี 2004
  • เอช7เอ็น7 ซึ่งมีศักยภาพรับจากสัตว์ผิดธรรมดา[48]
  • เอช1เอ็น2 พบประจำในมนุษย์ หมูและนก
  • เอช9เอ็น2
  • เอช7เอ็น2
  • เอช7เอ็น3
  • เอช10เอ็น7
  • เอช7เอ็น9 เป็นตัวการของการระบาดที่กำลังเกิดในประเทศจีน และปัจจุบันมีศักยภาพเกิดการระบาดทั่วสูงสุดในหมู่ชนิดย่อยเอ[49]
  • เอช6เอ็น1 ซึ่งติดเชื้อในมนุษย์คนเดียวเท่านั้น และฟื้นตัว

อินฟลูเอ็นซาไวรัส บี

การตั้งชื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (สำหรับไวรัสไข้หวัดใหญ่ฝูเจี้ยน)

สกุลนี้มีชนิดเดียว คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่บี ไข้หวัดใหญ่บีติดเชื้อเฉพาะในมนุษย์เกือบทั้งหมด[47] และพบน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่เอ สัตว์อื่นที่ทราบว่าไวต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่บี ได้แก่ แมวน้ำ[50] และเฟอร์เร็ต[51] ไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้กลายพันธุ์ช้ากว่าชนิดเอ 2–3 เท่า[52] ฉะนั้นจึงมีความหลากหลายทางพันธุกรรมน้อยกว่ และซีโรไทป์เดียวเท่านั้น[47] ผลจากการขาดความหลากหลายของแอนติเจนนี้ ทำให้ปกติมีการได้รับภูมิคุ้มกันต่อไข้หวัดใหญ่บีระดับหนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ดี ไข้หวัดใหญ่บียังกลายพันธุ์มากพอทำให้ภูมิคุ้มกันที่อยู่นานยังเกิดขึ้นไม่ได้[53] อัตราการเปลี่ยนแอนติเจนที่ดลลงนี้ กอปรกับตัวถูกเบียนที่จำกัดกว่า (ซึ่งขัดขวางการเลื่อนแอนติเจนข้ามชนิด) ทำให้ไม่เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่บี[54]

อินฟลูเอ็นซาไวรัส ซี

สกุลนี้มีชนิดเดียว คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ซี ซึ่งติดเชื้อมนุษย์ หมาและหมู บางครั้งก่อการเจ็บป่วยรุนแรงและการระบาดท้องถิ่น[55] [56] อย่างไรก็ตาม ไข้หวัดใหญ่ซีพบน้อยกว่าชนิดอื่นและปกติก่อโรคไม่รุนแรงในเด็กเท่านั้น[57] [58]

อินฟลูเอ็นซาไวรัส ดี

สกุลนี้มีชนิดเดียว คือ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ดี ซึ่งติดเชื้อหมูและปศุสัตว์ ไวรัสมีศักยภาพติดเชื้อในมนุษย์ แม้ยังไม่พบผู้ป่วยในขณะนี้[7] ไม่พบว่าไวรัสนี้เป็นตัวการของการระบาดใหญ่ครั้งใด

โครงสร้าง คุณสมบัติและการตั้งชื่อชนิดย่อย

อินฟลูเอ็นซาไวรัสเอ บี ซีและดีมีโครงสร้างโดยรวมคล้ายกันมาก[7] [59] [60] อนุภาคไวรัส (หรือเรียก วิริออน) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 80–120 นาโนเมตรซึ่งวิริออนเล็กสุดมีรูปทรงเป็นวงรี[61] ความยาวของแต่ละอนุภาคแปรผันกันมาก เนื่องจากไข้หวัดใหญ่มีหลายรูป และสามารถใหญ่กว่านี้ได้หลายสิบไมโครเมตร ทำให้เกิดวิริออนเส้นใย[62] อย่างไรก็ตาม แม้มีรูปทรงหลากหลาย แต่อนุภาคไวรัสของไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้งหมดมีไกลโคโปรตีนสองชนิดหลัก[63] ทั้งหมดนี้ประกอบด้วยเปลือกหุ้มไวรัส (envelope) ประกอบ้ดวยไกลโคโปรตีนสองชนิดหลัก ห่อรอบแก่นกลาง แก่นกลางบรรจุจีโนม อาร์เอ็นเอของไวรัส และโปรตีนของไวรัสชนิดอื่นที่ห่อหุ้มและปกป้องอาร์เอ็นเอนี้ อาร์เอ็นเอมีแนวโน้มเป็นเกลียวเดี่ยว แต่ในกรณีพิเศษจะเพิ่มเป็นเกลียวคู่[64] จีโนมของอินฟลูเอ็นซาไวรัสไม่ใช้กรดนิวคลีนิกชิ้นเดียว แต่มีอาร์เอ็นเอชนิดขั้วลบเป็นท่อนเจ็ดหรือแปดชิ้น อาร์เอ็นเอแต่ละชิ้นที่บรรจุยีนหนึ่งหรือสองยีน ซึ่งมีรหัสสำหรับผลิตภัณฑ์ยีน (โปรตีน)[63] ตัวอย่างเช่น จีโนมไข้หวัดใหญ่เอมี 11 ยีนบนอาร์เอ็นเอ 8 ชิ้น, ซึ่งเข้ารหัสโปรตีน 11 ชนิด ได้แก่ ฮีแม็กกลูตินิน (HA), นิวรามินิเดส (NA), นิวคลีโอโปรตีน (NP), เอ็ม1 (โปรตีนเมทริกซ์ 1), เอ็ม2, เอ็นเอส1 (โปรตีน 1 ที่ไม่ใช่โครงสร้าง), เอ็นเอส2 (อีกชื่อหนึ่งคือ โปรตีนส่งออกนิวเคลียส (nuclear export protein)), พีเอ, พีบี1 (โพลีเมอเรสพื้นฐาน 1), พีบี1-เอฟ2 และพีบี2[65]

Hemagglutinin (HA) และ neuraminidase (NA) เป็น glycoproteins ขนาดใหญ่สองตัวที่อยู่ด้านนอกของอนุภาคไวรัส HA เป็น เลคติน ที่ไกล่เกลี่ยการจับกับไวรัสไปยังเซลล์เป้าหมายและการเข้าสู่จีโนมของไวรัสเข้าสู่เซลล์เป้าหมายในขณะที่ NA มีส่วนร่วมในการปล่อยไวรัสลูกหลานจากเซลล์ที่ติดเชื้อ [66] ดังนั้นโปรตีนเหล่านี้จึงเป็นเป้าหมายของ ยาต้านไวรัส [67] นอกจากนี้ยังเป็น แอนติเจน ที่สามารถสร้าง แอนติบอดี ได้ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แบ่งออกเป็นชนิดย่อยตามการตอบสนองของแอนติบอดีต่อ HA และ NA HA และ NA ชนิดต่าง ๆ เหล่านี้สร้างพื้นฐานของความแตกต่างของ H และ N ในตัวอย่างเช่น H5N1 [68] มีชนิดย่อยของ 18 H และ 11 N ที่รู้จักกัน แต่มีเพียง H 1, 2 และ 3, และ N 1 และ 2 เท่านั้นที่พบในมนุษย์ [69] [70]

การถ่ายแบบ

การบุกรุกเซลล์ตัวถูกเบียนและการถ่ายแบบโดยไวรัสไข้หวัดใหญ่ ขั้นตอนในกระบวนการนี้มีอภิปรายในเนื้อหา

ไวรัสสามารถถ่ายแบบเฉพาะในเซลล์มีชีวิตเท่านั้น[71] การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และการถ่ายแบบเป็นกระบวนการหลายขั้นตอน ขั้นแรก ไวรัสต้องผูกยึดกับและเข้าสู่เซลล์ เมื่อส่งจีโนมไปยังจุดที่มันสามารถผลิตสำเนาใหม่ของโปรตีนไวรัสและอาร์เอ็นเอ การประกอบองค์ประกอบเหล่านี้เป็นอนุภาคไวรัสใหม่ และขั้นสุดท้าย ออกจากเซลล์ตัวถูกเบียน[63]

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยึดผ่านฮีแม็กกลูตินินเข้าสู่น้ำตาลกรดไซอะลิกบนผิวเซลล์เยื่อบุ ตรงแบบในจมูก ลำคอและปอดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และลำไส้ของนก (ขั้นที่ 1 ในภาพการติดเชื้อ)[72] หลังฮีแม็กกลูตินินถูกโปรตีเอสตัด เซลล์นำไวรัสเข้ามาโดยวิธีเอ็นโดไซโทซิส[73]

รายละเอียดในเซลล์กำลังหาคำอธิบายอยู่ ทราบกันว่าวิริออนเบนเข้าสู่ศูนย์กลางการจัดระเบียบไมโครทิวบูล มีอันตรกิริยากับเอ็นโดโซมที่เป็นกรด และสุดท้ายเข้าสู่เอ็นโดดซมเป้าหมายเพื่อการปลดปล่อยจีโนม[74]

เมื่ออยู่ในเซลล์ ภาวะเป็นกรดในเอนโดโซมทำให้เกิดเหตุการณ์สองอย่าง หนึ่ง ส่วนของโปรตีนฮีแม็กกลูตินินผสมกับเปลือกหุ้มไวรัสกับเยื่อของแวคิวโอล แล้วช่องไอออนเอ็ม2 ทำให้โปรตอนเคลื่อนผ่านเปลือกหุ้มไวรัสแล้วทำให้แก่นของไวรัสเป็นกรด ซึ่งทำให้แก่นแยกส่วนและปล่อยอาร์เอ็นเอของไวรัสและโปรตีนแก่น[63] โมเลกุลอาร์เอ็นเอของไวรัส โปรตีนส่วนประกอบ แล้วจะมีการปล่อยอาร์เอ็นเอดีเพนเดนต์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส (RNA-dependent RNA polymerase) เข้าสู่ไซโตพลาสซึม (ระยะที่ 2)[75] ยาอะแมนตาดีนขัดขวางช่องไอออนเอ็ม2 ซึ่งป้องกันการติดเชื้อ[76]

โปรตีนแก่นและอาร์เอ็นเอของไวรัสก่อคอมเพล็กซ์ซึ่งมีการขนส่งเข้าสู่นิวเคลียสของเซลล์ โดยอาร์เอ็นเอดีเพนเดนต์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรสเริ่มถอดรหัสอาร์เอ็นเอคู่สมชนิดขั้วบวก (ระยะที่ 3เอ และ 3บี)[77] อาร์เอ็นเอของไวรัสมีการส่งออกสู่ไซโทพลาสซึมและแปลรหัส (ระยะที่ 4) หรือยังอยู่ในนิวเคลียสต่อไป โปรตีนของไวรัสที่สังเคราะห์ใหม่มีการหลั่งผ่านกอลไจแอปพาราตัสสู่ผิวเซลล์ (ในกรณีของนิวรามินิเดสและฮีแม็กกลูตินิน คือ ระยะที่ 5บี) หรือขนส่งกลับเข้าสู่นิวเคลียสเพื่อยึดอาร์เอ็นเอของไวรัสและก่ออนุภาคจีโนมของไวรัสใหม่ รวมทั้งสลายอาร์เอ็นเอนำรหัสของเซลล์ และใช้นิวคลีโอไทด์ที่ปล่อยออกมาเพื่อการสังเคราะห์อาร์เอ็นเอของไวรัส และยังยับยั้งการแปลรหัสอาร์เอ็นเอนำสารของเซลล์ตัวถูกเบียน[78]

