ข้ามไปเนื้อหา

สนธิสัญญาว่าด้วยการจำกัดและการลดอาวุธทางรัฐนาวี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สนธิสัญญารัฐนาวีกรุงลอนดอน
สนธิสัญญาว่าด้วยการจำกัดและการลดอาวุธทางรัฐนาวี
คณะผู้แทนจากสหรัฐมาที่งานประชุม มกราคม ค.ศ. 1930.
ประเภทการควบคุมอาวุธ
บริบทสงครามโลกครั้งที่ 1
วันลงนาม22 เมษายน ค.ศ. 1930 (1930-04-22)
ที่ลงนามลอนดอน
วันมีผล27 ตุลาคม ค.ศ. 1930 (1930-10-27)
วันหมดอายุ31 ธันวาคม ค.ศ. 1936 (1936-12-31) (ยกเว้นส่วนที่ 4)
ผู้เจรจาสหรัฐ เฮนรี แอล. สติมสัน
จักรวรรดิบริติช แรมซีย์ แมกดอนัลด์
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 André Tardieu
ราชอาณาจักรอิตาลี ดีโน กรันดี
จักรวรรดิญี่ปุ่น วากัตสึกิ เรจิโร
ผู้ลงนามสหรัฐ เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์
จักรวรรดิบริติช พระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร
สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 Gaston Doumergue
ราชอาณาจักรอิตาลี พระเจ้าวิตโตรีโอ เอมานูเอเลที่ 3 แห่งอิตาลี
จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรพรรดิโชวะ
ภาคี สหรัฐ
 จักรวรรดิบริติช
 ฝรั่งเศส
 อิตาลี
 ญี่ปุ่น
ผู้เก็บรักษาสันนิบาตชาติ
ภาษาอังกฤษ

สนธิสัญญาว่าด้วยการจำกัดและการลดอาวุธทางรัฐนาวี (อังกฤษ: Treaty for the Limitation and Reduction of Naval Armament) หรือ สนธิสัญญารัฐนาวีกรุงลอนดอน (อังกฤษ: London Naval Treaty) เป็นการตกลงระหว่างสหราชอาณาจักร จักรวรรดิญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกา ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการรบด้วยเรือดำน้ำ และการจำกัดจำนวนการต่อเรือรบของภาคีสนธิสัญญา

การประชุม

[แก้]

สนธิสัญญาดังกล่าวเป็นเอกสาร แต่การเจรจาระหว่างคู่เจรจายังคงเริ่มต้นขึ้นมาก่อนหน้าการประชุมทางเรือกรุงลอนดอนอย่างเป็นทางการ ซึ่งคงดำเนินมาตลอดช่วงเวลาของการประชุมอย่างเป็นทางการ และยังได้ดำเนินต่อไปอีกหลายปีหลังจากนั้น

เงื่อนไข

[แก้]

เงื่อนไขของสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงเพิ่มเติมจากที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในสนธิสัญญารัฐนาวีกรุงวอชิงตัน ข้อตกลงดังกล่าวมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาการจำกัดขนาดและการลดยุทธภัณฑ์ทางทะเล

ที่ประชุมได้รื้อฟื้นความพยายามจากการประชุมทางเรือกรุงเจนีวา แห่งปี ค.ศ. 1927 ซึ่งในการประชุมครั้งนั้นประสบความล้มเหลว เนื่องจากคณะผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจเริ่มต้นมาจากการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ กับนายกรัฐมนตรีแรมเซย์ แมคโดนัล ณ ค่ายราพิเดน ในปี ค.ศ. 1929 แต่ปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความตึงเครียด ซึ่งคณะผู้แทนจากชาติต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุมแสดงออกมา[1]

ภายในเงื่อนไขของสนธิสัญญาดังกล่าว ระวางขับน้ำของเรือโดยมาตรฐานและขนาดลำกล้องของปืนเรือดำน้ำถูกจำกัดขนาดเป็นครั้งแรก และยังเป็นแบ่งประเภทของเรือลาดตระเวนติดปืนที่มีขนาดลำกล้องของปืนไม่เกิน 6.1 นิ้ว (155 มม.) เรียกว่าเป็น "เรือลาดตระเวนเบา" ส่วนเรือลาดตระเวนที่ติดปืนที่มีขนาดลำกล้องของปืนไปจนถึง 8 นื้ว (203 มม.) เรียกว่าเป็น "เรือลาดตระเวนหนัก" ส่วนการจำกัดระวางเรือโดยรวมนั้นขึ้นอยู่กับการแบ่งลำดับชั้นของประเทศที่ร่วมลงนามทุกประเทศ

มาตราที่ 22 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการใช้เรือดำน้ำโดยประกาศเป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ว่า เรือพาณิชย์ซึ่ง "ยืนกรานปฏิเสธที่จะหยุด" หรือ "มีการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด" อาจถูกจมได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องลำเลียงลูกเรือและผู้โดยสารไปยังสถานที่ปลอดภัยก่อน[2]

ระยะต่อไปของความพยายามจำกัดขนาดกองทัพเรือเกิดขึ้น ณ ที่ประชุมทางเรือเจนีวาครั้งที่สอง ในปี ค.ศ. 1932 และในปีนั้นเอง อิตาลีได้ปลดประจำการเรือประจัญบาน 2 ลำ เรือลาดตระเวน 12 ลำ เรือพิฆาต 25 ลำ และเรือดำน้ำ 12 ลำ ซึ่งคิดรวมเป็นระวางเรือรวมกันทั้งหมด 130,000 ตัน[3] และการเจรจาระหว่างผู้ร่วมลงนามอื่น ๆ ยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปี[4] และได้ข้อสรุปเป็นสนธิสัญญาทางเรือกรุงลอนดอนฉบับที่สอง แห่งปี ค.ศ. 1936

การโกงสนธิสัญญา

[แก้]

กองทัพเรืออังกฤษ อเมริกันและญี่ปุ่นใช้อุบายเพื่อโกงสนธิสัญญาดังกล่าว[5] ตัวอย่างเช่น การสร้าง "เรือประจัญบานเบา" ของกองทัพเรือทั้งสามประเทศนั้นเป็นเพียงแต่ในนามเท่านั้น เพราะอานุภาพของเรือประจัญบานเบา (สนธิสัญญากำหนดว่า มีขนาดปืนไม่เกิน 155 มม.) เทียบเท่าได้กับ "เรือประจัญบานหนัก" โดยเรือเหล่านี้จะติดตั้งปืนที่มีขนาดไม่เกินที่สนธิสัญญากำหนด แต่จะติดปืนใหญ่มากขึ้น เป็นต้น

อ้างอิง

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]