ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลัทธิมากซ์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Thastp (คุย | ส่วนร่วม)
Thastp (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 102: บรรทัด 102:
}}</ref><ref>{{cite book
}}</ref><ref>{{cite book
|last1=Alvarado |first1=Manuel
|last1=Alvarado |first1=Manuel
|author-link1=Manuel Alvarado
|last2=Gutch |first2=Robin |last3=Wollen |first3=Tana
|last2=Gutch |first2=Robin |last3=Wollen |first3=Tana
|date=1987
|date=1987
บรรทัด 108: บรรทัด 107:
|publisher=Palgrave Macmillan
|publisher=Palgrave Macmillan
|pages=62, 76
|pages=62, 76
|doi=10.1007/978-1-349-18681-5
|isbn=9781349186815
|url=https://link.springer.com/book/10.1007/978-1-349-18681-5
|url-access=subscription
}}</ref> [[ปรัชญาแนวมากซ์|ปรัชญา]], [[รัฐศาสตร์]], [[เศรษฐศาสตร์การเมือง]], [[ลัทธิมากซ์-ฟร็อยท์|จิตวิทยา]] (Freudo-Marxism), [[วิทยาศาสตร์ศึกษา]] (science studies),<ref>{{cite journal
}}</ref> [[ปรัชญาแนวมากซ์|ปรัชญา]], [[รัฐศาสตร์]], [[เศรษฐศาสตร์การเมือง]], [[ลัทธิมากซ์-ฟร็อยท์|จิตวิทยา]] (Freudo-Marxism), [[วิทยาศาสตร์ศึกษา]] (science studies),<ref>{{cite journal
|last1=Sheehan |first1=Helena
|last1=Sheehan |first1=Helena

รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:51, 10 กุมภาพันธ์ 2566

ลัทธิมากซ์ (อังกฤษ: Marxism) หรือมักใช้ทับศัพท์ว่า มาร์กซิสม์[1] เป็นวิธีวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์สังคมวิทยาแบบฝ่ายซ้ายถึงซ้ายจัด[2][3][4] ที่ใช้การตีความพัฒนาการทางประวัติศาสตร์แบบวัตถุนิยม ซึ่งเป็นเป็นที่รู้จักในชื่อวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (historical materialism) เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ทางชนชั้นและความขัดแย้งทางสังคม (social conflict) และใช้มุมมองแบบวิภาษวิธีในการพิจารณาการแปลงสภาพทางสังคม (social transformation) มันถือกำเนิดจากงานเขียนของคาร์ล มาคส์ และฟรีดริช เอ็งเงิลส์ นักปรัชญาชาวเยอรมันสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อเวลาผ่านไปลัทธิมากซ์พัฒนาเป็นหลายแขนงและสำนักคิด ไม่มีทฤษฎีมาร์กซิสต์ (Marxist philosophy) ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งที่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นที่สิ้นสุด[5]

ตามทฤษฎีลัทธิมากซ์ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นเกิดในสังคมทุนนิยมอันเนื่องจากความขัดกันระหว่างผลประโยชน์ทางวัตถุของชนกรรมาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ซึ่งรับค่าจ้างผลิตสินค้าและบริการ กับชนชั้นกระฎุมพี ประชากรส่วนน้อยซึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและเอาความมั่งคั่งมาจากการจัดสรรมูลค่าส่วนเกิน (กำไร) ที่ชนกรรมาชีพผลิต การต่อสู้ระหว่างชนชั้นนี้ซึ่งมักแสดงออกมาเป็นการกบฏของกำลังการผลิตของสังคม (productive forces) ต่อความสัมพันธ์การผลิตของสังคม (relations of production) ส่งผลให้เกิดวิกฤติระยะสั้นเมื่อชนชั้นกระฎุมพีประสบความลำบากในการจัดการความแปลกแยกของแรงงาน (Marx's theory of alienation) ที่ทวีความรุนแรงขึ้นของชนกรรมาชีพ วิกฤตนี้จะลงเอยด้วยการปฏิวัติของชนกรรมาชีพและการสถาปนาสังคมนิยม ซึ่งเป็นระบบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ให้สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่กระจายให้แต่ละคนตามการมีส่วนร่วม และการผลิตที่จัดระเบียบโดยตรงสำหรับการใช้สอย เมื่อกำลังการผลิตก้าวหน้าขึ้น มากซ์ตั้งสมมติฐานว่าสังคมนิยมในท้ายที่สุดจะแปลงเป็นสังคมคอมมิวนิสต์

สำนักคิดต่าง ๆ นอกจากจะเน้นและดัดแปลงแง่มุมบางอย่างของลัทธิมากซ์คลาสสิก (classical marxism) แล้ว แนวคิดแนวมากซ์ถูกนำไปรวมและปรับใช้ในหลากหลายทฤษฎีทางสังคม (social theory) ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปที่แตกต่างหลากหลาย[6] พร้อมกับบทวิพากษ์ทางเศรษฐศาสตร์การเมือง (critique of political economy) ของมากซ์ ลักษณะต่าง ๆ ที่ให้นิยามลัทธิมากซ์มักถูกเรียกในชื่อวัตถุนิยมวิภาษวิธี (dialectical materialism) และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ทว่าศัพท์เหล่านี้ถูกบัญญัติขึ้นหลังมากซ์เสียชีวิตแล้ว และหลักการของมันถูกตั้งคำถามจากผู้ที่ระบุตนว่าเป็นมาร์กซิสต์บางคน

ลัทธิมากซ์ได้สร้างผลกระทบต่อวงการวิชาการทั่วโลกอย่างลุ่มลึก และส่งอิทธิพลต่อหลากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นมานุษยวิทยา,[7][8] โบราณคดี (Marxist archaeology), ทฤษฎีศิลปะ (Marxist aesthetics), อาชญาวิทยา (Marxist criminology), วัฒนธรรมศึกษา (cultural studies), เศรษฐศาสตร์, การศึกษา,[9] จริยศาสตร์ (Marxist ethics), ทฤษฎีภาพยนตร์ (Marxist film theory), ภูมิศาสตร์ (geography),[10] ประวัติศาสตร์นิพนธ์ (Marxist historiography), วรรณคดีวิจารณ์ (Marxist literary criticism), สื่อมวลชนศึกษา (media studies),[11][12] ปรัชญา, รัฐศาสตร์, เศรษฐศาสตร์การเมือง, จิตวิทยา (Freudo-Marxism), วิทยาศาสตร์ศึกษา (science studies),[13] สังคมวิทยา (Marxist sociology), การผังเมืองและการละคร

ประวัติ

คาร์ล มาคส์ และฟรีดริช เอ็งเงิลส์

ฟรีดริช เอ็งเงิลส์ เมื่อ ค.ศ. 1877

มาคส์ได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากสามแหล่งหลัก ๆ ปรัชญาจิตนิยมเยอรมัน (German idealism) สังคมนิยมฝรั่งเศส (French Left) และเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบอังกฤษและสกอตแลนด์ (classical economics)[14][15][16] มาคส์สนใจเป็นพิเศษในความแปลกแยกจากพลังแรงงานของตนเองของชนชั้นแรงงาน[17] เขาเขียนถึงประเด็นความแปลกแยกนี้อย่างมาก[18] มาคส์เริ่มต้นด้วยแนวคิดแบบเฮเกิลเรื่องความแปลกแยกและพัฒนามันกลายเป็นแนวคิดที่เป็นวัตถุนิยมยิ่งขึ้น[17] มาคส์วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ด้วยการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ซึ่งสามารถสรุปได้ด้วยบรรทัดแรก ๆ ของแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (ค.ศ. 1848) ว่า "ประวัติศาสตร์ของสังคมที่ดำรงอยู่ตราบจนบัดนี้ทั้งสิ้นคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ระหว่างชนชั้น"[19] มาคส์ยังอธิบายถึงการขูดรีดแรงงาน วิถีการผลิตแบบทุนนิยม และวัตถุนิยมประวัติศาสตร์