อาร์เอ็นเอของไวรัสชนิดขั้วลบซึ่งก่อเป็นจีโนมของไวรัสในอนาคต อาร์เอ็นเอดีเพนเดนต์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส และโปรตีนอื่นของไวรัสประกอบเข้าเป็นวิริออน โมเลกุลฮีแม็กกลูตินินและนิวรามินิเดสกระจุกเข้าสู่รอยโป่งในเยื่อหุ้มเซลล์ อาร์เอ็นเอของไวรัสและโปรตีนแก่นไวรัสออกจากนิวเคลียสแล้วเข้าสู่รอยโป่งของเยื่อนี้ (ระยะที่ 6) ไวรัสที่เจริญเต็มที่ผุดออกจากเซลล์ในเยื่อฟอสโฟลิพิดทรงกลมของตัวถูกเบียน ทำให้ได้ฮีแม็กกลูตินินและนิวรามินิเดสในโค้ดเยื่อนี้ (ระยะที่ 7)[79] เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ไวรัสยึดกับเซลล์ผ่านฮีแม็กกลูตินิน ไวรัสที่เจริญเต็มที่แล้วแยกออกเมื่อนิวรามินิเดสตัดส่วนตกค้างกรดไซอะลิกออกจากเซลล์ตัวถูกเบียน[72] หลังปล่อยไวรัสไข้หวัดใหญ่ใหม่แล้ว เซลล์ตัวถูกเบียนจะตาย

เนื่องจากไม่มีเอ็นไซม์ตรวจอาร์เอ็นเอ อาร์เอ็นเอดีเพนเดนต์อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรสซึ่งคัดลอกจีโนมของไวรัสจึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดเกือบทุก ๆ 10,000 นิวคลีโอไทด์ ซึ่งประมาณความยาวของอาร์เอ็นเอของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ฉะนั้น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งผลิตใหม่ส่วนใหญ่จึงเป็นสิ่งกลายพันธุ์ ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนแอนติเจน (antigenic drift) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ ในแอนติเจนบนผิวไวรัสตามเวลา[80] การแบ่งจีโนมออกเป็นอาร์เอ็นเอของไวรัสส่วนต่าง ๆ แปดส่วนทำให้มีการผสมหรือการรวมกันใหม่ของอาร์เอ็นเอไวรัสหากมีไวรัสไข้หวัดใหญ่ติดเชื้อในเซลล์มากกว่าหนึ่งชนิด การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของไวรัสอย่างรวดเร็วอันเป็นผลลัพธ์นี้ทำให้เกิดการเลื่อนแอนติเจน (antigenic shift) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลันขนาดใหญ่ทำให้ไวรัสติดเชื้อชนิดตัวถูกเบียนใหม่ และเอาชนะภูมิคุ้มกันคุ้มครองอย่างรวดเร็ว[68] ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการเกิดการระบาดทั่ว ดังที่อภิปรายด้านล่างในส่วนวิทยาการระบาด

กลไก

การแพร่เชื้อ

เมื่อผู้ติดเชื้อจามหรือไอ อนุภาคไวรัสกว่าครึ่งล้านอนุภาคสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อยู่ใกล้[81] ในผู้ใหญ่สุขภาพดี การกระจายไวรัส (shedding) ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งในช่วงนี้บุคคลสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เพิ่มขึ้นอย่างมากครึ่งถึงหนึ่งวันหลังติดเชื้อ โดยสูงสุดในวันที่ 2 และคงอยู่เป็นระยะเวลารวมเฉลี่ย 5 วัน แต่สามารถอยู่ได้นานสุด 9 วัน[82] ในผู้ที่เกิดอาการจากการติดเชื้อทดลอง (เฉพาะ 67% ของบุคคลที่ติดเชื้อในการทดลองสุขภาพดี) อาการและการกระจายไวรัสมีรูปแบบคล้ายกัน แต่การกระจายไวรัสเกิดก่อนการป่วยหนึ่งวัน[82] เด็กติดต่อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่มากและกระจายไวรัสตั้งแต่ก่อนเกิดอาการจนถึงสองสัปดาห์หลังติดเชื้อ[83] ในผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การกระจายไวรัสสามารถเกิดต่อเนื่องได้นานกว่าสองสัปดาห์[84]

ไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่เชื้อได้สามวิธีหลัก[85][86] ได้แก่ 1) ด้วยการสัมผัสโดยตรง คือ บุคคลที่มีเชื่อจามเอามูกเข้าสู่ตา จมูกหรือปากของอีกบุคคลหนึ่งโดยตรง 2) ทางจากอากาศ คือ บุคคลสูดดมละอองฝอยที่เกิดจากบุคคลที่ติดเชื้อไอ จามหรือถ่มน้ำลาย และ 3) ผ่านการแพร่เชื้อมือสู่ตา มือสู่จมูกหรือมือสู่ปาก ไม่ว่าจากผิวที่ปนเปื้อนหรือจากการสัมผัสระหว่างบุคคลโดยตรง เช่น การสัมผัสมือ ความสำคัญโดยสัมพัทธ์ของการแพร่เชื้อสามวิธีนี้ไม่ชัดเจน และทั้งหมดมีส่วนทำให้ไวรัสแพร่[8] ในทางจากอากาศ ละอองเสมหะที่เล็กพอให้บุคคลสูดเข้าไปได้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ถึง 5 ไมโครเมตร และการสูดดมละอองเสมหะเดียวก็อาจเพียงพอทำให้ติดเชื้อได้[85] แม้การจามครั้งเดียวอาจปล่อยละอองเสมหะได้ถึง 40,000 ละออง[87] แต่ส่วนใหญ่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และถูกพัดพาไปจากอากาศ[85] ระยะเวลาที่ไข้หวัดใหญ่อยู่รอดในละอองเสมหะจากอากาศได้รับอิทธิพลจากระดับความชื้นและรังสียูวี โดยความชื้นต่ำและการขาดแสงอาทิตย์ในฤดูหนาวช่วยให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น[85]

ขณะที่ไวรัสไข้หวัดใหญ่อยู่นอกร่างกาย มันสามารถแพร่เชื้อผ่านผิวปนเปื้อนได้ เช่น ธนบัตร[88] ลูกบิดประตู สวิตช์ไฟ และสิ่งของในครัวเรือนอื่น[19] ระยะเวลาที่ไวรัสคงอยู่บนผิวแปรผันได้ โดยไวรัสจะอยู่รอดหนึ่งถึงสองวันบนพื้นผิวแข็งไม่พรุน เช่น พลาสติกหรือโลหะ, ประมาณสิบห้านาทีบนกระดาษทิชชูแห้ง และเพียงห้านาทีบนผิวหนัง[89] อย่างไรก็ดี หากไวรัสอยู่ในมูก จะสามารถป้องกันไวรัสได้นานขึ้น (นานถึง 17 วันบนธนบัตร)[85][88] ไข้หวัดใหญ่นกสามารถมีชีวิตได้ไม่มีกำหนดเมื่อถูกแช่แข็ง[90] ไวรัสจะถูกลดฤทธิ์เมื่อได้รับความร้อนถึง 56 °ซ เป็นเวลาอย่างน้อย 60 นาที เช่นเดียวกับกรด (ที่ pH <2)[90]

พยาธิสรีรวิทยา

ตำแหน่งการติดเชื้อ (แสดงด้วยสีแดง) ของ เอช1เอ็น1 ตามฤดูกาล กับ เอช5เอ็น1 "ไข้หวัดนก" ที่แตกต่างกัน ซึ่งมีผลต่อโอกาสถึงตายและความสามารถในการลุกลาม

กลไกที่ทำให้การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก่ออาการในมนุษย์นั้นมีการศึกษาอย่างเข้มข้น กลไกหนึ่งเชื่อว่าเป็นการยับยั้งฮอร์โมนแอดรีโนคอร์ติโคโทรปิก (ACTH) ส่งผลให้ระดับคอร์ติซอล (cortisol) ลดลง[91] การทราบว่ายีนใดที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หนึ่งมีสามารถช่วยทำนายได้ว่าเชื้อติดมนุษย์ได้ดีเพียงใด และการติดเชื้อจะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด (กล่าวคือ พยากรณ์พยาธิสรีรวิทยาของสายพันธุ์นั้น)[56][92]

ตัวอย่างเช่น ส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้ไวรัสไข้หวัดใหญ่บุกรุกเซลล์ คือ การแยกโปรตีนฮีแม็กกลูตินิน (hemagglutinin) ของไวรัสโดยโปรตีเอส (protease) ของมนุษย์ที่มีอยู่หลายตัว[73] ในไวรัสที่ไม่รุนแรง โครงสร้างของฮีแม็กกลูตินินทำให้โปรตีเอสเฉพาะที่พบในลำคอและปอดเท่านั้นที่สามารถแยกมันได้ ฉะนั้นไวรัสจึงไม่สามารถติดเชื้อในเนื้อเยื่ออื่น ทว่าในสายพันธุ์ที่รุนแรง อย่างเอช5เอ็น1 โปรตีเอสหลายชนิดสามารถแยกฮีแม็กกลูตินินได้ ทำให้ไวรัสแพร่กระจายไปทั่วร่าง[92]

โปรตีนฮีแม็กกลูตินินของไวรัสเป็นตัวตัดสินว่าสายพันธุ์นั้นสามารถติดในสัตว์ชนิดใดได้บ้าง และสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่นั้นจะติดทางเดินหายใจของมนุษย์ที่ใดบ้าง[93] สายพันธุ์ที่แพร่เชื้อง่ายระหว่างบุคคลมีโปรตีนฮีแม็กกลูตินินซึ่งยึดกับทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ในจมูก ลำคอและปาก ในทางตรงข้าม สายพันธุ์เอช5เอ็น1 ที่มีอัตราเสียชีวิตสูง ยึดกับตัวรับที่ส่วนใหญ่พบในปอด[94] ตำแหน่งติดเชื้อที่แตกต่างกันนี้เป็นสาเหตุที่สายพันธุ์เอช5เอ็น1 ก่อให้เกิดปอดบวมไวรัสรุนแรง แต่ติดต่อระหว่างบุคคลที่ไอและจามได้ยาก[95][96]

อาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่อย่างไข้ ปวดศีรษะ และล้าเป็นผลของไซโตไคน์ (cytokine) และคีโมไคน์ (chemokine) ที่กระตุ้นการอักเสบ (อย่างอินเตอร์เฟอร์รอน (interferon) และทิวเมอร์เนโครซิสแฟกเตอร์ (tumor necrosis factor)) ปริมาณมากที่ผลิตจากเซลล์ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่[24][97] ในทางตรงข้ามกับไรโนไวรัสซึ่งก่อโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ก่อความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ ฉะนั้นอาการจะไม่ได้เกิดจากการตอบสนองของการอักเสบ[98] การตอบสนองภูมิคุ้มกันขนาดใหญ่นี้อาจก่อให้เกิดพายุไซโตไคน์ (cytokine storm) ที่ถึงแก่ชีวิตได้ มีการเสนอว่าผลดังกล่าวเป็นสาเหตุของยอดผู้เสียชีวิตสูงผิดปกติของทั้งไข้หวัดใหญ่นกเอช5เอ็น1[99] และสายพันธุ์โรคระบาดทั่วปี 1918[100][101] ทว่า อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือไซโตไคน์ปริมาณมากนี้เป็นเพียงผลของระดับการถ่ายแบบของไวรัสระดับมหาศาลที่ผลิตจากสายพันธุ์เหล่านี้ และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันไม่ได้ส่งผลต่อโรคด้วยตัวมันเอง[102] ดูเหมือนว่าไข้หวัดใหญ่กระตุ้นกระบวนการตายของเซลล์ที่มีคำสั่ง (อะพอพโทซิส)[103]

การป้องกัน

การฉีดวัคซีน

ขณะกำลังให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่

องค์การอนามัยโลกและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐแนะนำวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับกลุ่มเสี่ยงสูงอย่างเด็ก ผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้ป่วยเรื้อรังอย่างโรคหืด เบาหวาน โรคหัวใจ และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น[104][105] ในผู้ใหญ่สุขภาพดี วัคซีนมีประสิทธิภาพพอประมาณในการลดปริมาณอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ในประชากร[106] ในเด็กสุขภาพดีอายุเกิน 2 ปี วัคซีนลดโอกาสได้รับไข้หวัดใหญ่ลงสองในสาม แต่ยังไม่มีการศึกษาดีนักในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี[107] การฉีดวัคซีนลดการกำเริบในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[108] แต่ยังไม่ชัดเจนว่าช่วยลดการกำเริบของโรคหืดด้วยหรือไม่[109] หลักฐานสนับสนุนอัตราป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ต่ำกว่าในกลุ่มผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหลายกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ มะเร็ง และผู้หลังปลูกถ่ายอวัยวะ[110] ในผู้ป่วยฉีดวัคซีนความเสี่ยงสูงอาจลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ[111] การกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีผลต่อผลการรักษาผู้ป่วยหรือไม่นั้นยังเป็นที่พิพาทอยู่ โดยบทปฏิทรรศน์บ้างไม่พบหลักฐานเพียงพอ[112][113] และบ้างพบหลักฐานเบื้องต้น[114][115]

เนื่องจากอัตรากลายพันธุ์ของไวรัสมีสูง วัคซีนไข้หวัดใหญ่เฉพาะปกติจึงให้การป้องกันโรคได้ไม่กี่ปีเท่านั้น ทุกปีองค์การอนามัยโลกพยากรณ์ว่าไวรัสสายพันธุ์ใดน่าจะไหลเวียนในปีหน้ามากที่สุด ทำให้บริษัทเภสัชภัณฑ์พัฒนาวัคซีนที่จะให้ภูมิคุ้มกันดีที่สุดต่อสายพันธุ์เหล่านี้[116] มีการเปลี่ยนสูตรวัคซีนแต่ละฤดูสำหรับสายพันธุ์จำเพาะบางสายพันธุ์ แต่ไม่รวมสายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในโลกระหว่างฤดูนั้น ผู้ผลิตใช้เวลาหกเดือนสร้างสูตรและผลิตวัคซีนหลายล้านขนาดที่จำเป็นในการรับมือกับสายพันธุ์ที่โดดเด่นอยู่ในขณะนั้น[117] นอกจากนี้การติดเชื้อก่อนฉีดวัคซีนและการเจ็บป่วยจากสายพันธุ์ที่วัคซีนควรป้องกันก็เป็นไปได้ เพราะวัคซีนใช้เวลาออกฤทธิ์สองสัปดาห์[118]

วัคซีนสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองราวกับว่าร่างกายกำลังมีการติดเชื้อจริง และอาจมีอาการติดเชื้อทั่วไปได้ (ซึ่งอาการหลายอย่างของโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่ก็เป็นอาการติดเชื้อทั่วไป) แม้อาการเหล่านี้ปกติไม่รุนแรงหรือไม่กินเวลานานเท่าไข้หวัดใหญ่ ผลไม่พึงประสงค์ที่อันตรายที่สุด ได้แก่ ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงต่อสารไวรัสเอง หรือส่วนตกค้างของไข่ไก่ที่ใช้เพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่ปฏิกิริยานี้พบยากยิ่ง[119]

บทปฏิทรรศน์ปี 2018 ของคอคแครนว่าด้วยเด็กที่มีสุขภาพโดยรวมดีพบว่าการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อเป็นดูเหมือนลดความเสี่ยงการติดไข้หวัดใหญ่สำหรับฤดูกาลนั้นจาก 18% เหลือ 4% วัคซีนชนิดเชื้อตายดูเหมือนลดอัตราการติดไข้หวัดใหญ่สำหรับฤดูกาลนั้นจาก 30% เหลือ 11% ไม่มีข้อมูลเพียงพอดึงข้อสรุปแน่ชัดเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างปอดบวมหรือการให้เข้าโรงพยาบาล[107]

สำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดี บทปฏิทรรศน์คอคแครนปี 2018 แสดงว่าวัคซีนลดอุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่ที่ห้องปฏิบัติการยืนยันจาก 2.3% เหลือ 0.9% ซึ่งคิดเป็นการลดความเสี่ยงประมาณ 60% อย่างไรกฌดี สำหรับการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ซึ่งนิยามว่ามีอาการเดียวกันคือ ไอ ไข้ ปวดศีรษะ คัดจมูกและเจ็บปวดตามตัว วัคซีนลดความเสี่ยงจาก 21.5% เหลือ 18.1% ซึ่งคิดเป็นการลดความเสี่ยงลงเล็กน้อย 16% ข้อแตกต่างอาจอธิบายได้ดีที่สุดจากข้อเท็จจริงที่ว่ามีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่ก่ออาการเดียวกันหรือคล้ายกันกับไวรัสไข้หวัดใหญ่[106]

ต้นทุน-ประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมีการประเมินอย่างกว้างขวางสำหรับกลุ่มและกรณีต่าง ๆ[120] โดยทั่วไปพบว่าเป็นการรักษาที่คุ้มทุน โดยเฉพาะในเด็ก[121] และผู้สูงอายุ[122] อย่างไรก็ตาม ผลของการประเมินการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทางเศรษฐกิจพบว่าขึ้นอยู่กับข้อสันนิษฐานสำคัญ[123][124]

การควบคุมการติดเชื้อ

วิธีลดการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพสมเหตุสมผล ได้แก่ นิสัยสุขภาพและสุขอนามัยส่วนบุคคลดี เช่น ไม่สัมผัสตา จมูกหรือปากตัวเอง[125] ล้างมือบ่อย ๆ (ด้วยน้ำกับสบู่ หรือด้วยเจลถูมือที่มีแอลกอฮอล)[126] ปิดปากและจมูกเมื่อไอจาม เลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย และอยู่บ้านถ้าคุณป่วย นอกจากนี้ยังแนะนำไม่ให้ถ่มน้ำลาย[127] แม้ผ้าปิดจมูกอาจช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเมื่อดูแลผู้ป่วย[128][129] แต่ยังมีหลักฐานไม่ตรงกันว่าด้วยประโยชน์ในชุมชน[127][130] การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงของการสัมผัสไข้หวัดใหญ่ ตลอดจนก่ออาการของโรคที่รุนแรงกว่า[131][132]

เนื่องจากไข้หวัดใหญ่แพร่ทางการสัมผัสผิวที่ปนเปื้อนด้วย การทำความสะอาดผิวจึงอาจช่วยลดการติดเชื้อบ้าง[133] แอลกอฮอลเป็นสารชำระล้างที่มีประสิทธิภาพต่อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่วนสารประกอบควอเตอนารีแอมโมเนียมสามารถใช้ร่วมกับแอลกอฮอลเพื่อให้ฤทธิ์ชำระล้างอยู่นานขึ้น[134] ในโรงพยาบาล สารประกอบควอเตอนารีแอมโมเนียมและสารฟอกใช้เพื่อชำระล้างห้องหรืออุปกรณ์ที่ผู้มีอาการไข้หวัดใหญ่ใช้[134] ที่บ้าน สามารถชำระล้างอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยสารฟอกคลอรีนเจือจาง[135]

ยุทธศาสตร์การรักษาระยะห่างทางสังคมที่ใช้ระหว่างการระบาดทั่วในอดีต เช่น การปิดโรงเรียน โบสภ์และโรงละคร ชะลอการแพร่ของไวรัส แต่มีผลไม่มากนักต่ออัตราตายโดยรวม[136] [137] ยังไม่แน่ชัดว่าหากลดการประชุมในที่สาธารณะ ตัวอย่างเช่น ปิดโรงเรียนและที่ทำงาน จะลดการแพร่เชื้อเพราะผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่อาจเพียงย้ายจากพื้นที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง มาตรการดังนี้ยังบังคับใช้ได้ยากและอาจไม่ได้รับความนิยมด้วย[127] เมื่อคนจำนวนน้อยติดเชื้อ การแยกผู้ป่วยอาจลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อ[127]

การวินิจฉัย

ภาพรังสีเอ็กซ์ของผู้ป่วยเอข1เอ็น1 ยืนยันแล้ว อายุ 29 ปี

มีการทดสอบอย่างรวดเร็วสำหรับไข้หวัดใหญ่อยู่จำนวนหนึ่ง วิธีหนึ่งเรียกว่า การสอบปริมาณโมเลกุลอย่างเร็ว (Rapid Molecular Assay) ซึ่งเป็นการเก็บตัวอย่าง (มูก) โดยใช้สิ่งป้ายกวาดจมูกหรือสิ่งป้ายกวาดคอหอยส่วนจมูก[138] ควรทดสอบภายใน 3–4 วันหลังเริ่มมีอาการ เพราะการกระจายของไวรัสในทางเดินหายใจส่วนบนจะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้นหลังจากนั้น[34]

การรักษา

แนะนำให้ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ เลี่ยงการใช้แอลกอฮอลและยาสูบ และถ้าจำเป็น ใช้ยาอย่างอะเซตามีโนเฟน (พาราเซตามอล) เพื่อลดไข้และบรรเทาปวดกล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ผู้ป่วยเลี่งยการสัมผัสใกล้ชิดบุคคลอื่นเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ[139] [140] เด็กและวัยรุ่นที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข้) ควรเลี่ยงการใช้แอสไพรินระหว่างการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข้หวัดใหญ่ชนิดบี) เพราะอาจนำไปสู่กลุ่มอาการเรย์ เป็นโรคของตับที่หายากแต่อาจถึงแก่ชีวิตได้[141] ด้วยเหตุที่ไข้หวัดใหญ่เกิดจากไวรัส ยาปฏิชีวนะจึงไม่มีผลต่อการติดเชื้อ ยกเว้นจ่ายให้สำหรับการติดเชื้อขั้นตามอ่ยางปอดบวมแบคทีเรีย ยาต้านไวรัสอาจมีประโยชน์หากให้เร็ว (ภายใน 48 ชั่วโมงหลังอาการแรก) แต่ไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์มีการดื้อยาต้านไวรัสมาตรฐาน และมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของการวิจัย[142] ปัจเจกบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงอย่างเด็กเล็ก หญิงมีครรภ์ ผู้สูงอายุและผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรพบแพทย์เพื่อขอรับยาต้านไวรัส ผู้มีอาการเตือนฉุกเฉินควรติดต่อห้องฉุกเฉินทันที[143]

ยาต้านไวรัส

มีการใช้ยาต้านไวรัสสองประเภทกับไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ สารยับยั้งนิวรามินิเดส (โอเซลทามิเวียร์, ซานามิเวียร์, ลานินามิเวียร์ และ เปรามิเวียร์ ) และตัวยับยั้งโปรตีนเอ็ม2 (อนุพันธ์ของอะดาแมนเทน)

สารยับยั้งนิวรามินิเดส

ประโยชน์โดยรวมของสารยับยั้งนิวรามินิเดสในผู้มีสุขภาพดีดูแล้วไม่มากกว่าความเสี่ยง[9] และดูแล้วไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ ในผู้มีปัญหาสุขภาพอื่น [9] ในผู้ที่เชื่อว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ยาดังกล่าวลดระยะเวลาที่มีอาการน้อยกว่าหนึ่งวันเล็กน้อย แต่ดูไม่มีผลต่อความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน อย่างความจำเป็นต้องรับรักษาในโรงพยาบาลหรือโรคปอดบวม[10] การดื้อสารยับยั้งนิวรามินิเดสที่พบมากขึ้นทุกทีทำให้นักวิจัยแสวงยาต้านไวรัสทางเลือกที่มีกลไกการออกฤทธิ์อื่น[144]

สารยับยั้งเอ็ม2

ยาต้านไวรัสอะแมนตาดีนและไรแมนตาดีนยับยั้งการสร้างช่องไอออนของไวรัส (โปรตีนเอ็ม2) จึงยับยั้งการถ่ายแบบของไวรัสไข้หวัดใหญ่เอ[76] ยาเหล่านี้บางครั้งมีผลต่อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ หากได้รับตั้งแต่การติดเชื้อระยะแรก แต่ไม่เป็นผลกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดบี ซึ่งไม่มีเป้าหมายของยาเอ็ม2[145] การดื้อยาอะแมนตาดีนและไรแมนตาดีนที่วัดได้ในบุคคลแยกชาวอเมริกันซึ่งเป็นเอช3เอ็น2 เพิ่มเป็น 91% ในปี 2005[146] การดื้อยาระดับสูงนี้อาจเนื่องจากอะแมนตาดีนหาซื้อเป็นยาบรรเทาหวัดซื้อเองได้และหาได้ง่ายในประเทศอย่างจีนและรัสเซีย[147] และการใช้เพื่อป้องกันการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในสัตว์ปีกฟาร์ม [148] [149] ซีดีซีไม่แนะนำให้ใช้สารยับยั้งเอ็ม2 ระหว่างฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ 2005–06 เนื่องจากมีการดื้อยาในระดับสูง[150]

พยากรณ์โรค

ผลของไข้หวัดใหญ่รุนแรงกว่าและอยู่ได้นานกว่าโรคหวัด คนส่วนใหญ่จะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ในประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่บางคนอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ (เช่น ปอดบวม) ฉะนั้น ไข้หวัดใหญ่อาจถึงตายได้ในผู้อ่อนแอ เด็กและผู้สูงอายุ ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ป่วยเรื้อรัง[68] ผู้มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีขั้นรุนแรงหรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ (ซึ่งทางการแพทย์ให้กดระบบภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะที่ปลูกถ่าย) ผู้ประสบโรครุนแรงบางอย่าง[151] หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็กมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนสูงเช่นกัน[152]

ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้ปัญหาสุขภาพทรุดลงได้ ผู้ประสบภาวะมีอากาศในเนื้อเยื่อ, หลอดลมอักเสบเรื้อรังหรือโรคหืดอาจมีอาการหายใจลำบากระหว่างป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ โรคหัวใจล้มเหลว[153] การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่สัมพันธ์กับไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงมากขึ้นและเพิ่มอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ [154]

องค์การอนามัยโลกมีข้อมูลว่า "ทุกฤดูหนาวมีบุคคลติดไข้หวัดใหญ่หลายสิบล้านคน ส่วนใหญ่ป่วยและหยุดทำงานหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย เราทราบว่ายอดผู้เสียชีวิตทั่วโลกอยู่ในหลักแสนคนต่อปี แต่กระทั่งในประเทศพัฒนาแล้ว จำนวนดังกล่าวยังไม่แน่นอนเนื่องจากทางการแพทย์ปกติไม่ได้ยืนยันว่าแท้จริงแล้วเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ หรือเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่"[155] แม้แต่บุคคลสุขภาพดีก็สามารถป่วยได้ และปัญหารุนแรงจากไข้หวัดใหญ่สามารถเกิดได้ทุกวัย บุคคลอายุ 65 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ เด็กอ่อนและคนทุกวัยที่มีภาวะทางการแพทย์เรื้อรังมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการไข้หวัดใหญ่มากกว่า เช่น ปอดบวม, โรคหลอดลมอักเสบ, การติดเชื้อไซนัส และที่หู[156]

ในบางกรณี การตอบสนองภูมิต้านตนเองเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่อาจมีผลต่อการพัฒนากลุ่มอาการกิลแลง–บาร์เร[157] อย่างไรก็ดี เนื่องจากการติดเชื้ออีกหลายอย่างสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคนี้ ไข้หวัดใหญ่จึงอาจเป็นสาเหตุสำคัญเฉพาะระหว่างการระบาดเท่านั้น[157] [158] กลุ่มอาการนี้เชื่อว่าเป็นผลข้างเคียงพบได้น้อยของวัคซีนไข้หวัดใหญ่ บทปฏิทรรศน์หนึ่งระบุว่าอุบัติการณ์มีประมาณหนึ่งต่อวัคซีนหนึ่งล้านขนาด[159] การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เองเพิ่มทั้งความเสี่ยงเสียชีวิต (ถึง 1 ใน 10,000) และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เรถึงระดับสูงกว่าระดับความเกี่ยวข้องของวัคซีนที่สงสัยสูงสุดมาก (ประมาณ 10 เท่าของการประมาณล่าสุด)[160] [161]

ข้อมูลของ cdc.gov ระบุว่า "เด็กทุกวัยที่มีภาวะทางประสาทวิทยามีโอกาสป่วยมากเทียบกับเด็กอื่นถ้าได้รับไข้หวัดใหญ่ ภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่อาจแตกต่างกันและสำหรับเด็กบางคนอาจรวมปอดบวมและถึงเสียชีวิตได้"

เอ็มอาร์ไอแสดงสมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่

ภาวะทางประสาทวิทยารวมถึง:

  • ความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง
  • อัมพาตสมองใหญ่
  • โรคลมชัก
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • ความพิการทางปัญญา
  • พัฒนาการล่าช้าระดับปานกลางถึงรุนแรง
  • โรคกล้ามเนื้อเจริญผิดเพี้ยน
  • การบาดเจ็บของไขสันหลัง

ภาวะเหล่านี้สามารถขัดขวางการไอ การกลืน การทำให้ทางเดินหายใจโล่ง และในกรณีเลวร้ายที่สุด การหายใจ ฉะนั้นจึงทำให้อาการของไข้หวัดใหญ่เลวลง[162]

สมองอักเสบเป็นภาวะที่พบน้อยแต่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน และสามารถเกิดได้ในผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีอาการสับสนและพูดไม่ช้ด

ระบาดวิทยา

การผันแปรตามฤดูกาล

พื้นที่เสี่ยงตามฤดูกาลสำหรับไข้หวัดใหญ่: พฤศจิกายน–เมษายน (สีน้ำเงิน), เมษายน–พฤศจิกายน (แดง) และตลอดปี (สีเหลือง)

ไข้หวัดใหญ่มีความชุกสูงสุดในฤดูหนาว และเนื่องจากซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ตรงกับฤดูหนาวต่างเวลากัน ปีหนึ่งจึงมีฤดูไข้หวัดใหญ่สองฤดู เป็นเหตุให้องค์การอนามัยโลก (ซึ่งมีศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติสนับสนุน) ออกคำแนะนำสำหรับสูตรวัคซีนสองคำแนะนำแยกกันทุกปี คือให้ซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้[116]

ปริศนาที่มีมานานมีอยู่ว่าเหตุใดการระบาดของไข้หวัดใหญ่จึงเกิดตามฤดูกาลไม่ใช่เกิดเท่ากันตลอดปี มีคำอธิบายทีเ่ป็นไปได้อย่างหนึ่งว่าบุคคลอยู่ในอาคารมากขึ้นระหว่างฤดูหนาว จึงอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นบ่อยครั้งขึ้น และส่งเสริมการแพร่เชื้อจากบุคคลสู่บุคคล การท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากฤดูวันหยุดฤดูหนาวในซีกโลกเหนือก็อาจมีบทบาท[163] อีกปัจจัยหนึ่งได้แก่อุณหภูมิเย็นนำไปสู่อากาศแห้ง ซึ่งอาจทำให้อนุภาคเมือกเสียน้ำ อนุภาคแห้งเบากว่าและสามารถอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานานขึ้น ไวรัสยังอยู่รอดนานกว่าบนพื้นผิวที่อุณหภูมิเย็นกว่าและการแพร่เชื้อด้วยละอองฝอยของไวรัสเกิดสูงสุดในสิ่งแวดล้อมเย็น (ต่ำกว่า 5 °ซ) ซึ่งมีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ[164] ความชื้นในอากาศต่ำกว่าในฤดูหนาวดูเป็นสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อของไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในเขตอบอุ่น[165] [166]

การเปลี่ยนแปลงอัตราการติดเชื้อตามฤดูกาลยังพบในเขตร้อนด้วย และในบางประเทศมีอัตราการติดเชื้อสูงสุดระหว่างฤดูฝนเป็นหลัก[167] การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลในอัตราการสัมผัสจากภาคเรียน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในโรควัยเด็กอย่างอื่น เช่น โรคหัดและโรคไอกรน อาจมีบทบาทในโรคไข้หวัดใหญ่เช่นกัน ผลตามฤดูกาลเล็กน้อยเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วอาจมีการเสริมจากการพ้องแบบพลวัตกับวัฏจักรโรคจากภายใน[168] เอช5เอ็น1 ก็แสดงความผันแปรตามฤดูกาลทั้งในมนุษย์และสัตว์ปีก[169]

สมมติฐานอีกอย่างหนึ่งเพื่ออธิบายความผันแปรตามฤดูกาลในการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คือผลของระดับวิตามินดีที่มีต่อภูมิคุ้มกันต่อไวรัส[170] โรเจอร์ เอ็ดการ์ โฮป-ซิมป์สันเป็นผู้เสนอความคิดนี้ครั้งแรกในปี 1965[171] เขาเสนอว่าสาเหตุของการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ระหว่างฤดูหนาวอาจเชื่อมโยงกับการขึ้นลงตามฤดูกาลของวิตามินดี ซึ่งมีการผลิตในผิวหนังภายใต้อิทธิพลของการแผ่รังสียูวี ซึ่งสามารถอธิบายว่าเหตุใดไข้หวัดใหญ่เกิดในฤดูหนาวเป็นหลัก และระหว่างฤดูฝนในเขตร้อน เมื่อบุคคลอยู่ในอาคาร ไม่ได้รับแสงอาทิตย์และทำให้ระดับวิตามินดีลดลง