มาคส์และเอ็งเงิลส์ร่วมกันพัฒนาทฤษฎีคอมมิวนิสต์ขึ้นมา ทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรกที่สำนักงานของหนังสือพิมพ์ไรนิชเชอไซทุง (Rheinische Zeitung) ที่มาคส์ทำงานอยู่[20] และพบกันเป็นครั้งที่สองที่ปารีสใน ค.ศ. 1844 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของทั้งสอง[21] พวกเขาร่วมกันเขียนวิพากษ์แนวคิดของบรูโน เบาเออร์ (Bruno Bauer) และกลุ่มนิยมเฮเกิลรุ่นใหม่ (young hegelians) ในงานชื่อ Die heilige Familie (The Holy Family (book))[22] ใน ค.ศ. 1845 มาคส์ถูกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสในขณะนั้นเนรเทศออกจากประเทศด้วยแรงกดดันจากปรัสเซีย ทั้งสองจึงลี้ภัยไปประเทศเบลเยียมโดยต้องเงื่อนไขว่าจะไม่เผยแพร่งานเขียนที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองร่วมสมัย[23] ที่นั่น ทั้งสองพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกคน ฟีลิป ฌีโก (Philippe Gigot) ได้ก่อตั้ง Kommunistisches Korrespondenz-Komitee (Communist Correspondence Committee "คณะกรรมการสัมพันธ์คอมมิวนิสต์") เพื่อประสานสัมพันธ์คอมมิวนิสต์ในทวีปยุโรป โดยใน ค.ศ. 1846 ได้ก่อตั้งศูนย์ประสานงานในหลายประเทศและเขียนจดหมายเวียนส่งหากัน[24]

ใน ค.ศ. 1847 มาคส์และเอ็งเงิลส์เริ่มเขียนแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ โดยได้รับอิทธิพลจากฉบับร่าง Grundsätze des Kommunismus (The Principles of Communism "หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์") ของเอ็งเงิลส์[25][26] และตีพิมพ์ออกมาใน ค.ศ. 1848 มาคส์และเอ็งเงิลส์เดินทางกลับเยอรมันทันทีภายหลังจากการปฏิวัติเยอรมัน ค.ศ. 1848 เริ่มขึ้น และร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์น็อยเออร์ไรนิชเชอไซทุง (Neue Rheinische Zeitung) ที่เมืองโคโลญกับสมาชิกแนวหน้าของสันนิบาตคอมมิวนิสต์ (communist league) ที่อาศัยอยู่ที่นั่น[27][28] ในขณะเดียวกัน จากมาตรการใหม่เพื่อขับไล่ฝ่ายซ้ายและนักปฏิวัติออกจากประเทศของคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์ฟรีดริช วิลเฮ็ล์มที่ 4[29] หนังสือพิมพ์น็อยเออร์ไรนิชเชอไซทุงจึงถูกปิด และมาคส์ถูกสั่งให้ออกจากประเทศ[30][31] มาคส์กลับมาที่ปารีส ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ในเมืองขับไล่เพราะถูกมองว่าเป็นอันตรายทางการเมือง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1849 เขาจึงลี้ภัยไปที่ลอนดอน[32][33]

หลังมาคส์เสียชีวิตไปใน ค.ศ. 1883 เอ็งเงิลส์จึงกลายเป็นผู้เรียบเรียงและผู้แปลงานเขียนของมาคส์ งานเขียนของเขา กำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินส่วนบุคคล และรัฐ (Origins of the Family, Private Property, and the State) (ค.ศ. 1884) ซึ่งวิเคราะห์ว่าการกดขี่ผู้หญิงโดยผู้ชายนั้นเกิดขึ้นมาพร้อมกับพัฒนาการของการมีคู่สมรสคนเดียว[34] เป็นส่วนสำคัญที่มีต่อทฤษฎีสตรีสิทธินิยม (feminist theory) และสตรีสิทธินิยมแนวมากซ์ (Marxist feminism)[35] และถูกเปรียบเทียบกับการกดขี่ชนชั้นแรงงานโดยชนชั้นนายทุน[36]

การปฏิวัติรัสเซียและสหภาพโซเวียต

วลาดีมีร์ เลนิน และโจเซฟ สตาลิน

ในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. 1917 ฝ่ายบอลเชวิคยึดอำนาจจากรัฐบาลชั่วคราวรัสเซีย พวกบอลเชวิคสถาปนารัฐสังคมนิยม (socialist state) แห่งแรกบนแนวคิดประชาธิปไตยแบบโซเวียตและลัทธิเลนิน รัฐที่เพิ่งก่อตั้งนี้ยุติการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งของรัสเซียและสถาปนารัฐกรรมกรปฏิวัติ (revolutionary worker's state) หลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคม รัฐบาลโซเวียตต่อสู้กับขบวนการขาว[37] และหลายขบวนการเอกราชในสงครามกลางเมืองรัสเซีย[38] ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ นโยบายสังคมนิยมต่าง ๆ และการพัฒนาแนวคิดสังคมนิยมแบบใหม่ ลัทธิมากซ์–เลนิน ได้เกิดขึ้นมา

ใน ค.ศ. 1919 รัฐบาลโซเวียตซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นมาได้ก่อตั้งคอมมิวนิสต์อะคาเดมี (Communist Academy) และสถาบันมาคส์-เอ็งเงิลส์-เลนิน (Marx–Engels–Lenin Institute) เพื่อศึกษาหลักการมาร์กซิสต์และเผยแพร่เอกสารวิจัยและอุดมการณ์ของทางการพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อเลนินเสียชีวิตไปใน ค.ศ. 1924 เกิดความขัดแย้งกันภายในขบวนการคอมมิวนิสต์โซเวียต ระหว่างโจเซฟ สตาลินและเลออน ทรอตสกี ในรูปแบบของกลุ่มค้านฝ่ายขวา (right opposition) และกลุ่มค้านฝ่ายซ้าย (left opposition) ตามลำดับ ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นจากการตีความทฤษฎีของมากซ์กับเลนินที่ต่างกันในบริบทขณะนั้นของสหภาพโซเวียต[39]

การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีน

ทฤษฎีของมาคส์ เอ็งเงิลส์ เลนิน และสตาลิน สามารถนำมาใช้ได้ในทุกแห่ง เรามิควรมองมันเป็นสิทธันต์ หากแต่เป็นแนวทางของการปฏิบัติ การศึกษามันมิใช่เพียงแต่เรียนรู้คำศัพท์และสำนวนต่าง ๆ หากแต่เป็นการเรียนรู้ลัทธิมากซ์-เลนินในฐานะวิทยาศาสตร์การปฏิวัติ มิใช่ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั่วไปต่าง ๆ ที่มาคส์ เอ็งเงิลส์ เลนิน และสตาลินได้หามาจากชีวิตจริงและประสบการณ์ปฏิวัติเท่านั้น แต่ศึกษาจุดยืนและวิธีการพิจารณาและแก้ไขปัญหาของพวกเขา

เหมา เจ๋อตง, คติพจน์จากประธานเหมา เจ๋อตง[40]

เมื่อสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามโลกครั้งที่สองโดยกว้างได้สิ้นสุดลง การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนเกิดขึ้นในบริบทของสงครามกลางเมืองจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1921 ขัดแย้งกับก๊กมินตั๋งในเรื่องอนาคตของประเทศ ตลอดสงครามกลางเมือง เหมา เจ๋อตง ได้พัฒนาทฤษฎีลัทธิมากซ์ที่เข้ากับบริบทของประวัติศาสตร์จีน เหมามีฐานสนับสนุนในวงกว้างจากชาวนาซึ่งแตกต่างจากการปฏิวัติรัสเซียที่มีฐานสนับสนุนหลักอยู่ในใจกลางเมืองในจักรวรรดิรัสเซีย แนวคิดสำคัญบางข้อจากเหมาเช่น ประชาธิปไตยใหม่ (new Democracy), แนวทางมวลชน (mass line) และสงครามประชาชน สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ได้รับการสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1949 รัฐสังคมนิยมแห่งใหม่นี้ตั้งบนฐานความคิดของมาคส์ เอ็งเงิลส์ เลนิน และสตาลิน[41][42]

นับแต่สตาลินเสียชีวิตจนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เกิดความขัดแย้งที่ทวีขึ้นระหว่างประเทศจีนกับสหภาพโซเวียต การล้มล้างอิทธิพลของสตาลินซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยของนีกีตา ครุชชอฟ และนโยบายเดต็องต์ถูกมองว่าเป็นลัทธิแก้ (Revisionism (Marxism)) และมาร์กซิสต์ไม่พอ การประชันหน้ากันทางอุดมการณ์นี้ได้เอ่อล้นกลายเป็นวิกฤตที่กว้างขึ้นในระดับโลกแวดล้อมประเด็นหลักว่าชาติใดที่จะเป็นผู้นำขบวนการสังคมนิยมในนานาชาติ[43]

หลังเหมาเสียชีวิตและเติ้ง เสี่ยวผิง ขึ้นสู่อำนาจ ลัทธิเหมาและลัทธิมากซ์ทางการของประเทศจีนได้รับการสังคายนาใหม่ ตัวแบบใหม่นี้เป็นลัทธิมากซ์-เลนินและลัทธิเหมาในรูปพลวัตในประเทศจีน มักถูกเรียกว่าสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน (socialism with Chinese characteristics) แนวทางใหม่นี้มีศูนย์กลางเป็นหลักการพื้นฐานสี่ประการ (Four Cardinal Principles) ของเติ้งซึ่งพยายามค้ำจุนบทบาทหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและค้ำจุนหลักการว่าประเทศจีนยังอยู่ในระบอบสังคมนิยมระยะต้น (primary stage of socialism) ที่ยังกำลังทำงานเพื่อสร้างสังคมคอมมิวนิสต์บนหลักการลัทธิมากซ์[44][45]

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20

ฟิเดล กัสโตร ที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ค.ศ. 1960

การปฏิวัติคิวบาเมื่อ ค.ศ. 1959 นำมาซึ่งชัยชนะของฝ่ายฟิเดล กัสโตร และขบวนการ 26 กรกฎาคม แม้ว่าจะไม่ได้ระบุเป็นการปฏิวัติสังคมนิยมอย่างชัดแจ้ง[46] ทว่าเมื่อชนะและขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว กัสโตรนำตัวแบบการพัฒนาสังคมนิยมของลัทธิเลนินมาใช้และร่วมเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต[47][48] เช เกบารา นักปฏิวัติมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินาหนึ่งในผู้นำของการปฏิวัติครั้งนั้น ต่อมาได้เดินทางไปช่วยเหลือขบวนการปฏิวัติสังคมนิยมในคองโก-กินชาซาและโบลิเวีย โดยในท้ายที่สุดถูกจับและฆ่าโดยหน่วยของ เฟลิกซ์ โรดริเกซ (Felix Rodriguez) เจ้าหน้าที่ซีไอเอชาวคิวบาตามคำสั่งของรัฐบาลโบลิเวีย แม้รัฐบาลสหรัฐมีความต้องการจับเป็นไว้สำหรับการสอบสวนเพิ่มเติม[49] หลังมรณกรรมเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก[50][51]

ในสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลลัทธิเหมาได้ดำเนินการปฏิวัติทางวัฒนธรรมตั้งแต่ ค.ศ. 1966 ถึง 1976 เพื่อขจัดล้างสังคมจีนให้สิ้นจากองค์ประกอบของทุนนิยมและเดินหน้าเข้าสู่สังคมนิยม เมื่อเหมา เจ๋อตง เสียชีวิต คู่แข่งของเขาเข้ายึดอำนาจการเมือง และภายใต้การนำของเติ้ง เสี่ยวผิง มีการแก้ไขใหม่หรือละทิ้ง (Boluan Fanzheng) นโยบายสมัยการปฏิวัติทางวัฒนธรรมของเหมาหลายข้อ และการโอนกิจการของรัฐบางส่วนไปเป็นของเอกชน

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และช่วงต้น 1990 เกิดการล่มสลายของรัฐสังคมนิยมส่วนใหญ่ซึ่งอ้างอุดมการณ์ลัทธิมากซ์–เลนิน ต่อมาในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และช่วงต้น 1980 อุดมการณ์ฝ่ายขวาใหม่ (New Right) และทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีสหรัฐโรนัลด์ เรแกน และนายกรัฐมนตรีอังกฤษมาร์กาเรต แทตเชอร์ ได้อุบัติกลายเป็นกระแสอุดมการณ์นำของการเมืองตะวันตกและนำพาให้ชาติตะวันตกมีท่าทีที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้นต่อสหภาพโซเวียตและพันธมิตรลัทธิเลนิน ระหว่างนั้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1985 นักปฏิรูปมีฮาอิล กอร์บาชอฟ ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตและพยายามละทิ้งตัวแบบการพัฒนาแบบลัทธิเลนินเพื่อแทนที่ด้วยประชาธิปไตยสังคมนิยม ในท้ายที่สุด การปฏิรูปของกอร์บาชอฟพร้อม ๆ กับประชานิยมชาตินิยมเชิงชาติพันธุ์ (ethnic nationalism) ที่กำลังเติบโตนำมาสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในช่วงปลาย ค.ศ. 1991 กลายเป็นรัฐชาติต่าง ๆ ทั้งหมดละทิ้งตัวแบบสู่สังคมนิยมแบบลัทธิมากซ์-เลนิน และส่วนใหญ่แปรสภาพเป็นเศรษฐกิจทุนนิยม[52]

การวิพากษ์ทุนนิยมของมากซ์

ภาพเขียนใน ค.ศ. 1911 สะท้อนการวิพากษ์ทุนนิยมของมากซ์ โดยแสดงให้เห็นว่าชนชั้นปกครองมีจำนวนน้อยทว่ากดขี่ขูดรีดชนชั้นล่างลงมาซึ่งมีจำนวนมากกว่า

อิทธิพลทางความคิดทั้ง 2 ส่วนแสดงให้เห็นใน ค.ศ. 1884 ผ่านหนังสือของมากซ์ชื่อ "เอกสารต้นฉบับทางเศรษฐศาสตร์ และปรัชญา (Economics and Philosophical Manuscript 1884)" ซึ่งมากซ์กล่าวถึงความทุกข์ทน 4 ชนิดของแรงงานแปลกแยก (four alienated labor suffocations) ที่เกิดขึ้นในยุคทุนนิยมอันได้แก่

  • ความทุกข์ทนจากผลิตผล (product) ที่ผู้ผลิตไม่ได้ใช้ผลผลิต
  • ความทุกข์ทนจากกระบวนการการผลิตที่ต้องทุกข์ทนทำงานหามรุ่งหามค่ำ (a torment productive activity)
  • ความทุกข์ทนจากสภาวะของการผลิตที่ไม่ได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ผลิต (humans produce blindly and not in accordance with their truly human powers)
  • ความทุกข์ทนจากการที่ต้องผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนมากกว่าเพื่อความพึงพอใจของมนุษย์ (the relation of exchange replaces the satisfaction of mutual need)

ซึ่งถือว่าเป็นการวิพากษ์ระบบคิดของสังคมทุนนิยมที่คิดแต่เรื่องของ กำไร – ขาดทุน, ค่าเช่า, การแลกเปลี่ยน, ค่าจ้าง ฯลฯ จากทฤษฎีดังกล่าวมากซ์จึงมองว่าในสังคมทุนนิยมนั้นแรงงานจึงเป็นผู้ถูกขูดรีด (the exploited) มูลค่าส่วนเกิน (surplus value) จากวิธีแห่งการผลิต (means of production) ให้ทำงานเกินความจำเป็น ในความคิดของมากซ์กระบวนการดังกล่าวนี้จะสร้างความกดดันให้กับโครงสร้างทางสังคม ทำให้เกิดชนชั้น (class) และนำไปสู่การปฏิวัติสังคมในที่สุด มากซ์มองว่าความคิดเป็นผลผลิตที่สะท้อนโดยตรงของวัตถุ ความคิดและวัตถุจึงสัมพันธ์กัน มากซ์มองว่าประวัติศาสตร์คือการต่อสู้ระหว่างชนชั้น (classes) ซึ่งหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์คือ ค้นหากฎซึ่งคุมพฤติกรรมของสังคมมนุษย์ และกฎที่คุมพฤติกรรมในอนาคตด้วย สำหรับมุมมองของมากซ์ในเรื่องดังกล่าวจึงสามารสรุปคร่าว ๆ ได้ว่าคือ [53]

  • รากฐานของประวัติศาสตร์คือการต่อสู้ระหว่างชนชั้น
  • เศรษฐกิจเป็นรากฐานของปรากฏการณ์ในสังคม

มากซ์ได้วิเคราะห์ไว้ในหนังสือชื่อ "ว่าด้วยทุน (Das Kapital)" ว่า รูปแบบการผลิตทุนนิยมบังคับให้กรรมกร (Labour) จำเป็นต้องขายแรงงานของตนเองในราคาถูกแก่นายทุน ดังนั้นกำไรของนายทุน แท้จริงแล้วเกิดจากการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากค่าแรงของกรรมาชีพ เพื่อกำไร ชนชั้นนายทุนจึงต้องพัฒนาเครื่องมือและวิธีการการผลิตให้ก้าวหน้าขึ้นตลอดเวลา ต้องขยายตลาดสินค้า แหล่งวัตถุดิบและกิจการไปทั่วโลก การผลิตแบบทุนนิยมนี้ได้ทำให้เกิดความปั่นป่วนและวิกฤตทางเศรษฐกิจแบบวัฏจักร นั่นคือการผลิตล้นเกิน ท่ามกลางโลกที่อดอยากขาดแคลน เพื่อแก้ไขวิกฤตการผลิตล้นเกิน และรักษาราคาของผลผลิตให้สูงกว่าต้นทุน จึงต้องทำลายผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด พยายามขยายตลาดใหม่และใช้ตลาดเก่าให้เป็นประโยชน์ ซึ่งผลสุดท้ายก็จะนำไปสู่วิกฤตรอบด้านที่รุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ความขัดแย้งทางชนชั้นในสังคมรุนแรงขึ้นจนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมในที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าว มากซ์เห็นว่า สิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมทุนนิยมนั้นเป็นจริงเฉพาะกับผู้ที่มีทรัพย์สิน ไม่ใช่สำหรับกรรมาชีพและคนยากจน การที่มนุษย์ถูกทำให้ยอมรับว่ามีความรวยหรือความจนนั้นมากซ์เรียกว่าจิตสำนึกหลอกลวงและจอมปลอม (False Conciousness)

จิตสำนึกหลอกลวงและจอมปลอมกำหนดพฤติกรรมในสังคมมนุษย์ให้ถูกครอบงำโดยปัจจัยในการผลิต คือ ทุน, เครื่องมือ และที่ดิน ที่สำคัญคือ แรงงานเป็นตัวกำหนด และผลักดัน ซึ่งส่งผลให้เกิดชนชั้นทางสังคม มากซ์เรียกความคิดเหล่านี้ว่า "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์" (historical materialism) โดยมีตรรกะดังนี้[54]

  • ทุกสิ่งเป็นไปตามกฎของวิภาษวิธีของเฮเกิล ดังนั้น
  • ทุกสิ่งย่อมมีการสูญสลาย และย่อมมีสิ่งเกิดใหม่ ประวัติศาสตร์ของสังคมเป็นวิวัฒนาการของการต่อสู้ทางชนชั้น
  • การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ ในเชิงปริมาณ ย่อมก่อให้เกิดคุณภาพ ในทางวัตถุ คือ สภาวะ ในทางสังคม คือการปฏิวัติ
  • ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกฎ 3 ข้อ ข้างต้น
  • มนุษย์ที่สมบูรณ์ (ในสังคมคอมมิวนิสต์) คือผู้ที่มีจิตสำนึกต่อสังคม เพราะได้รับการพัฒนา และวิวัฒนาการทางความคิด และวัตถุมาอย่างยาวนาน

วิวัฒนาการของสังคมแนวลัทธิมากซ์

การที่มากซ์มองว่าในสังคมทุนนิยมนั้นแรงงานจึงเป็นผู้ถูกขูดรีดมูลค่าส่วนเกินวิธีแห่งการผลิตอันนำไปสู่การสร้างความกดดันให้กับโครงสร้างทางสังคม และนำไปสู่การปฏิวัติสังคมในที่สุดนั้น มากซ์ไม่ได้อธิบายไว้อย่างเป็นรูปธรรม ในส่วนนี้เองเงิลส์จึงอธิบายความคิดเครื่องวิวัฒนาการของสังคมในความคิดของมากซ์ว่า สังคมของมากซ์มีวิวัฒนาการด้วยกัน 6 ขั้น คือ[55]

  • สังคมคอมมิวนิสต์โบราณ (primitive communism) เป็นสังคมโบราณของมนุษย์ที่มีลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
  • สังคมทาส (slave society) เป็นวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการที่มนุษย์เริ่มร่วมกันสร้างสังคมในลักษณะของเมือง
  • สังคมศักดินา (feudalism) เป็นวิวัฒนาการขั้นที่สามซึ่งมนุษย์เริ่มจัดการให้เกิดการปกครองที่เป็นระบบขึ้นโดยผู้ปกครองมักเป็นอภิสิทธิ์ชน (aristocracy) ในอีกด้านหนึ่งก็เกิดลักษณะทุนนิยมขึ้นบ้าง
  • สังคมทุนนิยม (capitalism) เป็นวิวัฒนการของสังคมที่ผู้ปกครองคือพวกผู้สะสมทุน (capitalists) ที่เป็นนายจ้างและเจ้าของกิจการ ที่มักเป็นชนชั้นกลาง (bourgeois)
  • สังคมสังคมนิยม (socialism) เป็นวิวัฒนาการที่เกิดจากการปฏิวัติทางสังคมของชนชั้นกรรมาชีพผู้ที่ถูกขูดรีด (proletariat) ให้กลายมาเป็นผู้ปกครองแบบ "เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ" (diktatur des proletariats) และมีการพิจารณาวิธีแห่งการผลิตใหม่เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่วิวัฒนาการขั้นสุดท้าย
  • สังคมคอมมิวนิสม์ (communism) เป็นวิวัฒนาการทางสังคมสูงสุดของมนุษย์ ที่สังคมสามารถกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามใจปรารถนาโดยมีมีเพียงความรับผิดชอบต่อตนเอง และชุมชนโดยรวม

ลัทธิมากซ์ในปัจจุบัน

ทฤษฎีของลัทธิมากซ์ ได้รับการยึดถือ แปลความ และวิพากษ์วิจารณ์ จากบรรดานักวิชาการ นักการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาล องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งประชาชนจำนวนมาก และเรียกทฤษฎีสังคมนิยมของมากซ์ว่า ลัทธิมากซ์[56]นับตั้งแต่ทฤษฎีนี้ ได้กำเนิดขึ้นตลอดมา ตราบจนถึงปัจจุบัน จนกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีที่ได้รับการพูดถึงและอ้างอิงมากที่สุดทฤษฎีหนึ่ง ไม่ว่าจากฝ่ายที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม

นับจากที่ได้กำเนิดขึ้นในกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้มีคนนำลัทธิมากซ์ไปใช้เป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้ในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ

  • กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่เชื่อมั่นในลัทธิมากซ์แบบดั้งเดิม และนำลัทธิมากซ์ ไปประยุกต์ใช้ โดยเน้นถึงความถูกต้องตรงตามทฤษฎีอย่างเคร่งครัด พวกนี้จะเรียกตนเองว่าเป็นนักลัทธิมากซ์ และกล่าวหากลุ่มที่สองว่าเป็นพวกลัทธิแก้
  • กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มคนที่เห็นว่า ทฤษฎีบางส่วนของลัทธิมากซ์ ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว แต่ทฤษฎีบางส่วนของลัทธิมากซ์ ยังคงถูกต้องและสามารถใช้ได้จึงนำเอาเฉพาะส่วนที่ยังใช้ได้ไปประยุกต์ใช้ตามมุมมองของกลุ่มตน โดยไม่ยึดถือทฤษฎีลัทธิมากซ์ดั้งเดิมอย่างเคร่งครัดเหมือนกลุ่มแรก แต่ยังเรียกกลุ่มตนว่าเป็นนักลัทธิมากซ์
  • กลุ่มที่สาม คือ กลุ่มคนที่ไม่ได้เชื่อถือในทฤษฎีลัทธิมากซ์ แต่นำเฉพาะแนวคิดหรือข้อเขียนบางส่วนที่ตรงกับแนวคิดของตน มาใช้อ้างอิงในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง หรือทางอื่น ๆ เช่น ข้อเขียนของทอฟเลอร์ ซึ่งถือว่าเป็นนักอนาคตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐ

ตระกูลทางความคิดต่าง ๆ ของลัทธิมากซ์

1. ลัทธิมากซ์โบราณ (Orthodox Marxism หรือ Old School Marxism) ลัทธิมากซ์โบราณคือกลุ่มนักวิชาการที่ยึดถือทฤษฎีของมากซ์อย่างเคร่งครัด

2. ลัทธิมากซ์ในรัสเซีย : ลัทธิเลนิน (Leninism), ลัทธิสตาลิน (Stalinism) และลัทธิตรอตสกี (Trotskyism)

3. ลัทธิเหมา (Maoism)

4. มากซ์สายใหม่หรือนีโอมากซิสม์ (Neo-Marxism) มากซ์สายใหม่เป็นสกุลทางความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยยังยึดโยงทางความคิดเข้ากับความคิดของมากซ์ไว้ โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าสังคมและวัฒนธรรมมักจะมีความขัดแย้งและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเสมอ ผลของการเปลี่ยนแปลงมักจะเป็นสภาวะใหม่ที่แตกต่างจากภาวะเดิม รวมถึงเชื่อว่าสังคมมนุษย์นั้นมีความไม่เท่าเทียมกัน อำนาจการชี้นำ และครอบงำสังคมยกอยู่ในมือกลุ่มคนส่วนน้อย

ในส่วนที่มากซ์สายใหม่มองต่างไปจากมากซ์โบราณ คือในเรื่องเครื่องมือหรือเงื่อนไขของการครอบงำ ดังนี้

  • ขณะที่มากซ์สายเดิมมองว่าเครื่องมือหรือเงื่อนไขดังกล่าวคืออำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นลักษณะการครอบงำโดยตรง และการต่อสู้ทางชนชั้นก็ต่อสู้โดยตรงเช่นกัน ชนชั้นกรรมมาชีพที่ต่างมีสำนึกทางชนชั้นร่วมกัน โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อต้องการปฏิวัติสังคมอย่างถอนรากถอนโคน เพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่ปราศจากชนชั้น สังคมแห่งความเท่าเทียมกัน หรือสังคมคอมมิวนิสต์
  • มากซ์สายใหม่จะมองว่าเครื่องมือ หรือเงื่อนไขของการครอบงำนั้น คืออุดมการณ์ทางการเมือง อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรมหรือความรู้ โดยมีลักษณะการครอบงำทางอ้อม และการต่อสู้ทางชนชั้นก็ต่อสู้โดยทางอ้อมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพลังขับเคลื่อนผ่านกลุ่มตัวแทนสังคมต่าง ๆ กลุ่มประชาสังคม กลุ่มเครือข่าย โดยมีเป้าหมายพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปสังคมสู่สังคมที่มีความยุติธรรม อย่างค่อยเป็นค่อยไป [57]

มากซ์สายใหม่ยังแยกย่อยอีกเป็นหลายตระกูล แต่ก็มักเรียกขานแยกต่างหากกันไป อาทิ มากซ์สายใหม่ที่เน้นศึกษาวัฒนธรรมได้แก่นักปรัชญามากซ์สายใหม่ในมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ทในเยอรมนี ก็จะเรียกขานว่านักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ท หรือนักปรัชญามากซ์สายใหม่ในมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมก็จะเรียกขานว่านักคิดสายเบอร์มิงแฮม เป็นต้น แต่อย่างไรเสียอิทธิพลความคิดของนักทฤษฎีมากซ์สายใหม่นั้นก็สามารถลากโยงไปถึงความคิดของนักการเมืองชาวอิตาลีที่ชื่อว่า อันโตนีโอ กรัมชี

5. ลัทธิมากซ์เชิงโครงสร้าง (the Structural Marxism) หลุยส์ อัลธูแซร์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนาความคิดของมากซ์ และมากซ์สายใหม่ของกรัมชี่ผนวกเข้ากับทฤษฎีสังคมศาสตร์ตระกูลโครงสร้างนิยม โดยมองว่ารัฐนั้นเป็นข้ารับใช้ของระบอบทุนนิยม และชนชั้นนายทุน ชนชั้นนายทุนมีอำนาจสั่งการรัฐโดยตรง อำนาจรัฐกับอำนาจของทุนจึงเป็นสิ่งเดียวกัน จากกระบวนการดังกล่าวรัฐจึงทำหน้าที่ตอบสนองต่อทุน ในการโอบอุ้มช่วยเหลือนายทุนมากกว่าตอบสนอง และโอบอุ้มสังคม รัฐกระทำการดังกล่าวผ่านนโยบายสาธารณะ, กฎหมาย และระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปตามที่นายทุนต้องการ

สำหรับอาลตูว์แซร์อุดมการณ์มีฐานะเป็นโครงสร้างส่วนบนที่มีบทบาทในการกำหนดให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับโครงสร้างส่วนล่าง อุดมการณ์จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเอกภาพและต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องคุ้นชินเรื่องปกติธรรมดาไป

อาลตูว์แซร์มองว่าอุดมการณ์เป็นเครื่องมือในการสร้าง, สืบสาน และผลิตซ้ำให้กับสังคม อุดมการณ์จึงต้องถูกผลิตซ้ำผ่านการปลูกฝังบ่มเพาะให้กับสมาชิกในสังคม โดยการถูกฝึกฝนให้ยอมรับต่อกฎเกณฑ์ของระบบที่ดำรงอยู่ การผลิตซ้ำความสัมพันธ์ทางการผลิตนี้ถูกกระทำขึ้นอย่างมั่นคงโดยการใช้อำนาจรัฐผ่านกลไกหรือสถาบันซึ่งรวมกันเป็นรัฐ อุดมการณ์จึงเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐ โดยรัฐใช้อุดมการณ์เพื่อผลประโยชน์ดังกล่าวสิ่งที่อัลธูแซร์เรียกว่ากลไกของรัฐ (the state apparatus) โดย อาลตูว์แซร์แบ่งออกเป็นสองแบบ คือ

  • กลไกของรัฐที่มีลักษณะกดบังคับ (repressive state apparatus) ได้แก่ รัฐบาล ทหาร ตำรวจ ศาล คุก กลไกของรัฐในลักษณะแรกนี้ปฏิบัติการโดยการบังคับใช้ความรุนแรง
  • กลไกของรัฐในเชิงอุดมการณ์ (ideological state apparatus) ซึ่งได้แก่ ศาสนา โรงเรียน ครอบครัว ระบบกฎหมาย พรรคการเมือง สหภาพแรงงาน และเครือข่ายการสื่อสาร กลไกของรัฐแบบที่สองนี้ปฏิบัติการณ์ผ่านการสร้างอุดมการณ์ให้กับสมาชิกในสังคม[58]

6. สำนักวัฒนธรรมศึกษาเบอร์มิงแฮม (The Birmingham School of The Cultural Studies)

นักทฤษฎีสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามที่จะข้ามพ้นวิธีคิดแบบเศรษฐกิจกำหนดวัฒนธรรมในฐานะที่วัฒนธรรมเป็นโครงสร้างส่วนบนแบบลัทธิมากซ์โบราณมาสู่ความเข้าใจวัฒนธรรมในฐานะที่เป็น "การกระทำ" (action) ที่เกี่ยวพันกับเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งนี้โดยเอามนุษย์เป็นแกนกลางในการศึกษา (human agency) มากกว่าจะศึกษาเพียงแค่สภาวะที่กำหนดพฤติกรรมมนุษย์ (condition) กับผลที่ตามมาจากการถูกกำหนด (outcome) หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือนักทฤษฎีสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามเข้าใจการเกิดขึ้นของวัฒนธรรม (the making of culture) ในรายละเอียด มากกว่าศึกษาแค่ว่าอะไรเป็นตัวกำหนดวัฒนธรรมแต่เพียงเท่านั้น โดยสรุป นักคิดสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยพยายามที่จะหาส่วนผสมผสานระหว่างแนวคิดว่าวัฒนธรรมนั้นถูกกำหนดโดยพลังในระดับโครงสร้างต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์ และวัฒนธรรมนั้นมีอิสระโดยตัวเอง ซึ่งการผสมผสานดังกล่าวนั้นสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยได้รับแรงบันดาลใจจากงานของกรัมชี่[59]

งานเขียนของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษานั้นเน้นการศึกษาชีวิตจริงของผู้คนในแง่มุมต่าง ๆ อาทิ เรื่องการศึกษา เรื่องวัฒนธรรมวัยรุ่น เรื่องสื่อมวลชน อาทิ โฆษณา และโทรทัศน์ ดังนั้น หัวใจสำคัญของการศึกษาของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยนั้นจึงอยู่ที่การประกาศจุดยืนทางอุดมการณ์ของตัวเองอย่างชัดเจนในเบื้องแรกว่า ยึดถือและศรัทธาในงานของมากซ์ แต่ก็เสนอว่าที่ผ่านมานั้นยังไม่มีทฤษฎีในเรื่องของอุดมการณ์ที่เป็นที่พอใจและหนทางที่จะได้ทฤษฎีอุดมการณ์ที่น่าพอใจนั้นก็คือการผสมผสานการถกเถียงทางทฤษฎีเข้ากับการศึกษากรณีรูปธรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในการทำการค้นหา "ความสัมพันธ์ที่แท้จริง (real relations)" กับ "รูปแบบที่ปรากฏออกมา (phenomenal form)" ซึ่งในหลายกรณีนั้นรูปแบบที่ปรากฏออกมานั้นก็ทำให้เราลุ่มหลงอยู่กับมัน และเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นจริงแท้

สำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษานั้นจึงเสนอว่า การศึกษาเรื่องอุดมการณ์นั้นเป็นส่วนสำคัญในการศึกษา "วัฒนธรรม" โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดต่าง ๆ สถาบันต่าง ๆ และบริบททางสังคม ทฤษฎีของสำนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษามีอิทธิพลในการศึกษาเรื่องของการสื่อสารและสื่อมวลชนกับมิติทางการเมืองโดยเฉพาะในอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา โดยเฉพาะงานเขียนของสจวร์ต ฮอลล์ นักสังคมวิทยาชาวสหราชอาณาจักรที่มีอิทธิพลอย่างสูงอยู่ในวงวิชาการในศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมร่วมสมัยที่มหาวิทยาลัย เบอร์มิงแฮม (Center of Contemporary Cultural Studies ; CCCS) หรือที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่า "ตระกูลนักคิดสายเบอร์มิงแฮม (the Birmingham school)" โดยฮอลล์ เสนอว่า คำว่าอุดมการณ์นั้นไม่เคยเป็นคำที่มีความเป็นกลางทางการเมือง และแม้จะมีการให้ความหมายว่า อุดมการณ์คือ "ชุดของความคิดที่มีความเป็นระบบ" แต่วิธีการอธิบายเช่นนี้ก็มีลักษณะที่เน้นการพรรณาความ มากกว่าการวิเคราะห์ ดังนั้น แม้ว่าคำว่าอุดมการณ์ทางการเมืองจะมีความเกี่ยวข้องกับคำว่า "ความคิด" แต่ในขณะเดียวกันความคิดนั้นไม่ใช่ตัวอุดมการณ์ทั้งหมด อุดมการณ์จึงมีการซ่อนแอบความหมายอยู่ด้วย และเป็นหน้าที่ของนักวัฒนธรรมร่วมสมัยศึกษาที่จะต้องค้นหาให้ได้ว่าอะไรคือรากฐานหรือธรรมชาติของการบังคับหรือเป็นที่มาของการที่บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องของความคิดซึ่งเข้ามากำหนดส่วนที่เป็นความคิด[60]

นักคิดสายเบอร์มิงแฮมใช้รากฐานทางทฤษฎีของฮอลล์มาใช้เชิงวิพากษ์วัฒนธรรมผ่านการวิเคราะห์ การตีความ การวิจารณ์นวัตกรรมทางวัฒนธรรม โดยรวมแล้วนักคิดสายเบอร์มิงแฮมมองว่าวัฒนธรรมเป็นรากฐานของการแปรรูปทางสังคม (social reformation) โดยสังคมมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นลำดับชั้น และเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกัน ทั้งในเรื่องชนชั้น ความเป็นเพศ เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และความเป็นชาติ นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจึงมุ่งศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจของพลังที่ครอบงำ และการต่อต้านในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง รวมถึงปฏิเสธ การจัดระบบแบบลำดับชั้นสูงต่ำ (hierarchical stratification) ของวัฒนธรรม นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจะเชื่อว่าวัฒนธรรมนั้นต่างมีความสำคัญต่อกันในระดับระนาบ (horizontal) ผู้รับสื่อเป็นผู้กระทำ (active audience) เพราะเป็นผู้สร้างความหมายต่าง ๆ และยังผลิตซ้ำวัฒนธรรมดังกล่าวด้วย นักคิดสายเบอร์มิงแฮมจะพุ่งประเด็นศึกษาว่าผู้รับสื่อตีความและแปรความหมายวัฒนธรรมที่ได้รับจากสื่ออย่างไร รวมถึงวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้รับสารตอบสนองต่อสื่อแตกต่างกันไป

ในช่วงทศวรรษที่ 1970 นักคิดสายเบอร์มิงแฮมเริ่มให้ความสนใจกับวัฒนธรรมย่อยของกลุ่มวัยรุ่น เพื่อต่อต้านการครอบงำของระบบทุนนิยมในรูปแบบต่าง ๆ วัฒนธรรมวัยรุ่นจึงถูกมองในฐานะรูปแบบวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นผลสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ประเด็นเรื่องอัตลักษณ์, ความแตกต่างหลากหลาย, การครอบงำทางวัฒนธรรม ฯลฯ ผ่าน การแต่งกาย แฟชั่น พฤติกรรม และอุดมการณ์ทางการเมือง และที่สำคัญการเกิดขึ้นของ "วัฒนธรรมย่อย (sub culture)" ที่ต่อต้านรูปแบบวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่ครอบงำนั้นเกิดขึ้น หรือสามารถถูกเข้าใจได้อย่างไร[61]

7. สำนักคิดแฟรงก์เฟิร์ต (The Frankfürt School)

เป็นกลุ่มนักวิชาการในสถาบันวิจัยทางสังคมแห่งมหาวิทยาลัยแฟรงก์เฟิร์ต (Institution of Social Research, Johann Wolfgang von Goethe-University of Frankfurt) โดยการนำของมักซ์ ฮอคไฮม์เมอร์, ธีโอดอร์ อดอร์โน, , เฮอร์เบิร์ท มาคูเซอ และวอลเตอร์ เบนญามิน ที่เริ่มมีการศึกษาเชิงวิพากษ์ (critical theory) ในประเด็นทางวัฒนธรรมอาทิ เศรษฐศาสตร์การเมืองของสื่อ, การวิเคราะห์วัฒนธรรม, การวิเคราะห์การรับสารในทางอุดมการณ์ เป็นต้น นักวิชาการกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักในนามนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ท (The Frankfürt School) ซึ่งก็คือชื่อสถาบันที่นักวิชาการกลุ่มนี้สังกัดนั่นเอง

นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทจะปฏิเสธทฤษฎีลัทธิมากซ์ในส่วนที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยวิพาก์ว่าให้ความสำคัญต่อส่วนนี้มากเกินไปจนละเลยมิติอื่นไปเสียหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรม นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทจึงให้ความสำคัญกับมิติด้านวัฒนธรรม ความคิด จิตสำนึก และอุดมการณ์ ประเด็นที่นักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทให้ความสนใจคือการที่สื่อทำให้ "วัฒนธรรม" แปรสภาพมาเป็น "สินค้า" หรือในภาษาของนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ททำให้ทุกอย่างกลายเป็น "วัฒนธรรมสำหรับคนหมู่มาก (mass culture) กล่าวคือมีการผลิตวัฒนธรรมเพื่อกำไร ซึ่งนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทเห็นว่าเป็นการทำลายคุณค่าทางวัฒนธรรม ดังนั้นสำหรับนักคิดสายแฟรงก์เฟิร์ทวัฒนธรรมจึงไม่มีวัฒนธรรมชั้นสูง (hi-culture) หรือวัฒนธรรมชั้นล่าง (lo-culture) คงมีแต่เพียงวัฒนธรรมสำหรับคนหมู่มากที่ต่างถูกผลิตมาเพื่อตอบสนองความต้องการขายวัฒนธรรมในฐานะของสินค้า ที่คุณค่านั้นได้ถูกทำลายลงไปแล้วทั้งหมดเท่านั้น[62]

8. แนวคิดหลังลัทธิมากซ์ (Post-Marxism)