การระบาดและการแพร่กระจายของโรคระบาดทั่ว

ด้วยเหตุว่าไข้หวัดใหญ่เกิดจากไวรัสหลายชนิดและหลายสายพันธุ์ ในปีหนึ่ง ๆ บางสายพันธุ์จึงอาจตายไป ส่วนบางสายพันธุ์อาจก่อให้เกิดการระบาด และบางสายพันธุ์ยังสามารถก่อให้เกิดการระบาดทั่ว ตรงแบบ ในฤดูกาลไข้หวัดใหญ่สองฤดูกาลตามปกติในหนึ่งปี มีผู้ป่วยรุนแรงระหว่าง 3 ถึง 5 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 500,000 คนทั่วโลก[172] ซึ่งบางบทนิยามเป็นการระบาดของไข้หวัดใหญ่ประจำปี[173] แม้อุบัติการณ์ของไข้หวัดใหญ่สามารถผันแปรได้มากระหว่างปี แต่มีผู้เสียชีวิตประมาณ 36,000 คนและการรับเข้าโรงพยาบาลกว่า 200,000 ครั้งที่สัมพันธ์โดยตรงกับไข้หวัดใหญ่ทุกปีในสหรัฐ[174] [175] วิธีการหนึ่งในการคำนวณอัตราตายของไข้หวัดใหญ่ได้ผลว่ามีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยต่อปี 41,400 คนในสหรัฐระหว่างปี 1979 ถึง 2001[176] การคำนวณอีกวิธีหนึ่งที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ใช้ในปี 2010 รายงานพิสัยตั้งแต่ประมาณ 3,300 คนถึง 49,000 คนต่อปี[177]

เกิดการระบาดทั่วประมาณสามครั้งต่อศตวรรษ ซึ่งติดต่อประชากรของโลกเป็นจำนวนมาก และฆ่ามนุษย์หลายสิบล้านคน การศึกษาหนึ่งประมาณว่าถ้าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ที่มีศักยภาพก่อโรคคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ 1918 ปรากฏในปัจจุบัน จะทำให้มีผู้เสียชีวิตระหว่าง 50 ถึง 80 ล้านคน[178]

การเลื่อนหรือการรวมกันใหม่ของแอนติเจนสามารถส่งผลให้เกิดสายพันธุ์ใหม่และก่อโรคอย่างสูงของไข้หวัดใหญ่มนุษย์

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ใหม่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยการกลายพันธุ์หรือการรวมกันใหม่ (reassortment)[47] การกลายพันธุ์สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแอนติเจนฮีแม็กกลูตินินและนิวรามินิเดสบนผิวของไวรัส สิ่งนี้เรียกการเบี่ยงเบนแอนติเจน (antigenic drift) ซึ่งสร้างสายพันธุ์ที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ จนสายพันธุืหนึ่งวิวัฒนาการจนติดเชื้อบุคคลที่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ที่มีอยู่เดิม สายพันธุ์ใหม่นี้จะแทนที่สายพันธุ์เก่าเมื่อสายพันธุ์นั้นกวาดผ่านประชากรมนุษย์ ซึ่งมักก่อให้เกิดการระบาด[179] อย่างไรก็ดี เนื่องจากสายพันธุ์ที่ผลิตจากการเลื่อนจะยังคล้ายกับสายพันธุ์เก่ากว่าอย่างสมเหตุผล บางคนจึงมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้น ในทางตรงข้าม เมื่อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการรวมกันใหม่ จะได้แอนติเจนใหม่ทั้งหมด ตัวอย่างเช่นเมื่อมีการรวมกันใหม่ระหว่างสายพันธุ์นกและสายพันธุ์มนุษย์ สิ่งนี้เรียก การเลื่อนแอนติเจน (antigenic shift) หากไวรัสไข้หวัดใหญ่มนุษย์ผลิตแอนติเจนใหม่ทั้งหมด ทุกคนจะไวรับ และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะแพร่กระจายอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อให้เกิดการระบาดทั่ว[180] ในทางตรงข้ามกับแบบจำลองการระบาดทั่วที่อาศัยการเบี่ยงเบนและการเลื่อนแอนติเจน มีการเสนออีกแนวทางหนึ่งซึ่งการระบาดทั่วเป็นคาบนั้นเกิดจากอันตรกิริยาระหว่างสายพันธุ์ไวรัสบางชุดที่ประชากรมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงชุดภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง[181]

เวลาชั่วรุ่นสำหรับไข้หวัดใหญ่ (เวลาตั้งแต่การติดเชื้อสองครั้ง)สั้นมาก (2 วัน) จึงอธิบายว่าเหตุใดการระบาดของไข้หวัดใหญ่จึงเริ่มต้นและสิ้นสุดในเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน[182]

จากมุมมองของสาธารณสุข การระบาดของไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วและควบคุมยากมาก สายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดเชื้อมาก และปัจเจกบุคคลที่ติดเชื้อจะแพร่เชื้อให้แก่ปัจเจกบุคคลอีกหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น (จำนวนการสืบพันธุ์พื้นฐานสำหรับไข้หวัดใหญ่อยู่ที่ประมาณ 1.4) อย่างไรก็ดี เวลาชั่วรุ่นสำหรับไข้หวัดใหญ่สั้นมาก หรือเวลาตั้งแต่บุคคลติดเชื้อจนถึงเมื่อเขาแพร่เชื้อให้แก่บุคคลถัดไป กินเวลาเพียง 2 วัน เวลาชั่วรุ่นที่สั้นนี้หมายความว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่ปกติสูงสุดที่เวลา 2 เดือนและหมดไปหลัง 3 เดือน จึงต้องรีบตัดสินใจแทรกแซงในการระบาดของไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ต้น และฉะนั้นการตัดสินใจจึงมักตั้งอยู่บนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ อีกปัญหาหนึ่งคือปัจเจกบุคคลสามารถแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ก่อนมีอาการ ซึ่งหมายความว่าการกักกันบุคคลหลังมีอาการป่วยไม่ใช่การแทรกแซงทางสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ[182] สำหรับบุคคลทั่วไป การกระจายไวรัสมักสูงสุดในวันที่ 2 แต่อาการจะสูงสุดในวันที่ 3[17]

ประวัติศาสตร์

ศัพทมูลวิทยา

คำว่า ไข้หวัดใหญ่ (influenza) มาจากภาษาอิตาลีหมายถึง "อิทธิพล" (influence) และหมายถึงสาเหตุของโรค ซึ่งเดิมทีเชื่อว่าเกิดจากอิทธิพลทางโหราศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวย มีการนำมาใช้ในภาษาอังกฤษในกลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ระหว่างการระบาดทั่วทวีปยุโรป[183] คำโบราณสำหรับไข้หวัดใหญ่เช่น epidemic catarrh, la grippe[184] การป่วยเหงื่อออก (sweating sickness) และ ไข้สเปน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสายพันธุ์การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ปี 1918) [185]

การระบาดทั่ว

กราฟแสดงการเสียชีวิตต่อ 100,000 ประชากรในแต่ละกลุ่มอายุในสหรัฐระหว่างปี 1911–1917 (เส้นประ) และปีระบาดทั่ว 1918 (เส้นทึบ) [186] แสดงข้อแตกต่างระหว่างการกระจายของอายุเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ระหว่างการระบาดปี 1918 และการระบาดปกติ
กล้องและจอถ่ายภาพความร้อน ซึ่งถ่ายจากอาคารสนามบินในประเทศกรีซระหว่างการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ปี 2009 การถ่ายภาพความร้อนตรวจจับอุณหภูมิกายที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการแสดงหนึ่งของไข้หวัดใหญ่หมู

ฮิปพอคราทีสอธิบายอาการของไข้หวัดใหญ่มนุษย์อย่างชัดเจนเมื่อประมาณ 2,400 ปีก่อน[187] [188] แม้ว่าไวรัสดังกล่าวดูเหมือนก่อให้เกิดการระบาดตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ข้อมูลประวัติศาสตร์ของไข้หวัดใหญ่ตีความได้ยาก เพราะอาการสามารถคล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่นได้[189] [190] โรคนี้อาจแพร่กระจายจากทวีปยุโรปไปทวีปอเมริกาตั้งแต่การทำให้ทวีปอเมริกาเป็นอาณานิคมของยุโรป เนื่องจากประชากรพื้นเมืองเกือบทั้งหมดของแอนทิลลิสเสียชีวิตจากการระบาดที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในปี 1493 หลังคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินทางถึง[191] [192]

บันทึกที่น่าเชื่อครั้งแรกของไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่วคือการระบาดในปี 1580 ซึ่งเริ่มต้นในประเทศรัสเซียแล้วกระจายไปทวีปยุโรปผ่านทวีปแอฟริกา ในกรุงโรม มีผู้เสียชีวิตกว่า 8,000 คน และประชากรในนครของสเปนหลายแห่งเสียชีวิตเกือบทั้งหมด การระบาดทั่วดำเนินไปเป็นระยะตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 โดยมีการระบาดทั่วปี 1830–1833 ที่กว้างขวางเป็นพิเศษ ซึ่งติดเชื้อประชากรที่สัมผัสประมาณหนึ่งในสี่[190]

การระบาดครั้งที่มีชื่อเสียงที่สุดและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดได้แก่ การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ปี 1918 (ไข้หวัดใหญ่สเปน) (ไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ ประเภทย่อยเอช1เอ็น1) ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี 1918 ถึง 1919 ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามียอดผู้เสียชีวิตเท่าใด แต่ค่าประมาณอยู่ระหว่าง 50 ถึง 100 ล้านคน[186] [193] [194] มีการอธิบายการระบาดทั่วนี้ว่าเป็น "ภัยพิบัติทางการแพทย์ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์" และอาจฆ่าคนได้มากเท่าแบล็กเดท[190] ยอดผู้เสียชีวิตสูงขนาดนี้เกิดจากอัตราการติดเชื้อที่สูงอย่างยิ่งมากถึง 50% และอาการรุนแรงสุดขั้ว ที่ไวรับต่อพายุไซโทไคน์[194] อาการในปี 1918 ผิดปกติเสียจนทีแรกไข้หวัดใหญ่วินิจฉัยผิดเป็นไข้เด็งกี อหิวาตกโรคหรือไทฟอยด์ ผู้สังเกตคนหนึ่งเขียนว่า "ภาวะแทรกซ้อนที่เตะตาที่สุดอย่างหนึ่งคือเลือดออกจากเยื่อเมือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากจมูก กระเพาะอาหารและลำไส้ เลือดออกจากหูและจุดเลือดออกในผิวหนังก็พบได้"[193] การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากปอดบวมแบคทีเรีย ซึ่งเป็นการติดเชื้อทุติยภูมิที่เกิดจากไข้หวัดใหญ่ แต่ไวรัสยังฆ่ามนุษย์โดยตรงได้ โดยทำให้เกิดเลือดออกปริมาณมากและอาการบวมน้ำในปอด[195]

การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ปี 1918 เป็นการระบาดทั่วโลกอย่างแท้จริง โดยแพร่กระจายไปถึงอาร์กติกและหมู่เกาะแปซิฟิกอันห่างไกล ครั้งนั้นโรคทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตระหว่าง 2 ถึง 20% ตรงข้ามกับอัตราตายของไข้หวัดใหญ่ระบาดตามปกติ 0.1%[186] [193] ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของการระบาดนี้คือผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ตอนต้น โดยการเสียชีวิตจากการะบาดของไข้หวัดใหญ่ 99% เกิดในบุคคลอายุต่ำกว่า 65 ปี และกว่าครึ่งเป็นผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี[196] นับเป็นสิ่งผิดปกติเพราะปกติไข้หวัดใหญ่มีอัตราตายสูงสุดในเด็กอ่อน (อายุต่ำกว่า 2 ปี) และผู้สูงอายุมาก (อายุเกิน 70 ปี) ไม่ทราบอัตราตายของการระบาดปี 1918–1919 แน่ชัด แต่ประเมินว่ามีประชากรโลกเสียชีวิตะระหว่าง 2.5% ถึง 5% ของประชากรโลก ใน 25 สัปดาห์แรก มีผู้เสียชีวิตมากถึง 25 ล้านคน ในทางตรงกันข้าม เอชไอวี/เอดส์มีผู้เสียชีวิต 25 ล้านใน 25 ปีแรก [193]

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเวลาต่อมาไม่มีผลทำลายล้างขนาดนั้นแล้ว ซึ่งรวมไข้หวัดใหญ่เอเชียปี 1957 (ชนิดเอ สายพันธุ์เอช2เอ็น2) และไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงปี 1968 (ชนิดเอ สายพันธุ์เอช3เอ็น2) แต่แม้การระบาดขนาดย่อมกว่านี้ก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายล้านคนได้ ในการระบาดทั่วต่อมา มียาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อทุติยภูมิ และอาจช่วยลดอัตราตายเมื่อเทียบกับไข้หวัดใหญ่สเปนปี 1918[186]

การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ที่ทราบ[12] [68] [190]
ชื่อการระบาดทั่ว วันที่ การเสียชีวิต อัตราตายของผู้ป่วย ประเภทย่อยที่เกี่ยวข้อง ดัชนีความรุนแรงของการระบาด
การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ 1889–1890 (ไข้หวัดใหญ่เอเชียติกหรือรัสเซีย) 1889–1890 1 ล้าน 0.15% อาจเป็น H3N8 หรือ H2N2 N / A
การระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ปี 1918 (ไข้หว้ดใหญ่สเปน)
[197]
1918–1920 20 ถึง 100 ล้าน 2% H1N1 5
ไข้หวัดเอเชีย 1957–1958 1 ถึง 1.5 ล้าน 0.13% H2N2 2
ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 1968–1969 0.75 ถึง 1 ล้าน <0.1% H3N2 2
ไข้หวัดรัสเซีย 1977–1978 ไม่มีบันทึกแม่นยำ N/A H1N1 N / A
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 [198] 2009–2010 105,700–395,600 [199] 0.03% H1N1 N / A

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดแรกที่แยกได้มาจากสัตว์ปีก เมื่อในปี 1901 เชื้อก่อโรคชื่อ "กาฬโรคสัตว์ปีก" ผ่านตัวกรองเชมเบอร์แลน ซึ่งมีรูเล็กจนแบคทีเรียผ่านไม่ได้[200] มีการค้นพบสาเหตุของไข้หวัดใหญ่ คือไวรัสวงศ์ Orthomyxoviridae ครั้งแรกในหมูโดยริชาร์ด โชปในปี 1931[201] ไม่นานมีการแยกไวรัสจากมนุษย์โดยกลุ่มที่มีแพทริก เลดลอว์เป็นหัวห้นา ณ สภาวิจัยการแพทย์แห่งสหราชอาณาจักรในปี 1933[202] อย่างไรก็ตาม กว่าจะเข้าใจสภาพไม่ใช่เซลล์ของไวรัสก็ล่วงมาจนเวนเดล สแตนลีย์ทำให้ไวรัสโมเซกยาสูบเป็นผลึกในปี 1935

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดหลักในมนุษย์ สี่เหลี่ยมทับแสดงการปรากฏสายพันธุ์ใหม่ ทำให้เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ซ้ำ ๆ เส้นประแสดงการระบุสายพันธุ์ที่ไม่แน่ชัด[203]

ก้าวสำคัญก้าวแรกในการป้องกันไข้หวัดใหญ่มีการพัฒนาวัคซีนชนิดไวรัสตายในปี 1944 โดยทอมัส ฟรานซิส จูเนียร์ ซึ่งต่อยอดจากงานของแฟรงก์ แม็กฟาร์ลีน เบอร์เน็ตชาวออสเตรเลีย ผู้แสดงว่าไวรัสเสียศักยภาพก่อโรคเมื่อเพาะเลี้ยงในไข่ไก่ที่ปฏิสนธิแล้ว[204] การประยุกต์ใช้การสังเกตนี้โดยฟรานซิสทำให้กลุ่มนักวิจัยของเขาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นครั้งแรกด้วยการสนับสนุนของกองทัพสหรัฐ[205] กองทัพเข้าร่วมการวิจัยนี้เพราะประสบการณ์ไข้หวัดใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งกำลังพลหลายพันนายเสียชีวิตจากไวรัสในเวลาไม่กี่เดือน[193] เมื่อเทียบกับวัคซีนแล้ว การพัฒนายาต้านไข้หวัดใหญ่ช้ากว่า โดยมีการจดสิทธิบัตรอะแมนตาดีนในปี 1966 และอีกเกือบสามสิบปีต่อมา กำลังมีการพัฒนายากลุ่มใหม่ (ตัวยับยั้งนิวรามินิเดส)[206]

สังคมและวัฒนธรรม

ไข้หวัดใหญ่มีราคาโดยตรงเนื่องจากการเสียผลิตภาพและการรักษาทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนราคาโดยอ้อมของมาตรการป้องกัน ในสหรัฐ ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลมีประเมินว่าส่งผลให้มีราคาทางเศรษฐกิจต่อปีเฉลี่ยกว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นราคาทางการแพทย์ดดยตรงกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี[207] มีการประเมินว่าการระบาดทั่วในอนาคตอาจทำให้ราคาโดยตรงและโดยอ้อมสูงถึงหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ[208] อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจของการระบาดทั่วในอดีตอย่างเข้มข้น และผู้ประพันธ์บางคนเสนอว่าไข้หวัดใหญ่สเปนอาจมีผลกระทบระยะยาวเป็นบวกต่อการเติบโตของรายได้ต่อหัว แม้มีการลดลงของประชากรทำงานและผลภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรงระยะสั้น[209] การศึกษาอื่นพยายามทำนายราคาของการระบาดทั่วที่รุนแรงเท่ากับไข้หวัดใหญ่สเปนปี 1918 ต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งคนงาน 30% ป่วย และเสียชีวิต 2.5% อัตราป่วย 30% และการเจ็บป่วยนานสามสัปดาห์จะลดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 5% ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอาจมาจากการรักษษทางการแพทย์ประชากร 18 ถึง 45 ล้านคน จะคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจทั้งสิ้นประมาณ 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[210]

มูลค่าป้องกันยังสูงด้วย รัฐบาลทั่วโลกใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเตรียมการและวางแผนการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่นกเอช5เอ็น1 โดยค่าใช้จ่ายที่สัมพันธ์กับการซื้อยาและวัคซีนตลอดจนการพัฒนาการฝึกภัยพิบัติและยุทธศาสตร์สำหรับการควบคุมชายแดนปรับปรุง[211] เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2005 ประธานาธิบดีสหรัฐ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช เปิดยุทธศาสตร์แห่งชาติสำหรับพิทักษ์อันตรายของไข้หวัดใหญ่ระบาดทั่ว[208] ซึ่งสนับสนุนโดยคำร้องต่อรัฐสภาเป็นเงิน 7.1 พันล้านดอลลาร์เพื่อเริ่มต้นนำแผนไปปฏิบัติ[212] ในระดับสากล วันที่ 18 มกราคม 2006 ชาติผู้บริจาคให้คำมั่นว่าจะใช้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อต่อสู้กับไข้หวัดใหญ่นกในการประชุมจำนำระหว่างประเทศว่าด้วยไข้หวัดใหญ่นกและมนุษย์ที่จัดในประเทศจีน[213]

ในการประเมินผลการระบาดทั่วของเอช1เอ็น1 ปี 2009 ในบางประเทศซีกโลกใต้ ข้อมูลชี้ว่าทุกประเทศมีผลจำกัดด้วยเวลา และ/หรือ การแยกทางภูมิศาสตร์ ผลทางสังคมและเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวลดลงชั่วคราวอันเนื่องจากความกลัวโรคเอช1เอ็น1 ปี 2009 ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าการระบาดทั่วของเอช1เอ็น1 ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจระยะยาว[214]

การวิจัย

นักวิจัยกำลังตรวจสอบการสร้างใหม่ของไวรัสไข้หวัดใหญ่สเปนปี 1918 ที่เพาะในห้องปฏิบัติการในสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยชีวภาพระดับ 3

การวิจัยเรื่องไข้หวัดใหญ่รวมการศึกษาวิทยาไวรัสโมเลกุล พยาธิกำเนิด การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของตัวถูกเบียน จีโนมิกส์ไวรัส และวิทยาการระบาด การศึกษาเหล่านี้ช่วยพัฒนามาตรการตอบโต้ไข้หวัดใหญ่ ตัวอย่างเช่น ความเข้าใจระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ดีขึ้นช่วยพัฒนาวัคซีน และภาพรายละเอียดวิธีที่ไข้หวัดใหญ่บุกรุกเซลล์ช่วยพัฒนายาต้านไวรัส โครงการวิจัยพื้นฐานหนึ่ง ได้แก่ โครงการเรียงลำดับจีโนมไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสร้างคลังลำดับไข้หวัดใหญ่ คลังนี้ช่วยทำให้ปัจจัยที่ทำให้สายพันธุ์ไวรัสหนึ่งมีอัตราตายมากกว่าสายพันธุ์อื่นกระจ่างมากขึ้น ยีนใดมีผลต่อการก่อกำเนิดภูมิคุ้มกันมากที่สุด และไวรัสวิวัฒนาการอย่างไรตามเวลา[215]