แนวคิดลัทธิมากซ์ แบบหลังโครงสร้างนิยม (Poststructuralist Marxism) หรือ ลัทธิมากซ์หลังสมัยใหม่ (Postmodern Marxism) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าหลังลัทธิมากซ์ (Post-Marxism) เป็นแนวคิดที่วางฐานอยู่บนการวิพากษ์แนวคิดลัทธิมากซ์เชิงโครงสร้างของอาลตูว์แซร์ และใช้ฐานคิดบางส่วนจากแนวคิดของมีแชล ฟูโก ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างแนวคิดหลังลัทธิมากซ์กับลัทธิมากซ์อื่น ๆ คือ แต่เดิมนั้นลัทธิมากซ์จะมองการต่อสู้ทางชนชั้นโดยวางฐานอยู่บนแนวคิดเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่แนวคิดหลังลัทธิมากซ์จะปฏิเสธมุมมองดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นมุมมองที่มีความคับแคบ แนวคิดหลังลัทธิมากซ์จะมองว่าการกดขี่ทางชนชั้นนั้นสามารถกล่าวรวมไปถึงเรื่องเพศ ชาติพันธุ์วรรณา เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ[63] อย่างไรก็ดีก็มีการกล่าววิจารณ์ว่าแม้แนวคิดหลังมาร์ซิสม์จะพยายามกล่าวว่าตนเองนั้นหันหลังให้กับลัทธิมากซ์ก็ตาม อย่างไรก็ดีนักคิดตระกูลนี้เองก็ยังหลงใหลในแนวทางการวิเคราะห์สังคมและการเมืองแบบมากซ์อยู่อย่างมากเช่นกัน[64]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "marxism". ศัพท์บัญญัติ ๔๐ สาขาวิชา สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. ปรัชญา
    ๑. มาร์กซิสม์, ลัทธิมากซ์
  2. "Left-wing / Right-wing". Marxists Internet Archive Encyclopedia. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 ธันวาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2022 – โดยทาง Marxists Internet Archive.
  3. "Radical left". Dictionary.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 ตุลาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2022. Radical left is a term that refers collectively to people who hold left-wing political views that are considered extreme, such as supporting or working to establish communism, Marxism, Maoism, socialism, anarchism, or other forms of anticapitalism. The radical left is sometimes called the far left.
  4. March, Luke (2009). "Contemporary Far Left Parties in Europe: From Marxism to the Mainstream?" (PDF). Internationale Politik und Gesellschaft. 1: 126–143. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 28 กันยายน 2022 – โดยทาง Friedrich Ebert Foundation.
  5. Wolff, Richard; Resnick, Stephen (1987). Economics: Marxian versus Neoclassical. Johns Hopkins University Press. p. 130. ISBN 978-0801834806. The German Marxists extended the theory to groups and issues Marx had barely touched. Marxian analyses of the legal system, of the social role of women, of foreign trade, of international rivalries among capitalist nations, and the role of parliamentary democracy in the transition to socialism drew animated debates ... Marxian theory (singular) gave way to Marxian theories (plural).
  6. Wolff, Richard D. (2003). "Marxist political economy: major contemporary varieties". ใน O'Hara, Phillip (บ.ก.). Encyclopedia of Political Economy. Vol. 2. Routledge. p. 107. ISBN 978-0415241878. Marxist political economists differ over their definitions of capitalism, socialism and communism. These differences are so fundamental, the arguments among differently persuaded Marxist political economists have sometimes been as intense as their oppositions to political economies that celebrate capitalism.
  7. O'Laughlin, B. (ตุลาคม 1975). "Marxist Approaches in Anthropology". Annual Review of Anthropology. 4 (1): 341–370. doi:10.1146/annurev.an.04.100175.002013. S2CID 2730688.
  8. Roseberry, William (21 ตุลาคม 1997). "Marx and Anthropology". Annual Review of Anthropology. 26 (1): 25–46. doi:10.1146/annurev.anthro.26.1.25.
  9. Malott, Curry; Ford, Derek (2015). Marx, capital, and education: towards a critical pedagogy of becoming. ISBN 978-1-4539-1602-5. OCLC 913956545.[ต้องการเลขหน้า]
  10. Mitchell, Don (2020). Mean streets: homelessness, public space, and the limits of capital. ISBN 978-0-8203-5691-4. OCLC 1151767935.[ต้องการเลขหน้า]
  11. Becker, Samuel L. (18 พฤษภาคม 2009). "Marxist approaches to media studies: The British experience". Critical Studies in Mass Communication. 1 (1): 66–80. doi:10.1080/15295038409360014.
  12. Alvarado, Manuel; Gutch, Robin; Wollen, Tana (1987). Learning the Media: Introduction to Media Teaching. Palgrave Macmillan. pp. 62, 76. doi:10.1007/978-1-349-18681-5. ISBN 9781349186815.
  13. Sheehan, Helena (กรกฎาคม 2007). "Marxism and Science Studies: A Sweep through the Decades". International Studies in the Philosophy of Science. 21 (2): 197–210. doi:10.1080/02698590701498126. S2CID 143737257. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2021. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2022.
  14. Schecter, Darrow. "Marx". The History of the Left from Marx to the Present. Bloomsbury Academic. doi:10.5040/9781501300776.ch-001. ISBN 978-1-5013-0077-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 มิถุนายน 2018. In terms of Marx’s prodigious output as a whole, it is often remarked that the system he develops is derived from three principal sources. These sources are German idealist philosophy (Kant, Hegel), French utopian socialism (Fourier, St Simon), and English and Scottish British political economy (Adam Smith, Adam Ferguson, Dugald Stewart and David Ricardo).
  15. Ormerod, R. J. (ธันวาคม 2008). "The History and Ideas of Marxism: The Relevance for OR". The Journal of the Operational Research Society. Palgrave Macmillan Journals. 59 (12): 1576. JSTOR 20202244. The major intellectual influences on Marx were Enlightenment ideas, German philosophy, the French socialists, and the English and Scottish political economists. Marx synthesized these to develop a new system of thought.
  16. Lenin 1974, p. 50. II. The Marxist Doctrine. "Marx was the genius who continued and consummated the three main ideological currents of the 19th century, as represented by the three most advanced countries of mankind: classical German philosophy, classical English political economy, and French socialism combined with French revolutionary doctrines in general."
  17. 17.0 17.1 Calhoun 2002, p. 22.
  18. Mészáros, István (2006). Marx's Theory of Alienation. Merlin Press. p. 96. ISBN 978-0-85036-554-2. สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2011.
  19. Marx, Karl (1848). "Bourgeois and Proletarians". The Communist Manifesto (ภาษาอังกฤษ). ลอนดอน: Marxists Internet Archive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 มกราคม 2018. สืบค้นเมื่อ 12 มีนาคม 2019. The history of all hitherto existing society is the history of class struggles.
  20. Hunt 2009, p. 65.
  21. Hunt 2009, pp. 119–124.
  22. Wheen 2001, pp. 85–86.
  23. Wheen 2001, p. 90.
  24. Beamish 1998, p. 226.
  25. Marx, Karl; Engels, Friedrich (1999). Toews, John E. (บ.ก.). The Communist Manifesto, with Related Documents. The Bedford Series in History and Culture. Bedford/St. Martin's. pp. 6–12. ISBN 9780312157111.
  26. Beamish 1998, p. 238.
  27. Draper, Hal (1986). "Neue Rheinische Zeitung: Organ der Demokratie". The Marx-Engels Glossary: Glossary to the Chronicle and Register, and Index to the Glossary. the Marx-Engels Cyclopedia. Vol. 3. New York: Schocken Books. pp. 150–151. ISBN 9780805240023.
  28. Wheen 2001, pp. 130–132.
  29. Wheen 2001, pp. 136–137.
  30. Lorimer, Doug. "Introduction". The Class Struggles in France: From the February Revolution to the Paris Commune. Resistance Books. p. 6. ISBN 978-1-876646-19-6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2011.
  31. Wheen 2001, pp. 137–146.
  32. Wheen 2001, pp. 147–148.
  33. Watson, Peter (2010). The German Genius: Europe's Third Renaissance, the Second Scientific Revolution, and the Twentieth Century. HarperCollins. pp. 250–. ISBN 978-0-06-076022-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 มิถุนายน 2013. สืบค้นเมื่อ 9 มีนาคม 2011.
  34. Engels, Friedrich (1972) [1884]. "The Family". The Origin of the Family, Private Property, and the State, in the Light of the Researches of Lewis H. Morgan (PDF) (ภาษาอังกฤษ). International Publishers. p. 35. ISBN 978-0-7178-0359-0. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2023. The first class opposition that appears in history coincides with the development of the antagonism between man and woman in monogamous marriage, and the first class oppression coincides with that of the female sex by the male.
  35. Carver, Terrell (1985). "Engel's feminism". History of Political Thought. 6 (3): 479. JSTOR 26212414.
  36. Aveling, Edward; Aveling, Eleanor Marx (1886). "The Woman Question". Westminster Review. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มกราคม 2023 – โดยทาง Marxists Internet Archive. The truth, not fully recognised even by those anxious to do good to woman, is that she, like the labour-classes, is in an oppressed condition; that her position, like theirs, is one of merciless degradation. Women are the creatures of an organised tyranny of men, as the workers are the creatures of an organised tyranny of idlers.
  37. "Russian Revolution". History.com. A&E Television Networks. 2020 [2009]. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2020.
  38. Bullock, David (2008). The Russian Civil War 1918–22. Oxford: Osprey Publishing. p. 7. ISBN 978-1-84603-271-4. สืบค้นเมื่อ 26 ธันวาคม 2017.
  39. McMeekin, Sean (2017). The Russian Revolution: A New History. Basic Books. ISBN 978-0465039906.
  40. "Quotes from Mao Tse Tung". Marxists Internet Archive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 มีนาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2022. The theory of Marx, Engels, Lenin and Stalin is universally applicable. We should regard it not as a dogma, but as a guide to action. Studying it is not merely a matter of learning terms and phrases but of learning Marxism-Leninism as the science of revolution. It is not just a matter of understanding the general laws derived by Marx, Engels, Lenin and Stalin from their extensive study of real life and revolutionary experience, but of studying their standpoint and method in examining and solving problems.
  41. Franke, Wolfgang (1970). A Century of Chinese Revolution, 1851–1949. Oxford: Basil Blackwell. ISBN 9780631119708.
  42. Ellison, Herbert J., บ.ก. (1982). The Sino-Soviet Conflict: A Global Perspective. University of Washington Press. ISBN 9780295958545. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 สิงหาคม 2020.
  43. Mao, Zedong (กรกฎาคม 1964). "1964: On Khrushchov's Phoney Communism and Its Historical Lessons for the World". Marxists Internet Archive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 พฤษภาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2022.
  44. Schram, Stuart (1989). The Thought of Mao Tse-Tung. Cambridge University Press. ISBN 978-0521310628.
  45. Deng, Xiaoping (30 มีนาคม 1979). "Uphold the Four Cardinal Principles". Marxists Internet Archive. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2023. สืบค้นเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2023.
  46. "Collection: Cuban revolution collection | Archives at Yale". Archives.yale.edu. hdl:10079/fa/mssa.ms.0650. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 เมษายน 2022. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2022.
  47. Bourne 1986.
  48. Coltman 2003.
  49. Grant, Will (8 ตุลาคม 2007). "CIA man recounts Che Guevara's death". BBC news. ไมแอมี. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2022.
  50. Dorfman, Ariel (14 มิถุนายน 1999). "Che Guevara". ไทม์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 เมษายน 2011.
  51. "Che Guevara photographer dies". BBC News. 26 พฤษภาคม 2001. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 ตุลาคม 2022.
  52. D'Encausse, Helene Carrere (1993). The End of the Soviet Empire: The Triumph of the Nations. แปลโดย Philip, F. New York: The New Republic. p. 16. ISBN 978-0465098125.
  53. Jonathan Woff, "Karl Marx," Stanford Encyclopedia of Philosophy (Aug 26, 2003; substantive revision Jan 28, 2008) http://plato.stanford.edu/entries/marx/
  54. พิสิษฐิกุล แก้วงาม. ทฤษฎีการเมืองกับการศึกษารัฐศาสตร์. มหาสารคาม : หลักสูตรสาขาวิชารัฐศาสตร์ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 2552. น. 61.
  55. อาร์. เอ็น. แครูว์ ฮันท์ (Robert Nigel Carew Hunt) (เขียน). วิเคราะห์ลัทธิคอมมิวนิสต์ (the Theory and Practice of Communism). ฉันทิมา อ่องสุรักษ์ (แปล), (กรุงเทพฯ : สนพ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2526), น. 137 – 157.
  56. มากซ์ไม่เคยเรียกตัวเองว่าลัทธิมากซ์ แต่เรียกตัวเองว่านักสังคมนิยม ทว่านักวิชาการรุ่นหลังกลับยกให้มากซ์เป็นลัทธิมากซ์ ดู วีระ สมบูรณ์, "คำนำ," ใน สุรพงษ์ ชัยนาม. มาคซ์และสังคมนิยม. (กรุงเทพฯ : ศยาม, 2553) น. 4.
  57. สาคร สมเสริฐ, "นีโอมาคซิสต์ : สำหรับผู้เริ่มต้น," (3 ธันวาคม 2548) http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document95223.html/
  58. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, "อุดมการณ์กับการเมือง: องค์ประกอบและการทำงาน (ตอนที่สอง) ," (เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา อุดมการณ์การเมืองประเทศกำลังพัฒนา ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคปลาย ปีการศึกษา 2547).
  59. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, "อุดมการณ์ การเมือง และวัฒนธรรม (3): สำนักวัฒนธรรมร่วมสมัย," (เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา อุดมการณ์การเมืองประเทศกำลังพัฒนา ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคปลาย ปีการศึกษา 2547).
  60. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์, "อุดมการณ์ การเมือง และวัฒนธรรม (1): จากมาค สู่ ลัทธิมากซ์ และ สำนักวัฒนธรรมศึกษา," (เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา อุดมการณ์การเมืองประเทศกำลังพัฒนา ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคปลาย ปีการศึกษา 2547).
  61. Douglas Kellner. Media Culture: Cultural Studies, Identity and Politics Between the Modern and the Postmodern. (London and New York : Routledge, 2003),pp. 36 – 43
  62. Kellner. Ibid., pp. 28 – 31
  63. Philip Goldstein. Post-Marxist Theory : An Introduction. (New York: SUNY Press, 2005)
  64. ๋Jacques Derrida. Specters of Marx: The State of the Debt, the Work of Mourning and the New International (Routledge: London, 1994)

บรรณานุกรม