การวิจัยวัคซีนใหม่มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะวัคซีนปัจจุบันผลิตได้ช้ามากและมีราคาแพง และจำเป็นต้องมีการปรับสูตรใหม่ทุกปี การเรียงลำดับจีโนมไข้หวัดใหญ่และเทคโนโลยีดีเอ็นเอสายผสมอาจเร่งการก่อกำเนิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ทดแทนแอนติเจนใหม่เข้าสู่สายพันธุ์วัคซีนที่พัฒนาก่อนหน้านี้[216] นอกจากนี้ ปัจจุบันกำลังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพาะไวรัสในการเพาะเลี้ยงเซลล์ ซึ่งจะให้ผลมากกว่า ราคาถูกกว่า มีคุณภาพดีกว่า และมีสมรรถนะมากขึ้น[217] การวิจัยเรื่องวัคซีนไข้หวัดใหญ่เอสากล ซึ่งมุ่งเป้าโดเมนภายนอกของโปรตีนเอ็ม2 ข้ามเยื่อของไวรัส (M2e) อยู่ระหว่างดำเนินการที่มหาวิทยาลัยเกนต์โดยวัลเทอร์ เฟียส์, ซาเวียร์ เซเลนส์และคณะ[218] [219] [220] และปัจจุบันสิ้นสุดการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 สำเร็จแล้ว มีความสำเร็จในการวิจัยบ้างต่อ "วัคซีนไข้หวัดใหญ่สากล" ซึ่งผลิตแอนติบอดีต่อโปรตีนที่อยู่บนโค้ตไวรัสซึ่งกลายพันธุ์ช้ากว่า ฉะนั้นวัคซีนเข็มเดียวสามารถให้การป้องกันที่อยู่นานขึ้น[221] [222] [223]

ปัจจุบันกำลังมีการสอบสวนยาชีวภาพ (biologic) วัคซีนรักษาและยาชีวภาพภูมิคุ้มกัน (immunobiologic) สำหรับรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสจำนวนหนึ่ง ชีววิทยาการรักษาออกแบบมาให้ปลุกฤทธิ์การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อไวรัสหรือแอนติเจน ตรงแบบยาชีวภาพไม่มุ่งเป้าวิถีเมแทบอลิซึมอย่างยาต้านไวรัส แต่กระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันอย่างเม็ดเลือดขาว แมโครเฟจและ/หรือ เซลล์นำเสนอแอนติเจน (antigen presenting cell) ในความพยายามผลักดันการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อผลมีพิษต่อเซลล์ต่อไวรัส แบบจำลองไข้หวัดใหญ่ อย่างไข้หวัดใหญ่หนู เป็นแบบจำลองที่สะดวกเพื่อทดสอบผลของยาชีวภาพเพื่อป้องกันและรักษาโรค ตัวอย่างเช่น ยาปรับภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวที-เซลล์ (Lymphocyte T-Cell Immune Modulator) ยับยั้งการเจริญของไวรัสในแบบจำลองหนูของไข้หวัดใหญ่[224]

สัตว์อื่น

ไข้หวัดใหญ่ยังมีการติดเชื้อในสัตว์หลายชนิด และการถ่ายโอนสายพันธุ์ไวรัสระหว่างสัตว์ชนิดต่าง ๆ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ เชื่อว่านกเป็นสัตว์เก็บเชื้อหลักของไวรัสไข้หวัดใหญ่[225] มีการระบุฮีแม็กกลูตินินสิบหกแบบ และนิวรามินิเดสเก้าแบบ พบทุกชนิดย่อย (เอช_เอ็น_) ในนก แต่หลายชนิดย่อยพบประจำในมนุษย์ หมา ม้าและหมู อูฐบางส่วน เฟอร์เร็ต แมว แมวน้ำ มิงก์และวาฬยังแสดงหลักฐานของการติดเชื้อหรือการสัมผัสไข้หวัดใหญ่ก่อนหน้านี้ด้วย[53] ไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดต่าง ๆ บางทีได้ชื่อตามชนิดของสัตว์ที่พบประจำหรือมีการปรับตัว ชนิดหลักที่ได้ชื่อตามธรรมเนียมนี้ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่นก ไข้หวัดใหญ่มนุษย์ ไข้หวัดใหญ่หมู ไข้หวัดใหญ่ม้าและไข้หวัดใหญ่หมา (ปกติไข้หวัดใหญ่แมวหมายถึงเยื่อจมูกและท่อลมอักเสบจากไวรัสในแมว หรือคาลิซิไวรัสแมว และไม่ใช่การติดเชื้อจากไวรัสไข้หวัดใหญ่) ในหมู ม้าและหมา อาการของไข้หวัดใหญ่คล้ายกับมนุษย์ คือมีไอ ไข้และเบื่ออาหาร[53] ความถี่ของโรคสัตว์ยังมีการศึกษาไม่ดีเท่าการติดเชื้อในมนุษย์ แต่การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในแมวน้ำตามท่าเรือทำให้มีแมวน้ำตายประมาณ 500 ตัวนอกชายฝั่งนิวอิงแลนด์ในปี 1979–1980[226] อย่างไรก็ดี การระบาดในหมูพบทั่วไปและไม่ก่อให้เกิดการตายรุนแรง ยังมีการวัคซีนเพื่อป้องกันสัตว์ปีกจากไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก วัคซีนเหล่านี้มีประสิทธิภาพต่อไวรัสหลายสายพันธุ์ และใช้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกัน หรือรวมกับการฆ่าสัตว์ (culling) เพื่อพยายามกำจัดการระบาด[227]

ไข้หวัดใหญ่นก

อาการไข้หวัดใหญ่ในนกมีหลากหลายและอาจไม่จำเพาะ[228] อาการตามหลังการติดเชื้อด้วยไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกที่มีความสามารถก่อโรคต่ำอาจไม่รุนแรงอย่างขนฟู ผลิตไข่ลดลงเล็กน้อย หรือน้ำหนักลดร่วมกับโรคทางเดินหายใจเล็กน้อย[229] เนื่องจากอาการเบา ๆ เหล่านี้อาจทำให้การวินิจฉัยในสนามทำได้ยาก การติดตามการระบาดของไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกจึงต้องอาศัยการทดสอบทางห้องปฏิบัติการซึ่งตัวอย่างจากนกที่ติดเชื้อ บางสายพันธุ์อย่างเอช9เอ็น2 ในเอเชียมีศักยภาพก่อโรคสูงต่อสัตว์ปีก และอาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงและการตายสูง[230] ในรูปที่ก่อโรคสูงสุด ไข้หวัดใหญ่ในไก่และไก่งวงทำให้มีอาการรุนแรงที่ปรากฏเฉียบพลันและอัตราตายเกือบ 100% ภายในสองวัน[231] เมื่อไวรัสแพร่อย่างรวดเร็วในภาวะแออัดที่พบในการทำฟาร์มไก่และไก่งวงแบบเข้มข้น การระบาดเหล่านี้ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อเกษตรกรสัตว์ปีก

สายพันธุ์ก่อโรคสูงและปรับตัวในสัตว์ปีกเอช5เอ็น1 (เรียก HPAI A(H5N1) ย่อมาจาก "ไวรัสไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกก่อโรคสูงชนิดเอ ชนิดย่อยเอช5เอ็น1") ก่อโรคไข้หวัดใหญ่เอช5เอ็น1 หรือเรียกทั่วไปว่า "ไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก" หรือลำลองว่า "ไข้หวัดนก" พบประจำถิ่นในประชากรนกหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สายพันธุ์ HPAI A(H5N1) เชื้อสายเอเชียนี้กระจายไปทั่วโลก เป็นโรคระบาดในสัตว์และโรคระบาดทั่วในสัตว์ ทำให้มีนกตายหลายสิบล้านตัว และทำให้เกิดการฆ่านกอื่นหลายร้อยล้านตัวเพื่อพยายามควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส การพาดพิงในสื่อถึง "ไข้หวัดนก" ส่วนมากและการพาดพิงส่วนใหญ่ถึงเอช5เอ็น1 ก็เกี่ยวกับสายพันธุ์นี้โดยเฉพาะ[232] [233]

ปัจจุบัน HPAI A(H5N1) เป็นโรคสัตว์ปีกและไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการแพร่เชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ของ HPAI A(H5N1) อย่างมีประสิทธิภาพ ในผู้ป่วยเกือบทั้งหมดล้วนมีการสัมผัสทางกายอย่างมากต่อนกที่ป่วย[234] ในอนาคต เอช5เอ็น1 อาจกลายพันธุ์หรือรวมกันใหม่เป็นสายพันธุ์ที่สามารถแพร่เชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ การเปลี่ยนแปลงแน่ชัดที่จำเป็นต่อการเกิดเหตุการณ์ดังนี้ยังไม่เข้าใจดีนัก[235] อย่างไรก็ดี เนื่องจากอัตราตายสูงและศักยภาพก่อโรคของเอช5เอ็น1 การมีการระบาด และตัวถูกเบียนเก็บเชื้อชีวภาพที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ไวรัสเอช5เอ็น1 จึงเป็นภัยคุกคามโรคระบาดทั่วระหว่างฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ปี 2006–07 และมีการระดมเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐและใช้จ่ายเพื่อวิจัยเอช5เอ็น1 และการเตรียมการสำหรับการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น[211]

ผู้ตรวจชาวจีนบนเครื่องบินกำลังตรวจสอบผู้โดยสารหาไข้ ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของไข้หวัดใหญ่หมู

ในเดือนมีนาคม 2013 รัฐบาลจีนรายงานการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่เอช7เอ็น9 ในมนุษย์ 3 ราย ในจำนวนนี้สองคนเสียชีวิตและคนที่สามป่วยวิกฤต แม้ไม่เชื่อว่าไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวมีการแพร่กระจายอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างมนุษย์ด้วยกัน[236] [237] เมื่อถึงกลางเดือนเมษายน มีบุคคลอย่างน้อย 82 คนป่วยจากเอช7เอ็น9 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 17 คน ผู้ป่วยเหล่านี้ได้แก่กลุ่มครอบครัวขนาดเล็กสามกลุ่มในเซี่ยงไฮ้และหนึ่งกลุ่มระหว่างเด็กหญิงและชายที่เป็นเพื่อนบ้านกันในกรุงปักกิ่ง ทำให้มีข้อสงสัยความเป็นไปได้ของการแพร่เชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ องค์การอนามัยโลกชี้ว่ากลุ่มหนึ่งมีผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยืนยันทางห้องปฏิบัติการสองคน และชี้ว่าไวรัสบางชนิดสามารถก่อให้เกิดการแพร่เชื้อจากมนุษย์สู่มนุษย์ภายใต้ภาวะการสัมผัสใกล้ชิด แต่ไม่แพร่เชื้อมากพอก่อให้เกิดการระบาดในชุมชนขนาดใหญ่[238] [239]

ไข้หวัดใหญ่หมู

ในหมู ไข้หวัดใหญ่หมูก่ออาการไข้ เซื่องซึม จาม ไอ หายใจลำบากและเบื่ออาหาร[240] ในบางกรณีการติดเชื้อสามารถทำให้แท้งได้ แม้อัตราตายตามปกติต่ำ แต่ไวรัสสามารถทำให้น้ำหนักลดและเติบโตไม่ดีได้ ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจต่อเกษตรกร[240] หมูที่ติดเชื้ออาจมีน้ำหนักตัวลดลงมากถึง 12 ปอนด์ในระยะเวลา 3 ถึง 4 สัปดาห์[240] การแพร่เชื้อโดยตรงของไวรัสไข้หวัดใหญ่จากหมูสู่มนุษย์เป็นไปได้บางครั้ง (เรียกว่าไข้หวัดใหญ่หมูรับจากสัตว์) ทั้งหมดแล้ว ทราบกันว่าเกิดผู้ป่วยมนุษย์ 50 คนนับแต่มีการระบุไวรัสในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 6 คน[241]

ในปี 2009 สายพันธุ์ไวรัสเอช1เอ็น1 ที่มีกำเนิดจากหมูที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ไข้หวัดใหญ่หมู" นั้นก่อให้เกิดการระบาดทั่วของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่ไม่มีหลักฐานว่าไวรัสพบเฉพาะในหมู หรือเป็นการแพร่เชื้อจากหมูสู่มนุษย์ แต่ไวรัสนั้นแพร่จากมนุษย์สู่มนุษย์[242] [243] สายพันธุืนี้เป็นการรวมกันใหม่ของเอช1เอ็น1 ที่ปกติพบแยกกัน ในมนุษย์ นกและหมู[244]

อ้างอิง

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "WHO2014" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Harr2012" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  3. 3.0 3.1 3.2 Jefferson T, Del Mar CB, Dooley L, และคณะ (2011). "Physical interventions to interrupt or reduce the spread of respiratory viruses" (PDF). Cochrane Database Syst Rev (7): CD006207. doi:10.1002/14651858.CD006207.pub4. PMID 21735402.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 "Key Facts about Influenza (Flu) & Flu Vaccine". cdc.gov. 9 September 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 December 2014. สืบค้นเมื่อ 26 November 2014. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "CDC2014Key" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  5. 5.0 5.1 {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  6. 6.0 6.1 "Types of Influenza Viruses Seasonal Influenza (Flu)". CDC (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 27 September 2017. สืบค้นเมื่อ 28 September 2018.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 Shuo Su; Xinliang Fu; Gairu Li; Fiona Kerlin; Michael Veit (25 August 2017). "Novel Influenza D virus: Epidemiology, pathology, evolution and biological characteristics". Virulence. 8 (8): 1580–91. doi:10.1080/21505594.2017.1365216. PMC 5810478. PMID 28812422. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "InfD2017" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  8. 8.0 8.1 8.2 Brankston G, Gitterman L, Hirji Z, Lemieux C, Gardam M (April 2007). "Transmission of influenza A in human beings". Lancet Infect Dis. 7 (4): 257–65. doi:10.1016/S1473-3099(07)70029-4. PMID 17376383. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Brankston2007" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 Michiels B, Van Puyenbroeck K, Verhoeven V, Vermeire E, Coenen S (2013). "The value of neuraminidase inhibitors for the prevention and treatment of seasonal influenza: a systematic review of systematic reviews". PLOS One. 8 (4): e60348. Bibcode:2013PLoSO...860348M. doi:10.1371/journal.pone.0060348. PMC 3614893. PMID 23565231. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Mich2013" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  10. 10.0 10.1 Ebell MH, Call M, Shinholser J (April 2013). "Effectiveness of oseltamivir in adults: a meta-analysis of published and unpublished clinical trials". Family Practice. 30 (2): 125–33. doi:10.1093/fampra/cms059. PMID 22997224. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Ebe2013" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  11. Somes MP, Turner RM, Dwyer LJ, Newall AT (May 2018). "Estimating the annual attack rate of seasonal influenza among unvaccinated individuals: A systematic review and meta-analysis". Vaccine. 36 (23): 3199–3207. doi:10.1016/j.vaccine.2018.04.063. PMID 29716771.
  12. 12.0 12.1 "Ten things you need to know about pandemic influenza". World Health Organization. 14 October 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 October 2009. สืบค้นเมื่อ 26 September 2009. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "TenThings" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  13. Chan, Margaret (11 June 2009). "World now at the start of 2009 influenza pandemic". World Health Organization. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 June 2009. สืบค้นเมื่อ 12 June 2009. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  14. Palmer SR (2011). Oxford textbook of zoonoses : biology, clinical practice, and public health control (2. ed.). Oxford u.a.: Oxford Univ. Press. p. 332. ISBN 978-0-19-857002-8.
  15. 15.0 15.1 15.2 15.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  16. Centers for Disease Control and Prevention > Influenza Symptoms Error in Webarchive template: Empty url. Retrieved 28 April 2009.
  17. 17.0 17.1 Time Lines of Infection and Disease in Human Influenza: A Review of Volunteer Challenge Studies Error in Webarchive template: Empty url., American Journal of Epidemiology, Carrat, Vergu, Ferguson, et al., 167 (7): 775–85, 2008. "... In almost all studies, participants were individually confined for 1 week ..." See especially Figure 5 which shows that virus shedding tends to peak on day 2 whereas symptoms tend to peak on day 3.
  18. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  19. 19.0 19.1 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  20. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  21. 21.0 21.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  22. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  23. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  24. 24.0 24.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  25. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  26. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  27. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  28. 28.0 28.1 28.2 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  29. Centers for Disease Control and Prevention. Lab Diagnosis of Influenza. Error in Webarchive template: Empty url. Retrieved 1 May 2009
  30. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  31. Hospitalized Patients with 2009 H1N1 Influenza in the United States, April–June 2009 Error in Webarchive template: Empty url., New England Journal of Medicine, Jain, Kamimoto, et al., 12 November 2009.
  32. Transcript of virtual press conference with Gregory Hartl, Spokesperson for H1N1, and Dr Nikki Shindo, Medical Officer, Global Influenza Programme, World Health Organization Error in Webarchive template: Empty url., 12 November 2009.
  33. Report Finds Swine Flu Has Killed 36 Children Error in Webarchive template: Empty url., New York Times, DENISE GRADY, 3 September 2009.
  34. 34.0 34.1 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  35. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  36. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  37. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  38. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  39. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  40. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  41. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  42. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  43. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  44. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  45. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  46. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  47. 47.0 47.1 47.2 47.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  48. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  49. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  50. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  51. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  52. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  53. 53.0 53.1 53.2 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  54. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  55. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  56. 56.0 56.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  57. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  58. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  59. International Committee on Taxonomy of Viruses descriptions of:Orthomyxoviridae, Influenzavirus B and Influenzavirus C
  60. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  61. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  62. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  63. 63.0 63.1 63.2 63.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  64. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  65. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  66. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  67. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  68. 68.0 68.1 68.2 68.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  69. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  70. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  71. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  72. 72.0 72.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  73. 73.0 73.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  74. Liu SL, Zhang ZL, Tian ZQ, Zhao HS, Liu H, Sun EZ, Xiao GF, Zhang W, Wang HZ, Pang DW (2011) Effectively and efficiently dissecting the infection of influenza virus by quantum dot-based single-particle tracking. ACS Nano
  75. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  76. 76.0 76.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  77. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  78. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  79. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  80. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  81. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  82. 82.0 82.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  83. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  84. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  85. 85.0 85.1 85.2 85.3 85.4 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  86. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  87. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  88. 88.0 88.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  89. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  90. 90.0 90.1 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help) p. 7
  91. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  92. 92.0 92.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  93. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  94. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  95. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  96. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  97. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  98. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  99. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  100. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  101. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  102. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  103. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  104. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  105. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  106. 106.0 106.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  107. 107.0 107.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  108. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  109. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  110. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  111. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  112. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  113. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  114. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  115. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  116. 116.0 116.1 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  117. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  118. Key Facts about Influenza (Flu) Vaccine Error in Webarchive template: Empty url. CDC publication. Published 17 October 2006. Retrieved 18 October 2006.
  119. Questions & Answers: Flu Shot Error in Webarchive template: Empty url. CDC publication updated 24 July 2006. Retrieved 19 October 2006.
  120. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  121. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  122. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  123. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  124. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  125. Centers for Disease Control and Prevention: "QUESTIONS & ANSWERS: Novel H1N1 Flu (Swine Flu) and You" Error in Webarchive template: Empty url.. Retrieved 15 December 2009.
  126. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  127. 127.0 127.1 127.2 127.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  128. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  129. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  130. Interim Guidance for the Use of Masks to Control Influenza Transmission Error in Webarchive template: Empty url. Coordinating Center for Infectious Diseases (CCID) 8 August 2005
  131. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  132. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  133. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  134. 134.0 134.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  135. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  136. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  137. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  138. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  139. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  140. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  141. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  142. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  143. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  144. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  145. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  146. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  147. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  148. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  149. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  150. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  151. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  152. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  153. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  154. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  155. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  156. People at High Risk of Developing Flu–Related Complications Error in Webarchive template: Empty url. CDC publication. Published 26 August 2016. Retrieved 20 March 2017.
  157. 157.0 157.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  158. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  159. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  160. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  161. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  162. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  163. Weather and the Flu Season Error in Webarchive template: Empty url. NPR Day to Day, 17 December 2003. Retrieved, 19 October 2006
  164. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  165. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  166. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  167. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  168. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  169. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  170. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  171. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  172. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  173. Influenza Error in Webarchive template: Empty url. WHO Fact sheet No. 211 revised March 2003. Retrieved 22 October 2006.
  174. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  175. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  176. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  177. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  178. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  179. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  180. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  181. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  182. 182.0 182.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  183. Influenza, The Oxford English Dictionary, second edition.
  184. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  185. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  186. 186.0 186.1 186.2 186.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  187. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  188. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  189. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  190. 190.0 190.1 190.2 190.3 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  191. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  192. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  193. 193.0 193.1 193.2 193.3 193.4 {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  194. 194.0 194.1 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  195. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  196. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  197. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  198. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  199. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  200. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  201. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  202. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  203. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  204. "Sir Frank Macfarlane Burnet: Biography" Error in Webarchive template: Empty url.. The Nobel Foundation. Retrieved 22 October 2006.
  205. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  206. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  207. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  208. 208.0 208.1 {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  209. Brainerd, E. and M. Siegler (2003), "The Economic Effects of the 1918 Influenza Epidemic", CEPR Discussion Paper, no. 3791.
  210. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  211. 211.0 211.1 {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  212. Bush Outlines $7 Billion Pandemic Flu Preparedness Plan US Mission to the EU. Retrieved 12 December 2009.
  213. Donor Nations Pledge $1.85 Billion to Combat Bird Flu Error in Webarchive template: Empty url. Newswire Retrieved 26 October 2006.
  214. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  215. Influenza A Virus Genome Project Error in Webarchive template: Empty url. at The Institute of Genomic Research. Retrieved 19 October 2006
  216. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  217. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  218. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  219. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  220. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  221. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  222. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  223. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  224. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  225. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  226. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  227. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  228. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  229. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  230. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  231. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  232. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  233. {{cite book}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  234. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  235. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  236. 2 Men in China Die of Lesser-Known Strain of Bird Flu Error in Webarchive template: Empty url., New York Times, DAVID BARBOZA, 31 March 2013.
  237. H7N9 avian influenza human infections in China Error in Webarchive template: Empty url., World Health Organization, 1 April 2013. "... So far no further cases have been identified among the 88 identified contacts under follow up."
  238. Deadly Bird Flu Spreading in China, Unclear How Error in Webarchive template: Empty url., ABC News, Katie Moisse, 18 April 2013.
  239. Background and summary of human infection with influenza A(H7N9) virus – as of 5 April 2013 Error in Webarchive template: Empty url., World Health Organization.
  240. 240.0 240.1 240.2 {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  241. {{cite journal}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  242. {{cite web}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  243. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)
  244. {{cite news}}: Citation ว่างเปล่า (help)

อ่านเพิ่มเติม

แหล่งข้อมูลอื่น